วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
นครพนม จับมือ ททท. และภาคีเครือข่ายจัดงานริมโขงว่าซั่นนน วันมหัศจรรย์แห่งสายฝน ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองต้องมาสัมผัส
วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
จังหวัดนครพนม ประกอบพิธีเครื่องถวายราชสักการะวางพานพุ่ม และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
วันที่ 28 กรกฎาคม 2565 ทีหอประชุมมรุกขนคร โรงเรียนนครพนมวิทยาคม อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ตุลาการ อัยการ ทหาร ตำรวจ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะ วางพานพุ่มทอง - พุ่มเงิน และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565 เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่ตลอดระยะเวลาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานับประการ ด้วยพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด นำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของพสกนิกร ทำให้ทุกคนได้รับการสนับสนุน การพัฒนาทั้งในด้านทักษะและด้านอาชีพ ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการจิตอาสาพระราชทาน ซึ่งเป็นพระราโชบายที่ทำให้ประชาชนทุกคนมีความรักความสามัคคี รู้จักการแบ่งปัน ช่วยเหลือเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันในด้านต่าง ๆ ก่อให้เกิดประโยชน์แห่งความสุขต่อสังคมและประเทศชาติ
โดยการประกอบพิธีวางพานพุ่มนั้นจะมีอยู่ 2 ลักษณะคือการวางเพื่อเป็นเครื่องบูชาและเป็นเครื่องสักการะสิ่งที่เคารพนับถือ เป็นการแสดงออกถึงความเคารพ และความจงรักภักดีในโอกาสต่าง ๆ ซึ่งช่างจะมีการนำเอาวัสดุมาประดิษฐ์เป็นทรงพุ่มแล้วนำมาวางไว้บนพานเพื่อนำไปเป็นเครื่องบูชาหรือเครื่องสักการะ แบ่งออกเป็นพานพุ่มเทียน พานพุ่มดอกไม้สดหรือพานพุ่มดอกไม้ และพานพุ่มทอง – พานพุ่มเงิน ส่วนพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล มีจุดเริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2520 ที่หน่วยอาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน ( อส.) ศูนย์สาธิตที่ 1 หุบกะพง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งได้มีการจัดงานเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเป็นการจัดพิธีถวายพระพรในตอนกลางคืน เนื่องจากในช่วงกลางวันชาวบ้านมีความจำเป็นต้องไปทำงานในเรือกสวนไร่นา ประกอบสถานที่จัดงานในเวลากลางคืนมืดสนิทเพราะไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ทุกคนจึงได้นำเทียนไขมาคนละเล่ม โดยมีการจุดเทียนชัยไว้ที่แท่นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านเพื่อให้เกิดแสงสว่างไสวกับสถานที่ก่อน กระทั่งเวลา 20.00 น. ก็ได้พร้อมใจกันจุดเทียนที่นำและกล่าวคำถวายพระพร จากนั้นได้พร้อมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี 1 จบ และพากันเวียนเทียนประทักษิณรอบพระบรมฉายาลักษณ์ จำนวน 3 รอบ ซึ่งในกิจกรรมครั้งนั้น อส.ได้วิทยุรายงานแจ้งเรื่องการจุดเทียนชัยถวายพระพรเข้าสู่สำนักพระราชวัง ณ พระราชวังไกลกังวล เพื่อรายงานให้พระองค์ได้ทรงรับทราบเป็นระยะๆ จวบจนจบพิธี ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 ทางราชการได้มีการประกาศจัดพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกที่ท้องสนามหลวง และจากนั้นก็ได้ถือปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้จ.นครพนม รับมอบภาพประวัติศาสตร์ สตรีทอาร์ท คิงภูมิพล จากมูลนิธิยังมีเราและทีมงาน
วันที่ 28 กรกฎาคม 2565 ที่บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย พล.ต.สถาพร บุญชู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผบก.ภ.จว.นครพนม นายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม ตลอดจนคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ ร่วมรับมอบภาพวาดฝาผนัง สตรีทอาร์ท คิงภูมิพล ศิลปะแห่งรักและศรัทธา มหาราชาภูมิพล ที่มูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าว TOP NEWS ร่วมกับทีมวาดภาพครูอะไหล่ และหน่วยงานต่าง ๆ จัดทำขึ้น เพื่อส่งเสริมงานด้านศิลปะ อันธำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ และส่งเสริม สนับสนุนการผลิตสื่อเพื่อสร้างสรรค์สังคมในรูปแบบของผลงานศิลปะ เพื่อมอบให้คนไทยและทั่วโลกได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 และน้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านไปใช้สานต่อในชีวิตตนเองละส่วนรวม
นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณทีมงานทุกคนที่ได้นำสิ่งดี ๆ และยิ่งใหญ่เป็นประวัติศาสตร์อีกหนึ่งหน้าของจังหวัดนครพนมมามอบให้ ซึ่งเมื่อได้รับการประสานจากมูลนิธิยังมีเรา ทางจังหวัดนครพนมก็ได้มีการหารือกับเทศบาลเมืองนครพนมและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องถึงความเหมาะสมของสถานที่ โดยต้องมีความสวยงามสมพระเกียรติ ประชาชนสามารถมองเห็นและเข้าถึงได้ง่าย รวมไปถึงเมื่อคณะทำงานวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วกระบวนการเก็บรักษาจะต้องมีมาตรฐานสูงสุด ไม่ให้ใครมาทำลายได้ จึงได้ตรงลงกันว่าจะใช้ผนังอาคารที่ตั้งอยู่ด้านข้างองค์พญาศรีสัตตนาคราช ที่เป็นแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วประเทศเดินทางมาเยี่ยมชมอยู่เป็นประจำเป็นสถานที่วาดภาพในครั้งนี้ด้านครูอะไหล่ หรือ นายชวัส จำปาแสน หัวหน้าคณะทีดวาดภาพ เล่าว่า การที่ได้มาทำงานที่นครพนมทำให้ได้สัมผัสความเป็นที่สุดของที่นี่ในหลาย ๆ อย่าง เริ่มที่สุดแห่งการต้อนรับตั้งแต่ก่อนมา กระทั่งมาวาดภาพจนถึงวันนี้ เพราะตลอดเวลามีประชาชนหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนกันมาให้กำลังใจไม่ขาดสาย ซึ่งปกติการไปทำที่อื่นจะทำกันแบบเหงา ๆ จนกว่าภาพจะใกล้เสร็จจึงจะคึกคัก แต่ที่นี่มีความสุขมากทำให้การทำงานของทีมงานทุกคนมีพลังและใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทนชาวนครพนมให้สมกับที่มามอบกำลังใจให้ ที่สุดต่อมาคือบรรยากาศสถานที่ที่วาดภาพ ซึ่งต้องบอกว่าพื้นที่ตรงนี้มีความเด่นเป็นสง่า ใครผ่านไปมามองเห็นได้โดยสะดวก เพราะโล่งแต่อยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำโขง ทำให้ทุกคนสามารถมาสัมผัสบรรยากาศและถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกได้ สำหรับภาพวาดในครั้งนี้มีทีมงานมาวาดร่วมกัน 10 กว่าชีวิต โดยอายุน้อยสุดคือน้องริตาที่อายุเพียง 9 ขวบ โดยมีแรงบันดาลใจร่วมกันในการออกแบบ อย่างแรกเลยคือรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 และยายตุ้มที่เป็นชาวนครพนม ที่ในตอนรับเสด็จครั้งนั้นอายุ 90 กว่าปีแล้วแต่ก็รอพระองค์ท่านด้วยใจที่แน่วแน่เพราะรัก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหวังที่มีต่อพระองค์ท่าน และเมื่อพระองค์ท่านทรงเห็นกระทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรอย่างยาวนาน โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเรียนรู้งานตลอดระยะเวลา ทำให้เป็นเหมือนความหวังต่อไปของประชาชนด้วยพระองค์ท่านมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการทรงงานที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอดจ.นครพนม ประกอบพิธีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
วันที่ 28 กรกฎาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม เจ้าหน้าที่และประชาชนจังหวัดนครพนมประกอบพิธีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2565 เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวจังหวัดนครพนม โดยพระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานับประการด้วยพระองค์เอง และทรงพระราชทานพระราชดำริ ต่าง ๆ อย่างมากมาย เพื่อให้เป็นไปตามพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการทรงงานที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด นำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของพสกนิกร ทำให้ทุกคนได้รับการสนับสนุน การพัฒนาอาชีพและชีวิตความเป็นอยู่ ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ นำมาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการจิตอาสาพระราชทาน ที่เป็นพระราโชบายที่ทำให้ประชาชนมีความรักความสามัคคี ช่วยเหลือเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันในทุก ๆ ด้าน นำมาซึ่งประโยชน์แห่งความสุข
