วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2564

นครพนมโมเดล บูรณาการปรับเปลี่ยนเด็กและเยาวชนในสถานพินิจสู่อนาคตของชาติ

วันที่ 29 ตุลาคม 2564 ที่คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยนครพนม นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นางสาวศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จ่าเอกสุธีร์ บุษราคม ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครพนม ตลอดจนคณะหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันมอบวุฒิบัตรการศึกษา กล่าวให้โอวาท และให้กำลังใจแก่เด็กและเยาวชน ที่อยู่ในการควบคุมดูแลของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครพนม จำนวน 23 คน ที่จบการศึกษาสายสามัญ ประจำปี 2564 จากการจัดการศึกษาร่วมกับศูนย์การเรียน ซี วาย เอฟ ในรูปแบบออนไลน์ นครพนมโมเดล ภายใต้ข้อจำกัดในด้านกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 เพื่อสร้างองค์ความรู้ให้เด็กและเยาวชนได้นำไปต่อยอดสู่การเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต

โดยรูปแบบการศึกษาออนไลน์ นครพนมโมเดล เป็นการรวมพลังแห่งความร่วมมืออย่างเป็นองค์รวม เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพและให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กนอกระบบการศึกษาอย่างมีคุณภาพและเสมอภาค ภายใต้ โครงการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษา โดยเครือข่ายเชิงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(นครพนม) โดยมีเป้าประสงค์และจุดหมายเดียวกัน ในการทำให้เด็กนอกระบบในจังหวัดนครพนมมีจำนวนลดลง และไม่มีเด็กนอกระบบอีกต่อไป ทั้งเป็นการสร้างโอกาสให้เด็กทุกคนเข้าถึงการศึกษาในรูปแบบต่างๆ ที่ตอบโจทย์บริบทชีวิตของแต่ละคน ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ปี 5 ความร่วมมือ ที่จะมีการเชื่อมฐานข้อมูลเด็กนอกระบบจังหวัดนครพนม มีการพัฒนาหลักสูตรเด็กนอกระบบร่วมกัน มีการจัดการเรียนรู้ มีการวัดและประเมินผลร่วมกัน รวมถึงร่วมกันพัฒนาความร่วมมือให้เข้มแข็ง ขยายเครือข่ายในการพัฒนาเด็กนอกระบบให้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้นอกจากการจัดการศึกษาสายสามัญแล้ว สถานพินิจจังหวัดนครพนม ยังได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ได้แก่ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยนครพนม และสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดนครพนมจัดการฝึกวิชาชีพให้เด็กและเยาวชนที่มีความสมัครใจด้วย ไม่ว่าจะเป็น หลักสูตรช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือจำนวน 30 ชั่วโมง ช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ จำนวน 120 ชั่วโมง การซ่อมรถจักรยานยนต์ จำนวน 30 ชั่วโมงและการติดตั้งไฟฟ้าภายในอาคารจำนวน 120 ชั่วโมง

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564

นครพนม เร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้คณะครูนักเรียนก่อนเปิดภาคเรียน

วันที่ 28 ตุลาคม 2564 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม บรรยากาศยังคงเป็นไปด้วยความคึกคักของคณะครู นักเรียนและประชาชนที่มารับบริการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในห้วงนี้ที่บุคคลากรทางการแพทย์ต่างพยายามเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเด็กนักเรียนที่มีอายุ 12- 18 ปี ที่มีความสมัครใจ และผู้ปกครองให้ความยินยอม เพื่อสร้างเกราะป้องกันให้ทุกคนมีความปลอดภัยจากไวรัสโควิด เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดภาคเรียน รวมถึงการฉีดวัคซีนให้กับคณะครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่ทางกระทรวงศึกษาธิการกำหนดในการเปิดโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา

โดยปัจจุบัน ข้อมูล ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2564 จังหวัดนครพนมสามารถดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับเด็กนักเรียนอายุ 12-18 ปี ไปแล้ว 31,612 คน จากจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 54,727 คน ส่วนคณะครูอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา 8,625 คน ฉีดไปแล้ว 6,794 คน โดยในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ทุกแห่ง ยังไม่สามารถเปิดทำการสอนได้ตามปกติ เนื่องจากจำนวนการรับวัคซีนยังไม่เป็นไปตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ทั้งนี้ทางคณะกรรมการโรคติดต่อได้มีการมอบหมายให้นายอำเภอ สาธารณสุขอำเภอ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลและคณะกรรมการโรคติดต่อระดับอำเภอ เป็นผู้ประเมินพิจารณาการเปิดการเรียนการสอนในโรงเรียนของแต่ละพื้นที่ซึ่งโรงเรียนต้องมีความพร้อมตามมาตรการที่นอกจาก นักเรียน ครู อาจารย์ บุคคลากรทางการศึกษาต้องได้รับวัคซีนไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 แล้ว ต้องผ่านการประเมิน Thai Stop COVID Plus มีการรายงานการติดตามการประเมินผลผ่าน MOECOVID มีการจัด School Isoletion มีการควบคุมการเดินทางอย่างเข้มข้น จัด Screeming Zone และมีระบบแผนการติดตาม ทั้งก่อนและระหว่างดำเนินการ มีการเตรียมพร้อมสำหรับการคัดกรองทุกคนก่อนเข้าโรงเรียน เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม ที่จะมีการพิจารณาเป็นรายโรงเรียนในวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ในที่ประชุมใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะอนุมัติให้เปิดการเรียนการสอนได้เมื่อโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาไหนมีความพร้อม คาดว่าจะสามารถเปิดเรียนได้ในสัปดาห์ถัดไป โดยภายหลังอนุญาตให้เปิดโรงเรียนแล้วยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง


วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2564

พ่อเมืองนครพนม นำส่วนราชการสร้างแหล่งอาหารที่ยั่งยืนเป็นต้นแบบให้ประชาชน

วันที่ 27 ตุลาคม 2564 ที่บริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดกิจกรรม kick off น้อมนำแนวพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ประจำปี 2565 ภายใต้คำขวัญ ผู้ว่าฯพาปลูกผักและพืชสมุนไพร สร้างความมั่นคงทางอาหาร เพื่อเป็นต้นแบบให้กับคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ในการเป็นต้นแบบให้กับประชาชน

นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า ในโอกาสที่ตนเองได้มาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และบ้านพักแห่งนี้ ซึ่งก็คือจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้มีการก่อสร้างขึ้นมาใหม่และแล้วเสร็จเข้าอยู่พอดี จึงเป็นเหมือนว่าทุกอย่างใหม่หมด และบริเวณทั้งหมดเพิ่งจะปรับปรุงเสร็จ ดังนั้นจึงได้มีการพูดคุยกับนางกาญจนี รุจนเสรี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ที่เป็นแม่บ้านเกี่ยวกับแหล่งอาหาร และเห็นว่าควรจะน้อมนำโครงการที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริไว้ คือ ปลูกผักสวนครัว 90 วัน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร มาปฏิบัติ ประกอบกับกระทรวงมหาดไทยก็มีนโยบายในสิ่งเหล่านี้เช่นกัน จึงเป็นที่มาของจัดกิจกรรมในวันนี้ที่จะมีการปลูกพืชผักสวนครัวที่ชอบ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับข้าราชการ และประชาชนทั่วไป ซึ่งจะเป็นการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติในระดับครัวเรือน ที่เน้นให้ทุกคนพึ่งพาตนเอง มีความรัก ความสามัคคี และมีความเกื้อกูลของคนในชุมชน เพราะเมื่อได้ผลผลิต มีแหล่งอาหารก็สามารถแลกเปลี่ยนกันรับประทานได้ ส่วนที่เหลือก็นำไปแจกจ่ายหรือจำหน่ายเป็นรายได้ของครอบครัวเพิ่มเติมได้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีส่วนราชการหลายหน่วยดำเนินการในลักษณะแบบนี้ไปแล้ว แต่เพื่อเป็นการเพิ่มเติมต้นแบบให้มีมากยิ่งขึ้นทำให้ประชาชนทั่วไปได้เห็นว่าผู้นำต้องทำก่อน ในวันนี้พร้อมใจกันจัดกิจกรรมขึ้น โดยหลังจากนี้แต่ละส่วนราชการที่มีพื้นที่ว่างในบ้านพักจะมีการปลูกผักสวนครัวอย่างน้อย 10 ชนิด เพื่อเป็นตัวอย่างให้ประชาชน


ศบภ.มทบ.210 ระดมกำลังบูรณาการลงพื้นที่รื้อถอนบ้าน ช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยบ้านเหล่า อ.ศรีสงคราม

วันที่ 27 ตุลาคม 2564 ที่มณฑลทหารบกที่ 210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง จังหวัดนครพนม พล.ต.สถาพร บุญชู ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 210 เปิดเผยว่า จากที่มีเหตุไฟไหม้เมื่อเวลาประมาณ 05.30 น.ของวันที่ 20 ตุลาคม 2564 ที่บ้านเหล่า หมู่ที่ 4 ตำบลนาคำ อำเภอศรีสงคราม ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 8 ครัวเรือน แบ่งเป็นเสียหายทั้งหลัง 4 หลังคาเรือนและเสียหายบางส่วน 4 หลังคาเรือน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 3,440,210 บาท ซึ่งที่ผ่านมาจังหวัดนครพนมได้มีการบูรณาการให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งครอบครัวผู้ประสบภัยยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานถุงยังชีพ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ มาบรรเทาความเดือดร้อน

และในส่วนของบ้านที่มีการเสียหายทั้งหลังนั้นจำเป็นต้องรื้อถอน ส่วนบ้านที่เสียหายบางส่วนก็จำเป็นต้องปรับปรุงซ่อมแซม ดังนั้นเพื่อเป็นการสนับสนุนการรื้อถอน เก็บซากปรักหักพังและซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่ถูกไฟไหม้ในครั้งนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว จึงได้มีการมอบหมายให้กำลังพลจิตอาสา จำนวน 40 นาย ของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 210 ประกอบไปด้วย กำลังพลของมณฑลทหารบกที่ 210 (มทบ.210) จำนวน 20 นาย และกำลังพลของกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 ( ร.3 พัน. 3) จำนวน 20 นาย ลงพื้นที่ช่วยเหลือบูรณาการร่วมกับฝ่ายปกครองอำเภอศรีสงคราม เทศบาลตำบลนาคำ องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำรวจภูธรศรีสงคราม กองอาสารักษาดินแดนจังหวัดนครพนม ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ เป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และสร้างขวัญกำลังใจให้กับครอบครัวผู้ประสบภัย


วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2564

นครพนม วางแผนรองรับการเปิดประเทศ รถไฟจีน – ลาว โครงข่ายคมนาคมอาเซียนและขับเคลื่อนพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ

วันที่ 25 ตุลาคม 2564 ที่ห้องประชุมศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน One Stop Service (OSS) อาคารสำนักงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้มีการเชิญคณะหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมหารือและวางแผนแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัดและเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม เพื่อรองรับและเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดิมเตรียมเปิด 1 มกราคม 2565 เป็นเฟสสุดท้ายของประเทศ แต่ด้วยศักยภาพของจังหวัดนครพนมที่มีความพร้อมและกำลังเร่งดำเนินการตามเกณฑ์ sandbox ระดับอำเภอ คาดว่าจังหวัดนครพนมจะเปิดประเทศได้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2564 รวมถึงวางแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัดให้เชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคม รถไฟจีน - ลาว ที่มีการรับมอบรถไฟขบวนล้านช้างไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา

โดยในที่ประชุมได้มีการเตรียมความพร้อมของแต่ละหน่วยงานเพิ่มเติมจากที่ปฏิบัติอยู่แล้ว เพื่อให้ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุนมีการให้บริการที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น คือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครพนมจะมีการให้บริการหนังสือรับรองถิ่นกําเนิดสินค้า สำนักงานอุตสาหกรรมมีภารกิจเกี่ยวกับการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ขณะที่สำนักงานแรงงานจังหวัดนครพนม สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครพนม ก็จะมีในเรื่องการสนับสนุนให้มีการใช้แรงงานต่างด้าวอย่างถูกต้องตามกฎหมายสอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม แม้ในปัจจุบันจะมีปัญหาติดขัดในเรื่องของด่านพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่ปิดชั่วคราวทำให้แรงงานต่างด้าวที่จะนำเข้าตาม MOU ไม่สามารถดำเนินการได้ และแรงงานต่างด้าวสัญชาติลาวที่จะเข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับหรือตามฤดูกาล ตามมาตรา 64 ก็ยังไม่สามารถดำเนินการ แต่ถ้ามีการเปิดประเทศและแรงงานเหล่านี้สามารถเดินทางข้ามมาทางสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 ได้ก็ต้องพร้อมให้บริการทันที

ทั้งนี้ที่ผ่านมาการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนจังหวัดนครพนม มีมูลค่าเพิ่มขึ้นแม้จะอยู่ในสภาวะสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยมูลค่าการค้ารวมช่วงเดือนมกราคม -กันยายน 2564 มีมูลค่ามากถึง 106,111.44 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมามีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 45,163.55 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 74.1 แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 90,546.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 77.86 หรือมูลค่า 39,638.25 ล้านบาท โดยสินค้าที่ส่งออก ประกอบไปด้วย ทุเรียน ลำไย มังคุด แผงวงจรประมวลผลคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณจากมือถือไปยังทีวี เครื่องดื่มบำรุงกำลัง โซล่าเซลล์ โค กระบือ กล้องวงจรปิด ลำโพง ครีมเทียม หมากและพลู ขณะที่การนำเข้าก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.04 หรือมูลค่า 5,525.3 ล้านบาท โดยสินค้าที่นำเข้า คือ เวเฟอร์ที่มีธาตุเคมีโด๊ปแล้วที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตโซล่าเซลล์ พลังงานไฟฟ้า ปูนซีเมนต์ ปุ๋ยเคมี แผงโซล่าเซลล์ แบตเตอรี่ เสื้อเชิ้ตสตรี ผ้าทอ กระเป๋า กล่องพลาสติก และถุงพลาสติก ขณะที่การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่จะมาสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและส่งเสริมการคมนาคมขนส่ง การค้า การท่องเที่ยวระหว่างประเทศ สำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครพนมได้ส่งมอบพื้นที่ให้บริษัท เจซีเค อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) เข้าดำเนินการเป็นเนื้อที่ 1,335-2-28.1 ไร่แล้ว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ในส่วนต่าง ๆ


วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564

นักท่องเที่ยว ร่วมงานประเพณีไหลเรือไฟเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 วันที่ผ่านมา

วันที่ 21 ตุลาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศการท่องเที่ยวในงานประเพณีไหลเรือไฟ ประจำปี 2564 และวันออกพรรษา ถือว่ามีความคึกคักมากกว่า 3 วันที่ผ่านมา โดยเฉพาะบริเวณองค์พญาศรีสัตตนาคราชที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของจังหวัด ที่ใครผ่านไปมาต้องแวะเวียนมากราบไหว้ขอพร เพื่อมีความเชื่อและความศรัทธาในเรื่องพญานาคที่คอยดูแลปกปักษ์รักษาองค์พระธาตุพนมและผู้คนในแถบลุ่มน้ำโขงนี้ เนื่องจากพบว่าหลายคนที่มาขอพรแล้วสมหวังดังที่ปรารถนา และยิ่งวันนี้ที่มีพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา เสริมบารมี เพื่อความเป็นสิริมงคลและเป็นการขมาลาโทษต่อสายน้ำที่ตนเองได้พึ่งพาอาศัยในการดำรงชีวิตตลอดมา ประชาชนและนักท่องเที่ยวจึงมากเป็นพิเศษ โดยผู้ที่มาร่วมงานต่างต้องผ่านการคัดกรองจากเจ้าหน้าที่จึงจะเข้ามาในบริเวณดังกล่าวได้ ที่สำคัญคือต้องมีการเว้นระยะห่างและสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการในการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด

โดยในการพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา เสริมบารมีนั้นจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่มาร่วมงานได้ประดิษฐ์เรือกาบกล้วย ใส่ดอกไม้ธูปเทียนเครื่องหอมต่าง ๆ แล้วนำไปฝากกับเรือไฟโบราณที่มีการสร้างขึ้นตามปีนักษัตรที่เกิด จากนั้นจึงได้ร่วมกันประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ โดยมีนายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ซึ่งเมื่อเสร็จพิธีเจ้าหน้าที่ก็ได้นำเรือไฟโบราณทั้งหมดใส่เรือกีบลากจูงออกไปกลางแม่น้ำโขง เพื่อลอยเป็นประทีปโคมไฟถวายเป็นพุทธบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เสด็จลงมาจากเทวโลก และเป็นการแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวที ต่อแม่น้ำ สรรพสัตว์ และสิ่งต่าง ๆ จากนั้นจึงได้แยกย้ายกันไปตามจุดต่าง ๆ ที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงเพื่อชมความงดงามของสายน้ำ ที่วันนี้จังหวัดนครพนมมีการไหลเรือไฟโชว์ จำนวน 3 ลำพร้อมกับกระทงสายประมาณ 20,000 ดวง ที่ไหลมาตามสายน้ำ


นครพนม สืบสานวัฒนธรรมวันออกพรรษารำบูชาพระธาตุพนม

วันที่ 21 ตุลาคม 2564 ที่บริเวณหน้าวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนประชาชนและนักท่องเที่ยวร่วมกันสืบสานประเพณี วัฒนธรรมประกอบพิธีถวายเครื่องบูชาและรำบูชาพระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนม ที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพศรัทธากราบไหว้มาอย่างยาวนาน ทั้งเป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระมหากัสสปะสร้างไว้ ตามความเชื่อพื้นถิ่น โดยเป็นพระธาตุที่มีเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและในลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง ที่เมื่อถึงเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลออกพรรษา ประชาชนที่ให้ความเคารพจะเดินทางนำ ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องหอมต่างๆ มาถวายเป็นพุทธบูชา รวมถึงการรำ ด้วยเช่นเดียวกัน


โดยในเวลา 7.29 น. ทุกคนไปประกอบพิธีอัญเชิญเครื่องบูชา ที่ประกอบไปด้วย ผ้าไตร ขันหมากเบ็ง ดอกไม้ ธูป เทียน เครื่องสักการะอื่นๆ รวมถึงขบวนนางรำเดินทางจากริมฝั่งแม่น้ำโขงมายังบริเวณหน้าวัดพระธาตุพนม จากนั้นได้ร่วมกันประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อถวายเครื่องบูชาทั้งหมดที่อัญเชิญมาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและองค์พระธาตุพนม ก่อนที่นางรำจะร่วมกันรำบูชาโดยเริ่มจากการรำเพื่อกล่าวถึงตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับองค์พระธาตุพนม ซึ่งเป็นการนำเอาบทสวดสดุดีองค์พระธาตุพนมมาผสมผสานกับทำนองสรภัญญะและดนตรีมโหรี  จากนั้นเป็นการฟ้อนศรีโคตรบูรณ์ เพื่อระลึกถึงความเจริญทางด้านศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ที่เป็นการผสมผสานระหว่างรำเซิ้งอีสานที่มีความสนุกสนามกับการฟ้อนรำผู้ไทยที่มีเอกลักษณ์ท่ารำ ยกสูง ก้มต่ำ รำกว้าง ตามมาด้วยการฟ้อน 8 ชนเผ่าของชาวนครพนม ที่ได้ส่งตัวแทนสาวงามงามมาร่วมชนเผ่าละ 2 คน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการในการเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด โดยลักษณะท่าทางการร่ายรำจะเป็นศิลปะร่วมสมัยส่วนการแต่งกายจะเป็นของแต่ละชนเผ่า  จากนั้นเป็นการรำซิ้งอีสานที่เป็ชุดสุดท้ายเป็นการรำในวันนึ้ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มาร่วมพิธีได้รำถวายเพื่อความเป็นสิริมงคลในวันออกพรรษา

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ผวจ.นครพนม ชวนนักท่องเที่ยวตรวจ ATK ฟรีก่อนเที่ยวงานไหลเรือไฟ

วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ที่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเทศบาลเมืองนครพนม ซึ่งเป็นจุดบริการประชาชนและนักท่องเที่ยวในด้านต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ด้านข้างองค์พญาศรีสัตตนาคราชที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางมากราบไหว้ สักการะ ขอพร ในช่วงตอนกลางวัน และรอชมความงดงามวิจิตรการตาของเรือไฟโชว์ที่จังหวัดนครพนมจัดแสดงทุกวัน ๆ ละ 2-3 ลำที่มาพร้อมกับกระทงสาย 8,000 – 12,000 ดวง บรรยากาศยังคงมีประชาชนและนักท่องเที่ยวมาใช้บริการอยู่เรื่อย ๆ ทั้งการสอบถามเส้นทาง การขอความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด – 19 จากชุดตรวจ ATK ฟรี โดยวันนี้เวลา 15.30 น. นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและสอบถามถึงปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ เพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขในการให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

และในโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้กล่าวเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยว ผู้ที่มาร่วมงานประเพณีไหลเรือไฟในครั้งนี้ ที่มีความไม่มั่นใจว่าตนเองมีความปลอดภัยและอาจจะมีเชื้อไวรัสโควิด -19 สามารถมารับบริการได้ฟรี สำหรับขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงท่านมีบัตรประจำตัวประชาชนก็สามารถเดินทางมาขอรับการตรวจได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเทศบาลเมืองนครพนมแห่งนี้ ระหว่างเวลา 9.00 - 16.00 น. หรือจะใช้แอพพิเคชั่นเป๋าตังในการขอรับชุดตรวจ ATK ไปตรวจเองที่บ้านก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งขั้นตอนการทำก็เพียงเข้าแอพเป๋าตัง เลื่อนหาเมนูขอรับชุดตรวจโควิดฟรี จากนั้นอ่านข้อตกลงและเงื่อนไข เมื่อศึกษารายละเอียดเสร็จแล้ว ก็กดยอมรับเงื่อนไขการให้บริการ กดตกลง จากนั้นทำแบบประเมิน ถ้ามีความเสี่ยงก็จะสามารถรับชุดตรวจ ATK จำนวน 2 ชุดไปใช้ตรวจห่างกัน 5 วันได้ทันที ซึ่งการตรวจในครั้งนี้นอกจากจะเป็นความปลอดภัยต่อตัวท่านเองแล้ว ยังเป็นการรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคมด้วย


นครพนม เตรียมเปิด 5 อำเภอ Sandbox 1 ธ.ค.นี้

วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม ภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม มอบหมายให้นายธวัชชัย รอดงาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายแพทย์ ธนสิทธิ์ ไพรพงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์ในการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดไวรัสโควิดในพื้นที่ตลอดจนแนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ

ซึ่งในวันนี้สถานการณ์ของจังหวัดนครพนมยังคงพบผู้ป่วยติดเชื้อ 6 ราย ทำให้มียอดสะสมรวม 4,958 ราย ขณะที่การรักษาหายกลับบ้าน 4,893 ราย เหลือรักษาในโรงพยาบาลอีก 38 ราย ทั้งนี้ในช่วงนี้พบว่ามียอดผู้ป่วยน้อยลงอย่างต่อเนื่องบางวันมียอดเป็นศูนย์ ซึ่งทุกฝ่ายต่างพยายามบูรณาการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งเพื่อให้เป็นไปตามแผน มาตรการ ประกาศและคำสั่งจังหวัด ขณะเดียวกันก็มีการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เดิมเตรียมเปิด 1 มกราคม 2565 เป็นเฟสสุดท้ายของประเทศ แต่ด้วยศักยภาพของจังหวัดนครพนมน่าจะมีความพร้อมในการเปิดก่อน 1 มกราคม จึงได้มีการปรับแผนเตรียมความพร้อมเป็น 1 ธันวาคม 2564 แทน ซึ่งเบื้องต้นเตรียมเปิด 5 อำเภอที่กรจายอยู่แนวเขตริมฝั่งแม่น้ำโขง ที่มีทัศนียภาพสวยงาม และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเดินทางมาเยือนเป็นประจำ ประกอบไปด้วย อำเภอเมืองนครพนม อำเภอธาตุพนม อำเภอเรณูนคร อำเภอท่าอุเทนและอำเภอบ้านแพง ซึ่งแต่ลอำเภอจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้ได้ตามเกณฑ์การเปิดพื้นที่ sandbox ระดับอำเภอ คือมีการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากร 70 เปอร์เซ็นต์ ครอบคลุมกลุ่ม 608 ร้อยละ 80 และการระบาดต้องไม่เกิน 5-10 รายต่อแสนประชากรใน 7 วันที่ผ่านมา

สำหรับแผนการดำเนินงานนั้นที่ประชุมย่อยได้มีการร่างแผนดำเนินงาน ร่วมกันกับภาคีเครือข่ายส่วนต่าง ๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายมีความพร้อมสำหรับการรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในจังหวัดนครพนม ไม่ว่าจะเป็น เมื่อมาถึงแล้วจะต้องทำอย่างไร ศึกษาเส้นทางการท่องเที่ยวและการเชื่อมโยงของนักท่องเที่ยวกลุ่มที่จะมาจากจังหวัดอื่นๆที่สามารถมาเที่ยวในพื้นที่นครพนมได้ เพื่อวางมาตรการที่คลอบคลุมการเฝ้าระวังป้องกันการติดเชื้อไม่ให้มีการแพร่ระบาดเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวที่จะข้ามฝากมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านผ่านสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 นครพนม – คำม่วน โดยแผนดังกล่าวจะมีการประชุมร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งเป็นเจ้าภาพหลักในการเปิดประเทศอีกครั้ง เพราะยังมีหลายส่วนที่ต้องปรับเกณฑ์ แต่ทั้งนี้แผนที่ออกมาจะเป็นไปตามประกาศของจังหวัดนครพนม เป็นไปตามที่ ศบค.กำหนดทุกอย่าง แต่ก็จะมีส่วนที่ต้องเข้มงวดกับนักท่องเที่ยวที่มาตามระบบ sandbox ด้วยเช่นเดียวกัน และจะต้องมีกระบวนการหยุดกิจกรรมหากเกิดกรณีการระบาดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งถ้าจังหวัดนครพนมสามารถทำได้ก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงภาคส่วนต่าง ๆ ได้รับผลประโยชน์ ทั้งเป็นการยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนมให้มีมาตรฐาน โดยเฉพาะการจัดพื้นที่ในการให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวอย่างปลอดภัยและมีกระบวนการติดตามหากเกิดกรณีต่าง ๆ


วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2564

เรือไฟนครพนมยังมีมนต์ขลัง ประชาชนยังให้ความสนใจเช่นเดิม

วันที่ 18 ตุลาคม 2564 ที่บริเวณลานพนมนาคา เทศบาลเมืองนครพนม ริมฝั่งแม่น้ำโขง บรรยากาศการท่องเที่ยวในวันแรกของประเพณีไหลเรือไฟยังคงมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางมาร่วมกิจกรรมเช่นเดิม แม้จำนวนจะไม่มากเท่าทุกปี แต่ก็ยังคงกระจายเต็มพื้นที่ตามเส้นทางที่เรือไฟไหลผ่าน โดยแต่ละคนได้มีการปฏิบัติตามมาตรการในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด -19 ของทางจังหวัดอย่างเคร่งครัด ขณะที่หลายคนก็เลือกชมงานประเพณีไหลเรือไฟ ประจำปี 2564 ผ่านการถ่ายทอดสดระบบออนไลน์ทางเพจ สวท.นครพนม FM 90.25 MHz ที่ได้เริ่มขึ้นในเวลา 18.00 น. เมื่อนายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้เป็นประธานเปิดอย่างเป็นทางการ

สำหรับการไหลเรือไฟโชว์ในวันนี้มีทั้งสิ้นด้วยกัน 3 ลำ เว้นระยะห่างกันลำละ 30 นาทีมาพร้อมกับกระทงสายที่มีดวงไฟประมาณ 8,000 – 12,000 ดวง ซึ่งเมื่อเรือไฟโชว์ลอยมาถึงตำแหน่งที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวอยู่ ทุกคนต่างพยายามเก็บความทรงจำด้วยโทรศัพท์มือถือและกล้องถ่ายภาพที่เตรียมมา เนื่องจากหลายคนคาดไม่ถึงว่า เรือไฟโชว์ที่มีการปรับขนาดให้เล็กลงจะยังคงมีความวิจิตรการตาครบถ้วนสมบูรณ์เช่นปีที่มา ประกอบกับที่สายลมพัดเย็นสบายทำให้ทุกคนได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่บริสุทธิ์อย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อเรือผ่านไปแล้วหลายคนก็เลือกที่จะมาร่วมกิจกรรมเรือไฟโบราณที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถประดิษฐ์เรือกาบกล้วย เพื่อใช้ในการสะเดาะเคราะห์ ขอขมาลาโทษต่อแม่น้ำที่ตนเองได้พึ่งพาอาศัยในการดำรงชีวิต ก่อนที่จะนำไปฝากรวมกันไว้ที่เรือไฟโบราณตามปีนักษัตรที่เกิด เพื่อรอให้ถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2564 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา เพราะจะมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ สวดสะเดาะห์ต่อดวงชะตา เสริมบารมีและสวดภาณยักษ์ขจัดสิ่งอัปมงคลให้ จากนั้นคณะทำงานจึงจะลากจูงเรือไฟโบราณที่มีเรือกาบกล้วยของทุกคนออกไปลอยกลางลำแม่น้ำโขง เพื่อเป็นประทีปโคมไฟพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เสด็จลงมาจากเทวโลก และเป็นการแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวที ต่อแม่น้ำ สรรพสัตว์ และสิ่งต่าง ๆ


นครพนม ประกอบพิธีบวงสรวงขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนเปิดงานประเพณีไหลเรือไฟ 64

วันที่ 18 ตุลาคม 2564 ที่บริเวรศาลหลักเมืองจังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ พ่อค้า ประชาชน ประกอบพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองและเทพยดาที่ปกปักรักษาเพื่อขอพร ก่อนจะมีพิธีเปิดงานประเพณีไหลเรือไฟ ประจำปี 2564 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 18 -23 ตุลาคม 2564 นี้

