วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

กรมแพทย์แผนไทยฯ บูรณาการร่วม สสจ. ออกหน่วยเคลื่อนที่ดูแลผู้ป่วยลองโควิด ที่นครพนม

วันที่ 28 พฤษภาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนม นายแพทย์ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นประธานนำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกว่า 40 ชีวิต ออกหน่วยแพทย์แผนไทยเคลื่อนที่ ถ่ายทอดความรู้และให้บริการด้านการแพทย์แผนไทย ดูแลประชาชนชาวอำเภอศรีสงครามและอำเภอข้างเคียงที่มีอาการหลังติดเชื้อโควิด-19 (ลองโควิด) ให้กลับมามีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรงเหมือนเดิม ร่วมกับคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ณ ตลาดพูนสุข อำเภอศรีสงคราม ระหว่างวันที่ 28 – 29 พฤษภาคม 2565 เวลา 8.30 – 16.30 น.

นายแพทย์ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า ผู้ป่วยที่เป็นโควิด หลังจากที่หายแล้วยังจะมีอาการอยู่ในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หายใจไม่สะดวก มีอาการปวดเมื่อย อาการที่รู้สึกว่านอนไม่หลับทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ และอื่น ๆ อีก หลากหลายลักษณะ ซึ่ง ณ ปัจจุบันกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกพบว่ามีผู้ป่วยที่มีอาการในลักษณะนี้อยู่ประมาณ 20-30 % ของผู้ที่ป่วยโควิด อย่างไรก็ตามการรักษาในระบบแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่ได้เป็นสิ่งที่มีมาตรฐานชัดเจนว่าจะต้องทำอย่างไร ดังนั้นจึงได้นำศาสตร์การแพทย์แผนไทย ที่ประกอบด้วยตัวยาหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ยาพรรณชาติ ยาธาตุบรรจบ หรือแม้แต่น้ำมันกัญชา ซึ่งสามารถที่จะรักษาอาการของโรคที่เรียกว่าลองโควิด หรือ Post Covid-19 Syndrome ได้เป็นอย่างดี

โดยเบื้องต้นทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้มีการเก็บข้อมูลกว่า 1,400 ราย ในช่วงแรกที่มีการออกหน่วยเคลื่อนที่แพทย์แผนไทยให้บริการประชาชน พบว่าเกือบทุกรายได้ผลในการรักษาที่ดีมาก ดังนั้นจึงมีความประสงค์ มีความตั้งใจที่จะออกมาช่วยมาดูแลพี่น้องประชาชนที่ป่วยเป็นโรคเหล่านี้ อย่างไรก็ตามการที่จะทำให้การรักษาแบบการแพทย์แผนไทยยังคงอยู่และยั่งยืนต่อไป ทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกก็พยายามถ่ายทอดองค์ความรู้ทั้งหมดที่มีให้กับประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อให้พื้นที่สามารถดำเนินการต่อไปได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้สำหรับประชาชนในพื้นที่อื่น ๆ ที่มีความสนใจสามารถประสานได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ หรือจะติดต่อที่โรงพยาบาลใกล้บ้านก็ได้ เพราะกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้มีการจัดแผนหรือแนวทางในการรักษาโรคลองโควิด พร้อมส่งมอบให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ได้ใช้ในการดูแลรักษาเบื้องต้นในส่วนนี้แล้ว อย่างไรก็ตามหากประชาชนยังมีข้อสงสัยที่อยากจะสอบถามเพิ่มเติม ก็สามารถติดต่อผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ OA หมอแผนไทยสู้ภัยโควิด หรือจะติดต่อผ่านทางเว็บไซต์ของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุขก็ได้เช่นเดียวกัน


วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

สกู๊ป นรข. หน่วยปฏิบัติการเฝ้าระวังการกระทำผิดตามกฎหมายตามแนวชายแดน

วันนี้เราอยู่ที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่มีภารกิจในการเฝ้าระวังป้องกัน การกระทำผิดตามกฎหมายตามแนวชายแดน ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาแรงงานต่างด้าว ปัญหายาเสพติด และปัญหาการลักลอบกระทำผิดอื่น ๆ เรามาดูว่าหน่วยงานดังกล่าวมีแนวทางการปฏิบัติอย่างไร

พลเรือตรี สมบัติ จูถนอม ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เปิดเผยว่า ผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือเอก สมประสงค์ นิลสมัย ได้ให้นโยบายกับหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ให้ดำเนินการการกระทำความผิดทุกรูปแบบตามบริเวณแนวชายแดน ตั้งแต่จังหวัดเชียงรายไล่ลงมาตามลำแม่น้ำโขงจนถึงจังหวัดอุบลราชธานี ที่เป็นเขตรับผิดชอบ โดยในเรื่องของแรงงานต่างด้าวนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยยังมีความต้องการในการใช้แรงงานนำเข้าในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจและทุกอย่างดีขึ้น ซึ่งงานบางอย่างแรงงานไทยไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้มีมาตรการทำเรื่องเหล่านี้ให้ถูกกฎหมาย แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดย 2 ปีที่ผ่านมาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ประเทศไทยได้มีการปิดด่านเพราะฉะนั้นการดำเนินการนำแรงงานเข้ามาจึงมีความเข้มงวดเพิ่มมากขึ้น

ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีมาตรการผ่อนปรนเปิดประเทศ รวมถึงให้เปิดด่านชายแดนในพื้นที่ควบคู่กับมาตรการด้านสาธารณสุข เพื่อป้องกันไวรัสโควิด และต้องขอเรียนตามตรงว่าแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมายนั้นยังไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศ ส่งผลให้มีขบวนการลักลอบนำแรงงานต่างชาติเข้ามาในรูปแบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งในเรื่องนี้ผู้บัญชาการทหารเรือได้มอบหมายให้ นรข. ดำเนินการสกัดกั้นอยากจริงจัง โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมาสามารถจับได้ประมาณ 50 ครั้ง จำนวนผู้ต้องหา ทั้งผู้นำพาและแรงงานจริงๆ เกือบ 500 คน และด้วยแนวชายแดนของประเทศเราและประเทศเพื่อนบ้านมีแม่น้ำโขงขวางกั้น ช่องทางธรรมชาติสามารถขึ้นได้ตลอดแนว เฉพาะภาคอีสานก็ประมาณเกือบ 700 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นภารกิจของ นรข. ที่เป็นอยู่จึงมีการปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยมีการเพิ่มมาตรการตรวจตรา ตรวจจับตลอดแนวลำน้ำโขง เพื่อที่จะทำให้ขบวนการลักลอบนี้ลดน้อยลงไป รวมถึงปัญหายาเสพติดและการลักลอบทำผิดกฎหมายอื่นๆ ด้วย

และทุกอย่างในการปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็น ยาเสพติด แรงงานต่างด้าว การลักลอบทำผิดกฎหมายที่มีการลักลอบข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมานั้น ขอเรียนว่าตั้งแต่ที่มารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นมา ข่าวสารจากประชาชนมีส่วนสำคัญที่ทำให้นำไปสู่การตรวจยึดและจับกุม อย่างถูกต้องและแม่นยำ และต้องขอขอบพระคุณประชาชนพลเมืองดีที่ได้ให้ข้อมูลข่าวสารกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก โดยทาง นรข. ขอรับรองว่าผู้ที่ให้ข้อมูลข่าวสารมานั้น จะมีการปกปิดเป็นความลับสุดยอด เพื่อให้ทุกคนมีความปลอดภัย ไม่เกิดการกระทบกระเทือนอย่างเด็ดขาด

เราจะเห็นว่านี่เป็นเพียง 1 หน่วยงาน ที่ปฏิบัติภารกิจด้วยความเข้มแข็ง มุ่งมั่น ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งการดำเนินงานทุกอย่างล้วนมีการบูรณาการ และถ้าเราทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไข อีกไม่ช้าปัญหาเหล่านี้ก็คงจะหมดไปอย่างแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำทีมเยี่ยมติดตามแผนยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขง สร้างชุมชนยั่งยืนแก้ปัญหายาเสพติดระดับพื้นที่

วันที่ 26 พฤษภาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายพรต ภูภักดิ์ ปลัดจังหวัดนครพนม และคณะหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และติดตามความคืบหน้า ปัญหา อุปสรรคในการดำเนินการ ตามแผนยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขงของศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดนครพนม ที่ได้มีการบูรณางานหน่วยความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ให้กับประชาชน

นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขง เป็นยุทธการที่เกิดขึ้นจากนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล ที่กำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ และเป็น 1 ใน 12 นโยบายเร่งด่วนที่จะต้องเร่งรัดดำเนินการ ประกอบกับจังหวัดนครพนมมีพื้นที่ติดกับ สปป.ลาว มีลำน้ำโขงเป็นเส้นกลั่นพรมแดน ความยาวประมาณ 174 กิโลเมตร ส่งผลให้จังหวัดนครพนมเป็น 1 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ผู้ค้าและเครือข่ายยาเสพติดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงแทนการลักลอบนำเข้าทางภาคเหนือ เนื่องจากเส้นทางการคมนาคมมีลักษณะเหมือนเส้นใยแมงมุม สามารถหลบเลี่ยงการสกัดจับกุมได้ง่าย