โดยในเวลา 6.30 น. ทุกคนได้พร้อมใจกันทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ สามเณร จำนวน 71 รูป ถวายเป็นพระราชกุศล ณ บริเวณวัดสว่างสุวรรณาราม อำเภอเมืองนครพนม จากนั้นได้เดินทางไปที่หอประชุมมรุกขนคร โรงเรียนนครพนมวิทยาคม เพื่อร่วมกันประกอบพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดินประจำปี 2565 ผ่านระบบวีดีทัศน์พร้อมกับส่วนกลางกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่น ๆ จากนั้นเดินทางไปร่วมกันประกอบพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคลที่ ศาลากลางจังหวัดนครพนม ทั้งนี้ในช่วงเย็นของวันนี้จะมีพิธี ถวายเครื่องราชสักการะ และวางพานพุ่ม และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ หอประชุมมรุกขนคร โรงเรียนนครพนมวิทยาคมวันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
จ.นครพนม ปล่อยพันธ์ปลา 300,071 ตัว คืนความอุดมสมบูรณ์ให้ธรรมชาติ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ที่บริเวณหนองสามผง หมู่ที่ 1 บ้านสามผง ตำบลสามผง อำเภอศรีสงครามจังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ 16 ชุมชน ร่วมกันประกอบพิธีปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานประมงจังหวัดนครพนม ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม อำเภอศรีสงคราม และเทศบาลตำบลสามผงจัดขึ้น เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศล เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงปฏิบัติด้านประมง ทั้งด้วยพระองค์เองและทรงพระราชทานพระราชดำริ จำนวน 77 โครงการ ใน 4 กิจกรรม ทั้งด้านผลิตพันธุ์สัตว์น้ำ การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีด้านการประมง การสร้างกิจกรรมประมงโรงเรียน และการสร้างจุดเรียนรู้และสาธิตการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการทรงงาน ที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด นำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของพสกนิกร ทำให้ทุกคนได้รับการสนับสนุน การพัฒนาอาชีพ พัฒนาแหล่งน้ำ และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ นำมาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งเป็นการปลูกจิตสำนึกในการหวงแหน รักษา และการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
โดยก่อนเริ่มกิจกรรมทุกคนได้พร้อมใจกันประกอบพิธีถวายความเคารพ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้นประธานกล่าวคำกราบบังคมทูล และมอบเกียรติบัตรให้กับนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลสามผงผู้ที่ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรม จากนั้นจึงได้มอบพันธุ์ปลาให้กับตัวแทน 16 ชุมชนเพื่อนำไปแจกจ่าย ประกอบไปด้วย ปลาตะเพียนทอง 20 ตัว ปลาตะเพียนขาว 250,000 ตัว ปลากระแห 50,000 ตัว ปลาบึก 21 ตัว และปลาโพง 30 ตัว รวมทั้งสิ้น 300,071 ตัว ก่อนที่จะร่วมกันนำไปปล่อยในหนองสามผงและตามแหล่งน้ำสาธารณะอื่น ๆ ของหมู่บ้าน เพื่อให้ปลาเหล่านี้ได้เจริญเติบโตแพร่ขยายพันธุ์ เกิดการฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ ที่มีความสมดุลในระบบนิเวศน์ของแหล่งน้ำในธรรมชาติและเกิดความอุดมสมบูรณ์ดังเช่นในอดีต ทั้งยังก่อเกิดประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ เป็นแหล่งอาหารของคนชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไปวันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
นครพนม จัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 ที่ห้องประชุมแสงสิงแก้ว ชั้น 3 ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุจังหวัดนครพนม นางกรรญา ศูนย์คำ วัฒนธรรมจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2565 ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จังหวัดนครพนมโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม จึงได้จัดโครงการกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมเพื่อคนทั้งมวล เฉลิมพระเกียรติฯ ขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ คนด้อยโอกาส และคนในกระบวนการยุติธรรม ได้มีโอกาสศึกษาหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา การปฏิบัติตนเป็นพุทธมามกะ แล้วนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นคนดีของสังคม เป็นการเสริมสร้างความสุขให้กับตนเองและคนในครอบครัว
โดยกิจกรรมในครั้งนี้ นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดกิจกรรมและนำกล่าวถวายสดุดีเฉลิมพระเกียรติ ถวายพระพรชัยมงคล จากนั้นจึงเป็นการถ่ายทอดความองค์ความรู้โดยวิทยากรจากกองงานพระราชพิธี เกี่ยวกับงานศาสนพิธีต่าง ๆ และงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน พร้อมการฝึกปฏิบัติในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจว่าควรทำอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร จึงจะถูกต้อง เหมาะสมตามหลักของพิธีการ ไม่ว่าจะเป็น การตั้งโต๊ะหมู่บูชา หมู่ 4, หมู่ 5, หมู่ 7 และหมู่ 9 เพื่อใช้สำหรับการตั้งสิ่งอันเป็นที่เคารพสักการะ เช่น พระพุทธรูป พระบรมฉายาลักษณ์ พระบรมสาทิสลักษณ์ พระบรมรูปหล่อจำลองของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมไปถึงรูปของบรรพบุรุษ ลำดับขั้นตอนพิธีการจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปในงานมงคล งานอวมงคล และการจุดบูชาพระธรรมในงานศพ การฝึกถวายความเคารพด้วยการถอนสายบัว นอกจากนี้ยังได้รับฟังพระธรรมพระเทศนาจากพระครูกิตติสุตานุยุต (สมเกียรติ ฐิตปญฺโญ) เจ้าคณะอำเภอเมืองนครพนม เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ เพื่อเกลาจิตใจให้กับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมได้เข้าใจและเห็นถึงพระราชกรณียกิจในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจทางศาสนาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อาทิ ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามฤดูกาล เสด็จพระราชดำเนินทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และการถวายกฐินหลวงตามวัดต่าง ๆ เป็นต้นจิตอาสานครพนม พร้อมใจทำความสะอาดสถานที่ทำงาน และสร้างเส้นจราจรเป็นต้นแบบให้ประชาชนมีวินัยเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
ผ้าไทยสนุก ตอน ลายผ้าห่อคัมภีร์และลายนาคราช
นางพักสุดา วงค์ตาพรม ประธานกลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้าไทพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จุดแข็งของกลุ่มเราก็คือ การย้อมสีธรรมชาติจากเปลือกไม้มงคล ซึ่งจะมีทั้งไม้สักทอง ไม้ขนุน ไม้ประดู่ แล้วนำมาต่อยอดด้วยการปักลายนาคราช อย่างเช่น เสื้อก็จะมีที่ย้อมสีด้วยดินน้ำก่ำ ซึ่งเป็นดินท้องถิ่นที่น้ำไม่เคยแห้งก็จะออกมาเป็นสีของดินที่มีความเฉพาะ พอมาประกอบกับลายนาคราชสีเหลืองทองที่ปักด้วยมือก็จะตัดกันพอเหมาะทำให้ลวด ลายสวยเด่นเป็นที่ชื่นชอบของหลาย ๆ คน อีกตัวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของไทพิมานก็คือการต่อยอดประยุกต์ลายขอพระราชทานในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญาที่ส่วนใหญ่กลุ่มทอผ้าจะทำเป็นผ้าถุงแต่ที่นี่จะใช้วิธีการปักลายแทน โดยยังคงย้อมผ้าด้วยสีจากไม้มงคล นอกจากนี้ยังได้นำเอานวัตกรรมมาเพิ่มเติมจนกลายเป็นจุดแข็งของกลุ่มก็คือการนำผ้าที่ทอเสร็จแล้วมาหมักด้วยน้ำมันยางนา ซึ่งจะทำให้ผ้านุ่นมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือสีไม่ตกอยู่ได้นาน