โดยในปีนี้จังหวัดนครพนมได้มีการปรับรูปแบบการจัดงานเพื่อให้สอดรับกับมาตรการในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ซึ่งในปีนี้จะไม่มีการแข่งขันเรือไฟเช่นทุกปีแต่จัดให้มีการไหลเรือไฟโชว์ทุกวัน ๆ ละ 2-3 ลำพร้อมกับการปล่อยกระทงสายที่มีดวงไฟประมาณ 8,000 – 12,000 ดวง โดยลำแรกจะปล่อยในเวลา 19.00 น. ขณะที่ในวันออกพรรษาก็จะมีพิธีรำบูชาองค์พระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่พุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความเคารพศรัทธาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา รวมถึงการไหลเรือไฟโบราณที่จัดสร้างขึ้นมาครบทั้ง 12 นักษัตรประจำปีเกิด และเปิดโอกาสให้ผู้ที่ร่วมงานได้ประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์ ขอขมาลาโทษต่อแม่น้ำ ก่อนที่จะนำใส่เรือลากจูงไปลอยกลางลำแม่น้ำโขงเพื่อเป็นประทีปโคมไฟพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เสด็จลงมาจากเทวโลก ทั้งเป็นการแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวที ต่อแม่น้ำ สรรพสัตว์ และสิ่งต่าง ๆ ที่ทุกคนได้พึ่งพาอาศัย

ขณะที่ด้านการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 จังหวัดนครพนมได้มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว Tourist Information Center ที่บริเวณแลนด์มาร์คพญาศรีสัตตนาคราชเพื่อให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงาน โดยศูนย์ดังกล่าวจะให้บริการในการตรวจคัดกรองผู้ที่มาร่วมงาน ให้คำแนะนำ คำปรึกษา เกี่ยวกับมาตรการ แนวทางปฏิบัติ ประกาศและคำสั่งจังหวัดในการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาด รวมถึงให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว ข้อมูลสถานบริการแหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก ห้างสรรพสินค้า และการเดินทาง นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ทางเพจ สวท.นครพนม FM 90.25 MHz เพื่อให้ผู้ที่สนใจหรือนักท่องเที่ยวได้เข้ามาเยี่ยมชมงานประเพณีไหลเรือไฟครั้งนี้ได้โดยสะดวกและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น


วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2564

รมช.ศธ. นำคณะผู้บริหารหลักสูตรชลกรเรียนรู้ระบบธนาคารน้ำใต้ดินที่นครพนม

วันที่ 17 ตุลาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำคณะผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาภายใต้โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ train the trainer หลักสูตรชลกร โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนตามแนวพระราชดำริ ลงพื้นที่ศึกษาแผนงาน และแนวทางระบบธนาคารน้ำใต้ดินขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้ง อำเภอเมืองนครพนม ที่ได้น้อมนำพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เรื่องน้ำ มาดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนในพื้นที่ได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีน้ำดื่ม น้ำใช้ตลอดทั้งปี เพื่อนำหลักการและแนวทางที่ได้ไปปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อขยายผลสู่นักศึกษาและประชาชนในชุมชนต่อไปในอนาคต โดยมีนายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายธวัชชัย รอดงาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตลอดจนนายอำเภอเมืองนครพนม คณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้ง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ

โดยโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ train the trainer หลักสูตรชลกร โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนตามแนวพระราชดำริ เป็นหลักสูตรใหม่ที่เริ่มต้นในปี 2564 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นหลักสูตรที่จะช่วยให้ประชาชนในชุมชนและเกษตรกรมีน้ำใช้อย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม น้ำหลากและทำให้ประชาชนในชุมชนและเกษตรกรมีรายได้ที่มากขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยในวันนี้มีผู้เข้าเข้าร่วมการอบรมทั้ง 32 คน จาก 11 วิทยาลัย จะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเกี่ยวกับศาสตร์การบริหารจัดการน้ำใน 3 หลักการใหญ่ คือ มีที่ให้น้ำอยู่ มีที่ให้น้ำไหล และมีที่เก็บน้ำไว้ใต้ดิน จากนั้นร่วมกันวางแผน วิเคราะห์และออกแบบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ของตัวเอง ก่อนที่ในวันรุ่งขึ้นจะมีการลงพื้นที่ศึกษาดูงานการขยายผลการทำธนาคารน้ำใต้ดิน (กลุ่มเพาะกล้าไม้ชุมชน) ที่ทางองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้งได้มีการบูรณาการร่วมกันกับโรงเรียน สถานีเพาะชำกล้าไม้ เพื่อสร้างอาชีพของคนในชุมชน และเป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียนและประชาชนที่สนใจ และดูตัวอย่างบ่อน้ำใต้ดินที่ทางองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้งได้ดำเนินการเพื่อให้เห็นตัวอย่าง ด้านการวางแผนและออกแบบตามบริบทตามลักษณะกายภาพของพื้นที่จริง


ทั้งนี้ระบบธนาคารน้ำใต้ดินขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้ง เกิดขึ้นจากที่ประชาชนในพื้นที่มีปัญหาเรื่องน้ำ ทั้งน้ำที่ใช้ในครัวเรือนและการเกษตร เพราะเมื่อถึงฤดูแล้งจะมีน้ำไม่เพียงพอ บางพื้นที่ก็เป็นน้ำกร่อย และเป็นสนิม แม้จังหวัดนครพนมจะมีปริมาณน้ำฝนตกมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ แต่เนื่องจากไม่สามารถจัดเก็บน้ำฝนไว้ใช้ได้เพียงพอกับความต้องการ ทำให้มวลน้ำจำนวนมากถูกปล่อยไหลลงสู่แม่น้ำโขงและบางพื้นที่เกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ดังนั้นคณะผู้บริหารตลอดจนเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ จึงได้ร่วมแรงร่วมใจกันนำแนวทางระบบธนาคารน้ำใต้ดินที่เป็นการเติมน้ำจากแหล่งน้ำผิวดินหรือน้ำฝนไปกักเก็บไว้ใต้ดินมาดำเนินการ โดยมีการไปศึกษาดูงานตามสถานที่ต่าง ๆ จากนั้นมาร่วมกันวางแผนวิเคราะห์สภาพธรณีวิทยาในพื้นที่และออกแบบการบริหารจัดการน้ำ คือ มีการขุดบ่อระบบเปิด จำนวน 18 บ่อในพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ เพื่อเป็นสถานที่เติมน้ำ ขณะที่ประชาชนก็มีบ่อของแต่ละบ้านเพื่อเติมน้ำลงใต้ดินเช่นเดียวกัน ซึ่งปรากฎว่าผ่านไป 1 ปี ปรากฏว่าในพื้นที่ตำบลบ้านผึ้งและตำบลข้างเคียงมีน้ำบาดาลใช้อย่างเพียงพอ ไม่เค็ม ไม่กร่อย และไม่เป็นสนิม

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2564

นรข. จับยาบ้า 3,700,000 เม็ด กัญชา 444 กิโลกรัม พร้อมผู้ต้องหา 2 คน

วันที่ 16 ตุลาคม 2564 ที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง พลเรือตรี สมบัติ จูถนอม ผู้บัญชาการเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง พร้อมด้วย นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พลตำรวจตรี ธรรมศักดิ์ ปิ่นทอง รองผู้บัญชาการภาค 4 นายภิญโญ โฆสิต ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส. ภาค 4 และพลตำรวจตรี ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้กำกับการภูธรจังหวัดนครพนม ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมยาบ้าจำนวน 3,700,000 เม็ด เรือกีบ 1 ลำ รถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน รุ่นนาวาร่า สีแดงหมายเลขทะเบียน 2 ฒฬ 1209 และโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ oppo จำนวน 2 เครื่อง ภายหลังนาวาโท ภาณุฑัต ทิพย์วงษ์ทอง หัวหน้าสถานีเรือรัตนวาปี ได้รับแจ้งจากสายลับเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2564 ว่ากลุ่มผู้ค้ายาเสพติดได้มีการนัดหมายที่จะส่งมอบยาเสพติดบริเวณบ้านตาลชุม หมู่ที่ 3 ตำบลรัตนวาปี อำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบและสั่งให้ชุดลาดตระเวนดักซุ่มบริเวณโรงเรียนบ้านตาลซุ่มริมฝั่งแม่น้ำโขง

กระทั่งเวลา 23:00 น เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบเรือกีบ 1 ลำ มีชายฉกรรจ์นั่งมาด้วยประมาณ 5 คนในลักษณะพายเรือตัดข้ามแม่น้ำโขงมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายังพื้นที่ พร้อมกับได้ยินเสียงรถยนต์ต้องสงสัยวิ่งมาจอดบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ห่างจากจุดดักซุ่มประมาณ 50 เมตร เมื่อเรือมาถึงฝั่ง กลุ่มบุคคลที่อยู่ในเรือก็ช่วยกันแบกวัตถุบางที่บรรทุกมา ขึ้นไว้บริเวณบันไดทาง เจ้าหน้าที่จึงได้ส่งสัญญาณแสดงตัวเพื่อขอเข้าตรวจค้นเมื่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ก็ได้วิ่งหลบหนีและกระโดดน้ำหลบหนี ส่วนคนที่อยู่ในรถก็ได้ขับออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานชุดที่ชุ่มอยู่ท้ายหมู่บ้านสกัดจับไว้ได้พร้อมผู้ต้องหา 2 คน จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าเป็นกระสอบปุ๋ย จำนวน 9 กระสอบที่ภายในบรรจุยาบ้า 3,700,000 เม็ด จึงได้ทำบันทึกการจับกุมผู้ต้องหา พร้อมนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ. รัตนวาปีเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ขณะเดียวกัน นาวาเอก พรภิรมย์ ยศบุญ ผบ.นรข.เขตนครพนม ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงหน้าศาลหลักเมืองท่าอุเทน ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม จึงได้สั่งการให้ นาวาโท วรภัทร์ แสงสุวรรณ หัวหน้าสถานีเรือนครพนมตรวจสอบข่าวพร้อมจัดชุดลาดตระเวน กระทั่งเวลา 23:40 น ได้ตรวจพบเรือต้องสงสัยกำลังลอยจากกลางแม่น้ำโขงทางทิศเหนือมาจอดที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณหน้าศาลหลักเมืองท่าอุเทนตามที่ได้รับแจ้ง จากนั้นมีชาย 2 คนนำกระสอบใส่วัตถุบางอย่างลงจากเรือมาทิ้งไว้ริมฝั่งแม่น้ำโขง เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าตรวจสอบกลุ่มดังกล่าวจึงได้ทิ้งวัตถุต้องสงสัยและหลบหนีหายไปในความมืด เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพบเป็นกัญชาอัดแท่งอย่างดี จำนวน 444 แท่ง/กิโลกรัม จึงได้ทำบันทึกตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน พร้อมนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ. ท่าอุเทน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564