ดังนั้น เพื่อเป็นการเฝ้าระวังป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดนครพนม จึงได้มีการบูรณางานหน่วยความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ร่วมกันปฏิบัติการ ซึ่งจะมีทั้งด้านการป้องกัน ด้านการปราบปราม และด้านการบำบัดรักษา โดยวันนี้ได้นำคณะทำงานลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานโครงการชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้านเป้าหมายที่มีการแพร่ระบาดยาเสพติดของสำนักงาน ปปส.ภาค 4 คือบ้านโพนบกน้อย หมู่ที่ 7 ตำบลโพนบกน้อย อำเภอโพนสวรรค์ ที่คณะทำงานได้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ที่ได้มีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในทุกภาคส่วนที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหา จากนั้นก็ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานในระดับพื้นที่ มีการลงพื้นที่ให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหายาเสพติดในทุกมิติ ทั้งด้านสุขภาพ ด้านการป้องกัน การรับทราบปัญหาและการแจ้งเบาะแสเพื่อนำไปสู่การแก้ไข นอกจากนี้ยังมีการ X-Ray เพื่อค้นหาผู้เสพในพื้นที่เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนของการบำบัด โดยปัจจุบันสามารถปฏิบัติการครอบคลุมพื้นที่ 100 % แล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการส่งผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู และเพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติ สร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งมีการให้ร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับพื้น ทางคณะทำงานก็ได้มีการออกบัตรพลเมืองสีขาวให้และมีการส่งมอบให้ในวันนี้ โดยหลังจากนี้ยังมีขั้นตอนและกระบวนการอีกในหลาย ๆ ส่วนที่จะดำเนินการเพื่อสร้างชุมชนและสังคมที่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ห่างไกลจากยาเสพติด ให้กับประชาชนชาวจังหวัดนครพนมได้อยู่อย่างมีความสุขและยั่งยืน


นครพนม ปฏิบัติการเชิงรุกรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในพื้นที่ อ.โพนสวรรค์

วันที่ 26 พฤษภาคม 2565 ที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม นายกองเอก ชาธิป รุจนเสรี ผู้บังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดนครพนม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานปล่อยกำลังพลชุดปฏิบัติการที่มีการบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่อำเภอโพนสวรรค์ เพื่อร่วมกันตั้งด่าน จุดตรวจ จุดสกัดในชุมชน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในพื้นที่ และมอบตู้โพนสวรรค์ร่มเย็นในทุกหมู่บ้าน จำนวน 101 ตู้ ให้กับตัวแทนชุมชน 9 ชุมชน นำไปติดตั้งในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์จากประชาชน ตามแผนการขับเคลื่อนโครงการปฏิบัติการเชิงรุกในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายในอำเภอโพนสวรรค์ (โพนสวรรค์ร่มเย็น) ซึ่งเป็น 1 ในแผนปฏิบัติการในการพัฒนาพื้นที่ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของจังหวัดนครพนม ที่ต้องการมุ่งเน้นพัฒนาพื้นที่ให้มีความมั่นคงและยั่งยืน บนพื้นฐานการพัฒนาตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

เนื่องจากอำเภอโพนสวรรค์เป็นอำเภอใกล้กับชายแดน เป็นพื้นที่ที่มีความเคลื่อนไหวและเป็นทางผ่านของการค้ายาเสพติด แรงงานต่างด้าว และอาชญากรรมอื่น ๆ โดยเฉพาะปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่ ที่เป็นทั้งจุดพักและจุดกระจายยาเสพติด จึงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องมีการดำเนินการป้องกันเพื่อพัฒนาไปสู่อำเภอที่มีความมั่นคง ดังนั้นที่ทำการปกครองอำเภอโพนสวรรค์ จึงได้จัดโครงการดังกล่าวขึ้นมา เพื่อดำเนินการเชิงรุกในพื้นที่ เป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคง ทั้งเป็นการส่งเสริมบทบาทของฝ่ายปกครองในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายใน เป็นการกระชับความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นเอกภาพและเป็นรูปธรรม รวมถึงเป็นการพัฒนาสมรรถนะของกำลังพลในพื้นที่ให้สามารถรองรับภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยเป้าหมายในการดำเนินการคือจะมีการตั้งจุดปฏิบัติการออกตรวจและตั้งด่านตรวจในพื้นที่อย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์


นครพนม เปิดตัวแบรนด์สินค้า อ.โพนสวรรค์ สร้างความเชื่อมั่นลูกค้าและสร้างภาพจำผลิตภัณฑ์

วันที่ 26 พฤษภาคม 2565 ที่อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม นายนิพพิชฌน์ อติอนวรรตน์ นายอำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันการค้าขายมีการแข่งขันกันมากขึ้น ซึ่งตราสินค้าหรือที่เรียกสั้นๆว่าแบรนด์ ถือเป็นสิ่งที่มีบทบาทและมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของกิจการ และจะเห็นได้ว่าสินค้าในท้องตลาดได้เพิ่มปริมาณขึ้นเป็นจำนวนมากอีกทั้งยังมีให้เลือกหลากหลายประเภท หรือแม้แต่สินค้าประเภทเดียวกันก็มีผู้ผลิตหลายเจ้าให้เลือกซื้อ ดังนั้นอำเภอโพนสวรรค์จึงมีแนวคิดในการสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาเพื่อแสดงถึงเอกลักษณ์ อัตลักษณ์เฉพาะตัวตน ทำให้สินค้ามีความแตกต่างและโดดเด่นจากสินค้าทั่วไป อันจะส่งผลให้ผู้บริโภคซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย ให้สามารถรับรู้และจดจำข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เป็นการยกระดับสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชน ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในท้องตลาด ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน

โดยเมื่อวาน 25 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมาที่มีโครงการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน จังหวัดนครพนม ประจำปีงบประมาณ 2565 และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม ที่โรงเรียนชุมชนบ้านเหล่าบะดา นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้มาเป็นประธานเปิดตัวแบรนด์สินค้าอำเภอโพนสวรรค์เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้ที่มาร่วมงาน โดยแบรนด์สินค้าอำเภอ โพนสวรรค์ มีรูปสัญลักษณ์เป็นวงกลมสีน้ำตาล มีพื้นสีขาว ภายในวงกลมจะประกอบไปด้วย รูปพระธาตุจำปา ที่เป็นพระธาตุเก่าแก่ของอำเภอโพนสวรรค์ เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวเดินทางมากราบไหว้ขอพรอยู่เป็นประจำ รูปเรือไฟที่หมายถึงเทศกาลสำคัญของจังหวัดนครพนมในช่วงเทศกาลออกพรรษา และรูปสินค้าเกษตรขึ้นชื่อของอำเภอโพนสวรรค์ คือสับปะรด GI และรวงข้าว โดยสินค้าที่จะได้รับการติดแบร์นสินค้าอำเภอโพนสวรรค์ จะมีคณะกรรมการร่วมกันกลั่นกรองและตรวจประเมิน เพื่อพิจารณารับรองว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน เชื่อถือได้ถึงแหล่งที่มา ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ส่วนราคาที่วางจำหน่าย ก็เป็นราคามาตรฐานที่เป็นกันเองกับผู้ซื้อทุกคน


วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

จ.นครพนม เดินหน้าสร้างสังคมอุดมสุข ทุกช่วงวัย ดูแลผู้พิการอำเภอโพนสวรรค์

วันที่ 25 พฤษภาคม 2565 ที่บ้านโนนอุดม เลขที่ 73 หมู่ที่ 8 ตำบลโพนบก อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางกาญจนี รุจนเสรี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ลงพื้นที่ติดตามและเยี่ยมให้กำลังใจครัวเรือนยากจน ตามโครงการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง "นครพนม สร้างสังคมอุดมสุข ทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน" ประจำปี 2565 เพื่อให้การช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน อีกทั้งเป็นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของครัวเรือนเป้าหมายที่ประสบความเดือดร้อนและยากจนไม่ผ่านเกณฑ์ จปฐ. ปี 2564 ด้านรายได้ ข้อ 22 (รายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 38,000 บาท/คน/ปี) จากระบบการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) ปี 2562 ครัวเรือนเปราะบาง และครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเวทีประชาคม ทั้ง 5 มิติ ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านความเป็นอยู่ ด้านการศึกษา ด้านรายได้ และด้านการเข้าถึงบริการภาครัฐ