นอกจากนี้ก็ยังมีลายผ้าห่อคัมภีร์ ซึ่งมีที่มาจากที่วัดศรีชมชื่นที่เป็นวัดโบราณตั้งอยู่ในชุมชนแห่งนี้ มีคัมภีร์โบราณอยู่มากมายและก็มีผ้าห่อคัมภีร์ ที่เป็นลายขิดยกดอก ทางกลุ่มจึงได้นำมาต่อยอดทำเป็นลายผ้าคลุมไหล่ มาเป็นลายในเสื้อผ้า ทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของชาวไทพิมาน สำหรับการจำหน่ายนั้นเดิมทางกลุ่มจะมีการไปเปิดบูธจำหน่าย และมีหน้าร้าน แต่พอมีไวรัสโควิดเข้ามาก็มีการปรับเปลี่ยนช่องทางจำหน่ายเพิ่มเติม ด้วยการจำหน่ายทางตลาดออนไลน์ โดยดึงเอาเยาวชนที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องนี้มาช่วยพร้อมกับการถ่ายทอดองค์ความรู้ ไม่ว่าจะเป็น ลายผ้า การทอผ้า เพื่อส่งต่อให้กับเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งทางกลุ่มจะเน้นไปที่การแปรรูป ยกตัวอย่างเช่น เสื้อสำเร็จรูปแล้วจะจำหน่ายอยู่ที่ราคา 1,500 บาท โดยทุกขั้นตอนจะมีความประณีตรวมถึงมีการอัดกาวให้เป็นอย่างดี และสำหรับผู้ที่สนใจก็สามารถเข้ามาดูได้ที่แฟนเพจ Thaipiman ถ้าเป็นเฟสบุ๊คก็จะชื่อพักสุดา วงค์ตาพรม ซึ่งทั้ง 2 ตัวจะลิ้งค์ข้อมูลกันทั้งหมด ซึ่งในนี้จะมีชุด เสื้อผ้าหลากหลายแบบให้ผู้ที่สนใจได้เลือกหา เพราะทางกลุ่มจะไม่ค่อยทำซ้ำแบบเดิมจะมีแบบใหม่ ๆ ออกมาให้ชมอยู่เสมอจะได้มีความทันสมัย ไม่เกิดความน่าเบื่อ หรือใครไม่สะดวกจะแอดไลน์ หรือโทรมาสอบถามได้ที่เบอร์ 093 423 0888 ก็ได้ยินดีให้ข้อมูลทุกอย่าง สำหรับลูกค้าที่อยู่ทางไกล ที่ไม่แน่ใจในไซต์ของตัวเอง ทางกลุ่มก็จะแนะนำให้หาเสื้อตัวที่สวมใส่แล้วสบายตัวและพอดีที่สุดส่งมาให้ทางกลุ่มจะดำเนินการตัดให้ตามขนาดแบบที่ส่งมาให้เมื่อเสร็จเรียบร้อยจะส่งกลับให้พร้อมกันเลย หรือถ้าใครที่มีไซต์มาตรฐานอยู่แล้วเพียงบอกมาทางกลุ่มก็สามารถตัดให้ได้เช่นเดียวกัน และถ้าเป็นไปได้ทางกลุ่มจะขอดูหุ่นของลูกค้าด้วย เพราะลูกค้าแต่ละคนจะมีสัดส่วนไม่เหมือนกัน ซึ่งจากที่ทำมาผู้ชายส่วนใหญ่จะเป็นไซต์ที่มีมาตรฐานไม่ค่อยได้ปรับเปลี่ยนอะไรมากนัก แต่ผู้หญิงต้องใส่ใจรายละเอียดเรื่องสัดส่วนที่แตกต่างกันมากกว่า เพราะบางคนตัวเล็กแต่สะโพกใหญ่ บางคนหน้าอกใหญ่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญสำหรับการตัดชุดให้พอดีและมีความสวยงามจ. นครพนม ประกอบพิธีบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระพันปีหลวง เฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา
วันที่ 25 กรกฎาคม 2565 ที่วัดสว่างสุวรรณาราม ตำบลหนองแสง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานฝ่ายฆราวาสนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีบรรพชาอุปสมบทหมู่ จำนวน 14 รูป ตามโครงการ บรรพชาอุปสมบท 910 รูป เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนมและคณะสงฆ์จังหวัดนครพนมจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อีกทั้งเพื่อส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้ศึกษาพระธรรมวินัยและน้อมนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยมีพระราชสิริวัฒน์ เจ้าคณะจังหวัดนครพนม เจ้าอาวาสวัดสว่างสุวรรณาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
การบรรพชาอุปสมบท หรือการบวชเป็นประเพณีสำคัญที่คนไทยและพุทธศาสนิกชนนิยมให้ลูกหลานเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ถึงแม้จะดำรงภาวะของความเป็นนักบวชเพียงชั่วระยะเวลาอันเล็กน้อยก็มีความพอใจ เพราะคนโบราณถือว่าคนที่ยังไม่ได้บวชเรียนเป็นคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เป็นผู้ที่ยังไม่ควรแก่การครองเรือน ดังนั้นผู้ชายทุกคนเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์จะต้องบวชก่อน ซึ่งการบวชถือเป็นการอบรมบ่มนิสัย กล่อมเกลาจิตใจให้ทุกคนเป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรม และเป็นการตอบแทนบุญคุณบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ทำให้พ่อแม่ ญาติพี่น้องได้มีโอกาสทำบุญเพิ่มขึ้นจนเป็นที่มาของคำว่า เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ อีกทั้งเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับบุคคลที่เคารพนับถือ ทั้งผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้มีความยั่งยืนและเชิดชูศาสนาพุทธให้รุ่งเรืองสืบไป โดยผู้ที่บวชจะได้ศึกษาข้อคิดและฝึกปฏิบัติปรับเปลี่ยนนิสัยตามพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการใช้ชีวิตอยู่บนทางสายกลาง ยิ่งแก้ไขได้มากเท่าไหร่หนทางข้างหน้าจะยิ่งราบรื่นมากเท่านั้นเพราะ ใจจะคิดในสิ่งที่ควรคิด ปากจะพูดในสิ่งที่ควรพูด กายจะทำในสิ่งที่ควรทำ เป็นการนำความเจริญมาสู่ตัวเอง ครอบครัวและสังคม โดยคำว่า บรรพชา จะหมายถึงการบวชเป็นสามเณร ส่วนคำว่าอุปสมบท จะหมายถึงการบวชเป็นพระภิกษุ โดยก่อนการอุปสมบทจะต้องมีการบรรพชาเป็นสามเณรตามพระวินัยบัญญัติก่อน ทั้งนี้อนุญาตให้พระอุปัชฌาย์สามารถทำการบรรพชาได้โดยไม่ต้องประชุมสงฆ์ จากนั้นจึงจะมีการอุปสมบทเพื่อเป็นพระภิกษุ ดังนั้นจึงมักนิยมใช้คำควบคู่กันว่า บรรพชาอุปสมบท ในการบวชพระภิกษุวันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
จ. นครพนม บูรณาการขจัดความยากจนให้ประชาชนในพื้นที่อำเภอนาแก สร้างนครพนมสังคมอุดมสุข ทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน
วันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นางศุทธิกานต์ วงศ์สถิตจิรกาล รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ลงพื้นที่เยี่ยมและให้ความช่วยเหลือครอบครัวนายเวียงชัย เชื้อตาชา อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 13 หมู่ที่ 11 บ้านโคกสีทอง ตำบลก้านเหลือง อำเภอนาแก ซึ่งเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงที่มีความทรุดโทรมและไม่แข็งแรง กับภรรยาและลูก ๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล 2 คน ชั้นประถมศึกษา 1 คน และไม่ได้เรียนต่อ 1 คน รวมสมาชิกในครอบครัวทั้งสิ้น 6 คน เนื่องจากเป็นครอบครัวที่ยากจน มีความเดือดร้อน ไม่ผ่านเกณฑ์ จปฐ.ปี 2564 ด้านรายได้ ข้อ 22 (รายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 38,000 บาท/คน/ปี) และเป็นครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการทำประชาคม 5 มิติ ได้แก่ ด้านสุขภาพ ความเป็นอยู่ การศึกษา รายได้ และการเข้าถึงบริการภาครัฐ จึงจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพื่อขจัดความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
โดยการช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต ภายใต้แนวคิด นครพนมสร้างสังคมอุดมสุข ทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ซึ่งมีทั้งการมอบเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสาร อาหารแห้ง พันธุ์พืชผักสวนครัว สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ตะกร้า จาน ชาม มุ้ง หมอน ผ้าห่ม เครื่องใช้ในครัวเรือนที่จำเป็น รถจักรยาน หลักประกันสังคมมาตรา 40 เป็นเวลา 1 ปี และเงินสงเคราะห์ครอบครัว นอกจากนี้ยังมีการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำหมันสำหรับหัวหน้าครอบครัวเพื่อลดการมีบุตรเพิ่มเนื่องจากปัจจุบันยังไม่ได้ทำ รวมถึงมีการแนะนำอาชีพเสริมเพื่อใช้ในการหารายได้เพิ่มเติม ขณะเดียวกันเพื่อลดรายจ่ายในครอบครัวก็ให้ปลูกพืชผักสวนครัวและเลี้ยงไก่ไข่ไว้รับประทาน ส่วนด้านการศึกษาก็ได้ให้คำแนะนำในการเข้าการศึกษาต่อที่ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอนาแกสำหรับบุตรสาวที่ไม่ได้เรียนเพราะจะทำให้มีความรู้และมีอนาคตที่ดีต่อไป ส่วนบุตรคนอื่น ๆ ก็ได้มอบทุนการศึกษาให้ ส่วนบ้านก็จะมีการบูรณาการส่งกำลังพลมาช่วยเหลือซ่อมแซมให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้นจ. นครพนม ออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการประชาชนเทิดพระเกียรติฯ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต
วันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ที่องค์การบริหารส่วนตำบลก้านเหลือง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นายขันชัย ขันทะชา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ทีมแพทย์พยาบาล เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนแบบครบวงจรในจุดเดียว ภายใต้กิจกรรมออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม และจังหวัดเคลื่อนที่ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน ถวายเป็นพระราชกุศลและสดุดีเทิดพระเกียรติฯ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต (18 กรกฎาคม)
โดยก่อนการให้บริการนายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพ ประธานในพิธีได้นำทุกคนถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จากนั้นกล่าวเทิดพระเกียรติฯ ใจความว่า ปวงข้าพระพุทธเจ้าล้วนประจักษ์แจ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่ใต้ฝ่าละอองพระบาท ทรงเป็นพระมิ่งขวัญและทรงเป็นปูชนียบุคคลที่เคารพสักการะยิ่งของพสกนิกรชาวไทย ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อความผาสุกของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ในการช่วยเหลือประชาชนให้พ้นทุกข์และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งในด้านการแพทย์ การพยาบาล การพัฒนา สิ่งแวดล้อม การยกระดับคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ ทรงเสด็จเยี่ยมชาวไทยภูเขาทางภาคเหนือและพระราชทานความช่วยเหลือด้านสาธารณสุข เสื้อผ้าและอาหาร ชาวไทยภูเขาจึงถวายพระสมัญญานามพระองค์ว่า “แม่ฟ้าหลวง” หมายถึงผู้เสด็จมาจากฟากฟ้าเพื่อมาปัดเป่าทุกข์แก่ราษฎร ทรงจัดตั้งมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) เมื่อพุทธศักราช 2512 และทรงเป็นองค์นายิกากิตติมศักดิ์ ทรงมีพระราชหฤทัยที่แน่วแน่ในการช่วยเหลือประชาชนให้พ้นทุกข์และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก่อบังเกิดคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ไพศาลแก่ประเทศชาติ ทั้งนี้ องค์การวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหชาติหรือยูเนสโก ได้เฉลิมพระเกียรติยกย่องให้พระองค์ทรงเป็นบุคคลสำคัญโลกด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ประยุกต์ การพัฒนามนุษย์ สังคมและสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2543 และเนื่องในวันคล้ายวันเสด็จสวรรคต วันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ปวงข้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยข้าราชการ อาสาสมัคร พอ.สว. และประชาชนชาวจังหวัดนครพนม จึงได้พร้อมใจกันร่วมจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติฯ ในครั้งนี้ขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะดำเนินการสนองงาน พอ.สว.เพื่อสืบสานพระปณิธานตลอดไปโดยกิจกรรมในครั้งนี้เริ่มจากการแนะนำส่วนราชการต่าง ๆ ให้ประชาชนได้รู้จักเพื่อที่จะสามารถเข้าไปใช้บริการได้อย่างถูกต้อง รวมถึงการน้อมนำพระราชกรณียกิจที่พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมและช่วยเหลือราษฎรยังที่ต่าง ๆ ไปถ่ายทอดให้ทุกคนได้รับรู้ นำนโยบายของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการไปสร้างการรับรู้และเข้าใจให้กับประชาชน จากนั้นจึงได้ร่วมกันมอบพันธุ์ปลา มองเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน มอบเครื่องสูบน้ำและรางวัลชาวไร่ดีเด่นให้กับเกษตรกรต้นแบบ มอบทุนการศึกษาและจักรยานให้กับนักเรียนผู้ยากไร้ และมอบถุงยังชีพช่วยเหลือครอบครัวผู้ยากไร้ จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปเข้ารับบริการตามบูธต่าง ๆ ที่ส่วนราชการต่าง ๆ นำไปให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นการ ตรวจสุขภาพเบื้องต้นและรับคำปรึกษาด้านสุขภาพ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด การทำทันตกรรม การนวดแผนไทย การเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนทักษะในด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การเลือกใช้พลังงาน การทำบัตรประชาชน การตัดผมฟรี การทำประกันสังคม การซ่อมบำรุงรถจักรยานยนต์ การอบรมทำอาหารเพื่อฝึกอาชีพเสริมหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว ไปจนถึงการรับคำปรึกษา คำแนะนำด้านการลงทุน กฎหมาย การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การรับแจกพันธุ์ต้นไม้ การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ การเลือกซื้อสินค้าราคาถูก สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOPวันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
นรข. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จับผู้ต้องหา 3 ราย พร้อมกัญชาอัดแท่ง 383 กก. หลังผิด พ.ร.บ.ศุลกากรและ พ.ร.บ.ตรวจพืช กักพืช
วันที่ 20 กรกฎาคม 2565 ที่บริเวณกองบัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง อ.เมือง จ.นครพนม พล.ร.ต.สมบัติ จูถนอม ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (ผบ.นรข.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผบก.ภ.จว.นครพนม พ.ต.ท.เฉลิมชัย ศรีทอง ผบ.ร้อย ตชด.237 น.ท.วรภัทร แสงสุวรรณ หน.สถานีเรือนครพนม และเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 3 ราย พร้อมของกลางกัญชาอัดแท่ง 383แท่ง/กิโลกรัม หลัง น.อ.ชัชวาลย์ โตรุ่ง รักษาราชการแทน ผบ.นรข.เขตนครพนม ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 ว่าจะมีการลักลอบลำเลียงสิ่งของผิดกฎหมายเข้ามาพื้นที่รับผิดชอบบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านไชยบุรี ต.ไชยบุรี อ.ทำอุเทน จ.นครพนม
โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ตรวจสอบข่าว พร้อมประสาน ร้อย ตชด.237 ในการร่วมกันจัดชุดลาดตระเวนทางบก เข้าทำเข้าทำการตรวจสอบพื้นที่กระทั่งเวลาประมาณ 22.40 น. เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบเรือกีบเพลายาวแล่นมาจากกลางแม่น้ำโขง จากนั้นได้ดับเครื่องยนต์แล้วปล่อยไหลเข้ามาจอดบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านไชยบุรี ต.ไชยบุรี อ.ท่าอุเทน ห่างจากจุดที่ชุดลาดตระเวนตรวจการณ์อยู่ประมาณ 300 เมตร จากนั้นได้มีกลุ่มบุคคลเข้ามาแบกวัตถุต้องสงสัยลงจากเรือเพื่อนำไปใส่รถยนต์ยี่ห้อ TOYOTA รุ่น HILUX REVO สีขาวทะเบียน 3ฒง 1228 กรุงเทพหมานคร เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเพื่อเข้าทำการตรวจสอบ เมื่อเห็นดังนั้นกลุ่มบุคคลดังกล่าวก็ได้แยกย้ายกันวิ่งหลบหนีไปคนละทิศละทางโดยอาศัยความมืดและความชำนาญในพื้นที่ ขณะเดียวกันบุคคลที่อยู่ในรถยนต์ก็ได้ติดเครื่องขับหลบหนีไปตามถนนทางหลวงชนบท หมายเลข 3023 เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งชุดลาดตระเวนอีกชุดดักสกัดที่บริเวณทางเข้าบ้านนาหนองบก กระทั่งเวลาประมาณ 23.15 น.เจ้าหน้าที่ก็พบรถยนต์คันดังกล่าวและสามารถสกัดไว้ได้ เมื่อตรวจสอบภายในรถพบกัญชาอัดแท่ง 383 แท่ง/กิโลกรัม บรรจุอยู่ในถุงกระสอบสีดำวางอยู่ท้ายกระบะที่เป็นแบบตู้ทึบสำหรับขนส่งของ มีบุคคลอยู่ภายในรถ 3 คน เป็นชาย 2 คน และหญิง 1 คน โดยหนึ่งในนั้นให้การรับสารภาพว่าพึ่งพ้นโทษคดียาเสพติดออกมาได้ไม่ถึงเดือน เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อหาและร่วมกันทำบันทึกจับกุม เนื่องจากเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ.ตรวจพืช กักพืช ซึ่งมีทั้งโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี และมีโทษปรับ โดยในส่วนนี้กฎหมายได้กำหนดไว้ประมาณ 4 เท่าของราคาของกลาง แต่ปัจจุบันกฎหมายไม่ได้กำหนดราคากลางไว้ชัดเจนจึงต้องรอให้กฎหมายลูกเสร็จสมบูรณ์ก่อน ทำให้กลายเป็นช่องว่างของขบวนการค้ากัญชาข้ามชาติ เพราะการดำเนินคดีต้องรอการพิจารณาผลการตัดสินคดีอาญาของศาลเป็นแนวทาง อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ได้ฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกคนในการร่วมกันหามาตรการมาดูแลลูกหลานเยาวชนไม่ให้ตกเป็นทาสของกัญชา และตัดวงจรการลักลอบกระทำผิด เพราะหากไม่มีการจับกุมในพื้นที่ชายแดนก็ยากที่จะพิสูจน์ว่าเป็นการนำเข้า และหากสามารถลำเลียงเข้าพื้นที่ตอนในได้จะมีปัญหาในการแจ้งข้อหาการกระทำผิด และเป็นช่องว่างให้ขบวนการค้ากระทำผิดมากยิ่งขึ้น โดยหลังจากนี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะใช้ระบบการตรวจจับยาเสพติด ที่มีการเก็บข้อมูล DNA และบรรจุการกระทำความผิดของผู้ต้องหาเข้าสู่ระบบ Big DATA ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้กระทำผิดยากต่อการหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาจังหวัดนครพนม จับมือ มข. และวช. แก้ปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีให้ประชาชนในพื้นที่ นำร่อง 5 อำเภอเสี่ยงสูงสุด