นครพนม เตรียมจัดงานประเพณีไหลเรือไฟ 18-23 ตุลาคมนี้

วันที่ 15 ตุลาคม 2564 ที่บริเวณบ้านชนเผ่าริมฝั่งแม่น้ำโขง เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นายแพทย์ประหยัด รูปคม ผู้แทนนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม นางสาวกนกวรรณ ดุงศรีแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. นครพนม นายธนพัต ทีฆธนานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดนครพนม และนายคมสิน ศรีมานะศักดิ์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟ ประจำปี 2564 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 18-23 ตุลาคม 2564 นี้ ภายใต้มาตรการสาธารณสุขในการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 เพื่อเป็นการสืบสานประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามในช่วงเทศกาลออกพรรษาที่ถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานทุกปี

โดยในปีนี้ชาวนครพนมมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงาน เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 คือมีการปรับขนาดเรือไฟไหลโชว์ให้เล็กกว่าทุกครั้ง เพื่อเป็นการลดระยะเวลาในการที่ศิลปินเรือไฟจะอยู่รวมกันเพื่อสร้างเรือไฟ แต่เรือไฟยังคงมีความสวยงามและสมบูรณ์แบบเช่นดังทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งการไหลเรือไฟโชว์ในแต่ละวันจะไหลโชว์วันละ 2-3 ลำ พร้อมกับการปล่อยกระทงสายที่มีดวงไฟประมาณ 8,000 – 12,000 ดวง โดยลำแรกจะปล่อยในเวลา 19.00 น. มีพิธีรำบูชาองค์พระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่พุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความเคารพศรัทธา เป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันออกพรรษา 21 ตุลาคมเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ขณะเดียวกันก็มีกิจกรรมเรือไฟโบราณที่จัดสร้างขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนที่มาร่วมงาน ได้ประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์ ขอขมาลาโทษต่อแม่น้ำโขง รวมทั้งเป็นประทีปโคมไฟพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เสด็จลงมาจากเทวโลก แสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวที ต่อแม่น้ำ สรรพสัตว์ และสิ่งต่าง ๆ ที่ทุกคนได้พึ่งพาอาศัยครบทั้ง 12 นักษัตรประจำปีเกิด


และส่วนของการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 จังหวัดนครพนมได้มีการบูรณาการเตรียมความพร้อม ด้วยการลงพื้นที่ตรวจเช็คมาตรฐาน โรงแรม ร้านค้าและสถานบริการต่าง ๆ ให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว Tourist Information Center เพื่อให้บริการประชาชน ซึ่งจะมีทั้งการตรวจคัดกรองผู้ที่มาร่วมงาน การให้คำแนะนำ คำปรึกษาในมาตรการ แนวทางปฏิบัติ ประกาศและคำสั่งจังหวัดในการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาด รวมถึงให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว ข้อมูลสถานบริการแหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก ห้างสรรพสินค้า และการเดินทาง โดยศูนย์ดังกล่าวจะตั้งอยู่ที่บริเวณแลนด์มาร์คพญาศรีสัตตนาคราช นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ทางเพจ สวท.นครพนม FM 90.25 MHz เพื่อให้ผู้ที่สนใจหรือนักท่องเที่ยวได้เข้ามาเยี่ยมชมงานประเพณีไหลเรือไฟครั้งนี้ได้โดยสะดวกและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2564

เรือไฟโบราณและการสืบสานประเพณีของชาวนครพนม

เรือไฟโบราณเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ชาวนครพนม ยังคงสืบสานต่อกันมา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในช่วงเทศกาลออกพรรษา ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ในทุก ๆ ปี ยังคงมีการทำเรือไฟโบราณควบคู่กับเรือไฟขนาดใหญ่ วันนี้สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนมจึงจะได้นำทุกท่านมารู้จักกับเรือไฟโบราณ

พระราชสิริวัฒน์ เจ้าคณะจังหวัดนครพนม เจ้าอาวาสวัดสว่างสุวรรณาราม ตำบลหนองแสง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม กล่าวว่า สถานการณ์โควิดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้จังหวัดนครพนมไม่ได้จัดทำใหญ่เหมือนทุกปี แต่ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณี จารีตโบราณอีสานของพ่อแม่ไว้อยู่ คือ ทำน้อยลง เล็กลง มีการถวายประทีปโคมไฟ ในวันขึ้น 13 ค่ำ 14 ค่ำ 15 ค่ำ ในช่วงเทศกาลออกพรรษาขึ้นอยู่แต่ละในชุมชน โดยในเขตเทศบาลเมืองก็ดี ในอำเภอต่างๆ ก็ดี จะพากันทำเรือไฟโบราณ ใช้ประทีปโคมไฟจากขี้ไต้ ผลต้นตูมกา น้ำมันมะพร้าว มาลอยถวายเป็นพุทธบูชา พอถึงวัน 13 ค่ำ 14 ค่ำญาติโยมชาวพุทธ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะมารวมกัน นำไม้ไผ่มาจักรสานทำเป็นรูปเรือไฟ นำต้นกล้วยมาแทงหยวกเป็นลวดลาย ต้นโพธิ์ทะเลมาจุ่มดอกผึ้งทำปราสาทผึ้งโบราณใส่บนเรือไฟ บางบ้านก็ทำเป็นรูปองค์พระธาตุพนม บางบ้านก็ทำเป็นประสาทผึ้งโบราณ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในวันออกพรรษา

ซึ่งการทำเรือไฟโบราณเป็นจารีตประเพณีที่คนโบราณอีสาน ได้ส่งเสริมให้ลูกหลานผู้อยู่ภายหลัง มีความรักความสามัคคี ความพร้อมเพียงกัน เพราะเรือไฟโบราณไม่สามารถที่จะทำคนเดียวให้สำเร็จเสร็จสิ้นได้ ภายในวัน 2 วัน แต่จะต้องอาศัยความพร้อมเพียงของลูกหลาน พี่น้องประชาชนในชุมชน มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ ซึ่งประเพณีโบราณนี้จังหวัดนครพนมยังคงสืบสานต่อกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะพระสงฆ์ที่ถือว่าเป็นผู้นำทางจิตใจ เป็นผู้นำทางวัด เมื่อพระสงฆ์เอ่ยว่า ญาติโยมเอ๋ย ออกพรรษาแล้ว พากันเตรียมเรือไฟ พากันเตรียมประทีป พากันเตรียมปราสาทผึ้ง เครื่องกินของทานนะ เพื่อที่จะได้ไหลในวันขึ้น 15 ค่ำ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แค่นี้ก็เป็นการจุดประกายแห่งความกตัญญูกตเวที ความรัก ความหวงแหนในจารีตประเพณี พ่อแม่ชาวอีสานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ในการน้อมถวายประทีปโคมไฟ ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้เสด็จลงมาจากเทวโลก ทั้งเป็นการถวายประทีปโคมไฟรอยพระพุทธบาทในแม่น้ำ แสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อแม่น้ำ สรรพสัตว์ และสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้พึ่งพาอาศัย เพราะต่างคนต่างอาศัยซึ่งกันและกัน เหมือนคำกล่าวที่ว่า บัวอาศัยพึ่งน้ำ น้ำก็พึ่งวังตม อันคนเฮากะพึ่งกันโดยด้าน เสือสาง ช้าง กวาง ฟานอาศัยป่า ปลาอาศัยสัตว์สิ่งฮ้ายจึงหนาแน่นมืดมุง ให้เฮาฮักกันไว้ คือดังไฮฮักแตง เด้อโยมเด้อ ให้เฮาแพงกันไว้ คือดังแตงแพงค้าง อย่าได้วางเสียถิ่ม ยามจนปะปล่อย ให้เฮาคอยล่ำเยี่ยมกันไว้อยู่นาม

ขอความสุขความเจริญ อยู่ดีมีแฮง สุขภาพแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืน จงมีแก่ญาติโยมสาธุชนทั้งหลายทุกท่านเทอญ

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2564

จ.นครพนม ประกอบพิธีทอดผ้าป่า โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ ร.9

วันที่ 13 ตุลาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานฝ่ายฆราวาสนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม และประชาชนในพื้นที่ ประกอบพิธีทอดผ้าป่าสมทบทุน โครงการเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต โดยมีพระราชสิริวัฒน์ เจ้าคณะจังหวัดนครพนม เจ้าอาวาสวัดสว่างสุวรรณาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ณ ศาลาการเปรียญวัดสว่างสุวรรณาราม ตำบลหนองแสง อำเภอเมืองนครพนม


โดยโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2547 พร้อมพระราชทานทุนปฐมฤกษ์ส่วนพระองค์เป็นทุนเริ่มแรก เพื่อสนับสนุนพระภิกษุและสามเณรให้ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัย พระปริยัติธรรมให้ลึกซึ้งแตกฉาน มีโอกาสศึกษาพระพุทธศาสนาขั้นสูงจากสถาบันพุทธศาสนาในประเทศ และนำไปเผยแผ่เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจและความคิดในการดำเนินชีวิตของพุทธศาสนิกชน โดยผู้รับทุนจะต้องเป็นพระภิกษุหรือสามเณรที่มีสัญชาติไทย มีศีลาจารวัตรที่งดงามตามพระธรรมวินัย มีความประพฤติเรียบร้อย มีวิริยะอุตสาหะในการศึกษาเล่าเรียน จนสำเร็จหลักสูตร และมีจิตอาสา โดยต้องผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ของโครงการฯ และของสถานศึกษาที่ศึกษาอยู่ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ทุนเปรียญธรรม 6 – 9 ประโยค ทุนระดับอุดมศึกษาด้านพุทธศาสตร์ ระดับปริญญาตรี - ปริญญาเอก ทุนอบรมพระนักเทศน์ ทุนอบรมพระวิปัสสนาจารย์ และทุนอบรมพระธรรมจาริก โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสืบสานพระปณิธาน ทรงรับโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานผ้าไตรสมทบการทอดผ้าป่า โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทยตลอดมา ซึ่งในการทอดผ้าป่าครั้งนี้ประชาชนจังหวัดนครพนม ได้ร่วมกันบริจาคเงินสมทบโครงการ เบื้องต้นเป็นเงินทั้งสิ้น 210,410 บาท

นครพนม จัดกิจกรรมฉีดวัคซีนถวายเป็นพระราชกุศลแด่ ร.9 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต

วันที่ 13 ตุลาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม บุคคลากรสาธารณสุขได้พร้อมใจกันจัดกิจกรรมฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันไวรัสโควิด – 19 สำหรับประชาชน เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต โดยกิจกรรมในครั้งนี้เป็นการเปิดให้ประชาชนในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ และประชาชนทั่วไป อายุ 18 ปีบริบูรณ์ ถึง 59 ปี ในพื้นที่ 12 อำเภอ สามารถ Walk-in เข้ารับวัคซีนได้โดยไม่ต้องนัดหมายและจองคิวล่วงหน้า ซึ่งมีการกระจายจุดให้บริการไปอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ตามแต่ละอำเภอกำหนด เช่น อำเภอเมืองนครพนมที่บริเวณหอประชุมยงใจยุทธที่ตั้งอยู่ด้านข้างศาลากลางจังหวัดนครพนม อำเภอนาแกที่หอประชุมอำเภอนาแก และให้บริการฉีดวัคซีนเชิงรุกที่ตำบลพุ่มแก ตำบลสีชมพู และตำบลใกล้เคียง ณ ศาลาวัดบ้านพุ่มแก ตำบลพุ่มแก และ ศาลา SML เหล่าทุ่ง หมู่ 4 ตำบลสีชมพู ส่วนอำเภอบ้านแพงให้บริการที่วัดศรีบุญเรือง (วัดกลาง) หมู่ 13 ตำบลบ้านแพง อำเภอศรีสงครามที่โรงพยาบาลศรีสงคราม และ รพ.สต.ใกล้บ้าน อำเภอนาทมที่โรงพยาบาลนาทมและ รพ.สต.ใกล้บ้าน อำเภอวังยางที่ศาลาวัดบ้านโพนสวาง ตำบลหนองโพธิ์ ขณะที่อำเภอนาหว้าให้บริการที่โรงพยาบาลนาหว้า


ทั้งนี้ที่ผ่านมาจังหวัดนครพนมได้ให้บริการฉีดวัคซีนประชาชนในพื้นที่ไปแล้ว 216,942 คน คิดเป็น 30.23% ของประชากรทั้งหมดที่มีอยู่ 717,588 คน โดยแบ่งเป็นได้รับวัคซีนเข็มแรกจำนวน 216,942 โดส เข็มที่ 2 จำนวน 148,752 โดส และเข็มที่ 3 จำนวน 6,591 โดส ซึ่งจังหวัดนครพนมได้ตั้งเป้าที่จะฉีดวัคซีนให้ได้ครบ 70 % ก่อนที่จะมีการเปิดประเทศในวันที่ 1 มกราคม 2565 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการสร้างภูมิคุ้มกันรวมให้กับประชาชน ดังนั้นในห้วงเวลานี้นอกจากจะมีการให้บริการฉีดวัคซีนในวันเวลาราชการตามจุดบริการต่าง ๆ ที่แต่ละอำเภอกำหนดแล้ว ยังจะมีการให้บริการเชิงรุก แบบกระจายการฉีดวัคซีนไปตาม รพ.สต. ต่าง ๆ ทั้ง 151 แห่ง เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับพี่น้องประชาชนได้เข้าถึงวัคซีนโดยง่ายเพิ่มเติมอีกด้วย

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2564

นครพนม เตรียมพร้อมเฝ้าระวัง ผู้มาร่วมงานไหลเรือไฟ 64

วันที่ 12 ตุลาคม 2564 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม ภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนครพนม นายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม ร่วมกันแถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในพื้นที่ ซึ่งในวันนี้ยังคงพบผู้ป่วยยืนยันอยู่ 4 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงทั้งหมด โดยปัจจุบันมียอดผู้ติดเชื้อสะสม 4,935 ราย รักษาหายแล้ว 4,854 ราย ยังรักษาอยู่ 54 ราย ส่วนการเสียชีวิตสะสมยังคงเป็น 27 ราย โดยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา จังหวัดนครพนมได้มีประกาศในการผ่อนปรนมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนต่าง ๆ ซึ่งได้มีการปรับลดพื้นที่จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวดที่กำหนดให้บุคคลผู้ที่เดินทางมาจากจังหวัดที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนมกำหนดมารายงานตัวและปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดจากเดิม 59 จังหวัดเป็นเหลือ 29 จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือก่อนเข้าจังหวัดต้องบันทึกข้อมูลลงแอปพลิเคชั่น นครพนมพร้อมและปฏิบัติตามมาตรการ universal Prevention For Covid-19 ให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ทันที รวมถึงให้สังเกตอาการตนเองอย่างใกล้ชิด หากผิดปกติ ให้แจ้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ทันที

ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ ณ ปัจจุบันถือว่ามีผู้ป่วยน้อยลง แต่สิ่งที่จะต้องเฝ้าระวังต่อไปก็คืออาจจะมีผู้ที่เดินทางมาในจังหวัดนครพนมมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงของงานประเพณีไหลเรือไฟในสัปดาห์หน้าจึงต้องมีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษเพราะอาจจะมีคัตเตอร์ใหม่เกิดขึ้นมาได้ จึงอยากฝากถึงพี่น้องประชาชนที่พบเห็นคนจากนอกพื้นที่เข้ามาแล้วอาจจะไม่ได้รายงานตัว ไม่ได้ทำตามมาตรการที่จังหวัดกำหนด สามารถแจ้งเข้ามายังบุคลากรสาธารณสุข กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฝ่ายปกครอง หรือ อสม. ได้ทันทีเพื่อให้บุคคลเหล่านั้นได้เข้าสู่กระบวนการประเมินความเสี่ยงและตรวจคัดกรอง ขณะเดียวกันในที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อก็ได้มีการวางแผนและมอบหมายงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมในส่วนต่าง ๆ เพื่อรองรับก่อนที่จะเริ่มงาน เช่น การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา ในส่วนของการวางแผนรองรับการเปิดประเทศ 1 มกราคม 2565 จังหวัดนครพนมได้มีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในพื้นที่ไปแล้ว 213,191 คน ยังคงเหลือ 288,850 คน จะถึงเป้าหมาย 70 % ซึ่งปัจจุบันกำลังเร่งดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนและมีภูมิคุ้มกัน โดยผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนสามารถ walk in เข้าไปฉีดได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ในวันเวลาราชการ เพียงมีบัตรประชาชน ที่สำคัญคือไม่ได้แยกว่าเป็นกลุ่มไหน นอกจากนี้ในเดือนพฤศจิกายนทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ยังมีนโยบายในการกระจายการฉีดวัคซีนไปถึง รพ.สต. ทั้ง 151 แห่งในพื้นที่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับพี่น้องประชาชนในการรับวัคซีน


สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เสริมทักษะ ผู้ประกอบการ SME พัฒนาระบบการรวมซื้อกระตุ้นเศรษฐกิจนครพนม

วันที่ 12 ตุลาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนาโครงการพัฒนาระบบการรวมซื้อพัฒนาระบบการรวมซื้อ ( ผู้ซื้อ - ผู้ขาย พอใจกันทั้ง 2 ฝ่าย ) DE Win-Win SME เพื่อช่วยกระตุ้นการซื้อ การขายและระบายสต๊อก ที่สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ซึ่งเป็นเครือข่ายขององค์กรวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของประเทศ ที่มีสมาชิกเป็นทั้งผู้ประกอบการภาคการผลิต ภาคการค้าและภาคการบริการ ได้จัดขึ้น จากการสนับสนุนงบประมาณของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อร่วมกันช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้ผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส covid -19 ภายใต้สโลแกน รวมพลคนตัวเล็ก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

โดยกิจกรรมในครั้งนี้นอกจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สมาชิกสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย วิสาหกิจชุมชน กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป และบุคคลทั่วไปในพื้นที่จังหวัดนครพนมที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาธุรกิจจากระบบออฟไลน์สู่ระบบออนไลน์ การใช้งานระบบจัดการ flash sale การใช้งานระบบจัดการรวมซื้อ การใช้งานระบบจัดการแผนที่ออนไลน์ การใช้งานระบบจัดการชำระเงิน การใช้งานระบบจัดการขนส่ง และการใช้งานระบบจัดการ e – Catalog ยังจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ เรียนรู้แนวคิด แผนงาน และการบริหารจัดการในด้านต่าง ๆ เพื่อนำไปพัฒนากิจการของตนเอง ขณะเดียวกันสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ก็จะนำข้อมูลที่ได้ในวันนี้ไปพัฒนาเว็บแอพพลิเคชั่นในการนำเสนอสินค้าและบริการให้ตรงความต้องการ เป็นการยกระดับให้สมาชิกเอสเอ็มอีไทย ได้ใช้ระบบที่สนับสนุนธุรกิจ สามารถเข้าถึงระบบการรวมซื้อ ได้รับสินค้าหรือบริการในราคาถูก ทั้งยังสามารถระบายสินค้าในสต๊อกได้อย่างรวดเร็ว และก่อให้เกิดผู้ประกอบการระบบ e-commerce รายใหม่ จากคนตกงานและนักศึกษาจบใหม่


วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2564

จ.นครพนม วางแผนบริหารจัดการน้ำรองรับสถานการณ์น้ำในพื้นที่

วันที่ 11 ตุลาคม 2564 ที่ห้องประชุมโขงนที ชั้น 2 องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัดนครพนม เพื่อร่วมกันดำเนินการตามแนวทาง 10 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2564 ซึ่งจะมีทั้งการคาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและฝนน้อยกว่าค่าปกติ การบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อรองรับน้ำหลาก การทบทวนปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ขนาดกลางและเขื่อนระบายน้ำ การซ่อมแซมปรับปรุงอาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ สถานีโทรศาสตร์ให้พร้อมใช้งาน การปรับปรุงแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ การขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา การเตรียมความพร้อมและวางแผนเครื่องจักร เครื่องมือ ประจำพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและฝนน้อยกว่าค่าปกติ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและปรับปรุงวิธีการส่งน้ำ การสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ตลอดจนการติดตามประเมินผลกระทบมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัยที่จะเกิดขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันและการแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้ประชาชนที่อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดนครพนม

โดยสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2554 จังหวัดนครพนมมีอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและอ่างเก็บน้ำพระราชดำริจำนวน 20 แห่ง ประตูระบายน้ำ 12 แห่ง ซึ่งอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและอ่างเก็บน้ำพระราชดำริ 20 แห่งมีปริมาณน้ำกักเก็บปัจจุบันอยู่ที่ 35.222 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 62.2 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีปริมาณน้ำมากขึ้น 0.13 % ขณะที่ประตูระบายน้ำทั้ง 12 แห่ง ปริมาณน้ำในปัจจุบันอยู่ที่ 82.32 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 81.83 % โดยภาพรวมจังหวัดนครพนมมีปริมาณเก็บกักรวมทั้งสิ้น 117.542 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 74.76 % ซึ่งในส่วนนี้โครงการชลประทานนครพนมจะมีการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำและประตูระบายน้ำ โดยทำการวิเคราะห์ปริมาณน้ำต้นทุน Reservoir operation study คือนำข้อมูลปริมาณน้ำตลอดทั้งปีมาคาดการณ์ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำกักเก็บ กิจกรรมการใช้น้ำภาคเกษตร อุตสาหกรรม การอุปโภคบริโภค รวมถึงการใช้น้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ โดยมีการกำหนดเกณฑ์การใช้น้ำในช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งฤดูฝนและฤดูแล้ง มีการจัดทำเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำเพื่อพิจารณาตามความต้องการในการเพาะปลูกและชนิดพืชเพื่อป้องกันระบบนิเวศโดยไม่ให้เกิดการขาดแคลนน้ำมากำหนดพื้นที่ส่งน้ำและบริหารจัดการน้ำ

ทั้งนี้มีแผนงานโครงการที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วนที่จะแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในปี 2566 - 2571 รวม 4 โครงการ วงเงิน 4,300 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการพัฒนาลุ่มน้ำอูน(ตอนล่าง) อำเภอนาหว้าและอำเภอศรีสงครามปี 2566 - 69 โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำห้วยอ้วน อำเภอศรีสงคราม ปี 2567-70 โครงการผันน้ำโขง-ห้วยบังฮวก อำเภอเมืองนครพนมและอำเภอธาตุพนม ปี 2567 – 68 และโครงการสนับสนุนพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ อำเภอเมืองนครพนมและอำเภอท่าอุเทน ปี 2568 – 71


จ.นครพนม อัญเชิญผ้าไตรพระราชทานและย่ามที่ระลึก โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย เตรียมทอดถวายเป็นพระราชกุศลแด่ ร.9

วันที่ 11 ตุลาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายธวัชชัย รอดงาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้เป็นตัวแทนจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีอัญเชิญผ้าไตรพระราชทานและย่ามที่ระลึกในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทาน มาเพื่อประกอบพิธีทอดผ้าป่า เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต และสมทบทุนโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย จากจังหวัดสกลนครมาเก็บรักษาไว้ ณ พระอุโบสถวัดสว่างสุวรรณาราม ตำบลหนองแสง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เพื่อเตรียมประกอบพิธีในเวลา 13.30 น. ของวันที่ 13 ตุลาคม 2564

ทั้งนี้โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2547 พร้อมพระราชทานทุนปฐมฤกษ์ส่วนพระองค์เป็นทุนเริ่มแรกเพื่อสนับสนุนพระภิกษุและสามเณรให้ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัย พระปริยัติธรรมอย่างลึกซึ้งแตกฉาน และเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจและความคิดของประชาชนในการดำเนินชีวิต โดยผู้รับทุนจะต้องเป็นพระภิกษุหรือสามเณรที่มีสัญชาติไทย มีศีลาจารวัตรที่งดงามตามพระธรรมวินัย มีความประพฤติเรียบร้อย มีวิริยะ อุตสาหะ ในการศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จหลักสูตรและมีจิตอาสา โดยต้องผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ของโครงการฯ และของสถานศึกษาที่ศึกษาอยู่ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ทุนเปรียญธรรม 6 – 9 ประโยค ทุนระดับอุดมศึกษาด้านพุทธศาสตร์ ระดับปริญญาตรี- ปริญญาเอก ทุนอบรมพระนักเทศน์ อบรมพระวิปัสสนาจารย์ และทุนอบรมพระธรรมจาริก โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสืบสานพระปณิธาน ด้วยการทอดผ้าป่าโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทยตลอดมา ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมาพุทธศาสนิกชนได้ร่วมบริจาคสมทบ โครงการเป็นเงินทั้งสิ้น 31 ล้านบาท และในส่วนของการบริจาคเงินในปีนี้ ผู้มีจิตศรัทธาสามารถโอนเงินผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาพระบรมมหาราชวัง ชื่อบัญชี โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย เลขบัญชี 0612065925 หรือสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็ค/เช็คธนาคาร โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย


วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สาธุชนกลุ่มเรารักวัดพระธาตุพนม ประกอบพิธีเบิกเนตรสร้างพญาสัตตนาคาสืบตำนานองค์พระธาตุพนม

วันที่ 10 ตุลาคม 2564 ที่สถูปอิฐพระธาตุพนมองค์เดิม วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้เป็นประธานฝ่ายฆราวาสนำสาธุชนกลุ่มเรารักวัดพระธาตุพนม ที่เป็นกลุ่มผู้ปฏิบัติเพื่อทำนุบำรุงรักษาและดำรงไว้ซึ่งตำนานอันศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์พระธาตุพนม ประกอบพิธีเบิกเนตรพญาสัตตนาคาที่จะร่วมกันก่อสร้างขึ้นเพื่อสืบตำนานพญานาคทั้ง 7 ผู้ปกปักรักษาองค์พระธาตุพนมในตำนาน โดยมีพระเทพวรมุณี ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์

โดยการจัดสร้างองค์สัตตนาคาในครั้งนี้ เป็นการสร้างขึ้นตามความเชื่อที่มีการเล่าสืบต่อกันมา เกี่ยวกับพญานาคผู้ปกปักรักษาองค์พระธาตุพนม ซึ่งเคยเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นในคืน วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 พ.ศ. 2500 ที่มีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนรอบวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร พบเห็นแสงประหลาดเป็นลำขนาดใหญ่เท่าต้นตาล แบ่งออกเป็น 7 สี พุ่งแหวกอากาศจากทางทิศเหนือหายเข้าไปในองค์พระธาตุพนม จากนั้นก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้งคือสามเณรในวัดถูกพญานาคประทับร่างทรง และบอกชาวบ้านว่าเป็นพญานาคที่ลงมาดูแลรักษาองค์พระธาตุพนมและพระอุรังคธาตุ เนื่องจากเทพยดาที่รักษาองค์พระธาตุพนมในขณะนั้น มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม อวดอ้าง กินสินบนและเครื่องเซ่นบวงสรวงของชาวบ้าน ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธา จึงได้ต้องลงมาดูแลเพื่อไม่ให้เกิดมลทิน ซึ่งมีด้วยกัน 7 ตน มีนามตามลำดับ คือ พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นประธาน ตามด้วยพญาศีลวุฒินาโค พญาหิริวุฒินาโค พญาโอตตัปปะวุฒินาโค พญาพาหุสัจจะวุฒินาโค พญาจาคะวุฒินาโค และพญาปัญญาเตชะวุฒินาโค ที่ทุกตนล้วนมีวิชาความรู้ที่แตกต่างกัน นอกจากนั้นยังได้แสดงธรรมโปรดและช่วยเหลือชาวบ้าน ใครที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน เจ็บป่วยมาขอความช่วยเหลือ พญานาคทั้ง 7 จะประทับร่างทรงช่วยดูแลจนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา และในทุก ๆ ปี ชาวธาตุพนมจะร่วมกันประกอบพิธีบูชาบวงสรวงพญาสัตตนาคาเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเคารพและรำลึกถึง ซึ่งในปีนี้นอกจากจะมีพิธีเหมือนเช่นทุกครั้งแล้ว ยังได้มีพิธีเบิกเนตรพญาสัตตนาคา เพื่อเอาฤกษ์เอาชัยก่อนที่ทุกคนจะได้ร่วมกันก่อสร้างพญานาค ทั้ง 7 ตน ขึ้นมา เพื่อให้สาธุชนที่หลั่งไหลมากราบไหว้นมัสการองค์พระธาตุพนมองค์เดิม ที่ก่อสร้างจากอิฐขององค์พระธาตุพนมที่ล้มเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2518 ได้มีโอกาสศึกษาประวัติความเป็นมาแห่งองค์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ มีโอกาสได้เข้าสักการบูชาพญาสัตตนาคาในอนาคต ทั้งยังเป็นการปรับปรุงและพัฒนาบริเวณโดยรอบองค์สถูปพระธาตุพนมองค์เดิม ที่ตั้งอยู่บริเวณกลางสระน้ำ หน้าวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารให้มีความสวยงามอีกด้วย


วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สสจ.นครพนม ชวนประชาชนฉีดวัคซีนก่อนเปิดเมือง 1 มกราคม 65 นี้