โดยวันนี้เป็นการลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวนายนงค์ ถารักคำ อายุ 63 ปี ซึ่งเป็นผู้ป่วยพิการป่วยติดเตียงเนื่องจากเกิดอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถเดินได้ ที่อาศัยอยู่ร่วมกับนายธนกฤต ถารักคำ บุตรชาย ที่มีอาชีพรับจ้างทำนา โดยทั้งคู่อาศัยอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรมและมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ เนื่องจากบุตรชายต้องดูแลนายนงค์ บิดาที่ป่วยพิการ โดยเบื้องต้นหน่วยงานต่าง ๆ ได้ร่วมกันมอบเงินช่วยเหลือ จำนวน 5,000 บาท มอบถุงยังชีพ จำนวน 12 ถุง มอบผ้าห่มจำนวน 2 ผืน ตะกร้า 2 ใบ น้ำดื่ม 11 แพ็ค กระเป๋าผ้า 2 ใบ มอบไก่พันธุ์พื้นบ้าน 8 ตัว มอบพันธุ์ผัก 1 ตะกร้า และมอบเครื่องอุปโภคบริโภคในการดำรงชีพอื่น ๆ อีก จำนวน 2 ชุด นอกจากนี้ยังได้มอบหลักประกันสังคม มาตรา 40 เป็นระยะเวลา 1 ปี จำนวน 1,200 บาท ให้กับนายนงค์ ถารักคำ และมอบหลักประกันสังคม มาตรา 40 ระยะเวลา 3 เดือน ให้แก่นายธนกฤต ถารักคำ และในโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมยังได้นำทีมแพทย์มาให้บริการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ให้แก่ทั้ง 2 คน และมอบหมายให้ อสม.ในพื้นที่ช่วยดูแลบริบาล ทำกายภาพบำบัดให้นายนงค์ทุกอาทิตย์เพื่อที่จะได้ฟื้นฟูสภาพร่างกายให้สามารถช่วยเหลือตนเองได้มากยิ่งขึ้นด้วย ทั้งยังได้มีการขอรับทุนสนับสนุนจากโครงการบ้านมั่นคงชนบทปี 65 ของชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน มาเพื่อซ่อมแซมบ้านและห้องน้ำที่ทรุดโทรมให้ใหม่


จ.นครพนม ออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการประชาชนอำเภอโพนสวรรค์แบบครบวงจรในจุดเดียว

วันที่ 25 พฤษภาคม 2565 ที่โรงเรียนชุมชนบ้านเหล่าบะดา หมู่ที่ 5 ตำบลโพนบก อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนในพื้นที่แบบครบวงจรในจุดเดียว ตามโครงการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน จังหวัดนครพนม ประจำปีงบประมาณ 2565 และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม 


โดยในการออกหน่วยเคลื่อนที่ในครั้งนี้ ได้มีการแนะนำส่วนราชการต่าง ๆ ให้กับประชาชนได้รู้จักเกี่ยวถึงหน้าที่ของแต่ละหน่วย เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้อย่างถูกต้อง ตรงตามความต้องการของแต่ละคน รวมถึงตอบข้อซักถาม ข้อสงสัยของประชาชน ทั้งยังได้นำเอานโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลไปชี้แจงให้ประชาชนได้รับรู้ รับทราบ เป็นการสร้างความเข้าใจถึงแนวทางในการขับเคลื่อนประเทศ จากนั้นร่วมกันพันธุ์ปลา จำนวน 50,000 ตัว ให้กับผู้นำชุมชนเพื่อนำไปปล่อยในแหล่งน้ำสาธารณะของแต่ละหมู่บ้านเป็นการคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับธรรมชาติ มอบเงินสงเคราะห์ครอบครัวกรณีฉุกเฉิน จำนวน 10 ราย มอบเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน จำนวน 40 ราย มอบรถจักรยานให้กับเด็กนักเรียนที่ยากจนให้ได้ใช้ปั่นมาเรียนหนังสือ มอบอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนเพื่อให้เด็กนักเรียนได้ใช้ในการออกกำลังกาย และมอบถุงยังชีพเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปรับบริการตามจุดต่าง ๆ ประกอบไปด้วย จุดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม ที่คณะแพทย์ได้นำเครื่องมือและอุปกรณ์สาธารณสุขต่าง ๆ มาให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ทำทันตกรรม ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ และฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไวรัสโควิด


 ส่วนจุดอื่น ๆ ก็เป็นการให้บริการของหน่วยงาน ที่ได้นำเอาองค์ความรู้ทางวิชาการ ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่มาให้ประชาชนในพื้นที่ได้เห็น ได้ศึกษาและแบบไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน การบริหารจัดการน้ำ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การให้คำแนะนำในเรื่องที่ดิน การเลือกใช้พลังงานและระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ การทำบัตรประชาชน การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การเข้าถึงกองทุนยุติธรรม การทำประกันสังคม การวางแผนออมกับ กอช. การแจกพันธุ์ต้นไม้ แจกแว่นสายตา แจกแบบสำหรับสร้างบ้าน การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การให้บริการตัดผม การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ และการฝึกอาชีพเสริมเพื่อสร้างทักษะให้กับประชาชนได้นำไปหารายได้ นอกจากนี้ยังมีการออกบูธจำหน่ายจำหน่ายสินค้าราคาถูก สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP เพื่อให้ประชาชนได้เลือกซื้อไปใช้ในครัวเรือน เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ผลิต


วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

สกู๊ป เทคนิคที่ควรรู้ก่อนทำ โคก หนอง นา

หลายคนอาจจะคิดและมีความสนใจที่อยากจะทำ โคก หนอง นา แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ทำอะไร ก่อน หลัง และมีหลักอะไรที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วจะได้ผล วันนี้เราจึงพามาเรียนรู้หนึ่งในเทคนิคที่ควรมี ก่อนที่จะเริ่มทำ

นายสวงเดช ธรรมชัย พัฒนาการอำเภอท่าอุเทน กล่าวว่า โคก หนอง นา มีชื่อเต็มว่า โครงการต้นแบบ การพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคกหนองนาโมเดล ซึ่งการออกแบบ แรงถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะแนวทางในการออกแบบของโครงการนั้น จะต้องมีโคก มีหนอง มีนา โดยรูปแบบของสระหรือ คลองไส้ไก่ที่ส่งน้ำ จะต้องเลียนแบบธรรมชาติให้มากที่สุด พูดง่ายๆ ก็คือมีความโค้ง ความเว้า คดเคี้ยวไปตามพื้นที่เพื่อกระจายความชื้นให้เต็มแปลง ซึ่งในขั้นตอนของการออกแบบก็ได้มีการพูดคุยกับเจ้าของแปลง ว่าจะมีการใช้ประโยชน์อย่างไรกับแปลงโคก หนอง นา ที่จะได้ จากนั้นจึงได้มากำหนดทิศทางน้ำเข้า น้ำออก ระหว่างสระน้ำที่จะขุด โดยทำคลองไส้ไก่คดเคี้ยวไปตามพื้นที่ของแปลงเกษตร ซึ่งเดิมเจ้าของแปลงมีความคิดที่จะทำในลักษณะที่ตรง ๆ แต่พอเข้าใจในหลักการ จึงทำแบบคดเคี้ยวเลียนแบบธรรมชาติแทน พอพื้นที่จริงเสร็จเรียบร้อย ผลปรากฎว่าการเก็บกักน้ำได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ฉะนั้นถ้าใครจะทำ โคก หนอง นา ต้องคำนึงถึงจุดนี้ให้ดี เพราะถ้าเราออกแบบดี ถูกต้องกับบริบทของพื้นที่ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งพอขุดเสร็จเราก็จะต้องทำคันนาทองคำด้วย นั้นก็คือการปลูกพืช 5 ระดับ คือ ไม้สูง กลาง เตี้ย เรี่ยดิน และไม้กินหัว รวมทั้งให้หมั่นดูแลเอาใจใส่

ด้านนางชฎาพร จันทร์แดง ชาวบ้านบุ่ง ตำบลรามราช อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม หนึ่งในผู้ที่ทำโคก หนอง นา กล่าวว่า หลังจากที่พัฒนาการอำเภอท่าอุเทนแนะนำ ก็มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนต่าง ๆ โดยมีพื้นที่นาประมาณ 1 ไร่ ส่วนที่เหลือก็จะเชื่อมด้วยคลองไส้ไก่สำหรับส่งน้ำ โดยด้านบนของพื้นที่จะมีสระน้ำลูกเล็ก ๆ 1 ลูก นอกจากนี้ก็จะมีกิจกรรมทำปุ๋ยหมักไว้ใช้เอง โดยการนำเศษใบไม้ เศษหญ้า ที่ถอนเอามารวมกันทำเป็นปุ๋ยหมัก ส่วนการปลูกก็จะปลูกในลักษณะผสม คือ มีทั้งไม้ยืนต้น ต้นกล้วยและหญ้าหวาน เริ่มลงมือปลูกช่วงเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ประมาณ 4-5 เดือน ต้นไม้ก็โตและเขียวแล้ว ซึ่งบางคนมาดูที่ตนเองทำแล้วก็บอกว่าทำแบบนี้ไม่ได้ยุ่งยากเกินไป ส่วนใครที่สนใจจะทำจริง ๆ เราก็มีการแนะนำวิธีทำไป บางคนก็เอาไปทำทันที อย่างเช่นญาติที่มาเยี่ยมแล้วเห็นหญ้าหวานที่ปลูกไว้ อยากได้ก็ให้ต้นพันธุ์ไปปลูก พร้อมกับการแนะนำขั้นตอน วิธีการปลูกและการดูแล

เราจะเห็นว่าในทุก ๆ ขั้นตอนของการทำโคก หนอง นา นั้นล้วนมีความสำคัญและต้องใส่ใจ แต่ถ้าเราเริ่มต้นได้ถูกต้องเป้าหมายแห่งความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินฝัน

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

นครพนม พิจารณาอนุมัติให้วิชาหกิจชุมชนปลูกกัญชาและกัญชงเพิ่ม พร้อมแนะประชาชนจดแจ้งผ่านแอพ ปลูกกัญ เริ่ม 9 มิ.ย. นี้

วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ที่ห้องประชุมร่มฉัตร ชั้น 2 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายวรรณพล ต่อพล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการอนุญาตผลิตกัญชง (แฮมพ์) จังหวัดนครพนม ครั้งที่ 4/2565 และคณะกรรมการเพื่อพิจารณาการขออนุญาตผลิตกัญชา จังหวัดนครพนม ครั้งที่ 5/2565

เพื่อร่วมกันพิจารณาให้ความเห็นชอบคำขออนุญาตผลิต (เฉพาะปลูก) ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (เฉพาะกัญชา) จำนวน 3 ฉบับ ประกอบด้วย วิสาหกิจชุมชนปลูกพืชสมุนไพรตำบลดอนเตย อำเภอนาทม (โครงการปลูกกัญชาสำหรับนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์) ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านต้าย ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปสมุนไพร อำเภอโพนสวรรค์ (โครงการต่อยอดกัญชาครัวเรือน 6 ต้นสู่เศรษฐกิจชุมชน) และของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอุ่มเหม้า ที่ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนพืชทางเลือก อำเภอธาตุพนม (โครงการปลูกกัญชาสำหรับนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์) และร่วมกันพิจารณาคำขอรับอนุญาตผลิต (ปลูก) ซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เฉพาะกัญชง จำนวน 1 คำขอของนายสมบัติ วิลัย ตำบลโพนทอง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม ซึ่งในที่ประชุมได้มีมติอนุญาตให้ผลิตได้ทั้ง 4 คำขอ ทำให้ปัจจุบันจังหวัดนครพนมมีสถานที่ที่ได้รับใบอนุญาตปลูกกัญชา รวมทั้งสิ้น 42 แห่ง อยู่ระหว่างดำเนินการออกใบอนุญาต 6 แห่ง ส่วนสถานที่ที่ได้รับใบอนุญาตปลูกกัญชง มี 7 แห่ง อยู่ระหว่างดำเนินการออกใบอนุญาต 1 แห่ง

ทั้งนี้คณะกรรมการยังได้ฝากถึงประชาชนที่มีความประสงค์จะปลูกกัญชาและกัญชง ตามที่มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ซึ่งจะมีผลให้ทุกส่วนของกัญชา กัญชง ไม่ใช่ยาเสพติดประเภท 5 ยกเว้นสารสกัดที่มีสาร THC เกิน 0.2% ยังเป็นยาเสพติด ในเรื่องการปลูกนั้น ผู้ที่ต้องการปลูกสามารถปลูกได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องจดแจ้งผ่านแอปพลิเคชั่น "ปลูกกัญ" ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เตรียมจะนำมาใช้ในการจดแจ้งการปลูกกัญชาเพื่อดูแลสุขภาพสำหรับประชาชนทั่วไป รวมทั้งการขออนุญาตปลูกในเชิงพาณิชย์ในวันที่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป ส่วนการนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชา กัญชง และส่วนอื่น ๆ ของพืช เช่น ช่อดอก ใบ กิ่ง ก้าน ไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด แต่ต้องขออนุญาตนำเข้าตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 และพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 หากเป็นสารสกัดที่นำเข้าจากต่างประเทศ จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ ต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด


เกษตรนครพนม เสริมทักษะ พัฒนาความสามารถบุคคลากรถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและการใช้สารชีวภัณฑ์ ส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ลดต้นทุนการผลิต

วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนครพนม ตำบลขามเฒ่า อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นางสาวกัญณฐา อภินนท์ธนา เกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า การส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร ตลอดจนองค์กรเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนให้มีความรู้ความสามารถด้านการผลิต การจัดการผลผลิตพืช ประมง และปศุสัตว์ ถือเป็นบทบาทสำคัญของสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ก็ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำเอาองค์ความรู้มวลรวมทั้งหมดไปถ่ายทอดต่อ ดังนั้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมีทักษะความสามารถในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและการใช้สารชีวภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ลดต้นทุนการผลิตและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงมีผลผลิตที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนมจึงได้จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับอำเภอ (DW) ปี 2565 ครั้งที่ 2 เพื่อขับเคลื่อนศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรขึ้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจากสำนักงานเกษตรอำเภอ ทั้ง 12 อำเภอ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนางนิยม ไข่มุกข์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนครพนม ตลอดจนบุคลากรของศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนครพนม ก่อนที่จะนำความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดต่อยังพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่

โดยในวันนี้จะมีทั้งผู้ที่ได้ปฏิบัติจริงและผู้ที่เรียนผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งในตรงนี้ถือเป็นการพัฒนาศักยภาพความสามารถของบุคคลากรสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนมให้ก้าวไปข้างหน้าเพิ่มมากยิ่งขึ้น เป็นการปรับตัวทำงานในการส่งเสริมการเกษตรในสถานการณ์โควิด - 19 ให้มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด เพราะปัจจุบันระบบส่งเสริมการเกษตรได้มีการปรับรูปแบบการดำเนินงานที่เน้นการใช้ช่องทางผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้ที่มายังศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนครพนมจะได้เห็นและปฏิบัติจริง ขณะที่ผู้ที่เรียนออนไลน์ก็จะได้ฝึกทักษะการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปในตัว แต่ในทุกขั้นตอนทุกคนจะได้เห็น ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ถึงขั้นตอนในการเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์การผลิตสารชีวภัณฑ์ ได้เห็นขั้นตอนการปฏิบัติ และถ้าใครมีข้อสักถามข้อสงสัยก็สามารถสอบถามได้ทั้ง 2 แบบ โดยทุกคนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการผลิตเชื้อราไตรโคเดอร์มา สายพันธุ์ DOA -TH50, BT (DOA - 1), BS (DOA - 24) การเพาะเลี้ยงไส้เดือนฝอยกำจัดแมลงสายพันธุ์ การเพาะเลี้ยงแมลงหางหนีบ มวนพิฆาต แหนแดง การผลิตปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟต และการผลิตเห็ดเรืองแสงสิริรัศมี ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันเพื่อนำไปใช้ในการกำจัดแมลง บำรุงดินและพืชที่เพาะปลูกโดยเฉพาะในช่วงนี้ที่เป็นการเริ่มต้นฤดูการเพาะปลูกใหม่ ซึ่งถ้าเกษตรกรทุกคนเข้าใจและสามารถนำไปผลิตใช้เองได้จะเป็นประโยชน์อย่างมาก


วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

นครพนมสานสัมพันธ์มิตรภาพไทย-เวียดนาม จัดงานรำลึก 132 ปี วันคล้ายวันเกิดประธานโฮจิมินห์

วันที่ 19 พฤษภาคม 2565 ที่บ้านนาจอก หมู่ที่ 5 อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นายจู ดึ๊ก สุง กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ประจำจังหวัดขอนแก่น ร่วมกันวางช่อดอกไม้แสดงความเคารพรูปหล่อประธานโฮจิมินห์ ณ อนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์ จากนั้นได้เดินทางไปเป็นประธานเปิดงานรำลึก 132 ปี วันคล้ายวันเกิดท่านประธานโฮจิมินห์ และความสัมพันธ์มิตรภาพไทย - เวียดนาม ประจำปี 2565 ที่อาคารอเนกประสงค์หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม ที่จังหวัดนครพนม โดยอำเภอเมืองนครพนม ร่วมกับ สมาคมชาวเวียดนามแห่งประเทศไทย สมาคมมิตรภาพไทย – เวียดนามแห่งประเทศไทย และประชาชนในพื้นที่จัดขึ้น เพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชาวจังหวัดนครพนม ประเทศไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ที่มีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ทั้งด้านการค้า การลงทุน การเมืองการปกครอง และการต่างประเทศ อีกทั้เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมกันบำเพ็ญประโยชน์ สร้างกุศล เสริมสร้างความรัก ความสามัคคี ด้วยการร่วมกันมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนผู้ยากไร้ในพื้นที่ ให้มีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และมีอนาคตที่ดี

โดยจังหวัดนครพนมเป็นหนึ่งในหลายๆพื้นที่ ที่คนเวียดนามได้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยโดยเฉพาะบริเวณบ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมืองนครพนม ที่ครั้งหนึ่งระหว่างปี พ.ศ. 2466 – 2474 ประธานโฮจิมินห์ ผู้นำชาวเวียดนามได้มาพำนักและใช้เป็นฐานที่มั่นในการวางแผน กอบกู้ชาติจนประสบความสำเร็จ และเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศเวียดนามให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของจังหวัดนครพนม และสนับสนุนให้ประชาชนในชุมชนมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าและของที่ระลึก รัฐบาลไทยและรัฐบาลเวียดนามจึงได้มีโครงการหมู่บ้านมิตรภาพไทย – เวียดนามขึ้นในพื้นที่บ้านนาจอก เมื่อปี 2547 และได้มีการก่อสร้างอนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์ ขึ้นมา เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ศึกษาวัฒนธรรมและมิตรภาพไทยเวียดนาม ที่มีการรวบรวมประวัติความเป็นมาของประธานโฮจิมินห์ ซึ่งถือเป็นบุคคลตัวอย่าง เป็นผู้ที่มีความรักชาติ พยามที่จะกอบกู้เอกราชคืนให้ชาวเวียดนามในยุคสงครามอินโดจีนจนประสบความสำเร็จ ให้ผู้ที่สนใจได้มาศึกษาและเยี่ยมชม