วันที่ 20 กรกฎาคม 2565 ที่ศูนย์ประชุมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย ศ.นพ.ณรงค์ ขันตีแก้ว รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น/ประธานมูลนิธิมะเร็งท่อน้ำดี น.ส. วราภรณ์ สุชัยชิต หัวหน้าภารกิจการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ว่าที่ร้อยตรีอดุลย์ศุภเดช พงษ์ประเสริฐ รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม นายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม ร่วมกันลงนามความร่วมมือทางวิชาการ โครงการความร่วมมือเพื่อป้องกันและกำจัดโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ปี 2565-2568 ซึ่งจะมีการนำร่องใน 5 อำเภอเสี่ยงสูงสุด คืออำเภอเรณูนคร อำเภอปลาปาก อำเภอศรีสงคราม อำเภอท่าอุเทน และอำเภอเมืองนครพนม เพื่อสร้างเป็นต้นแบบเชิงบูรณาการในการร่วมกันแก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ก่อนจะมีการขยายผลสู่อำเภออื่น ๆ ทั้งจังหวัด โดยมีผู้แทนเทศบาลเมืองนครพนม โรงพยาบาลนครพนม สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 8 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 8 และสำนักงานเขตสุขภาพที่ 8 กระทรวงสาธารณสุข นายอำเภอทั้ง 5 อำเภอ เจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นสักขีพยาน
โดยในบันทึกความร่วมมมือนั้นจะมีทั้งการวิจัย พัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมเดิมที่มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ “Isan cohort” ระบบขอคำปรึกษาสำหรับแพทย์ผู้ตรวจอัลตราซาวด์ “Tele-radio consultation” การวิเคราะห์ผลอัลตราซาวด์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ การแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการผ่านคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ “อำเภอต้นแบบ” ชุดตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ตับสำเร็จรูปชนิดเร็ว (OV-Rapid Diagnosis Test-OV-RDT) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยในการตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ให้มีความแม่นยำและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของการตรวจคัดกรองชาวจังหวัดนครพนมสามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านหรือ รพ.สต.ทุกแห่งในพื้นที่ รวมถึงจะมีการขับเคลื่อนในส่วนต่าง ๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น การรณรงค์ให้ความรู้เพื่อป้องกันและกำจัดโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี การส่งเสริมการนำหลักสูตรเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อนํ้าดีไปใช้ในโรงเรียนและสถานศึกษา ซึ่งจะทำให้เด็ก เยาวชน มีความเข้าใจและไม่เข้าไปเป็นกลุ่มเสี่ยงเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต รวมถึงก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนในการมีสุขอนามัยที่ดีของตนเองและคนในครอบครัว นอกจากนี้ยังมีการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบการจัดการสิ่งปฏิกูลเพื่อการตัดวงจรพยาธิใบไม้ตับ การดำเนินการเกี่ยวกับอาหารปลอดพยาธิใบไม้ตับ การพัฒนาเครือข่ายอาหาร การพัฒนาบุคลากรตรวจคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดีด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ และการพัฒนาระบบส่งต่อเพื่อการรักษาผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดี เพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพให้กับประชาชนซึ่งปัจจุบันจากสถิติข้อมูลสำนักงานสาธารณสุข พบว่าชาวนครพนมป่วยเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ โดยเฉพาะอำเภอเรณูนครพบมากที่สุด และสร้างให้จังหวัดนครพนมเป็นต้นแบบในการกำจัดปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เชิญถุงยังชีพพระราชทาน มอบให้ 2 ครอบครัวผู้ประสบอัคคีภัยที่อำเภอเรณูนคร
วันที่ 19 กรกฎาคม 2565 เวลา 10.00 น. ที่จังหวัดนครพนม ว่าที่ร้อยตรี ภูมิศักดิ์ ขำปู่ นายอำเภอเรณูนคร เป็นผู้แทนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทาน ไปมอบให้กับ2 ครอบครัวผู้ประสบอัคคีภัย ประกอบด้วย ครอบครัวของนายมาโนช สารทอง ที่อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 6 หมู่ที่ 9 ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร ซึ่งบ้านเกิดเพลิงไหม้เมื่อเวลา 6.30 น. ของวันที่ 15 กรกฎาคม 2565 เสียหายทั้งหลัง และครอบครัวของนายอาวุธ เตโช ที่อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 3 หมู่ที่ 9 ตำบลเรณู อำเภอเรณูนคร ซึ่งเป็นบ้านข้างเคียงเสียหายบางส่วน เพื่อให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิต โดยมีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้มีจิตอันเป็นกุศลร่วมบริจาคสิ่งของร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อน
ว่าที่ร้อยตรีภูมิศักดิ์ ขำปู่ นายอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยในพสกนิกรของพระองค์ ทรงต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว อันจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและผ่อนคลายความทุกข์ร้อน อีกทั้งเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้ทุกคนในครอบครัวที่ประสบอัคคีภัยในครั้งนี้ ให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยความเข้มแข็ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทานมามอบให้ จึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และก็ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้ประสบภัยด้วย โดยตั้งแต่เกิดเหตุขึ้นมา ทุกฝ่ายต่างพยายามให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการช่วยกันดับไฟ การสำรวจประเมินความเสียหายเพื่อหาทางช่วยเหลือ การจัดตั้งศูนย์รับบริจาคเพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับความช่วยเหลือจากภาคส่วนต่าง ๆ โดยในช่วงบ่ายของวันนี้ทางเทศบาลตำบลเรณูจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาอนุมัติวงเงินทดรองราชการออกมาให้ความช่วยเหลือสำหรับการสร้างบ้านใหม่ให้กับครอบครัวนายมาโนช วงเงินไม่เกิน 49,500 บาท ขณะที่บ้านนายอาวุธจะมีการพิจารณาให้ความช่วยเหลือซ่อมแซมให้ตามความเป็นจริง ทั้งนี้อยากฝากไปยังพี่น้องประชาชนขอให้ตรวจเช็คระบบไฟฟ้าภายในบ้านให้ดี ไม่ว่าจะเป็น สภาพของระบบไฟฟ้า สายไฟ แหล่งจ่ายไฟฟ้า รวมถึงสภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดที่มีอยู่ภายในบ้าน เพราะไม่ยากให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียอย่างเช่นครั้งนี้ ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่ายังใช้ได้อยู่ แต่ตามหลักความเป็นจริงแล้วอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างมีอายุการใช้งาน เพราะฉะนั้นเราต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่ายังใช้งานได้จริง ไม่มีปัญหา หรือถ้าเริ่มมีปัญหาก็ควรซ่อมแซมและเปลี่ยนใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ปลั๊กไฟที่พอใช้งานไปนาน ๆ มีการเสียบเข้าถอดออกบ่อย ๆ จะเกิดการหลวมของเต้ารับได้ แม้จะใช้งานได้ แต่ตรงจุดนี้จะมีความร้อนและอาจก่อให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ เพราะฉะนั้นถ้าหลวมก็ควรซ่อมแซมให้กลับมามีสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งาน หรือไม่ก็เปลี่ยนใหม่ ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการฝึกพฤติกรรมที่ปลอดภัย ที่จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเพลิงไหม้ภายในบ้านแบบไม่รู้ตัว เช่น การเสียบสายไฟเครื่องใช้ไฟฟ้าทิ้งไว้แม้ไม่ได้ใช้งาน การเก็บสะสมขยะหรือของที่ติดไฟได้ง่ายเอาไว้ภายในบ้านจำนวนมากจนเกินไป หรือแม้กระทั่งการเปิดวาล์วแก็สทิ้งไว้เมื่อไม่ได้ใช้งาน เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ทั้งสิ้นวันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเทียนพรรษาถวายเป็นพุทธบูชาต่อองค์พระธาตุพนม