วันที่ 8 ตุลาคม 2564 ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า สถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อของจังหวัดนครพนมในวันนี้ มี 5 ราย จํานวนผู้ติดเชื้อค่อนข้างน้อยลงตามลำดับ ส่วนผู้ป่วยเสียชีวิตคงที่ 27 รายเท่าเดิม ซึ่งถ้าดูตามสถานการณ์ถือว่าเป็นช่วงที่มีผู้ป่วยจำนวนน้อย จึงเป็นสัญญาณที่ดีที่เราจะสามารถทำกิจกรรมและใช้ชีวิตได้ตามปกติในอนาคตอันใกล้นี้ และสิ่งที่อยากนำเรียนประชาชนชาวนครพนมก็คือการฉีดวัคซีนเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้เราจัดการกับภาวะโควิด -19 ได้


โดยในช่วงนี้เราจะเน้นหนักไปที่นักเรียน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุระหว่าง 12 - 18 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียน โดยจะได้รับเป็นวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็มห่างกันประมาณ 3 สัปดาห์ และขอนำเรียนว่าวัคซีนไฟเซอร์ที่ฉีดให้กับนักเรียนนครพนมนั้นมีความปลอดภัยได้รับมาตรฐาน อย. และในต่างประเทศก็มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้จากข้อมูลนักเรียนที่สมัครใจและผู้ปกครองให้ความยินยอมมีความต้องการอยู่ประมาณ 38,000 กว่าราย ซึ่งวัคซีนชุดแรกได้รับการจัดสรรมา 22,200 โดส จึงได้มีการบริหารจัดการกระจายไปทุกอำเภอ เพื่อให้น้องนักเรียนที่ได้ลงชื่อไว้กับสถานศึกษาได้เข้ารับการฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลใกล้บ้านตามลำดับในส่วนที่เหลทอเมื่อจังหวัดได้รับการจัดสรรวัคซีนมาเพิ่มเติมจะมีการประสานให้เข้ารับได้ทันที สำหรับน้องนักเรียนที่อาจจะตกสำรวจหรือไม่อยู่ในระบบของการศึกษา หากมีอายุ 12 - 18 ปี สามารถไปแจ้งความประสงค์ได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน โดยการบอกชื่อ ที่อยู่ เลขบัตรประชาชนไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะติดต่อประสานเชิญมาฉีดเมื่อมีวัคซีน

และอีกส่วนหนึ่งก็คือวัคซีนของประชาชนทั่วไปของจังหวัดนครพนม ซึ่งเรามีเป้าหมายว่า 1 มกราคม 2565 จะเปิดจังหวัด แต่ถ้าคนนครพนมฉีดวัคซีนครบ 70% ของประชากรทั้งหมดก่อน ก็สามารถดำเนินการเปิดก่อน 1 มกราคมได้ สำหรับข้อมูลล่าสุดประชาชนจังหวัดนครพนมมีการฉีดวัคซีนไปแล้วประมาณ 27.8 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเรามีเวลาอีกประมาณ 3 เดือนในการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายที่ต้องฉีดเพิ่มอีกประมาณ 3 แสนกว่าราย และขอเรียนว่าเรามีรับวัคซีนที่เพียงพอ โดยตอนนี้เรามีวัคซีนกระจายอยู่ในโรงพยาบาลทุกแห่งรวมแล้วประมาณ 4 หมื่นกว่าโดส พี่น้องประชาชนสามารถ walk in เข้าไปฉีดได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ในวันเวลาราชการ เพียงมีบัตรประชาชน ที่สำคัญคือไม่ได้แยกว่าเป็นกลุ่มไหน นอกจากนี้ในเดือนพฤศจิกายนทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ก็มีนโยบายให้กระจายการฉีดวัคซีนไปถึง รพ.สต. ทั้ง 151 แห่งในจังหวัดนครพนม เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับพี่น้องประชาชนในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีนด้วย


ผู้ตรวจ ศธ. ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจนักเรียนที่เข้ารับวัคซีนที่นครพนม

วันที่ 8 ตุลาคม 2564 ที่หอประชุมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายธนากร ดอนเหนือ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 11 พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ นักเรียน อายุ12 - 18 ปี ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไวรัสโควิด – 19 และกล่าวขอบคุณบุคคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลเยาวชนของจังหวัดนครพนม โดยมีนายธันญ์สุธี ภัคธารีรัตน์ ศึกษาธิการจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับและนำตรวจเยี่ยม

นายธนากร ดอนเหนือ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการฯ เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขวางแผนเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 2 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 และรัฐบาลได้มีการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์เพื่อฉีดให้แก่นักเรียนที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี ที่มีความสมัครใจโดยผู้ปกครองให้การยินยอมเข้ารับวัคซีน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2564 ซึ่งตนเองและคณะได้มีการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนของแต่ละจังหวัด ซึ่งในจังหวัดนครพนมนั้นมีนักเรียนที่สมัครใจและผู้ปกครองยินยอมให้เข้ารับวัคซีน จำนวนรวมประมาณ 38,000 คนแล้ว ยังเหลืออีกประมาณร้อยละ 3 ก็จะครบทั้งหมด ซึ่งในล๊อตแรกนี้จังหวัดนครพนมได้รับการจัดสรรมา 22,000 โดส คาดว่าบุคลากรทางการแพทย์จะสามารถดำเนินการฉีดวัคซีนให้ได้แล้วเสร็จตามจำนวนภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยจังหวัดนครพนมมีการบริหารจัดการวัคซีนในแต่ละวันกระจายให้บริการทั้ง 12 อำเภอ ซึ่งจะมีการนัดหมายนักเรียนล่วงหน้าว่าให้เข้ารับได้ในวันไหน อย่างวันนี้ที่จุดหอประชุมยงใจยุทธแห่งนี้จะเป็นนักเรียนของโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดมหาธาตุ โรงเรียนศรีบัวบานวิทยาคม โรงเรียนบ้านหนองจันทร์ โรงเรียนบ้านขามเฒ่ากุดข้าวปุ้น โรงเรียนหนองบัวด่านเก่า ศูนย์การศึกษาพิเศษ กศน.อำเภอเมือง วิทยาลัยเทคโนโลยีอินเตอร์พัฒนศาสตร์ วิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-อินโดจีน ทั้งนี้กรมควบคุมโรคได้ยืนยันแล้วว่า การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเด็กนักเรียนอายุ 12-18 ปี มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ผ่านการรับรองจาก อย. และ WHO โดยได้ออกคำแนะนำสำหรับนักเรียนที่เข้ารับวัคซีน คืองดออกกำลังกายหลังฉีดวัคซีน 7 วัน พร้อมสังเกตอาการ หากแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หรือเหนื่อยให้รีบไปโรงพยาบาล และแจ้งประวัติการรับวัคซีนเพื่อเข้าระบบการดูแลรักษาทันที


นครพนม ระดมสมองพัฒนาฐานข้อมูล ด้านการท่องเที่ยว ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

วันที่ 8 ตุลาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้มอบหมายให้สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คําปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เชิญตัวแทนส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนภาคเอกชนและประชาชน ร่วมแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ต่อกรอบนิยาม ฐานข้อมูล ขั้นตอน และวิธีการกำหนดนิยามประเด็นด้านการท่องเที่ยว เพื่อสำรวจและรวบรวมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ก่อนจะนำไปพัฒนาระบบฐานข้อมูลตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามโครงการจัดทำข้อมูลตามตัวชี้วัดตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการท่องเที่ยว พ.ศ. 2561 - 2580 ที่จัดทำขึ้น

นายคงกริช พงษ์พันธ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งจากข้อมูลการจัดอันดับขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว หรือ Travel & Tourism Competitiveness Index (TTCI) ในปี 2019 ที่จัดทำโดย World Economic Forum แสดงให้เห็นว่าประเทศไทย มีความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวอยู่ในลำดับที่ 31 จาก 140 ประเทศของทุกภูมิภาคทั่วโลก และมีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวมากกว่า 3 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณร้อยละ 17 ของ GDP ทั้งยังก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 4.5 ล้านตำแหน่ง หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 7 ของการจ้างงานทั้งหมดในประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ริเริ่มจัดทำยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศให้เป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลก ซึ่งจะเป็นการพัฒนาการท่องเที่ยวทั้งระบบที่มุ่งเน้นการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ ควบคู่กับการพัฒนาและสร้างความหลากหลายด้านการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวในสาขาที่มีศักยภาพสูง ด้วยจุดเด่นด้านวัฒนธรรม อัตลักษณ์ความเป็นไทย และให้คุณค่ากับการพัฒนาที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ในแต่ละแผนแม่บทย่อยได้กำหนดตัวชี้วัดเพื่อบ่งชี้ความสำเร็จในการดำเนินการตามแผนแม่บท โดยเฉพาะตัวชี้วัดด้านรายได้จากการท่องเที่ยวรายสาขา ซึ่งที่ผ่านมาข้อมูลสำหรับการวัดค่าตัวชี้วัดดังกล่าวนั้นยังไม่ครอบคลุมทุกมิติ ทำให้การกำหนดแนวทางการพัฒนาและการติดตามประเมินผลการพัฒนาการท่องเที่ยวในสาขาที่มีศักยภาพ จึงยังไม่เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลเท่าที่ควร อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ส่งผลต่อการจ้างงานและการสร้างรายได้ของประชาชน และคาดว่าหลังสถานการณ์ดีขึ้น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของโลก จะมีการแข่งขันที่สูงมากยิ่งขึ้น เพราะหลายประเทศใช้การท่องเที่ยวเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างรายได้ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องเร่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้มากขึ้น และในวันนี้สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจึงได้มีการเปิดเวทีเพื่อรวบรวมข้อมูลตามตัวชี้วัด รวมทั้งปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนม ซึ่งข้อมูลที่ได้จะเป็นส่วนหนึ่งในการจัดทำระบบฐานข้อมูล และการติดตามประเมินผลด้านการท่องเที่ยว เพื่อให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อน พัฒนาการท่องเที่ยวได้อย่างเหมาะสมตามแผนแม่บทฯ สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทต่างๆ ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น