นรข. ประกอบพิธีวางพวงมาลา เนื่องในวันอาภากร “องค์บิดาของทหารเรือไทย”

วันที่ 19 พฤษภาคม 2565 ที่กองบัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงนครพนม อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม พลเรือตรี สมบัติ จูถนอม ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง พร้อมด้วย นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม นำกำลังพลหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง ร่วมกันประกอบพิธีวางพวงมาลาเพื่อถวายราชสักการะ แด่พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์บิดาของทหารเรือไทย เนื่องในวันอาภากร ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ได้ทรงวางรากฐาน พัฒนากิจการทหารเรือให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง มีความเจริญก้าวหน้าเป็นที่ประจักษ์มาตราบเท่าทุกวันนี้

โดยพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงมีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2423 ซึ่งเป็นเจ้านายพระองค์แรกที่สำเร็จการศึกษาวิชาทหารเรือจากประเทศอังกฤษ และได้เสด็จกลับมาเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือในปีพุทธศักราช 2443 รับพระราชทานยศเป็น นายเรือโทผู้บังคับการ ในตำแหน่งนายธง ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ปีพุทธศักราช 2448 ทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ทรงปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนนายเรือให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้ทหารเรือไทยมีความรู้ ความชำนาญ สามารถเป็นครู และเป็นผู้บังคับบัญชาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาชาวต่างประเทศ

สำหรับหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงนั้น ถือว่าเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญยิ่งในการดูแลรักษาประเทศ ป้องกันปัญหายาเสพติด อาชญากรรม รวมไปถึงการลักลอบกระทำผิดกฎหมายตามแนวชายแดนของแม่น้ำโขงในพื้นที่รวมทั้งสิ้น 8 จังหวัด คือ เชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี


วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

เทศบาลเมืองนครพนม เตรียมพร้อมรับมือน้ำฝนท่วมขังรอการระบาย

วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ที่สำนักงานเทศบาลเมืองนครพนม นายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม เปิดเผยว่า ในช่วงนี้จังหวัดนครพนมเริ่มมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับน้ำโขงเพิ่มระดับวันละประมาณ 10 -20 เซนติเมตร ล่าสุดอยู่ที่ระดับประมาณ 4 เมตร ห่างจากจุดวิกฤตล้นตลิ่งที่เคยรับได้สูงสุด 13 เมตร อยู่ที่ประมาณ 9 เมตร ส่วนลำน้ำสาขาสายหลักอื่น ๆ เช่น ลำน้ำก่ำ ลำน้ำอูน ลำน้ำสงคราม ก็มีปริมาณเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกัน ดังนั้นเทศบาลเมืองนครพนม จึงได้มีการเตรียมพร้อมในการดูแลพี่น้องประชาชนในเขตเทศบาลเมืองนครพนมหากมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง


โดยมีการวางแผนป้องกันน้ำเอ่อท่วมกรณีน้ำไหลระบายลงแม่น้ำโขงไม่ทัน ซึ่งก็ได้มีการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบดูแล ปรับปรุงพัฒนาและขุดลอกกำจัดสิ่งปฏิกูลตามท่อระบายน้ำในจุดเสี่ยงต่าง ๆ มีการตรวจเช็คเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ รวม 7 จุด ที่มีการติดตั้งเอาไว้เพื่อให้พร้อมใช้งานหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งมีการประสานสำนักงานชลประทานจังหวัดนครพนม เพื่อขอกำลังและอุปกรณ์เสริมสนับสนุน ในการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเสริมเพิ่มเติมในจุดเสี่ยง ซึ่งคิดว่าจากแผนงานที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทุกปีในช่วงฤดูฝนค่อนข้างได้ผล ยกเว้นกรณ๊ที่ฝนตกลงมาในปริมาณที่มากในจุดเดิม ๆ ก็อาจจะมีน้ำรอการระบาย แต่ทุกจุดมีการเตรียมความพร้อมสำหรับการป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังรอระบาย ทั้งในพื้นที่ย่านเศรษฐกิจ เขตชุมชน และเขตเทศบาลเมืองนครพนม โดยเฉพาะบริเวณถนนเส้นที่มีการตัดใหม่ เพราะมีการถมคลองเพื่อขยายผิวจราจร ซึ่งแผนทั้งหมดคาดว่าจะสามารถเตรียมความพร้อมแล้วเสร็จภายในอาทิตย์นี้ แต่ด้วยปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ไม่แน่นอน ประกอบน้ำสมทบที่ไหลมาจากทางเหนือไม่สามารถคำนวนได้ว่าจะเป็นอย่างไร และน้ำที่จะเอ่อบริเวณท้ายเมืองมีเท่าไหร่ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมาบริหารจัดการน้ำในส่วนนี้ให้ดี แต่ถ้าเป็นกรณีทั่วไปทางเทศบาลเมืองนครพนมสามารถป้องกันได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี ก็ได้สั่งให้มีการเตรียมความพร้อมจัดเจ้าหน้าที่เข้าเวรตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อค่อยออกปฏิบัติหน้าที่ทันที่หากมีเหตุฉุกเฉินพร้อมกับเครื่องมือและอุปกรณ์ เครื่องสูบน้ำ
ส่วนในระยะยาวก็ได้มีการจัดทำแผนร่วมกับสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดนครพนม ในการจัดทำระบบระบายน้ำ เริ่มจากถนนอภิบาลบัญชา ข้ามถนนนิตโย ไปยังหนองกระตืก หนองหัวช้าง หนองเบน และออกลำรางสาธารณะห้วยฮ่องฮอ เพื่อไหลลงสู่ลำน้ำโขง ซึ่งถ้าแล้วเสร็จจะช่วยในการป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังรอการระบายได้อีกจำนวนมาก โดยแผนงานโครงการดังกล่าวเป็นงบประมาณผูกพัน 4 ปี ซึ่งปีแรกจะนำร่องด้วยงบประมาณ 35 ล้านบาท


คณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา ลงพื้นที่นครพนมดูความพร้อมท้องถิ่นดิจิทัลและการโอนย้าย รพ.สต.

วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนมพลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช ประธาน คณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา นำคณะลงพื้นที่ศึกษาดูงาน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายวรรณพล ต่อพล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นางสาวศุภพานี โพธิ์สุ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม นายสราวุธ วังริยา รักษาราชการแทนท้องถิ่นจังหวัดนครพนม และคณะผู้บริหารสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เพื่อรวบรวมข้อมูล ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ รวมไปถึงความก้าวหน้าขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อนำเสนอต่อวุฒิสภา และรัฐบาล เพื่อพิจารณาในขับเคลื่อนการบริหารประเทศ

พลเอก เลิศรัตน์ รัตนวานิช ประธาน คณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา กล่าวว่า ในวันนี้ได้มาศึกษาดูงานที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ทำให้ได้ทราบถึงแนวความคิดในการพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น ในเรื่องของด้านการศึกษา ด้านการสาธารณสุข ที่มีแนวความคิดที่จะจัดให้มี การแพทย์ทางไกล ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดนครพนม ทั้งในการประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย งบประมาณในการติดต่อสื่อสารต่างๆ ทำให้แพทย์สามารถจ่ายยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์ได้ จึงถือเป็นแนวความคิดที่ดีที่เข้ามาเติมเต็มการพัฒนาให้ประชาชนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่ส่งผลกระทบต่อทุกคนถ้าเราสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ทำให้เกิดท้องถิ่นดิจิทัล หรือเมืองอัจฉริยะที่มีการนำเรื่องของไอที อินเทอร์เน็ต มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งในการบริหารงานและการติดต่อกับประชาชนทั่วทั้งจังหวัดแบบไม่ต้องเดินทางเข้ามาที่หน่วยงาน หรือแม้กระทั่งการจ่ายภาษีผ่านแอพพลิเคชั่น การนำนวัตกรรมไปใช้ในการทำมาหากินและส่งเสริมการศึกษา ก็จะเป็นการพัฒนาให้ประชาชนทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นรองรับการเติบโตของเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนมได้ อีกประเด็นคือเรื่องของการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จากกระทรวงสาธารณสุขมาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เบื้องต้นจะมีการถ่ายโอน 2 แห่ง แต่ยังไม่มากตามที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดต้องการ แต่ก็มีการเริ่มต้นถ่ายโอนให้แล้ว ซึ่งคิดว่าจะทำถ่ายโอนในครั้งนี้จะทำให้การสาธารณสุขของประชาชนจังหวัดนครพนมดีขึ้นอีกมาก นอกจากนี้ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ยังได้มีการบรรยายถึงปัญหาและอุปสรรคในหลาย ๆ เรื่อง ที่คณะกรรมาธิการจะนำไปศึกษาเพิ่มเติมและนำเสนอต่อวุฒิสภา เพื่อเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี ในการแก้ปัญหา เช่น ในเรื่องของการทับซ้อนกันของนโยบาย อำนาจหน้าที่ การขอใช้ที่ดินจากหน่วยงานอื่น เช่น กรมป่าไม้ กรมที่ดิน ที่เป็นปัญหาทำให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนมไม่สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมสาธารณะ หรือบริการสาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ด้านนายกษิดิศ อาชวคุณ โฆษกคณะกรรมาธิการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นสำคัญในการประชุมในครั้งนี้ อีกเรื่องคือคณะผู้บริหารจังหวัดนครพนม ได้มีการสะท้อนปัญหาการส่งออก ที่มีมูลค่ากว่า 7 พันล้านบาทต่อปี ที่จะทำอย่างไรให้คนนครพนมได้ประโยชน์สูงสุดจากตรงนี้ เพราะฉะนั้นการพัฒนาด้านอาชีพจึงมีความสำคัญที่คณธกรรมาธิการต้องผลักดันให้มีการเสริมสร้างตรงนี้ให้มากยิ่งขึ้นเพื่อทำให้ทุกคนเกิดรายได้ ส่วนเรื่องแพทย์ทางไกล ก็ได้ให้กำลังใจทางคณะผู้บริหารในการขับเคลื่อนและผลักดันให้เรื่องนี้สำเร็จ โดยได้เสนอในที่ประชุมขอนำคณะทำงานในเรื่องดิจิทัลและไอทีจากต่างประเทศที่มีอยู่มาช่วยสนับสนุน เพื่อเสริมสร้างในด้านนี้ให้บุคคลากรจังหวัดนครพนมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพราะอยากให้โมเดลนี้เกิดขึ้นจริง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนอย่างมหาศาลโดยเฉพาะผู้สูงอายุ และเชื่อว่าท้องถิ่นอื่น ๆ ทั่วประเทศก็พร้อมที่จะนำไปขับเคลื่อนขยายผลต่อ


วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

นครพนมรวมน้ำใจ สร้างบ้านให้ผู้ยากไร้ เฉลิมพระเกียรติ พระพันปีหลวง

วันที่ 12 พฤษภาคม 2565 ที่บ้านเลขที่ 40/3 หมูที่ 9 บ้านโคกสว่าง ตำบลพะธาย อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันประกอบพิธียกเสาเอกก่อสร้างบ้านให้กับนางราตรี โพธิ์ศรี อายุ 70 ปีและสามีที่ป่วยเป็นโรคเส้นเอ็นยึด ไม่สามารถหยิบจับสิ่งของอะไรได้ ซึ่งเป็นผู้ยากไร้ที่จำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน จากการสำรวจข้อมูลคนไม่มีที่อยู่อาศัยหรือที่อยู่อาศัยทรุดโทรมของอำเภอท่าอุเทน ตามโครงการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นครพนมสร้างสังคมอุดมสุข ทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ประจำปี 2565


นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า เนื่องในวโรกาส มหามงคลเฉลิมพระชนมาพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จังหวัดนครพนมจึงได้มีการบูรณาการความร่วมมือทุกภาค ทั้งส่วนราชการ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ส่วนในการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยวันนี้เป็นวันดีที่ในอีก 90 วันข้างหน้าจะตรงกับวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา จึงได้ร่วมกัน kick off กิจกรรมเป็นวันแรก เพื่อให้ทุกฝ่ายบูรณาการสรรพกำลังทั้งหมดที่มี ร่วมกันสร้างบ้านให้กับประชาชนผู้ยากไร้ในพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่ผ่านการสำรวจของแต่ละอำเภอแล้วว่าเป็น ผู้ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องให้การช่วยเหลือ นอกจากนี้จังหวัดนครพนมยังมีกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติอีกหนึ่งกิจกรรม คือการจัดหาวิวแชร์ให้ผู้ที่เดินไม่ได้ ไม่สะดวก หรืออาจจะเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ยังพอเคลื่อนไหวช่วยเหลือตัวเองได้ เพื่อที่จะให้โอกาสบุคคลเหล่านั้นได้ออกมาข้างนอก เยี่ยมชมบรรยากาศและธรรมชาติต่างๆ ทำให้มีสุขภาวะที่ดีขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาจังหวัดนครพนมได้มีการประชุม ปรึกษาหารือในทุกภาคส่วน และร่วมกันลงพื้นที่สำรวจ หาข้อมูล จนได้ข้อสรุปในระดับหนึ่งเพื่อที่จะมาขับเคลื่อนโครงการให้ไปสู่จุดหมายโดยเร็วที่สุด ในการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ประชาชนชาวจังหวัดนครพนมมีความสุข มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น


วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

วนเกษตร การเกษตรแบบป่าทำกิน

นายวิชาญ ซาตัน เกษตรอำเภอนาแก จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า วนเกษตรเป็นการปลูกพืชหลาย ๆ อย่างที่ไม่มีรูปแบบตายตัว แต่มีทุกอย่างในพื้นที่ ซึ่งทุกคนจะเกิดคำถามว่าปลูกแบบนี้แล้วได้อะไร เพื่ออะไร แต่หลายคนอาจจะคาดไม่ถึงว่า การทำในลักษณะนี้มีผลสะท้อนกลับมามากมายมหาศาลเกินที่จะบรรยาย เพราะการทำแบบวนเกษตรจะให้ผลผลิต ทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาวในอนาคต 30-40 ปีขึ้นไป ซึ่งในตอนนั้นเกษตรกร อาจจะมีอายุมาก 70 - 80 ปีแล้ว แต่ยังจะมีรายได้ โดยมีความสุข ได้อยู่กับต้นไม้และธรรมชาติที่ร่มรื่น

ด้านนายจักรวาล กิตติโชคมนตรี เกษตรกรบ้านโพนแพง ตำบลพระซอง อำเภอนาแก กล่าวว่า ตนเองมีสวนอยู่ 53 ไร่ โดยจะแยกส่วนการปลูกพืช คือไม้ผลแค่ 3 ไร่ นอกนั้นปลูกป่าหมด เพราะมองว่าป่าทำทีเดียวแล้วจบไม่ต้องมาทำซ้ำเหมือนทำนา ปลูกข้าว ปลูกผักกาด ที่เก็บผลผลิต แล้วก็ไถ แล้วก็ปลูกใหม่ วนซ้ำอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ที่สำคัญคือปลูกป่านนั้นทำง่าย ซึ่งก็มีคนถามว่าปลูกป่าแล้วจะกินอะไร ตนเองจึงอยากให้มาดู จะได้เห็นว่าได้กินอะไร เพราะในช่วงฤดูฝนประมาณเดือนสิงหาคมจะเห็นว่ามีเห็ดเกิดขึ้นมาเยอะมาก ทั้งเห็ดดิน เห็ดระโงก เห็ดตะไค และเห็ดปลวก ทุกวันนี้ถ้าเราเดินไปในสวนก็จะเห็นไข่มดแดง โดยหลัก ๆ ที่ตนเองปลูกพืชจะเน้นปลูกมะม่วง เพราะมองว่าใบไม่ค่อยร่วงและถ้าในอนาคตตนเองไม่มีแรงที่จะทาบกิ่งขาย หรือมาตอนต้นพันธุ์ขาย ใบมะม่วงที่ไม่ร่วงจะเป็นรังให้กับมดแดงได้เป็นอย่างดี สังเกตจากทุกวันนี้ที่มีการแหย่ไข่มดแดง 4 ต้นจะได้ไข่มดแดง 1 กิโลกรัม ถ้ามีประมาณ 1,000 ต้น ก็ลองคำนวณเอาว่าจะได้เยอะขนาดไหน ที่สำคัญคือไข่มดแดงไม่ใช่ราคาถูก ๆ ซึ่งก็ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่การขายฝัน แต่เป็นเรื่องจริงที่สัมผัสได้ นอกจากนี้ก็ยังมีความสุข เพราะเราได้ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ

สำหรับการทำการเกษตร ยากที่สุดยากกว่าการดูแลต้นไม้ คือ การตัดสินใจลงมือทำในตอนแรก ซึ่งก็ต้องบอกว่าการทำครั้งแรกของตัวเองก็มีปัญหาเพราะพื้นที่ของเราอยู่ท้ายหมู่บ้านไม่มีไฟฟ้าใช้ ดังนั้นเมื่อปลูกแล้วก็ต้องไปหิ้วน้ำในหนองมารดน้ำต้นไม้ ซึ่งก็ค่อย ๆ ปรับปรุงมาเรื่อย เพราตนเองอยากจะทำให้ทุกคนเห็นว่า การทำเกษตรสามารถอยู่ได้จริง ๆ


หน่วยความมั่นคงนครพนม บูรณาการร่วมปฏิบัติการฟ้าสางที่ฝั่งโขง ตรวจยึดกัญชาอัดแท่ง 725 กิโลกรัม รถยนต์ 2 คัน