วันที่ 14 กรกฎาคม 2565 ที่บริเวณวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชน ประกอบพิธีอัญเชิญเทียนพรรษาพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำไปประดิษฐานเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาถวายเป็นพุทธบูชาต่อองค์พระธาตุพนม สืบสานประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงาม เนื่องในวันเข้าพรรษา ประจำปี 2565 โดยมีพระเทพวรมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
สำหรับวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เป็นวัดอารามหลวง ชั้นเอก เป็นสถานที่ตั้งองค์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ภายในบรรจุพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและลุ่มแม่น้ำโขง มีพุทธศาสนิกชนหลากหลายเชื้อชาติให้ความเคารพศรัทธา กราบไหว้บูชามาตลอดระยะหลายพันปี และอยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทั้งนี้เทียนพรรษาพระราชทานดังกล่าว วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารจะใช้จุดบูชาพระรัตนตรัยตลอดระยะเวลาที่พระสงฆ์อยู่จำพรรษา 3 เดือน เพื่อศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับวันเข้าพรรษาเกิดขึ้นจากที่ในอดีตชาวบ้านได้ติติงว่า ในช่วงฤดูฝนพระสงฆ์ไปเหยียบต้นกล้าข้าวและพืชอื่น ๆ เสียหาย พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงบัญญัติพระธรรมวินัยขึ้นมา เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์อยู่จำพรรษาที่วัดเป็นเวลา 3 เดือนจนกว่าจะผ่านพ้นฤดูฝนไป ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงได้มีการหล่อเทียนขนาดใหญ่ขึ้นมาถวายเป็นพระพุทธบูชา ให้พระภิกษุสงฆ์ได้ใช้จุดเพิ่มแสงสว่าง ในการการศึกษาพระธรรมวินัยและปฏิบัติกิจวัตรต่าง ๆ ตลอดระยะที่จำพรรษา โดยเชื่อว่าอาณิสงค์ผลบุญจากการถวายเทียนจะช่วยให้ชีวิตสว่างไสว รุ่งเรือง พบเจอแต่สิ่งดี ๆ หากชีวิตมีปัญหาก็จะพบแสงสว่าง สามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี เป็นเครื่องหมายของการส่องสว่างในชีวิตคู่ ส่วนใครที่ไร้คู่ก็จะช่วยส่องทางให้พบคู่ในเร็ววันโดยการถวายเทียนเข้าพรรษาได้มีการจัดเป็นพิธีที่สวยงาม มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งการถวายเทียนเข้าพรรษา ถือเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญ เป็นประเพณีราชสำนัก ดังที่ปรากฏในเทียนรุ่งเทียนหลวงตามพระอารามต่าง ๆ แต่ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาไปมากจึงมีการปรับเปลี่ยนมาถวายหลอดไฟฟ้า ถ่านไฟฉาย เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในยุคปัจจุบัน แต่ก็ยังคงสืบทอดประเพณีการแห่เทียนพรรษาเช่นดังเดิม นอกจากนี้ยังเป็นอีกห้วงเวลาที่พุทธศาสนิกชนถือโอกาสเข้าวัด ทำบุญตักบาตร รับฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล ปฏิบัติธรรมเพื่อกล่อมเกลาจิตใจเป็นการบำเพ็ญกุศล เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตของตนเองและครอบครัววันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
นครพนม ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์เจริญจิตภาวนาถวายพระพรชัยมงคล และเวียนเทียนเนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา
วันที่ 13 กรกฎาคม 2565 ที่วัดสว่างสุวรรณาราม ตำบลหนองแสง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมกันประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตภาวนาถวายพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และประกอบพิธีเวียนเทียนเนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ประจำปี 2565 โดยมีพระราชสิริวัฒน์ เจ้าคณะจังหวัดนครพนม เจ้าอาวาสวัดสว่างสุวรรณาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
โดยการเวียนเทียนเป็นการแสดงความเคารพบูชาต่อสิ่งนั้นๆ อย่างสูงสุด และเพื่อระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยในวันสำคัญทางพุทธศาสนา โดยเชื่อว่าประเทศไทยได้รับวัฒนธรรมนี้มาจากประเทศอินเดียพร้อมกับพระพุทธศาสนา ซึ่งมีข้อความปรากฎในพงศาวดารเป็นหลักฐานมาตั้งแต่สมัยทวารวดีว่าชาวไทยมีการกระทำพิธีเวียนเทียนในโบราณสถานทางศาสนา และถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยการเวียนเทียนเป็นการเดินเวียนรอบปูชนียวัตถุสำคัญ หรือปูชนียสถานทางศาสนา เช่น พระอุโบสถ วิหาร พระธาตุ หรือพระพุทธรูป เป็นการเวียนประทักษิณาวัตร คือการเดินเวียนขวา 3 รอบ ขณะเดินต้องสำรวมทั้งกาย วาจา ใจ ทำจิตใจให้ว่าง สงบ มีสติอยู่กับตัวเสมอ รักษาระยะการเดินให้ห่างจากคนข้างหน้าพอสมควร เพื่อไม่ให้ธูปเทียนไปโดนผู้อื่น ไม่หยอกล้อหรือพูดคุยกันเนื่องจากเป็นการไม่เคารพต่อพระรัตนตรัยและสถานที่สำคัญ แต่จะท่องบทสวดแทน โดยในรอบแรกจะสวดบท "อิติปิโส" เพื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ รอบที่ 2 สวดบท "สวากขาโต" เพื่อระลึกถึงพระธรรมคุณ และรอบที่ 3 สวดบท"สุปะฏิปันโน" เพื่อระลึกถึงพระสังฆคุณ โดยหลังจากเวียนเทียนครบ 3 รอบแล้ว ทุกคนจะนำดอกไม้ธูปเทียนไปปักบูชาตามจุดที่ทางวัดเตรียมไว้ให้ คือบริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ ทั้งนี้ก่อนที่จะเวียนเทียน พุทธศาสนิกชนจะมีการกราบไหว้สักการะพระพุทธรูปที่เป็นพระประธานหลักด้านในพระอุโบสถก่อน จากนั้นจึงมาตั้งแถวเตรียมตัวเวียนเทียน โดยหัวแถวจะเป็นพระภิกษุสงฆ์ ตามมาด้วยสามเณร และอุบาสก อุบาสิกา
เทศบาลเมืองนครพนม จัดกิจกรรมแห่เทียนพรรษาถวายเป็นพุทธบูชา สืบสานประเพณีไทย
วันที่ 13 กรกฎาคม 2565 ที่เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมกันจัดกิจกรรมแห่เทียนพรรษาถวายเป็นพุทธบูชา สืบสานประเพณีไทย ที่เทศบาลเมืองนครพนมร่วมกับส่วนราชการ ผู้นำชุมชน และประชาชนในเขตเทศบาลเมืองนครพนมจัดขึ้น เพื่อสืบสานงานประเพณีเข้าพรรษา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์จำพรรษาเป็นระยะเวลา 3 เดือนในช่วงฤดูฝน ระหว่างระหว่างวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 โดยพระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งตลอดพรรษา เพื่อไม่ให้ออกไปเหยียบต้นกล้า ข้าวของชาวนาเสียหาย และในโอกาสอันดีนี้พุทธศาสนิกชน จึงได้ร่วมกันเข้าวัด ทำบุญตักบาตร ถือศีล ปฏิบัติธรรม ถวายผ้าอาบน้ำฝนและถวายเทียนพรรษาเพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้ใช้จุดเพิ่มแสงสว่าง ในการการศึกษาพระธรรมวินัยและปฏิบัติกิจวัตรต่าง ๆ ตลอดระยะที่จำพรรษา
ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงได้มีการหล่อเทียนขนาดใหญ่ขึ้นมาถวายเป็นพระพุทธบูชา โดยเชื่อว่าอานิสงค์ผลบุญจากการถวายเทียนจะช่วยให้ชีวิตสว่างไสว รุ่งเรือง พบเจอแต่สิ่งดี ๆ หากชีวิตมีปัญหาก็จะพบแสงสว่าง สามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้ เป็นเครื่องหมายของการส่องสว่างในชีวิตคู่ ส่วนใครที่ไร้คู่ก็จะช่วยส่องทางให้พบคู่ในเร็ววัน โดยการถวายเทียนเข้าพรรษา ได้มีการจัดเป็นพิธีสวยงามมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และในสมัยรัตนโกสินทร์การถวายเทียนเข้าพรรษาถือเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญ เป็นประเพณีราชสำนักดังที่ปรากฏในเทียนรุ่งเทียนหลวงตามพระอารามต่าง ๆ โดยกิจกรรมในครั้งนี้เทศบาลเมืองนครพนมได้แบ่งเขตชุมชนต่าง ๆ ออกเป็น 3 เขต เพื่อให้แต่ละชุมชนได้มาร่วมกันประดิษฐ์เทียนพรรษาในครั้งนี้ เป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดี ส่งเสริมให้ทุกคนในชุมชนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เกิดความรัก ความสามัคคีมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการสืบสาน อนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป ก่อนที่จะแห่มารวมกันที่บริเวณศาลหลักเมืองเพื่อร่วมกันถวายแด่พระภิกษุสงฆ์นอกจากนี้ตลอดระยะเวลา 3 เดือน ทุกคนในชุมชนจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ร่วมกันปรับปรุงภูมิทัศน์ ทำความสะอาดภายในวัดและบริเวณโดยรอบ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เกิดความสวยงาม เป็นการทำนุบำรุงพระศาสนาเพิ่มเติมด้วยชาวนครพนม ร่วมใจปฏิญาณตนงดเหล้าเข้าพรรษา และทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล
วันที่ 13 กรกฎาคม 2565 ที่วัดสว่างสุวรรณาราม ตำบลหนองแสง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมกันกล่าวปฏิญาณตนงดเหล้าเข้าพรรษา ประจำปี 2565 ที่จังหวัดนครพนมมีการดำเนินโครงการรณรงค์มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2546 เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนและสังคมได้ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ตลอดระยะเวลา 3 เดือน ในการตั้งจิตสัจจะอธิษฐาน เพื่อ ลด ละ เลิก เหล้าและอบายมุขต่าง ๆ จนครบพรรษา เป็นการรักษาศีล 5 ลดปัญหาสังคม อีกทั้งเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา จากนั้นจึงได้ร่วมกันถวายผ้าอาบน้ำฝนและเทียนพรรษา แด่พระราชสิริวัฒน์ เจ้าคณะจังหวัดนครพนม เจ้าอาวาสวัดสว่างสุวรรณาราม และคณะสงฆ์ ก่อนที่จะร่วมกันทำบุญตักบาตร
โดยวันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา ด้วยเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาที่ทรงตรัสรู้ คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นครั้งแรกแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 จนพระอัญญาโกณฑัญญะ บังเกิดดวงตาเห็นธรรม และทูลขอบวชเป็นภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา ทำให้พระรัตนตรัยครบบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ส่วนวันเข้าพรรษา เกิดขึ้นจากที่ในอดีตชาวบ้านได้มีการติติงว่า ในช่วงฤดูฝนพระสงฆ์ไปเหยียบต้นกล้าข้าว และพืชอื่น ๆ เสียหาย พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงบัญญัติพระธรรมวินัยขึ้นมา เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์อยู่จำพรรษาที่วัดเป็นเวลา 3 เดือน ระหว่างวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 โดยวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาจะอยู่ต่อเนื่องกัน และพุทธศาสนิกชนจะถือโอกาสนี้พาครอบครัวเข้าวัด ทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรมรักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา เวียนเทียนรอบพระอุโบสถ รวมถึงการถวายผ้าอาบน้ำฝน เทียนพรรษาหรือหลอดไฟแด่พระภิกษุสงฆ์ เพื่อใช้สำหรับการจำพรรษาเป็นการบำเพ็ญกุศล เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว และถือปฏิบัติเป็นประเพณีสืบต่อกันมาวันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
มูลนิธิเพื่อการศึกษาบริเวณชายแดน มอบทุนการศึกษาให้นักเรียนยากจนแต่เรียนดีจังหวัดนครพนม
วันที่ 11 กรกฎาคม 2565 ที่หอประชุมโรงเรียนวัดบึงเหล็กในพระบรมราชานุเคราะห์ ตำบลดอนนางหงส์ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พลเอก ธิวา เพ็ญเขตกรณ์ เลขานุการประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาบริเวณชายแดน ร่วมกับ พลตรี กังวาน สุจินต์ ผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการเพื่อความมั่นคง กรมกิจการชายแดนทหาร ผู้แทนกองบัญชาการกองทัพไทย ได้เดินทางมามอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่อำเภอตามแนวชายแดน เป็นการสร้างโอกาสทางการศึกษาและสร้างบุคคลที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศและชุมชนต่อไปในอนาคต โดยมีนายทินกร ภาคนาม ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดบึงเหล็กในพระบรมราชานุเคราะห์ คณะครู อาจารย์ ผู้ปกครอง และนักเรียนร่วมให้การต้อนรับ
พลเอก ธิวา เพ็ญเขตกรณ์ เลขานุการประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาบริเวณชายแดน เปิดเผยว่า มูลนิธิเพื่อการศึกษาบริเวณชายแดน มีการมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนที่ยากจนแต่เรียนดีทุกปี โดยจะให้กองกำลังป้องกันชายแดนและคณะครู อาจารย์ในพื้นที่เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองว่าเด็กนักเรียนคนไหนยากจน แต่เรียนดีและกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษา เพราะมองว่านอกจากจะเป็นการให้โอกาสลูก ๆ นักเรียนกลุ่มนี้ได้ศึกษาหาความรู้สมดังที่ตั้งใจแล้ว ยังจะทำให้ประเทศชาติ สังคม และชุมชนมีบุคลากรที่สำคัญในการพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง ทำให้ลูก ๆ ที่มีฐานะยากจนเหมือนกันที่เรียนในระดับต่ำกว่าได้เห็นเป็นแบบอย่างว่าถ้าตั้งใจเรียน ประพฤติตนเป็นคนดี มีความรักในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ก็จะมีโอกาสได้รับทุนการศึกษาเช่นกัน เพราะสิ่งเหล่านี้คือรากฐานของความสำเร็จในชีวิตและเป็นเกณฑ์พื้นฐานที่จะทำให้ได้รับการคัดเลือกเข้ารับทุนการศึกษาที่เป็นทุนแบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 โดยในปีการศึกษา 2565 ทางมูลนิธิฯ ได้จัดสรรทุนที่ได้รับการบริจาค จากหน่วยงานและภาคีเครือข่ายองค์กรต่างๆ มาให้การสนับสนุนส่งเสริมให้นักเรียนในพื้นที่ตามแนวชายแดน ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ รวมทั้งสิ้น 866 ทุน โดยในส่วนจังหวัดนครพนมวันนี้ได้มอบทุน จำนวน 30 กว่าทุนวันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
กระทรวงยุติธรรม จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยนหนี้สินครัวเรือน แก้ปัญหาให้ชาวนครพนม
วันที่ 8 กรกฎาคม 2565 ที่ศูนย์ประชุมศรีโคตรบูรณ์ มหาวิทยาลัยนครพนม นางสาวณัฐธ์ถัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 43 และยุติธรรมพบประชาชน จังหวัดนครพนม ที่กระทรวงยุติธรรมได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ จัดขึ้น เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนชาวจังหวัดนครพนม โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทำให้มีการเลิกจ้าง ลดเงินเดือน ขาดรายได้ และปิดกิจการ เกิดการผิดนัดชำระหนี้ จนนำไปสู่การฟ้องร้อง อีกทั้งเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาหนี้ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มหนี้ ไม่ว่าจะเป็น หนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หนี้เช่าซื้อรถ หนี้สินข้าราชการ หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ด้วยกระทรวงยุติธรรมตระหนักถึงความสำคัญของการแก้หนี้ตามนโยบายดังกล่าวและมีความพร้อมในการดำเนินการ เนื่องจากมีหน่วยงานในกระทรวง ได้แก่ กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและกรมบังคับคดี ที่มีภารกิจในการอำนวยความยุติธรรม ทั้งก่อนฟ้องและภายหลังศาลมีคำพิพากษา โดยการนำกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมาใช้ โดยมี นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายเสกสรร สุขแสง รองอธิบดีกรมบังคับคดี นางอัญชลี ภูริวิทย์วัฒนา รองผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม และประชาชนร่วมงานจำนวนมาก
นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐบาลเน้นการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ ซึ่งมหกรรมในวันนี้มีการบูรณาการร่วมกับกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) สถาบันการเงินและบริษัทต่างๆ จัดขบวนการไกล่เกลี่ยหาทางออกร่วมกันกับชาวจังหวัดนครพนมที่มีปัญหา ถึง 17 หน่วย ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มาร่วมงานได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การขยายเวลาผ่อนชำระหนี้ ลดเบี้ยปรับ ลดดอกเบี้ย ลดค่างวดรายเดือน งดการฟ้องดำเนินคดี มีการปรับเงื่อนไขปลดผู้ค้ำประกัน งดการยึดทรัพย์ งดการขายทอดตลาด และลูกหนี้จะไม่ถูกบังคับคดี เป็นต้น โดยในพื้นที่จังหวัดนครพนมมีเป้าหมายการไกล่เกลี่ยลูกหนี้รวมทั้งสิ้น 4,883 ราย ทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 632,112,171.18 บาท ซึ่งมีทั้งประชาชนทั่วไปและผู้ต้องขังในเรือนจำ นอกจากนี้ทุกคนยังจะได้รับความรู้เกี่ยวกับกองทุนยุติธรรม ที่จะมาช่วยในการอำนวยความสะดวกทางด้านคดีความ มีการจัดหาทนายและให้คำปรึกษาฟรีแก่ประชาชน มีเงินเยียวยาผู้เสียหายจากคดีอาญา รวมถึงเรื่องของการปราบปรามยาเสพติด ที่มีประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ที่เน้นการยึดทรัพย์ ตัดวงจรเครือข่ายคนค้า รางวัลนำจับสำหรับการแจ้งเบาะแส และมาตรการติดตามคุมประพฤติด้วยกำไล EM ในโอกาสนี้ยังมีการมอบเงินเยี่ยวยาสำหรับผู้เสียหายในคดีอาญา อีกจำนวน 7 ราย เป็นเงิน 495,000 บาท และการมอบป้ายศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนให้กับตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอีกจำนวน 10 ศูนย์วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
บรรยากาศการท่องเที่ยวนครพนม คึกคักรับงานบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช ปี 2565
วันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ที่บริเวณแลนด์มาร์คพญาศรีสัตตนาคราช ถนนนิตโย เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มีความเชื่อและศรัทธาต่อพญาศรีสัตตนาคราช โดยเฉพาะชาวลาวที่ในปีนี้มีโอกาสมาร่วมพิธีบวงสรวงได้มีการจัดเตรียม ขันหมากเบ็ง บายศรี และเครื่องถวายต่าง ๆ เดินทางข้ามสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) มารอตั้งช่วงเช้าที่ด่านชายแดนเปิดทำการ ด้วยห่างหายจากการมาร่วมพิธีถึง 2 ปีติดต่อกัน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ที่มีมาตรการปิดประเทศ จึงอยากมาร่วมพิธีบวงสรวงเป็นอย่างมาก
โดยในปีนี้จังหวัดนครพนมกำหนดจัดงานพิธีบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจกระจายรายได้ให้กับประชาชน รวมทั้งสิ้น 7 วัน ระหว่างวันที่ 7 – 13 กรกฎาคม 2565 โดยกิจกรรมแรกได้เริ่มขึ้นในเวลา 13.00 น. คือการร่วมกันประกอบพิธีอธิษฐานจิตพุทธาภิเษก -เทวาภิเษก เหรียญพญาศรีสัตตนาคราชเพื่อให้ประชาชนที่นับถือและศรัทธาต่อองค์พญาศรีสัตนาคราช นำไปกราบไหว้ บูชา เพื่อความเป็นศิริมงคล โดยมีพระเทพวรมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เป็นประธานจุดเทียนชัย มีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังร่วมพิธี จากนั้นนายวรรณพล ต่อพล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ประธานในพิธีจึงได้นำคณะผู้ที่ร่วมก่อสร้างองค์พญาศรีสัตตนาคราช คณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ทั้งในระดับจังหวัด อำเภอ ตลอดจนประชาชนและนักท่องเที่ยวเชิญเครื่องบูชา มาประกอบพิธีบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช พร้อมกับขบวนนางรำจาก 11 จังหวัดภาคอีสาน และนางรำจากจังหวัดนครพนม รวมกว่า 1,000 คน โดยมีดาราสาว แซมมี่ เคาวเวลล์ และอาจารย์คฑา ชินบัญชร นำขบวน ซึ่งก่อนการรำบวงสรวงได้มีการแสดงที่เป็นการเล่าตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคและการบวงสรวงเพื่อขอพร จาก เก่ง ธชย ประทุมวรรณ ที่แสดงร่วมกับนักแสดงทีมสะบัดลาย ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ และนักเรียนโรงเรียนเชียงยืนวิทยาคม ส่วนการรำบวงสรวงนั้นแบ่งออกเป็น 4 ชุด ประกอบไปด้วย เพลงศรีโคตรบูรณ์ เพลงนครพนมเมืองงาม เพลงออนซอนนครพนม และเพลงฮีตสิบสองของดีอีสาน ซึ่งแต่ละเพลงก็จะมีการร่ายรำด้วยท่วงท่าและลีลาที่แตกต่างกันออกไปตามทำนองของดนตรี โดยตลอดเวลาที่ประกอบพิธีมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมาให้ผู้ที่มาร่วมงานได้เย็นสดชื่นเป็นเหมือนการประพรมน้ำมนต์ให้กับทุกคน และในวันนี้ก็ได้เกิดปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำขึ้นระหว่างการรำบวงสรวง ยิ่งทำให้ทุกคนเกิดความศรัทธาและความเชื่อว่าพิธีในวันนี้องค์พญาศรีสัตตนาคราชได้รับรู้และปาฏิหาริย์ให้ได้เห็นและเกิดเป็นความประทับใจมากยิ่งขึ้น จนไม่อาจลืมเลือนได้โดยภายในงานยังมีกิจกรรมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน และสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมชุดรวมชนเผ่าเพื่อการท่องเที่ยว 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ ไทยนคร ให้ทุกคนได้ชมและจับจ่ายซื้อหาของฝากของรับประทานด้วย โดยหลังจากนี้อีก 6 วันจะมีพิธีรำบวงสรวงเช่นเดิมแต่ขบวนนางรำจะเปลี่ยนแปลงไปตามวันเกิด โดยมีดารานักร้อง นักแสดงมาร่วมกิจกรรมในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็น พูลิม ณิชกานต์ ผู้ประกวดจากรายการเพลงเอกซีซั่น 2 ปุ๋ย นิทัศน์ นักแสดงผู้มากความสามารถ และเชอรี่ เข็มอัปสร นักแสดงชื่อดัง
วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2565
ผ้าไทยใส่สนุก ตอนผ้าทอมือลายหมี่นาค
เมื่อพูดถึงการทอผ้า ในแต่ละพื้นที่ ก็มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยกลุ่มทอผ้าพื้นเมืองวัดศรีบุญเรือง อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม เป็นอีกกลุ่มที่มีการสืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ มีลายโบราณเฉพาะ คือลายหมี่นาค ที่มีความสวยงาม แตกต่างหาที่ใดเหมือน ที่สำคัญคือผู้ทำต้องมีความประณีต และละเอียดอ่อนทุกขั้นตอนกว่าจะได้มา
นางสมหมาย นาโพธิ์ ประธานกลุ่มทอผ้าพื้นเมืองวัดศรีบุญเรือง เปิดเผยว่า เริ่มแรกที่ทำไม่ได้คิดว่าจะทอผ้าลายหมี่นาคเลย เพราะเห็นผู้เฒ่าผู้แก่มัดและทำในแต่ละขั้นตอนแล้วมีความยุ่งยาก แต่ด้วยความสวยจึงไปหาลายที่ง่าย ๆ เช่นลายหมี่โกศและลายอื่น ๆ มาทำก่อน พอเริ่มคล่องก็เริ่มทำลายหมี่นาค และทำมาเรื่อย ๆ จากนั้นก็ชวนเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ มาร่วมกันทำ ช่วงแรก ๆ ก็มี ประมาณ 2-3 คน ต่อมาจึงกลายเป็นกลุ่ม คนที่ทำเป็นแล้วก็กลับไปทอที่บ้าน เมื่อทอเสร็จก็จะมารวมกันขายที่กลุ่มโดยหักเงินจากการขายไว้ผืนละ 10-20 บาท เพื่อเป็นค่าน้ำ - ค่าไฟ สำหรับลายหมี่นาคนั้นมีความแตกต่างจากลายอื่น ๆ ตรงที่จะมีรายละเอียดในลวดลายประมาณ 80 ช่อง ซึ่งมากว่าลายอื่น ๆ หลายเท่าทำให้มีความยากในการมัดขึ้นลายเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาประมาณ 5 วันถึงจะมัดขึ้นลายเสร็จ เมื่อมัดเสร็จก็จะนำไปย้อมคราม แล้วนำมาเข็น มาปั่นเข้าลอด จึงจะได้เริ่มทอ รวมเวลาแล้วก็ประมาณ 1 อาทิตย์ถึงจะได้เริ่มทอ ซึ่งการทอจะใช้เวลาประมาณ 2 วันจึงจะได้ 1 ผืนส่วนการขายนั้นก็มีทั้งประชาชนทั่วไปที่เดินทางมาซื้อ แล้วก็มีพ่อค้าคนกลางจากจังหวัดสกลนครมาซื้อเอาไปขาย ซึ่งราคาที่จำหน่ายก็ไม่แพงอยู่ที่ราคาผืนละ 1,000 บาท โดยขนาดผ้าคือกว้าง 1 เมตร 2 เซนติเมตร ยาว 2 เมตร ซึ่งก็ถือว่าคุ้มกับการลงแรงทำไป เพราะเมื่อเทียบกับการทำนาที่ขายข้าวได้เพียงปีละ 1 ครั้ง การทอผ้าจะได้มากกว่าที่สำคัญคือได้ตลอด ถ้าขยัน 1 อาทิตย์ก็จะได้ประมาณ 2 – 3 ผืน ซึ่งถ้าใครที่สนใจสามารถโทรมาสั่งจองได้ที่เบอร์ 080- 758- 2304 ก็พร้อมยินดีให้บริการ.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.png)
.png)
.png)
.png)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)