วันที่ 11 พฤษภาคม 2565 ที่ ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนมหลังใหม่ นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานความมั่นคง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวปฏิบัติการฟ้าสางที่ฝั่งโขง ตามแผนยุทธการของศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดนครพนม ที่ได้มีการบูรณาการกำลังพลในพื้นที่เฝ้าระวังและป้องกันปัญหายาเสพติด จนนำไปสู่การตรวจยึดกัญชาอัดแท่งได้จำนวน 725 แท่ง/กิโลกรัม รถยนต์ 2 คัน และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง ภายหลังพลเรือตรี สมบัติ จูถนอม ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (ผบ.นรข.) ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนในราชอาณาจักร บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงบ้านท่าทราย ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จึงได้มีการสั่งการให้กำลังพลประสานหน่วยงานที่เกี่ยวบูรณาการร่วมกัน จัดชุดลาดตระเวนทางบกเข้าทำการตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ กระทั่งเวลา 20.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวน นรข. ได้ตรวจพบเรือต้องสงสัยหยุดอยู่กลางแม่น้ำ ต่อมาได้ปล่อยเรือไหลลอยลำเข้าจอดเทียบฝั่งที่ท่าเทียบเรือ ไม่นานก็มีกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งมาช่วยกันแบกวัตถุต้องสงสัยขึ้นจากเรือมาใส่ในรถยนต์และท้ายรถยนต์

เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเพื่อเข้าทำการตรวจสอบ ซึ่งบุคคลกลุ่มดังกล่าวได้พยายามขับรถหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงพยายามติดตามพร้อมประสานชุดลาดตระเวนร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 237 (ตชด.237) ที่นำโดย พ.ต.ท. เฉลิมชัย ศรีทอง ผบ.ร้อย ตชด.237 ตั้งจุดสกัด โดยขณะติดตามคนขับรถยนต์ TOYOTA รุ่น VIOS สีขาว ทะเบียน ขฉ 9395 นครราชสีมา เห็นจวนตัวจึงได้จอดรถริมทางแล้ววิ่งหลบหนีหายไปในความมืดทันที ขณะที่ชุดสกัด ตชด.237 ได้ตรวจพบรถยนต์ IZUSU MU-7 สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน 8927 กทม. ตามการประสานขับมาด้วยความเร็วฝ่าด่าน จึงได้พยายามเร่งขับรถยนต์ติดตาม โดยรถยนต์ผู้ต้องสงสัยมีระยะห่างจากรถเจ้าหน้าที่ประมาณ 400 เมตร กระทั่งเวลา 21.30 น. เจ้าหน้าที่ได้พบว่าผู้ต้องสงสัยได้จอดรถทิ้งไว้ที่ริมถนนทางหลวง หมายเลข 2032 บ้านดอนติ้ว ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน ในลักษณะประตูรถทั้งสองด้านเปิดอยู่ เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการตรวจสอบรถทั้ง 2 คัน ปรากฏว่าภายในมีกระสอบขนาดใหญ่สีขาวห่อด้วยถุงพลาสติกสีดำพันรอบด้วยเทปกาวใส ภายในเป็นกัญชาอัดแท่งจำนวนรวม 725 แท่งกิโลกรัม และโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ ไอโฟน 1 เครื่อง จึงได้ทำบันทึกตรวจยึดของกลางทั้งหมดพร้อมนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอุเทน เพื่อติดตามหาผู้กระทำผิดมาดำเนินตามกฎหมายต่อไป

โดยในโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกนาย ได้กล่าวขอบคุณและกล่าวชมเชยประชาชนในพื้นที่ที่เห็นความสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติด แจ้งเบาะแสเข้ามาจนนำไปสู่การตรวจยึดและจับกุมในหลาย ๆ ครั้งรวมถึงครั้งนี้ด้วย โดยยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขงจะปฏิบัติการต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ พร้อมกับประเมินสถานการณ์ ซึ่งหลังจากนี้จะมีการแถลงข่าวแบบสรุปภาพรวมให้ประชาชนได้เห็นว่าแต่ละหน่วยมีการดำเนินการด้านใดไปแล้วบ้าง โดยในวันนั้นทุกคนสามารถมาเสนอความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงแผนปฏิบัติการได้ และขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทุกนายพร้อมปฏิบัติการทันทีที่มีการแจ้งข่าวสารเข้ามา รวมทั้งจะมีการปกปิดข้อมูลผู้ที่แจ้งเบาะแสไว้เป็นความลับเพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกคนจะมีความปลอดภัยเมื่อให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่


วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

จังหวัดนครพนม ประกอบพิธีรับพระราชทาน ‘พระพลังแผ่นดิน’ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ข้าราชการในการปฏิบัติหน้าที่

วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในการประกอบพิธีรับพระราชทาน พระพลังแผ่นดิน เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ให้แก่นายวรรณพล ต่อพล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายพรต ภูภักดิ์ ปลัดจังหวัดนครพนม และนายอำเภอ ทั้ง 12 อำเภอ รวมทั้งสิ้น 16 คน

นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังจัดพิธีพระราชทาน “พระพลังแผ่นดิน” ให้แก่ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนส่วนราชการ และหน่วยงานต่างๆ เมื่อวันอังคารที่ 19 เมษายน 2565 ณ อาคารบัญชาการ หน่วยราชการในพระองค์ 904 พระที่นั่งอัมพรสถาน เพื่อเชิญไปจัดพิธีรับพระราชทานพระพลังแผ่นดินให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งในวันนั้นได้เป็นตัวแทนจังหวัดนครพนมเข้ารับพระราชทาน พระพลังแผ่นดิน เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมกับผู้ว่าราชการจังหวัดอื่น ๆ ทุกจังหวัด เพื่อเชิญนำมาจัดพิธีรับพระราชทาน พระพลังแผ่นดิน ให้แก่รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด และนายอำเภอในพื้นที่ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่

โดยพระพลังแผ่นดิน เป็นพระเนื้อผง ทรงสามเหลี่ยม มีรูปแบบพุทธศิลป์ ด้านหน้าเป็นพระศรีศากยสิงห์ หรือพระศรีอริยเมตไตรยเข้าสู่ยุคกึ่งพุทธกาล มีนาคพันพระอุระ หมายถึง ทรงโปรดทั้ง 3 ภพ (ไตรภูมิ) เลข 9 หมายถึง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เลข 10 หมายถึง พระทศพลญาณ พญาครุฑ หมายถึง ครุฑที่ดูแลชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทรงตบะบารมีอำนาจ ทำให้เกิดความสงบ ร่มเย็น เป็นสัญลักษณ์แห่งแผ่นดิน รูปจักร หมายถึง จัดสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์จักรี


วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

จังหวัดนครพนม ประกอบพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี 2564

วันที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในการประกอบพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี 2564 ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี 2564 เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 โดยได้มีการประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในสถานที่เหมาะสม โดยในปี 2564 จังหวัดนครพนม มีข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุขได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย รวมทั้งสิ้น 26 ราย ประกอบไปด้วยชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก จำนวน 1 ราย ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย จำนวน 25 ราย

โดยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก 1 สำรับ ประกอบด้วย ดวงตรา ด้านหน้าเป็นรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่นอยู่บนพื้นทองในดอกบัวบาน กลีบลงยาสีแดง เกสรเงิน รอบนอกมีกระจังเงิน 8 ทิศ มีกระจังแทรกตามระหว่าง ด้านหลังเปลี่ยนรูปช้างเป็นอักษรพระปรมาภิไธยย่อ ม.ป.ร. ลงยาสีแดง เบื้องบนมีพระมหามงกุฎทองมีรัศมี สายสะพาย เป็นแพรแถบขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร สีแดงริมเขียวใหญ่ มีริ้วเหลืองและน้ำเงินขนาดใหญ่ควบคั่นทั้ง 2 ข้าง สำหรับสะพายบ่าขวาเฉียงลงทางซ้าย และดารา ด้านหน้ามีลักษณะเช่นเดียวกับดวงตราแต่กระจังยาวกว่า ด้านหลังเป็นทอง สำหรับประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย ดวงตรา ดารา และสายสะพายสำหรับพระราชทานสตรีนั้นจะมีขนาดย่อมกว่าบุรุษ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องหมายประดับแพรแถบย่อและดุมเสื้อ มีลักษณะเป็นรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่นอยู่ในดอกบัวบาน กลีบลงยาสีแดงสลับเขียว เกสรเงิน

ส่วนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย 1 สำรับ ประกอบด้วย ดวงตรา เป็นรูปพระมหามงกุฎอยู่ในลายหว่านล้อมทอง พื้นลงยาสีน้ำเงินและสีแดง มีกระจังเงินใหญ่และเล็ก อย่างละสี่ทิศ มีรัศมีทองสลับตามระหว่าง ด้านหลังเปลี่ยนพระมหามงกุฎเป็นอักษรพระปรมาภิไธยย่อ "จ.ป.ร." เบื้องบนมีจุลมงกุฎ สายสะพาย เป็นแพรแถบขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร สีน้ำเงินริมเขียว มีริ้วเหลืองรื้วแดงขนาดใหญ่คั่นทั้งสองข้าง สะพายบ่าขวาเฉียงลงบ่าซ้าย และดารา เป็นรูปอย่างด้านหน้าดวงตรา ด้านหลังเป็นทอง และไม่มีจุลมงกุฎ ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย

ทั้งนี้ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย เกิดขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงเรียกว่า "เครื่องราชอิสริยยศ" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างเครื่องราชอิสริยยศขึ้นอีกหลายตระกูล และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เปลี่ยนมาเรียกว่า "เครื่องราชอิสริยาภรณ์"สำหรับพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และผู้กระทำคุณความดีให้แก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งที่เป็นบุรุษและสตรี


วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ปลัดมหาดไทยนำทีมขับเคลื่อนผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา เปิด Coaching แนะเทคนิคกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการที่นครพนม

วันที่ 8 พฤษภาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการ OTOP ผ้าไทย (Coaching ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา) กิจกรรมที่ 1 จัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าและอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ OTOP ผ้าไทย จุดดำเนินการที่ 2 จังหวัดนครพนม ที่กรมการพัฒนาชุมชน โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนมจัดขึ้น ที่โรงแรมฟอร์จูนริเวอร์วิว อำเภอเมืองนครพนม เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้แก่ตัวแทนกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ผ้าไทย ช่างทอผ้า และสมาชิกศิลปาชีพ ในพื้นที่จังหวัดนครพนม สกลนคร มหาสารคาม และจังหวัดกาฬสินธุ์ รวม 69 คน ให้สามารถนำลายผ้าพระราชทานผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญาไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าตามอัตลักษณ์พื้นถิ่น เป็นการสร้างรายได้ให้กับชุมชน

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า อาชีพเกษตรกรรมมีระยะเวลาการทำจริงๆประมาณ 3-4 เดือนในช่วงที่มีน้ำจากนั้นประชาชนก็จะหันไปทำอย่างอื่น และจากการเสด็จพระราชดำเนินตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไปทรงเยี่ยมพสกนิกรตามหมู่บ้านต่างๆ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงเป็นที่มาของศูนย์ศิลปาชีพ ที่มาส่งเสริมให้ราษฎรใช้ความรู้ความสามารถในด้านหัตถกรรม มีการทอผ้าจำหน่ายก่อเกิดผลิตภัณฑ์ที่มีความงดงามตามภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่น ทั้งยังก่อให้เกิดรายได้กับทุกคนในชุมชน และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระปณิธานที่จะสืบสานต่อจากสมเด็จย่า และพระองค์ท่านได้พระราชทานลายผ้าให้กลุ่มทอผ้า เพื่อนำมาเป็นต้นแบบต่อยอดในการส่งเสริมอาชีพ โดยทำให้ทุกคนได้เข้าใจและรู้ซึ้งในหลักของความพอเพียง การพัฒนาฝีมือทักษะความสามารถทำให้ภูมิปัญาที่มีอยู่โดดเด่นเป็นสุดยอดของผ้าแบบพึ่งพาตนเอง และทรงทราบดีว่าศิลปินทั้งหลายจะมีกำลังใจ ก็เมื่อมีคนสวมใส่ผ้าที่ตนเองประดิษฐ์ขึ้นมา จึงพระราชทานโครงการ ผ้าไทยใส่ให้สนุก ที่เป็นการกระตุ้นให้ประชาชนทั่วโลกได้หันมาสนใจผ้าไทยและเกิดการสวมใส่ที่แพร่หลาย พร้อมทั้งได้ส่งดีไซเนอร์ คนรุ่นใหม่มาถ่ายทอดความรู้ให้กลุ่มผู้ผลิตได้นำไปต่อยอดพัฒนาผ้าไทยขให้คนทุกเพศ ทุกวัย ได้สวมใส่ในทุกๆ โอกาส ทั้งจัดให้มีการประกวดผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา เพื่อให้กลุ่มทอผ้าได้พัฒนาฝีมือและเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไป ได้เห็นถึงความงดงามของผ้าไทย

ด้านนายนิวัติ น้อยผาง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยว่า สำหรับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ นอกจากจะได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของการก่อกำเนิดโครงการฯ แนวทางในการส่งผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญาเข้าประกวดเพื่อชิงรางวัลพระราชทาน ยังจะได้รับความรู้และเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อนำไปปรับใช้กับผ้าของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น Fashion designer , Textiles designer, Branding Marketing & sale , การออกแบบลายอัตลักษณ์ประจำถิ่น โดยจะเป็นการเรียนแบบถามตอบจากดีไซเนอร์และนักออกแบบชั้นนำของประเทศรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทยและการย้อมสีธรรมชาติ และเทคนิคในการส่งเสริมการขายออนไลน์ แบบ Live สด เพื่อเป็นการสร้างรายได้และเพิ่มช่องทางการตลาด นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าร่วมอบรมได้นำผลิตภัณฑ์ของตนเองมาวางจำหน่าย เป็นการประชาสัมพันธ์และเพิ่มรายได้อีกทางด้วย


วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ พระราชทานพวงมาลา วางหน้าโกศศพ นายนพดล ไกรษร ม.ป.ช.,ม.ว.ม.

วันที่ 6 พฤษภาคม 2565 เวลา 17.30 น. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เชิญพวงมาลาของสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี และของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ไปวางหน้าหีบโกศศพ นายนพดล ไกรษร ม.ป.ช.,ม.ว.ม. ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา ช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลแรงงาน ภาค 4 ที่บ้านเลขที่ 43 หมู่ 4 ตำบลอุ่มเหม้า อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม

ทั้งนี้นายนพดล ไกรษร เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2511 เริ่มรับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2542 จากนั้นเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาปฏิบัติราชการศาลแขวงอุบลราชธานี ผู้พิพากษาประจำสำนักงานศาลยุติธรรม ผู้พิพากษาแขวงอุบลราชธานี ผู้พิพากษาศาลจังหวัดอำนาจเจริญแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ผู้พิพากษาศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดมุกดาหารแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ผู้พิพากษาศาลจังหวัดจันทบุรี ผู้พิพากษาศาลจังหวัดขอนแก่น ผู้พิพากษารองหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดสว่างแดนดิน ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดตราด  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดยโสธร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดอุดรธานี และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลแรงงาน ภาค 4 

ตลอดระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่ได้ประกอบอาชีพโดยสุจริตและประกอบคุณงามความดีเป็นอย่างมากจนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย เครื่องราชอิสริยาภรณ์ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก เครื่องราชอิสริยาภรณ์ประถมาภรณ์มงกุฎไทย เครื่องราชอิสริยาภรณ์ประถมาภรณ์ช้างเผือก เครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาวชิรมงกุฎ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก โดยตลอดระยะเวลาการปฏิบัติงานเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงเป็นปกติเสมอมา จนเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2565 เวลา 21.42 น. ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมอายุ 53 ปี

อบจ.นครพนม จับมือ 47 ท้องถิ่นแก้ปัญหาขยะอย่างยั่งยืน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

วันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บริเวณอาคารแสดงสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ตำบลหนองญาติ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายแพทย์อลงกต มณีกาศ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดโครงการบริหารจัดการของเสียอันตรายชุมชนจังหวัดนครพนม แบบครบวงจร มุ่งสู่เมืองสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ประจำปีงบประมาณ 2565 ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ร่วมกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 47 แห่ง จัดขึ้น เพื่อร่วมกันสำรวจปริมาณของเสียอันตรายชุมชน ร่วมกันศึกษาปัญหา วางแผนการคัดแยกของเสียอันตรายชุมชน จัดหาผู้ให้บริการเก็บขนขยะ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในชุมชน ได้มีการคัดแยกและรวบรวมขยะอันตรายชุมชนนำมาส่งมอบให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งจะเป็นการจัดการขยะมูลฝอยแบบครบวงจร โดยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน มุ่งสู่การแก้ไขปัญหาขยะอย่างยั่งยืน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

นายแพทย์อลงกต มณีกาศ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม กล่าวว่า ในช่วงแรก ๆ ที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ทำให้จังหวัดนครพนมต้องมีการตั้งศูนย์พักคอย ตั้งโรงพยาบาลสนาม และมีศูนย์ให้บริการต่าง ๆ ทำให้ในช่วงนั้นมีขยะติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับประชาชนหลายคนที่มองว่ามีความน่ากลัว ดังนั้นเมื่อเห็นว่ามีการนำไปทำลายใกล้กับพื้นที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ก็มีความกลัว มีความกังวลและเกิดการต่อต้าน ส่งผลให้การจัดเก็บและทำลายมีความลำบาก แต่เมื่อทุกคนเข้าใจถึงขั้นตอน กระบวนการ มีความคุ้นเคย และเข้าใจว่าเชื้อโรคเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถเจริญเติบโตได้ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม ถ้าอยู่ในร่างกายก็มีความเหมาะสมก็เหมือนปลูกพืช พอได้รับน้ำที่ดี ดินที่ดีก็เจริญเติบโต แต่ถ้าเชื้อโรคออกมาอยู่ภายนอก มาอยู่กับขยะ อยู่กับสิ่งอื่น ๆ ก็จะมีระยะเวลาที่ทำให้เชื้อตายได้ จึงไม่มีการต่อต้านเหมือนช่วงแรก แต่เพื่อทำให้สังคมของชาวนครพนมได้รับการแก้ไขปัญหาขยะอย่างถูกต้องและยั่งยืน ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม จึงได้ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ขับเคลื่อนโครงการบริหารจัดการของเสียอันตรายชุมชนจังหวัดนครพนม แบบครบวงจร มุ่งสู่เมืองสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ประจำปีงบประมาณ 2565 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ปัญหาขยะมูลฝอยเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหา โดยใช้หลัก 3 Rs คือ ใช้น้อย ใช้ซ้ำ และนำกลับมาใช้ใหม่ ที่เป็นแนวทางคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง