นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า หนึ่งในนโยบายการพัฒนาจังหวัดนครพนมนั้น คือ การดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชน โดยตั้งใจว่าในปีนี้จะให้ชาวนครพนมทุกคนได้ตรวจสุขภาพแบบละเอียดของตัวเองอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ซึ่งพอทราบข่าวเกี่ยวกับนายแพทย์ อนิรุทธ์ นิรนาท หรือ หมอหมู ที่เป็นศัลยแพทย์มะเร็งวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งเต้านม และเป็นผู้ก่อตั้งเพจ หมอหมูสู้มะเร็ง เพื่อแบ่งปันความรู้ด้านมะเร็งที่ถูกต้องให้แก่ผู้ป่วยและคนทั่วไปเป็นการส่งต่อความรู้และกำลังใจให้แก่ผู้ป่วยและครอบครัวได้มีโครงการรวมใจไทยต้านภัยมะเร็ง เพื่อผู้ป่วยมะเร็งยากไร้ โดยมูลนิธิหมอหมูสู้มะเร็ง และมีการทำกิจกรรมปั่นจักรยานเพื่อรับบริจาคในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่มาจังหวัดนครพนมในช่วงนี้ที่มีงานนมัสการองค์พระธาตุพนม ที่ประชาชนทั้งชาวไทย ชาวลาว และนักท่องเที่ยวมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก จึงได้จัดให้มีการแถลงข่าวประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ถึงโครงการดังกล่าวที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยมะเร็งอย่างแท้จริง
นายแพทย์ อนิรุทธ์ นิรนาท กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมและคณะทุกท่านที่ได้ให้โอกาสประชาสัมพันธ์โครงการ ซึ่งจากการปฏิบัติหน้าที่แพทย์ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ทำให้ได้พบปัญหาในการรักษาโรคมะเร็งที่เป็นโรคอันดับ 1 ของคนไทย ที่มีผู้ป่วยปีละประมาณ 1.4 แสนราย และเสียชีวิต 8-9 หมื่นราย เป็นโรคที่ฆ่าชีวิตคนเป็นอันดับ 1 และต่อเนื่องอย่างยาวนาน ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แต่กับพบว่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยในจำนวนนี้มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ถึงแม้บางอย่างรัฐบาลจะให้เบิกค่ารักษาได้แต่ก็มีบางอย่างที่เบิกไม่ได้ เช่น ค่าตรวจรักษา ค่าเดินทางของผู้ป่วยมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายในการหาที่พักในช่วงที่ต้องฉายแสงที่ต้องพบแพทย์บ่อย ๆ ดังนั้นมูลนิธิจึงทำโครงการรวมใจไทยต้านภัยมะเร็ง เพื่อผู้ป่วยมะเร็งยากไร้ ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นกิจกรรมปั่นจักรยานทั่วทั้งประเทศไทย โดยถือเอาฤกษ์มหามงคล คือวันที่ 5 ธันวาคมเป็นวันเริ่มต้นปั่น เพราะตั้งใจจะถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนนี้ก็ปั่นเก็บมาได้แล้ว 39 จังหวัด จังหวัดนครพนมเป็นจังหวัดที่ 40 ซึ่งตลอดมาก็มีทั้งผู้ที่มาร่วมกิจกรรมปั่นไปด้วยกัน และผู้ที่บริจาคเข้าร่วมโครงการ โดยมูลนิธิจะรวบรวมเงินทั้งหมดที่ได้ไปมอบให้ 9 โรงพยาบาลกระจายทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศถ้าเงินมีจำนวนมากพอ และจะไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นพร้อมทั้งให้โรงพยาบาลบริหารจัดการเงินส่วนนี้เองทั้งหมดตามเกณฑ์ที่เห็นว่าเหมาะสม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ดีที่ช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องทุกข์ทรมาน โดยจากการสอบถามโครงการนี้จะแล้วเสร็จในช่วงเดือนมีนาคม ดังนั้นจึงอยากขอเชิญชวนผู้ใจบุญที่มาร่วมงานนมัสการองค์พระธาตุพนม และประชาชนทั่วไปที่อยู่ทางบ้านทุกท่าน ได้ร่วมกันสนับสนุนโครงการนี้ให้บรรลุวัตถุประสงค์เป็นการสะสมบุญเพื่อผู้ป่วยมะเร็งร่วมกัน ถ้าใครสามารถมาร่วมปั่นได้ก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้ทุกคนได้เห็นถึงกิจกรรมดีๆ นี้ หรือถ้าใครไม่สะสวกจะบริจาคก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งสามารถบริจาคได้ทั้งแบบกล่องรับบริจาคเวลาที่หมอหมูไปปั่นตามจังหวัดนั้น ๆ หรือจะบริจาคผ่านเลขบัญชีมูลนิธิ หมอหมูสู้มะเร็งเพื่อโครงการรวมใจไทยต้านภัยมะเร็ง ธนาคารทหารไทยธนชาต 513-1-07940-1 ก็ได้เช่นเดียวกัน โดยของจังหวัดนครพนมกิจกรรมดี ๆ จะมีการปั่นในวันพรุ่งนี้ 30 มกราคม เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดมุกดาหารและจังหวัดอื่น ๆ ต่อไปวันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2566
พลังศรัทธานับแสน ร่วมประกอบพิธีอัญเชิญพระอุปคุตในงานนมัสการองค์พระธาตุพนม ปี 2566
วันที่ 29 มกราคม 2566 ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง หน้าวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม บรรยากาศเติมไปด้วยแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวไทย ชาวลาว ตลอดจนนักท่องเที่ยวกว่าแสนชีวิตที่เดินทางมารอร่วมประกอบพิธีอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำโขง เพื่อมาประดิษฐาน ณ พระวิหารหอพระแก้ว วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เนื่องในงานนมัสการองค์พระธาตุพนม ประจำปี 2566 หลังก่อนหน้านี้ 2 ปีมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด การจัดงานต้องอยู่ภายใต้มาตรการสาธารณสุข ทำให้หลายคนพลาดโอกาสที่จะมาร่วมงาน ดังนั้นในปีนี้แต่ละคนจึงมีการเตรียม ดอกไม้ ธูป เทียน ตลอดจนเครื่องสักการะต่างๆ มาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก เพื่อขอพรให้พระอุปคุตคุ้มครอง ปกปักรักษา ป้องกันภยันตรายต่างๆ ให้กับตนเองและครอบครัว เพราะเชื่อว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์มาก เป็นพระอรหันต์ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่หอแก้ววิหารใต้สะดือทะเล เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือมีพิธีกรรมใหญ่ๆ ทางพระพุทธศาสนา ท่านจะขึ้นมาช่วยเหลือคอยปกป้องคุ้มครองด้วยความเต็มใจเสมอ
กระทั่งเวลา 8.00 น. นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ประธานฝ่ายฆราวาส และพระเทพวรมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ประธานฝ่ายสงฆ์ ก็ได้นำพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมงาน สวดมนต์ไหว้พระและประกอบพิธีอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำโขง โดยหลังพิธีสวดอัญเชิญพระอุปคุต นายปรัตถกร บุสาวรรณกร นายอำเภอธาตุพนม พร้อมด้วย พลเรือตรี สมาน ขันธพงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบตามลำแม่น้ำโขง พันเอก สมหมาย บุษบา รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 พันตำรวจเอก จุลฤทธิ์ จุลกะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม และนายสรรชัย ธ.น.ตื้อ นายกเทศมนตรีตำบลธาตุพนม ได้เป็นผู้แทนพุทธศาสนิกชนดำน้ำลงไปอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นมาจากใต้ลำแม่น้ำโขง ก่อนที่จะส่งต่อให้กับประธานในพิธีอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ พระวิหารหอพระแก้ว ซึ่งตลอดระยะทางที่อัญเชิญพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทย ชาวลาว ตลอดจนนักท่องเที่ยวจะมีการโปรยดอกไม้และโปรยทาน ตลอดจนการร่ายรำบวงสรวง การแห่ต้นกัลปพฤกษ์ ต้นผึ้ง ต้นเทียน ขันหมากเบ็ง บายศรีหลวง การแสดงของแต่ละชนเผ่าและคณะนักแสดง เต๋า ภูศิลป์ ที่มาร่วมขบวนแห่ โดยในภาคบ่ายจะมีพิธีเปิดงานนมัสการองค์พระธาตุพนม โดยพลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่เป็นลูกพระธาตุพนมและข้าโอกาส
สำหรับงานนมัสการองค์พระธาตุพนมนั้น ถือเป็นประเพณีที่สำคัญยิ่งของพุทธศาสนิกชนทั้งสองฝั่งโขง ที่ถือปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาแต่โบราณ เพราะเชื่อว่าถ้าใครมีโอกาสได้กราบไหว้พระธาตุพนม ที่เป็น 1 ในพระสถูปมหาเจดีย์อันศักดิ์สิทธิ์ บรรจุพระอุรังคธาตุหรือกระดูกส่วนหน้าอกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมกับถวายเครื่องสักการบูชาหน้าองค์พระธาตุพนม จะทำให้มีจิตใจสงบเยือกเย็น และถ้ายังไม่บรรลุนิพพานในชาตินี้ เมื่อตายไปวิญญาณจะได้ไปสู่สรวงสวรรค์ ทำให้เมื่อครบรอบวันนมัสการองค์พระธาตุพนมในแต่ละปีจะมีพุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกสารทิศ หลั่งไหลกันมาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก โดยในปีนี้งานจะมีไปจนถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งในแต่ละวันจะมีกิจกรรมปฏิบัติบูชาให้ทุกคนได้ร่วมประกอบพิธีทั้งการกราบนมัสการองค์พระธาตุพนม การห่มผ้าพระธาตุพนม การแห่กองบุญ การตักบาตรคู่อายุ การถวายข้าวพีชภาค การฟังพระธรรมเทศนา และการเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุพนม นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายสินค้าพื้นบ้าน สินค้า OTOP ให้ผู้ที่มาร่วมงานได้เลือกหาไปฝากคนทางบ้านด้วย
วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2566
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เชิญถุงยังชีพพระราชทานช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบอัคคีภัยจังหวัดนครพนม
วันที่ 28 มกราคม 2566 ที่บริเวณถนนธำรงค์ประสิทธิ์ เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทาน ไปมอบให้กับผู้ประสบอัคคีภัย บ้านเลขที่ 122, 124, 126, 128, 130 และ 132 ที่บ้านพักอาศัยได้เกิดเพลิงไหม้เมื่อเวลา 18.30 น. ของวันที่ 26 มกราคม 2566 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป
นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เกิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยทรงห่วงใยต่อพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ และต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ ให้ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว อันจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และผ่อนคลายความทุกข์ร้อนของประชาราษฎร์ทุกหนแห่ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2506 เป็นต้นมา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด การดำเนินงานของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพและเงินพระราชทานมามอบให้กับครอบครัวผู้ประสบภัยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน จึงขอให้ครอบครัวผู้ประสบภัยได้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่านที่ทรงมีพระเมตตาทั้งนี้ตั้งแต่เกิดเหตุทุกภาคส่วนต่างระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยมาอย่างต่อเนื่อง และด้วยเหตุในครั้งนี้เกิดขึ้นในบ้านพักอาศัยที่เป็นตึกแถวให้เช่าในตัวเมืองจึงทำให้มีผู้ประสบภัยทั้งที่เป็นเจ้าของบ้านและผู้ที่เช่า ซึ่งตามระเบียบราชการสามารถช่วยเหลือได้ไม่เท่ากัน โดยเบื้องต้นเจ้าของบ้านที่มีบ้านเสียหายทั้งหลัง จำนวน 2 หลัง มี 1 ราย จะได้รับเงินช่วยเหลือ 65,400 บาท เป็นค่าถุงยังชีพ ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ค่าซ่อมแซมบ้าน และค่าเครื่องมือประกอบอาชีพ เจ้าของบ้าน 3 ราย ที่บ้านเสียหายทั้งหลังจะได้รับเงินช่วยเหลือ 49,500 บาท เป็นค่าซ่อมแซมบ้าน ขณะเดียวกันผู้เช่า 3 ราย จะได้รับเงินช่วยเหลือ 19,500 บาท เป็นค่าถุงยังชีพ ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ค่าเช่าบ้าน และค่าเครื่องมือประกอบอาชีพ นอกจากนี้เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมยังได้มอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือรวม ครอบครัวละ 10,000 บาท สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม มอบเงินสงเคราะห์ครอบครัวละ 3,000 บาท และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนมกำลังประสานมูลนิธิปอเต็กตึ้งเพื่อขอรับการช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แต่ละครอบครัวอีก สำหรับบ้านข้างเคียงที่ได้รับความเสียหายที่เหลือ ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งประเมินความเสียหายเพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นลำดับต่อไปนครพนม เปิดโครงการรวมพลัง อสม. มอบของขวัญปีใหม่ ใส่ใจผู้สูงอายุ เขตสุขภาพที่ 8
วันที่ 28 มกราคม 2566 ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 8 เป็นประธานเปิดโครงการรวมพลัง อสม. มอบของขวัญปีใหม่ ใส่ใจผู้สูงอายุ เขตสุขภาพที่ 8 ประจำปีงบประมาณ 2566 ที่ศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 8 โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนมจัดขึ้น โดยมีนายวิมล ยาทองไชย ผู้อำนวยการศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 8 นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานคนที่ 2 นางสาวศุภพานี โพธิ์สุ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ตลอดจนคณะผู้บริหารเขตสุขภาพที่ 8 คณะผู้บริหารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ตัวแทนโรงพยาบาลในพื้นที่ และตัวแทนอาสาสมัครสาธารณสุข ประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ จำนวน 1,000 คน ร่วมกิจกรรม ภายหลังการรับชมการถ่ายทอดพิธีเปิดผ่านระบบออนไลน์ และ Facebook Live ของส่วนกลางที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานเปิดที่จังหวัดนครราชสีมา
จากที่กระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายของขวัญปีใหม่ “2566 ปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทย” เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบและทั่วถึง โดยหน่วยงานและบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศจะร่วมกันให้บริการเพื่อให้ผู้สูงวัยก้าวสู่ความสูงวัยอย่างแข็งแรง มีชีวิตที่มีคุณภาพ เป็นร่มโพธิ์ร่วมไทรของครอบครัว ไม่เป็นภาระของลูกหลาน โดยจัดให้มีคลินิกบริการผู้สูงอายุในโรงพยาบาลทุกระดับ ให้การดูแลผู้สูงอายุทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้เข้าถึงบริการที่สะดวก รวดเร็วและใกล้บ้าน อีกทั้งยังเพิ่มบริการเชิงรุกออกตรวจคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ พร้อมทั้งมอบวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการใช้ชีวิตเป็นของขวัญปีใหม่ตลอดปี 2566 ผ่านทางหน่วยบริการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ ได้แก่ แว่นสายตา 500,000 ชิ้น ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ 5,000,000 ชิ้น ฟันเทียม 50,000 ชุด และรากฟันเทียมสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาในการใส่ฟันเทียมจำนวน 5,000 ราก ทั้งนี้ที่จะร่วมกันทำงานเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพโดยได้มอบหมายให้ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เดินหน้าคัดกรองผู้สูงอายุ กว่า 12 ล้านคน ด้วย Application Blue Book สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ และ Application Smart อสม. ที่จะเป็นการค้นหาความเสี่ยงของร่างกายผู้สูงอายุ 9 ด้าน ที่มีภาวะพึ่งพิงที่ต้องได้รับการดูแลจากกองทุนระบบการดูแลระยะยาว Long Trem Care เพื่อส่งเสริม ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพในทุกมิติ ให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข นายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 8 เปิดเผยว่า เพราะโลกไม่หยุดนิ่ง ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึงเดินหน้าพัฒนาการรักษาอย่างไม่หยุดยั้ง และส่งมอบนโยบายดี ๆ เป็นของขวัญสุขภาพ กระจายโอกาสการรักษาและเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพให้กับผู้สูงอายุให้ได้มีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ โดยวันนี้นอกจากจะเป็นการเปิดตัวโครงการแล้วยังมีการถ่ายทอดความรู้พัฒนาศักยภาพของ อสม. หมอประจำบ้านคนที่ 1 ให้มีความสามารถในการคัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชนและสามารถร่วมวางแผนดูสุขภาพผู้สูงอายุกับหมอคนที่ 2 และหมอคนที่ 3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุทุกคนมีสุขภาพที่ดีและมีอายุยืนอย่างมีคุณภาพ โดยจากข้อมูลสัปดาห์ที่ผ่านมา อสม. ของจังหวัดนครพนม สามารถดำเนินการคัดกรองผู้สูงอายุไปแล้วประมาณ 55,000 คน คิดเป็น 20 กว่าเปอร์เซนต์ของผู้สูงอายุทั้งหมด และหลังจากวันนี้คงเร่งดำเนินการให้ได้ครบเร็วที่สุด เพราะถ้าสำรวจและประเมินได้เร็วก็จะมีข้อมูลสำหรับการให้ส่วนกลางพิจารณาของขวัญในลำดับต้น ๆ แต่อย่างไรจังหวัดนครพนมก็มีแผนเพื่อที่จะให้ทุกคนได้รับของขวัญเหมือนกันผ่านสิทธิ์อื่น ๆ ที่แต่ละคนมีวันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2566
อบจ.นครพนม เปิดเวทีประชาคมร่วมกันพิจารณา ร่างแผนพัฒนาท้องถิ่น(พ.ศ. 2566-2570) ครั้งที่ 2
วันที่ 27 มกราคม 2566 ที่โรงแรมบูลโฮเทล อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายศิริพงษ์ แสนสุข รักษาราชการแทนปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เป็นประธานการสัมมนาเชิงปฏิบัติการตามโครงการประชาคมแผนพัฒนาท้องถิ่น ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อเสนอโครงการต่าง ๆ ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครพนม(ตามสัดส่วนประชาคมระดับจังหวัด) ผู้แทนส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ผู้แทนประชาคม และคณะกรรมการพัฒนาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ได้ร่วมกันพิจารณาเพื่อบรรจุเข้าร่างแผนพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ. 2566-2570) ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนมเพิ่มเติมจากครั้งที่แล้ว ก่อนที่จะมีการประกาศใช้ตามบทบาทหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด และเพื่อให้เป็นไปตามจุดประสงค์ที่ต้องการให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครพนม ได้ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมสร้าง ร่วมตัดสินใจ ร่วมตรวจสอบ ร่วมรับผลประโยชน์ และร่วมกันแก้ไขปัญหา เพื่อพัฒนาท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ โดยยึดหลักประชารัฐ ในลักษณะเวทีเสวนา แลกเปลี่ยนแนวความคิด และปรึกษาหารือ
โดยโครงการที่เสนอในวันนี้มีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือโครงการที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนมดำเนินการเอง วงเงินรวม 38,837,000 บาท ซึ่งจะประกอบไปด้วย โครงการก่อสร้างห้องอาบน้ำ-ห้องส้วม โรงเรียนกีฬาจังหวัดนครพนม โครงการก่อสร้างอัฒจันทร์ ม้านั่งสำรอง รั้ว สนามฟุตบอล King Power Stadium โครงการก่อสร้างถนนลาดยางแอสฟัลติกคอนกรีตสายบ้านอูนนา หมู่ 3 – บ้านนางัว หมู่ 1 โครงการก่อสร้างถนน คสล. หมู่ที่ 8 สายกลางบ้านท่าโขง ทางหลวงท้องถิ่น นพ.ถ. 10-003 และโครงการที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนมจะนำไปขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานอื่น วงเงินรวม 7,000,000 บาท ประกอบไปด้วย โครงการธนาคารน้ำใต้ดิน (แบบเปิด) เพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนและเก็บกักน้ำไว้ใช้ช่วงฤดูแล้งในการแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมอย่างยั่งยืนเพื่อส่งเสริมอาชีพตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แห่งที่ 1 บ้านแสงสว่าง หมู่ที่ 1 ตำบลพิมาน อำเภอนาแก โครงการก่อสร้างเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อเกษตรน้ำฝนพร้อมระบบโซล่าเซลล์ แห่งที่ 1 บ้านแสงสว่าง หมู่ที่ 1 ตำบลพิมาน อำเภอนาแก โครงการก่อสร้างขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อเกษตรน้ำฝนพร้อมระบบโซล่าเซลล์ แห่งที่ 1 บ้านโคกสว่าง หมู่ที่ 1 ตำบลโคกสว่าง อำเภอปลาปาก โครงการก่อสร้างขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อเกษตรน้ำฝนพร้อมระบบโซล่าเซลล์ แห่งที่ 1 บ้านหนองฮี หมู่ที่ 12 ตำบลหนองฮี อำเภอปลาปาก โครงการก่อสร้างขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อเกษตรน้ำฝนพร้อมระบบโซล่าเซลล์ แห่งที่ 1 บ้านหนองฮี หมู่ที่ 2 ตำบลหนองฮี อำเภอปลาปาก โครงการก่อสร้างขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อเกษตรน้ำฝนพร้อมระบบโซล่าเซลล์ แห่งที่ 2 บ้านหนองฮี หมู่ที่ 2 ตำบลหนองฮี อำเภอปลาปาก และโครงการก่อสร้างขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อเกษตรน้ำฝนพร้อมระบบโซล่าเซลล์ แห่งที่ 2 บ้านหนองฮี หมู่ที่ 2 ตำบลหนองฮี อำเภอปลาปากนครพนม ประกอบพิธีลาสิขาพระนวกะบรรพชาอุปสมบทถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา 18 รูปสมัครใจศึกษาพระธรรมต่อ
วันที่ 27 มกราคม 2566 ที่วัดน้อยโพธิ์คำ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม พระราชสิริวัฒน์ เจ้าคณะจังหวัดนครพนม เจ้าอาวาสวัดสว่างสุวรรณาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการประกอบพิธีลาสิขาของพระนวกะที่บรรพชาอุปสมบท ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน ที่ได้จำวัด ศึกษาพระธรรมวินัย ฝึกเจริญจิตตภาวนา ทำวัตร และปฏิบัติกิจของสงฆ์ ตามหลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนา เป็นระยะเวลา 15 วัน มาตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2566
โดยก่อนเริ่มพิธีพระสงฆ์ทั้ง 99 รูปที่บรรพชาอุปสมบทได้พร้อมกันปลงอาบัติ เพื่อเป็นการแสดงโทษ เปิดเผยโทษของตนต่อหน้าภิกษุ หรือคณะ หรือสงฆ์ พร้อมความจริงใจที่จะไม่กระทำผิดอย่างนั้นอีก เพราะอาจจะล่วงละเมิดพระวินัยโดยไม่ตั้งใจ แม้จะไม่มีผู้ใดทักท้วงแต่ก็เป็นอาบัติ ซึ่งมีทั้งโทษหนักเบาตามสิกขาบทที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ในพระวินัยมากกว่า 227 ข้อ ที่มีจุดประสงค์ คือ การสำรวม ระวังกาย วาจา ให้สงบเรียบร้อย ให้สมกับความเป็นสมณะผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา ยังบุคคลที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส และยังความเลื่อมใสแล้วไม่ให้เสื่อมไป จากนั้นประธานฝ่ายฆราวาสประกอบพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล ประธานฝ่ายสงฆ์ให้ศีล และถวายวุฒิบัตรแด่พระนวกะ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา พระนวกะ 81 รูป ประกอบพิธีลาสิขา โดยที่เหลืออีก 18 รูป สมัครใจศึกษาพระธรรมวินัยต่อไปอีก โดยหลังจากนี้จะแยกย้ายไปจำวัดที่วัดบ้านเกิดของแต่ละองค์วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2566
เจ้าหน้าที่สาธารณภัยนครพนม บูรณาการเร่งระงับเหตุเพลิงไหม้ตึกแถว เสียหาย 6 คูหา
วันที่ 26 มกราคม 2566 ที่อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ตึกแถวครึ่งปูนครึ่งไม้ ที่ตั้งอยู่บริเวณถนนธำรงค์ประสิทธิ์ โดยผู้ที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าต้นเพลิงน่าจะมาจากไฟไหม้กระดาษที่ร้านขายของชำ ที่ตอนแรกเกิดไฟแล้วช่วยกันดับไฟด้วยถังดับเพลิงไป 3 ถัง ซึ่งทุกคนต่างก็คิดว่าดับสนิทไปแล้วจึงไม่ได้สนใจอะไร แต่เมื่อเห็นอีกทีไฟก็ลุกลามอย่างรวดเร็วและกระจายไปยังตึกแถวข้างเคียงอีกห้าคูหา จึงคิดว่าน่าจะมาจากเหตุไฟไหม้กระดาษ
ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณภัยของเทศบาลเมืองนครพนมได้รับการแจ้งเหตุ ก็ได้นำรถดับเพลิงเข้าพื้นที่เกิดเหตุในทันที พร้อมประสานหน่วยสาธารณภัยอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงมาช่วยกันดับเพลิง และกันผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ ทั้งประสานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นครพนม ให้ทำการตัดกระแสไฟฟ้า จากนั้นจึงช่วยกันฉีดน้ำดับเพลิงที่กำลังโหมลุกไหม้อย่างรุนแรง โดยเจ้าหน้าที่ต้องสลับรถดับเพลิงหลายคันเพื่อเข้าฉีดน้ำควบคุมไม่ให้ไฟลุกลามไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้จ.นครพนม ดึงดนตรีริมฝั่งโขงสร้างความสุนทรีให้ตลาดถนนคนเดินหมู่บ้านวัฒนธรรมชนเผ่า กระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่
วันที่ 26 มกราคม 2566 ที่บริเวณถนนสวรรค์ชายโขง หมู่บ้านวัฒนธรรมชนเผ่า ริมฝั่งแม่น้ำโขง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ที่เดินทางมาเยือนจังหวัดนครพนมและทราบว่าตรงนี้มีตลาดถนนคนเดิน จึงมาเลือกหาสินค้าพื้นถิ่น สินค้าพื้นเมือง สินค้าโอทอป และสินค้าเกษตร รวมถึงเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของฝากของที่ระลึกจากชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่พ่อค้าแม่ค้านำมาจัดจำหน่ายในทุกวันพฤหัสบดี พร้อมกับการชมความงดงามริมฝั่งแม่น้ำโขงและบ้านโบราณวิถีชีวิตชนเผ่า ที่จังหวัดนครพนมบูรณาการร่วมกันจัดสร้างขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์อันโดดเด่นของแต่ละชนเผ่าที่สืบทอดต่อกันมา โดยในวันนี้จังหวัดนครพนมได้มีการปรับเปลี่ยนกิจกรรมดนตรีริมฝั่งโขง@นครพนม ที่มีการจัดทุกวันศุกร์บริเวณภาพวาดฝาผนัง สตรีทอาร์ต คิงภูมิพล มาจัดแสดงที่บริเวณตลาดถนนคนเดินแห่งนี้แทน เพื่อเป็นการสร้างความสุนทรีและสร้างบรรยากาศให้ทุกคนได้ผ่อนคลายและสนุกสนาน พร้อมกับการน้อมลำรึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีการนำเอาเพลงพระราชนิพนธ์ในพระองค์ท่าน มาบรรเลงและขับกล่อมให้ทุกคนได้ฟัง
นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ตลาดถนนคนเดินหมู่บ้านวัฒนธรรมชนเผ่าแห่งนี้พึ่งเปิดเป็นครั้งที่ 2 เท่านั้น ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าตรงนี้มีของดีมากมาย เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนนครพนมที่อยากให้หลายคนได้มาสัมผัส โดยพื้นที่ตรงนี้เป็นลานที่มีขนาดกว้างและยาวมาก ช่วงเช้าและเย็นของวันปกติจะมีประชาชนมาออกกำลังกาย รับลมเย็น ๆ เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าพร้อมกับชมความงดงามที่หากใครได้พบเห็นเป็นต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเก็บเป็นความทรงจำ เพราะฝั่งหนึ่งจะเป็นบ้านชนเผ่าที่สร้างขึ้นมาตามขนาดมาตรฐานและเป็นวิถีชีวิตของคนแต่ละชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครพนมจริง ๆ ขณะที่อีกด้านจะเป็นวิวธรรมชาติที่ทุกคนสามารถมองเห็นภูเขาหินปูนทอดยาวตามลำแม่น้ำโขง และยิ่งมีตลาดถนนคนเดินที่พ่อค้าแม่ค้านำสินค้ามาวางจำหน่ายในทุกวันพฤหัสบดี ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถมาจุดเดียวได้รับความสุขไปหลายอย่างและเพื่อเป็นการสร้างความสนุกสนาน เพิ่มความสุนทรีให้กับผู้ที่มาเดินตลาดแห่งนี้ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก จังหวัดนครพนมที่นำโดยนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม จึงมีการปรับเอากิจกรรมดนตรีริมฝั่งโขง@นครพนม มาจัดแสดงตรงนี้แทน โดยในวันนี้มีการน้อมนำเพลงพระราชนิพนธ์ของหลวงรัชกาลที่ 9 มาขับกล่อมให้ทุกคนได้ฟัง พร้อมกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมของคนนครพนมเชื้อสายจีนและเวียดนาม รวมกับการแสดงของชนเผ่าไทยตาด ซึ่งเป็น 1 ใน 9 ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครพนม โดยหลังจากนี้ทุกวันพฤหัสบดีเวทีแห่งนี้จะกลายเป็นสถานที่อีกแห่ง ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้มาแสดงความสามารถทางด้านดนตรีเพิ่มเติม จากการแสดงศิลปวัฒนธรรมที่จะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาโชว์ เพื่อสร้างความประทับใจ สำหรับผู้ที่มาตลาดเดินถนนหมู่บ้านวัฒนธรรมชนเผ่าแห่งนี้จ.นครพนม พร้อมใจประกอบพิธีเลี้ยงพระภิกษุ 99 รูป ที่บรรพชาอุปสมบทน้อมถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
วันที่ 26 มกราคม 2566 ที่บริเวณวัดน้อยโพธิ์คำ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระภิกษุ จำนวน 99 รูป ที่บรรพชาอุปสมบท ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพลานามัยแข็งแรงในเร็ววัน ใช้เป็นสถานที่จำวัด ศึกษาพระธรรมวินัย ฝึกเจริญจิตตภาวนา ทำวัตร และปฏิบัติกิจของสงฆ์ตามหลักคำสอนพระพุทธศาสนา บรรยากาศเต็มไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่ทราบข่าว ว่าจะมีการบิณฑบาตเป็นวันสุดท้าย เนื่องจากในวันพรุ่งนี้จะประกอบพิธีลาสิกขา จึงต่างมาเฝ้ารอเตรียมของใส่บาตรและถวายภัตตาหารตั้งแต่เช้า กระทั่งเมื่อถึงเวลา นางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ได้เป็นประธานในพิธีนำจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จากนั้นเจ้าหน้าที่นำกล่าวอาราธนาศีล และกล่าวถวายสังฆทาน เจ้าหน้าที่นำถวายข้าวพระพุทธ ประธานในพิธีถวายภัตตาหารพระสงฆ์ พระสงฆ์กล่าวสัมโมทนียกถาและให้พร จากนั้นพุทธศาสนิกชนทุกคนจึงได้ร่วมกันตักบาตรโดยพร้อมเพียงกัน
สำหรับพิธีทำบุญเลี้ยงพระ เป็นโบราณประเพณีที่เรียกว่า ประเพณีถวายข้าวพระพุทธ หรือเรียกอีกอย่างว่า การจัดข้าวบูชาพระพุทธ ซึ่งหมายถึง การบูชาพระพุทธเจ้าด้วยข้าวและอาหารอื่นๆ โดยถือปฏิบัติสืบต่อกันมาว่าตั้งแต่สมัยพุทธกาล ที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายนิยม นิมนต์พระพุทธเจ้ามาทรงเป็นประธานสงฆ์ในการฉันภัตตาหาร ณ เคหสถานของตน โดยตามหลักฐานที่ปรากฏในพระบาลีว่า "พุทฺธปฺปมุโข ภิกฺขุสงฺโฆ : พระภิกษุสงฆ์มี พระพุทธเจ้าเป็นประธาน" เมื่อถึงเวลาถวายภัตตาหาร ก็มีการจัดภัตตาหารถวายแด่พระพุทธเจ้าเป็นพิเศษส่วนหนึ่ง และจัดภัตตาหารถวายพระภิกษุสงฆ์นอกนั้นอีกส่วนหนึ่ง และถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่พุทธศาสนิกชนก็นิยมอัญเชิญพระพุทธรูปมาตั้งเป็นประธานสงฆ์แทนในพิธีบำเพ็ญบุญต่างๆ ดังนั้นจึงมีการประกอบพิธีถวายข้าวพระพุทธ ซึ่งการจัดภัตตาหารถวายพระพุทธรูปนี้ มิใช้จัดไปถวายพระพุทธรูปฉันเหมือนอย่างจัดถวายให้พระภิกษุสงฆ์ฉัน หรือไม่ใช่จัดไปเซ่นพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างจัดอาหารไปเซ่นภูตผีปีศาจ แต่การจัดภัตตาหารไปถวายพระพุทธรูปนั้น เป็นการจัดไปถวายเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับการจัดเครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัยวันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2566
จ.นครพนม ประกอบพิธีรับมอบหนังสือสวดมนต์บทเจริญพระพุทธมนต์พระราชทาน เพื่อนำไปถวายวัดในพื้นที่
วันที่ 25 มกราคม 2566 ที่ห้องประชุมพระธาตุเรณู ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานประกอบพิธีรับมอบหนังสือสวดมนต์บทเจริญพระพุทธมนต์ พระราชทาน จำนวน 200 เล่ม เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อนำไปถวายวัดในพื้นที่จังหวัดนครพนม เพื่อใช้เป็นบทสวดสาธยายเป็นพระราชกุศล ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในเร็ววัน
โดยหนังสือสวดมนต์บทเจริญพระพุทธมนต์พระราชทาน เป็นหนังสือที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดรวบรวม และจัดพิมพ์เพื่อสวดสาธยายเป็นพระราชกุศล ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พลอากาศตรีสุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นผู้เชิญหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 15,200 เล่ม มอบให้แก่ปลัดกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2566 เพื่อส่งมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำไปถวายวัดในจังหวัดตามที่พิจารณาเห็นว่าเหมาะสม โดยหน้าปกเป็นภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ล้อมรอบด้วยกรอบรูปหัวใจสีเหลืองและสีฟ้า อยู่ด้านบนปก เหนือพระปรมาภิไธย วปร. ช่วงกลางหน้าปก เป็นข้อความ “บทเจริญพระพุทธมนต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดรวบรวม และจัดพิมพ์ เพื่อสวดสาธยายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2565” ด้านล่างปกหนังสือ เป็นภาพพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอุ้มสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ด้านข้างพระวรกายเป็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่ใบโพธิ์มีข้อความ “โพธิ โพชฺฌงฺโค” และต้นไม้รูปหัวใจ มีข้อความ “กำลังใจ” และใบไม้สีธงชาติไทย และใต้ภาพ เป็นรูปหัวใจสีเหลือง พร้อมข้อความ ทูลกระหม่อมพ่อ จะคอยอุ้มชูทูลกระหม่อมภา เสมอ และหัวใจสีแดง พร้อมลงพระปรมาภิไธย 14 ธ.ค. 65 ภายในเล่ม ประกอบด้วยบทเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 22 บท ซึ่ง มี 4 บทที่ได้รวบรวมการรจนาบทเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวชิรราชธิดาวันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2566
พ่อเมืองนครพนม นำทีมร่วมงาน Savan Fun Fest 3 เชื่อมสัมพันธไมตรี สปป.ลาว พร้อมหารือขับเคลื่อนการท่องเที่ยว 2 ฝั่งโขง
นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่สถานกงสุลใหญ่ ณ แขวงสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้มีการจัดงานเทศกาลสะหวัน สุขสันต์ หรรษา (Savan Fun Fest 3) ปี 2566 ขึ้นระหว่างวันที่ 24-29 มกราคม 2566 ณ ลานตลาดสะหวันลาตี (เขตตัวเมืองเก่า) นครไกสอนพมวิหาน แขวงสะหวันนะเขต จึงได้นำคณะหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง องค์กรภาคเอกชน และผู้แทนจังหวัดนครพนมเข้าร่วมพิธีที่มีนางหลิงทอง แสงตาวัน รองเจ้าแขวง แขวงสะหวันนะเขต เป็นประธานจัดงาน เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีี แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรม
ซึ่งภายในงานนอกจากจะได้เห็นการแสดงศิลปวัฒนธรรมที่มีความใกล้เคียงกันแล้ว เมื่อได้ชมหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สะหวันนะเขต ยิ่งทำให้ได้เห็นถึงโอกาสในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวทั้ง 2 ฝั่งเข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เพราะมีหลาย ๆ เรื่องเป็นสตอรี่ที่เชื่องโยงกันเป็นอย่างดี เมื่อนักท่องเที่ยวเห็นจะเกิดความประทับใจและอยากที่จะเรียนรู้และเดินทางมาเยือน มาสัมผัส เช่น เรื่องประชาชนชนเผ่าภูไท ของ สปป.ลาว และของนครพนม ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดรองลงมาจากกลุ่มไทลาว ที่มีความเป็นอยู่เหมือนกันแม้กระทั่งภาษาการพูด ส่วนเรื่องการแต่งกายจะแตกต่างกันเล็กน้อยที่ใครสนใจจะต้องมาศึกษาอย่างแน่นอน ในส่วนของเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ก็มีเมืองไชยบุรีเหมือนกัน ซึ่งของนครพนมจะอยู่ที่อำเภอท่าอุเทน ตรงปากน้ำไชยบุรีที่มีจุดชมวิวที่สวยงาม โดยจุดดังกล่าวเป็นจุดบรรจบกันของแม่น้ำสงครามกับแม่น้ำโขง ทำให้เกิดน้ำวนและน้ำกลายเป็น 2 สี ซึ่งก็จะมีประวัติศาสตร์เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเป็นการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์จากฝั่ง สปป.ลาว ให้ผู้คนได้ค้นหาและเรียนรู้ประวัติความเป็นมา ทั้งยังเป็นแหล่งศึกษาการทำปลาส้ม และสินค้าโอท็อปของกลุ่มแม่บ้านที่มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ปลาแม่น้ำโขง เช่น ส้มปลาชะโด ปลายอ หนังปลาทอด ดังนั้นจึงได้ใช้โอกาสนี้ร่วมกันหารือถึงแนวทางและความเป็นไปได้ในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวร่วมกับนายสันติพาบ พมวิหาน เจ้าแขวง แขวงสะหวันนะเขต นายปะสงสิน จะเลินสุก เจ้าเมืองไกสอนพมวิหาน นายอธิปัตย์ โรจนไพบูรย์ กงสุลใหญ่ ณ แขวงสะหวันนะเขต และนายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร รวมถึงแนวทางการจัดกิจกรรมร่วมกัน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ให้นานที่สุด ซึ่งจะเป็นการกระจายรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และสร้างความมั่นคงของชุมชนในพื้นที่จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และสะหวันนะเขตมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เชิญถุงยังชีพพระราชทานช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบอัคคีภัยอำเภอบ้านแพง
วันที่ 24 มกราคม 2566 ที่หมู่ 1 ตำบลไผ่ล้อม อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นผู้แทนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทาน ไปมอบให้กับครอบครัวของนางแดงต้อย แสงชาติ ที่บ้านเลขที่ 156 ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน 5 คนเกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2566 เวลา 21.30 น. เสียหายทั้งหลัง
นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เกิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยทรงห่วงใยต่อพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ และต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ ให้ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว อันจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และผ่อนคลายความทุกข์ร้อนของประชาราษฎร์ทุกหนแห่ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2506 เป็นต้นมา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด การดำเนินงานของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพและเงินพระราชทานมามอบให้กับครอบครัวผู้ประสบภัยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน จึงขอให้ครอบครัวผู้ประสบภัยได้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่านที่ทรงมีพระเมตตา
โดยตั้งแต่เกิดเหตุทุกภาคส่วนต่างระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของนางแดงต้อยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเข้าระงับเหตุ จากนั้นมีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อเป็นที่พักอาศัยและเป็นศูนย์กลางในการรับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสาร อาหารแห้ง ผ้าห่ม เครื่องนอน และของใช้อื่น ๆ ที่จำเป็นจากประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมยังได้มอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือรวมเป็นเงิน 10,000 บาท สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม มอบเงินสงเคราะห์ 3,000 บาท พร้อมเสนอคณะกรรมการพิจารณาช่วยเหลือด้านอื่น ๆ เนื่องจากเป็นครอบครัวที่มีเด็กอาศัยอยู่ด้วย ขณะเดียวกันมูลนิธิปอเต็กตึ้งก็มอบเงินช่วยเหลือ 15,000 บาท รวมถึงองค์การบริหารส่วนตำบลไผ่ล้อมกำลังพิจารณาอนุมัติเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 ตามหลักเกณฑ์มาช่วยเหลือซื้อวัสดุเพื่อสร้างบ้านให้ใหม่ร่วมกับเงินบริจาค ซึ่งหากไม่เพียงพอองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนมจะพิจารณาสนับสนุนเพิ่มเติม
วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2566
ชาววังยาง จ.นครพนม รวมใจจัดงานบุญเดือนสามสืบสานประเพณีกองบุญข้าว สร้างสิ่งดี ๆ เพื่อสังคม
วันที่ 23 มกราคม 2566 ที่อำเภอวังยาง จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นประธานเปิดงานประเพณีบุญเดือนสาม ที่ชาววังยางร่วมกันจัดขึ้น เพื่อสืบสานปวิถีชีวิตประเพณีอันดีงามของชาววังยางที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ในห้วงวันขึ้น 1 ค่ำ - ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี ที่จะจัดพิธีกองบุญข้าวและการสู่ขวัญข้าว เพื่อขอขมาและขอบคุณแม่โพสพ เทพีแห่งข้าว ที่ชาววังยางเชื่อว่าจะทำให้การทำนาได้ผลผลิตข้าวอุดมสมบูรณ์ตลอดไป โดยทุกคนในหมู่บ้านจะแบ่งปันข้าวเปลือกที่ได้จากการทำนาส่วนหนึ่งมาร่วมทำพิธีสู่ขวัญข้าว ก่อนจะนำข้าวเปลือกที่เหลือในการทำนาขึ้นเก็บในยุ้งฉาง หรือนำไปสีเป็นข้าวสารเพื่อหุงรับประทาน หรือนำไปซื้อขาย
นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า อำเภอวังยางเป็นอำเภอขนาดเล็กมีพื้นที่ทั้งหมด 4 ตำบล และจากข้อมูลพื้นฐานพบว่าเป็นอำเภอที่ประชาชนมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีประมาณ 50,000 กว่าบาท ซึ่งถือว่าน้อมมาก แต่ทุกคนก็อยู่กันด้วยความสุข โดยงานบุญเดือนสามของชาววังยางเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นสิ่งที่ก่อให้ทุกคนมีความรักความสามัคคี บนพื้นฐานของการทำดี การรู้จักบุญคุณของทุกสิ่งทุกอย่างในการดำเนินชีวิต และการรู้จักตอบแทนและแบ่งปันเพื่อสังคม เพราะข้าวเปลือกที่นำมากองรวมกันเพื่อทำพิธีในครั้งนี้ จะยกให้เป็นของส่วนรวมทั้งหมดเพื่อนำไปขายเป็นทุนในการจัดงานปีต่อไป รวมถึงเป็นต้นทุนในการทำบุญสร้างห้องน้ำสาธารณะให้กับอำเภอวังยาง การจัดหาสุขภัณฑ์(โถส้วม)สำหรับผู้สูงอายุ และนำไปทำการกุศลอื่นๆ ซึ่งเมื่อทางเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมได้ทราบข่าวถึงกิจกรรมดี ๆ ในครั้งนี้ก็ได้นำผ้าห่มกันหนาวส่วนหนึ่งมาสนับสนุนเพื่อให้ชาววังยางที่ขาดแคลนและกำลังเหน็บหนาวจากสภาพอากาศได้ใช้คลายหนาวด้วย ซึ่งภายในงานนอกจากพิธีกองบุญข้าวและการสู่ขวัญข้าวแล้ว ยังมีพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษของคนในชุมชนกับการบวงสรวงเจ้าปู่วิรูปักษ์ และศาลปู่หมื่นปู่แสน รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ให้ทุกคนได้สนุกไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมการแสดงหมอลำ การแข่งขันชกมวยไทย การแสดงรำวงชาวบ้าน การจัดงานคาวบอยไนท์ การประกวดธิดาบุญเดือนสาม และที่หลายคนไม่ควรพลาดนั่นคือ การจัดซุ้มวิถีชีวิตที่เป็นการจำลองบ้านของชาววังยางในสมัยโบราณมาให้ทุกคนได้เห็นถึง 4 แบบที่ล้วนมีความสวยงามแตกต่างกันออกไปตามความคิดและจินตนาการของคนในสมัยนั้น ที่มีการนำเอาวัสดุในพื้นที่มาสร้างเป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัย และการออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นถิ่น สินค้าดี สินค้าเด่น ของแต่ละชุมชน เช่น ผ้าทอมือไม้มงคล เนื้อโคขุนแช่แข็งพร้อมส่ง มันฝรั่งแปรรูปเป็นขนมขบเคี้ยว โกโก้แปรรูปเป็นชอคโกแล็ต เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้ที่มาร่วมงานที่มีทั้งคนในพื้นที่ คนต่างอำเภอและต่างจังหวัด ให้ได้เห็นถึงผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่จะก่อเกิดการจับจ่ายซื้อหานำมาซึ่งรายได้ของทุกคนในชุมชนมากยิ่งขึ้นวันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2566
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เชิญถุงยังชีพพระราชทานมอบช่วยเหลือ 2 ครอบครัวผู้ประสบอัคคีภัยอำเภอโพนสวรรค์
วันที่ 20 มกราคม 2566 ที่หมู่ 8 ตำบลโพนจาน อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นผู้แทนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทาน ไปมอบให้กับครอบครัวของนางสว่าง ซึ่งบ้านเลขที่ 18 ถูกเพลิงไหม้เสียหายทั้งหลังเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 เวลา 5.30 น. และครอบครัวนางบุญมี ที่เป็นบ้านข้างเคียงเลขที่ 267 ถูกเพลิงไหม้เสียหายครึ่งหลัง
นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เกิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยทรงห่วงใยต่อพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ และต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ ให้ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว อันจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และผ่อนคลายความทุกข์ร้อนของประชาราษฎร์ทุกหนแห่ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2506 เป็นต้นมา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด การดำเนินงานของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพและเงินพระราชทานมามอบให้กับครอบครัวผู้ประสบภัยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน จึงขอให้ครอบครัวผู้ประสบภัยได้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่าน ที่ทรงมีพระเมตตา
โดยตั้งแต่เกิดเหตุทุกภาคส่วนต่างระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับทั้ง 2 ครอบครัว ตั้งแต่การเข้าระงับเหตุ จากนั้นมีการจัดตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยเพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสาร อาหารแห้ง ผ้าห่ม เครื่องนอน และของใช้ที่จำเป็น ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ก็เร่งสำรวจความเสียหายทั้งหมดเพื่อเสนอองค์การบริหารส่วนตำบลโพนจานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 มาร่วมกับเงินบริจาคสมทบทุนเป็นค่าวัสดุในการดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านที่เสียหายครึ่งหลัง และสร้างบ้านหลังใหม่ให้สำหรับบ้านที่เสียหายทั้งหลัง
นครพนม รวมพลังทาสีตีเส้นสร้างทางม้าลายเพื่อความปลอดภัยให้เยาวชน เนื่องในวันความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน
วันที่ 20 มกราคม 2566 ที่บริเวณประตูทางเข้าโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ครูอาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักเรียน และประชาชนจิตอาสา ร่วมกันทำกิจกรรมทาสีตีเส้นทางม้าลายเพื่อความปลอดภัยให้เยาวชน เนื่องในวันความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน ที่ศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อกระตุ้นเตือนและรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนนบริเวณทางข้าม ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 ที่เห็นชอบกำหมดให้วันที่ 21 มกราคมของทุกปีเป็นวันความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนน เพื่อหยุดความสูญเสียจากการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน และไม่ให้เกิดเหตุการณ์รถชนคนข้ามทางม้าลายเกิดขึ้นซ้ำอีก ทั้งเป็นการกระตุ้นเตือนสร้างความตระหนักให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะทุกประเภทมีจิตสำนึกรักความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ถนน ทุกเพศ ทุกวัย ตลอดจนเป็นการส่งเสริมและสร้างการรับรู้ให้เกิดเป็นวัฒนธรรมความปลอดภัย มีระเบียบวินัยในการใช้รถใช้ถนน ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า กิจกรรมในวันนี้เป็น 1 มาตรการเสริมที่จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการสร้างความปลอดภัย และเกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ สร้างการตระหนักรู้และกระตุ้นเตือนให้ผู้ใช้ถนน ผู้ขับขี่ยานพาหนะ เกิดจิตสำนึกในเรื่องความปลอดภัย มีการปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ซึ่งจังหวัดนครพนม โดยศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนครพนม ยังมีอีกหลายกิจกรรมที่จะบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับชาวนครพนมทุกคน เช่น การปรับปรุงบริเวณทางข้ามให้มีความปลอดภัยในพื้นที่ ระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น การตีเส้นชะลอความเร็ว การจัดทำเครื่องหมายจราจร ป้ายเตือน ป้ายสัญลักษณ์เพื่อให้ผู้ขับขี่ ผู้ข้ามถนนเห็นได้ง่ายและชัดเจน มาตรฐานในการปฏิบัติและความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่รัฐในการจับกุมหรือลงโทษผู้กระทำผิดหรือกระทำผิดซ้ำเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน นอกจากนี้ยังจะมีการรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วในเขตชุมชน สถานศึกษา สถานพยาบาล ทางร่วม ทางแยก ทางข้าม ฯ ตลอดจนการสร้างการตระหนักรู้ถึงความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการขับขี่ที่ไม่มีวินัย และไม่ปฏิบัติตามกฎจารจรเพื่อทำให้การใช้รถใช้ถนนเป็นวัฒนธรรมความปลอดภัยของทุกคน และลดอุบัติเหตุของจังหวัดนครพนมจนกลายเป็นศูนย์วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2566
นครพนม เปิดตลาดถนนคนเดินหมู่บ้านวัฒนธรรม 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ วันแรกคึกคัก
วันที่ 19 มกราคม 2566 ที่บริเวณหมู่บ้านวัฒนธรรม 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ ถนนชายโขง ริมฝั่งแม่น้ำโขงในเขตเทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ทราบข่าวว่า สถานที่แห่งนี้จะมีการเปิดตลาดถนนคนเดินให้พ่อค้าแม่ขายได้ ได้นำสินค้าพื้นเมือง สินค้าโอทอป สินค้าเกษตรจากชุมชนมาจำหน่ายในทุกวันพฤหัสบดี เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ทั้งเป็นเป็นการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทั่วไป และนักท่องเที่ยว ได้รู้จักกับบ้านโบราณวิถีชีวิตชนเผ่าของจังหวัดนครพนม ที่มีการจัดสร้างขึ้นด้วยความสวยงามตามแบบวิถีชีวิต 8 ชนเผ่า เพื่อแสดงให้เห็นถึง เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ และประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่า โดยก่อนทำพิธีเปิดได้มีการจัดการแสดงศิลปวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่าให้ผู้ที่มาร่วมงานได้รับชมเป็นการสร้างความประทับใจ ทั้งศิลปะการแสดงแสกเต้นสากและการรำของแต่ละชนเผ่า จากนั้นจึงได้แยกย้ายกันไปเยี่ยมชมและจับจ่ายซื้อหาสินค้า ที่พ่อค้าแม่ค้า 12 อำเภอ นำมาวางจำหน่ายรวมกันกว่า 102 ร้าน ซึ่งมีให้เลือกทั้งของรับประทานอาหารพื้นถิ่น เครื่องดื่ม พืชผัก ผลไม้ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของฝาก ของที่ระลึก และอื่น ๆ อีกมากมาย
นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในการเปิดตลาดถนนคนเดินหมู่บ้านวัฒนธรรม 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ นครพนม ครั้งแรกในวันนี้ ตอนแรกคาดการณ์กับนายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองนครพนม ไว้ว่าคงมีประชาชนและนักท่องเที่ยว มาเดินชมและจับจ่ายสินค้าประมาณ 300 - 400 คน เท่านั้น แต่กับผิดคาดไปมาก เพราะตั้งแต่เริ่มตั้งร้านก็มีผู้ที่สนใจมาเลือกซื้อหาสินค้ากันเรื่อย ๆ กระทั่งเวลาเปิดงานก็มีประชาชนและนักท่องเที่ยวเต็มพื้นที่ จึงถือเป็นปฐมฤกษ์ที่ดีสำหรับการเปิดตลาดในวันแรก ซึ่งตรงนี้นอกจากจะเป็นทำเลที่เหมาะในการเปิดตลาดอีกแห่งเป็นอย่างมาก เพราะคนที่มาเดินตลาดไม่ใช่จะได้แค่จับจ่ายซื้อหาสินค้าที่ตัวเองต้องการเท่านั้น แต่ยังมีทิวทัศน์ที่สวยงามของเทือกเขาหินปูนจากฝั่ง สปป.ลาวให้ทุกคนได้ชม ขณะที่อีกด้านก็จะมีบ้านไม้โบราณ 8 ชนเผ่าที่จังหวัดนครพนมและอำเภอต่าง ๆ ได้สร้างขึ้นมา ซึ่งแต่ละหลังก็จะมีความโดดเด่นและแตกต่างกันออกไปตามวิถีชีวิตแต่ละชนเผ่าให้ทุกคนได้เรียนรู้และเก็บภาพความประทับใจไปพร้อมกับการสูดอากาศที่บริสุทธิ์เพื่อสร้างความผ่อนคลาย ทั้งยังสามารถเดินออกกำลังกายได้ เพราะพื้นที่ตรงนี้มีการออกแบบให้เป็นลานกีฬาที่ทุกเช้าและเย็น จะมีประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว มาเดินออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ โดยหลังจากนี้จังหวัดนครพนมยังเตรียมจัดการแข่งขันกีฬา บริเวณหาดทรายศรีโคตรบูรที่อยู่ถัดกันไปในช่วงเดือนเมษายนด้วย ดังนั้นจึงอยากฝากเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดนครพนมว่าพื้นที่บริเวณหมู่บ้านวัฒนธรรม 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ เป็นอีกแห่งที่พร้อมรองรับทุกคนทั้งวันปกติและวันพฤหัสบดีที่จะมีความคึกคักพิเศษเพิ่มขึ้นมา คือการเดินชมสินค้าในตลาดถนนคนเดินแห่งใหม่นี้จังหวัดนครพนม บูรณาการเครือข่ายองค์ความรู้ (Knowledge-Based OTOP : KBO) พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน สู่มาตรฐานที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค
วันที่ 19 มกราคม 2566 ที่สำนักเทคโนโลยีดิจิทัล มหาวิทยาลัยนครพนม ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการอบรมโครงการส่งเสริมกระบวนการเครือข่ายองค์ความรู้ (Knowledge-Based OTOP : KBO) ที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เครือข่ายองค์ความรู้ KBO จังหวัด เป็นศูนย์กลางในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP ให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม มีการสร้างและนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาต่อยอดผลิตภัณฑ์เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวสินค้า รวมถึงสามารถเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ OTOP ที่ผ่านการพัฒนาแล้วสู่ตลาดและกลุ่มลูกค้า กลุ่มผู้บริโภคได้ตรงจุดตามความต้องการ ทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการค้นหาผลิตภัณฑ์ OTOP จำนวน 1 ผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นตัวแทนจังหวัดเข้าประกวดในระดับประเทศต่อไป
นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า การขับเคลื่อน OTOP ในพื้นที่นั้นรัฐบาลมีความมุ่งหมายที่จะให้ทุกภาคส่วนร่วมกันส่งเสริม สนับสนุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนและชุมชน ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ดังนั้นจังหวัดนครพนมจึงได้ผนึกกำลังทุกภาคส่วนในชุมชนร่วมกันขับเคลื่อน OTOP จังหวัดนครพนมสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืน ในรูปแบบของเครือข่ายองค์ความรู้ Knowledge - Based OTOP : KBO เพื่อส่งเสริมให้เครือข่ายองค์ความรู้ KBO จังหวัด เป็นศูนย์กลางในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถของกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ โดยในระหว่างวันที่ 19 – 20 มกราคม 2566 ได้เชิญตัวแทนกลุ่มผลิตภัณฑ์ OTOP จากชุมชนต่าง ๆ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์กับมหาวิทยาลัยนครพนมในเรื่องการพัฒนาต่อยอด การแปรรูปผลิตภัณฑ์ด้วยการนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สาธารณสุขจังหวัดนครพนมเกี่ยวกับการดำเนินการให้ได้มาตรฐาน อย. อุตสาหกรรมจังหวัดนครพนมเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่มาตรฐานอุตสาหกรรม เกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครพนม เกี่ยวกับการผลิตที่ได้มาตรฐานมาตรฐานอินทรีย์และอาหารปลอดภัย พานิชย์จังหวัดนครพนมเกี่ยวกับช่องทางการตลาด การจับคู่ธุรกิจ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนมเกี่ยวกับเทคนิคการสร้างการรับรู้ผ่านสื่อโซเชียล และตัวแทนกลุ่มผู้ผลิตที่สามารถสร้างผลิตภัณฑ์จนประสบความสำเร็จที่มาเล่าประสบการณ์ในการสร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์จนนำไปสู่การสร้างรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นให้กับตนเอง ครอบครัวและชุมชน จากนั้นจึงให้กลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการได้นำเสนอผลงานของตนเอง เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ หาข้อดี ข้อเด่นและข้อด้อยของผลิตภัณฑ์ เพื่อร่วมกันวางแผนพัฒนายกระดับสินค้าให้สูงมากยิ่งขึ้น โดยหลังจากนี้จะมีลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าของแต่ละผลิตภัณฑ์ ก่อนที่จะร่วมกันพิจารณาเลือกสินค้าเพียง 1 ชิ้น เพื่อเป็นตัวแทนจังหวัดนครพนมเข้าแข่งขันในระดับประเทศต่อไปวันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2566
ทหารกองผสม มทบ. 210 กระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล เนื่องในวันกองทัพไทย 2566
วันที่ 18 มกราคม 2566 ที่บริเวณค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม พลตรี สถาพร บุญชู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 เป็นประธานนำกำลังพลทหารกองผสมมณฑลทหารบกที่ 210 และ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 ประกอบพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพลเนื่องในวันกองทัพไทย ประจำปี 2566 โดยมีนายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ สมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 210 และญาติกำลังพลร่วมเป็นเกียรติในงาน
โดยก่อนที่จะมีการประกอบพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตน หมู่ธงได้เชิญธงชัยเฉลิมพลเข้าประจำจุดเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นร่วมกันประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเหล่าทหารกล้าที่ได้สละชีพเพื่อปกป้องประเทศชาติให้คงอยู่สืบมาจนถึงปัจจุบัน จากนั้นประธานนำกล่าวปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล มีใจความว่า ข้าพเจ้าจักยอมตาย เพื่ออิสรภาพและความสงบสุขแห่งประเทศชาติ จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา จักเทิดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ แห่งพระมหากษัตริย์เจ้า จักรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชาและจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด จะไม่แพร่งพรายความลับของทางราชการทหารเป็นอันขาด ตามด้วยประธานในพิธีอ่านโอวาทผู้บัญชาการทหารสูงสุด และนำกล่าวสดุดีวันกองทัพไทย ก่อนที่หมู่ธงจะเชิญธงชัยเฉลิมพลเข้าประจำที่และนำขบวนสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี ความเข้มแข็ง ความสามัคคี ความมีระเบียบวินัยและความพร้อมเพรียงของเหล่าทหารกองผสม และเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงดำรงพระราชสถานะเป็นองค์จอมทัพไทย ทั้งนี้ วันกองทัพไทย เป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติไทย ด้วยเป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงแสดงพระปรีชาสามารถกระทำสงคราม แม้ขณะนั้นพระองค์จะตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึกและอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แต่พระองค์ก็มีพระสติมั่นไม่หวั่นไหว ทรงมีพระปฏิภาณว่องไว ทำยุทธหัตถีจนมีชัยต่อพระมหาอุปราชาอย่างสมพระเกียรติ ยังมาซึ่งความเป็นอธิปไตยของผืนแผ่นดินไทย และเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ คณะรัฐมนตรีจึงกำหนดให้วันที่ 18 มกราคมของทุกปีเป็นวันกองทัพไทยจ.นครพนม ประกอบพิธีมอบปฏิทินหลวง พุทธศักราช 2566 พระราชทานสำหรับความสุขปีใหม่
วันที่ 18 มกราคม 2566 ที่ห้องประชุมพระธาตุเรณู ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานประกอบพิธีมอบปฏิทินหลวงพุทธศักราช 2566 พระราชทานสำหรับความสุขปีใหม่ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ให้แก่ข้าราชการในจังหวัดนครพนม จำนวน 2 เล่ม ตามที่จังหวัดพิจารณาเห็นว่าเหมาะสม จำนวน 2 ราย ได้แก่ นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และนายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม
ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปฏิทินหลวง พุทธศักราช 2566 พระราชทานสำหรับความสุขปีใหม่ โดยสำนักพระราชวังได้จัดพิธีมอบปฏิทินหลวงพุทธศักราช 2566 เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ให้แก่กระทรวงมหาดไทย ส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน เมื่อวันที่ เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2566 ณ ห้องรับรองของรองเลขาธิการพระราชวัง อาคารสำนักพระราชวัง หน่วยราชการในพระองค์ 904 โดยมี พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นประธาน เพื่อให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการมอบปฏิทินหลวงฯ ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 1 เล่ม และข้าราชการในจังหวัด จำนวน 2 เล่มสำหรับปฏิทินหลวง พุทธศักราช 2566 เป็นสมุดปกหนังสีเหลือง อันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพ มีตราพระปรมาภิไธยย่อ วปร. ระบุข้อความ "ปฏิทินหลวง พุทธศักราช 2566 พระราชทานสำหรับความสุขปีใหม่" รวมมีเนื้อหา อาทิ พระปฐมบรมราชโองการ ปีและศักราชทางจันทรคตินิยมอย่างไทย ประกาศสงกรานต์ วันกำหนดการ การชักและประดับธงชาติในวันสำคัญ วันพระราชสมภพพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ และวันสำคัญของประเทศที่มีสัมพันธไมตรีกับประเทศไทย วันสำคัญทางศาสนา วันสำคัญทางวัฒนธรรมและประเพณีจีน เป็นต้น
จังหวัดนครพนม ประกอบพิธีน้อมรำลึกวันยุทธหัตถีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปี 2566
วันที่ 18 มกราคม 2566 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่ร่วมกันประกอบพิธีวางพานพุ่มดอกไม้สด ถวายราชสักการะพระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องในวันยุทธหัตถี ประจำปี 2566 และกล่าวคำถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อน้อมรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงแสดงพระปรีชาสามารถ กระทำสงคราม แม้ขณะนั้นพระองค์จะตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก และอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แต่พระองค์ก็มีพระสติมั่น ไม่หวั่นไหว ทรงมีพระปฏิภาณว่องไว ทำยุทธหัตถีจนมีชัยต่อพระมหาอุปราชาอย่างสมพระเกียรติ ยังมาซึ่งความเป็นอธิปไตยของผืนแผ่นดินไทย
ทั้งนี้เดิมมีการระบุว่าวันยุทธหัตถีหรือวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชานั้น ตรงกับวันที่ 25 มกราคม แต่ต่อมามีการคำนวณวันใหม่และกำหนดให้วันที่ 18 มกราคมของทุกปีเป็นวันยุทธหัตถี หรือวันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเป็นวันรัฐพิธีแทน โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงวันทั้งสองนั้น เนื่องจากเป็นการนับวันทางสุริยคติที่คนปัจจุบันจะสามารถจดจำได้ง่ายมากกว่า อีกทั้ง นายประเสริฐ ณ นคร ราชบัณฑิตได้คำนวณแล้วพบว่า การนับวันทางจันทรคติของวันกระทำยุทธหัตถีที่ตรงกับวันจันทร์ เดือน 2 แรม 2 ค่ำ จุลศักราช 954 ที่เดิมกำหนดเป็นวันที่ 25 มกราคมนั้นคลาดเคลื่อน จึงได้มีการเปลี่ยนใหม่ ให้ตรงกับความเป็นจริงคือวันที่ 18 มกราคมวันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2566
พุทธศาสนิกชน 2 ฝั่งโขง เตรียมร่วมนมัสการองค์พระธาตุพนม 29 ม.ค. - 6 ก.พ. นี้
วันที่ 17 มกราคม 2566 ที่บริเวณลานหน้าวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พระเทพวนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร พร้อมด้วย นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พระครูพนมปรีชากร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร พลตำรวจตรี ธวัชชัย ถุงเป้า ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม นายสรรชัย ธ.น.ตื้อ นายกเทศมนตรีตำบลธาตุพนม และนางสาวกนกวรรณ ดุงศรีแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครพนม ร่วมกันแถลงข่าวการเตรียมความพร้อมและการจัดงานนมัสการองค์พระธาตุพนม ประจำปี 2566 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 29 มกราคม – 6 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อสืบสานงานบุญประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจังหวัดนครพนมและพุทธศาสนิกชนถือปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน ในห้วงวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 จนถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี รวม 9 วัน 9 คืน เพื่อเป็นพุทธบูชาถวายแด่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและองค์พระธาตุพนม ซึ่งเป็นศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุกระดูกส่วนหน้าอกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้
โดยในปีนี้จังหวัดนครพนมคาดว่าจะมีพุทธศาสนิกชนเดินทางมากราบไหว้องค์พระธาตุพนมเป็นจำนวนมาก ทั้งจากฝั่งไทย ฝั่ง สปป.ลาว และต่างชาติ เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดทำให้การจัดงานอยู่ภายใต้มาตรการสาธารณสุข แต่ในปีนี้สามารถจัดได้เหมือนปกติที่ผ่านมา ดังนั้นจึงได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับผู้ที่จะมาร่วมงาน ซึ่งปัจจุบันมีความพร้อมแล้ว โดยในส่วนสถานที่ก็มีการปรับปรุงและประดับตกแต่งในหลาย ๆ ส่วนให้มีความสวยงามเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่แล้ว ขณะที่ด้านการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยจะมีการบูรณาการหน่วยงานความมั่นคงและมูลนิธิต่าง ๆ ในพื้นที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาดูแลประชาชนตลอด 9 วัน 9 คืน โดยมีระบบกล้องวงจรปิดจำนวน100 ตัว คอยติดตามสถานการณ์เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ขณะที่ด้านสาธารณสุขก็มีการมอบหมายให้สาธารณสุขจังหวัดนครพนมรับผิดชอบในการวางแผนเพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินที่อาจจะเกิดเหตุภายในงานได้ ส่วนด้านความสะอาดทางเทศบาลตำบลธาตุพนมก็ได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่และรถไว้เรียบร้อยแล้วพร้อมออกปฏิบัติการเก็บกวาดดูแลสถานที่ให้สะอาด สวยงามและน่ามองตลอดเวลา ในส่วนของศาสนพิธีในวันแรกคือ 29 มกราคม 2566 จะมีพิธีอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำโขงไปประดิษฐาน ณ พระวิหารหอพระแก้วในวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เพื่อขอพรให้ช่วยปกปักรักษา ป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ไม่ให้เกิดขึ้นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ โดยมีคณะญาติธรรมจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาสารคาม และนครพนม รวมถึงกลุ่มนักแสดง เต๋าภูศิลป์และคณะ มาร่วมขบวนแห่พระอุปคุตที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นประธาน จากนั้นเป็นการถวายข้าวพีชภาค ในภาคบ่ายจะมีพิธีเปิดงานนมัสการองค์พระธาตุพนม โดยพลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่เป็นลูกพระธาตุพนมและข้าโอกาส ส่วนช่วงเย็นจะมีการทำวัตรเย็น การแสดงพระธรรมเทศนา เวียนเทียน นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันแห่กองบุญถวายองค์พระธาตุพนม ตักบาตรคู่อายุ เสียค่าหัว แห่ผ้าห่มพระธาตุพนม โดยในโอกาสนี้ทางวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ยังได้แจ้งว่ามีการจัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งด้านหลังวัดไว้ให้ญาติธรรมที่มาร่วมงานจอดรถได้ฟรีด้วยผู้ว่าฯนครพนมแนะประชาชนที่มีพื้นที่น้อย เปลี่ยนถังเป็นแหล่งผลิตอาหารสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว
วันที่ 17 มกราคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ลงพื้นที่อำเภอนาแก และอำเภอวังยาง ติดตามการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวง กรม และจังหวัด เพื่อสร้างความเข้าใจกับคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ในระดับอำเภอ ตำบล รวมถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน พร้อมมอบแนวทางการปฏิบัติราชการที่ผู้นำต้องทำก่อน เพื่อเป็นต้นแบบให้กับประชาชนในทุก ๆ เรื่อง โดยในโอกาสนี้ยังได้เยี่ยมชมพื้นที่บ้านพักนายอำเภอที่มีการสร้างแหล่งอาหาร เป็นต้นแบบให้กับประชาชนในพื้นที่ได้เห็นและนำไปปฏิบัติตามกับกิจกรรมบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง
นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า สำหรับนโยบายที่ตนเองเน้นย้ำกับทุกภาคส่วนในการที่จะร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาจังหวัดนครพนมให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ทำให้ชาวนครพนมทุกคนมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภายใต้ สโลแกนที่ว่าผู้นำต้องทำก่อนกับ 4 แนวนโยบายที่ต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดย 1 ในนั้นคือโครงการหน้าบ้านน่ามอง นครพนมน่าอยู่ ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยหลากหลายอย่าง เช่น กิจกรรมบ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง ที่ได้น้อมนำพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาสร้างความมั่นคงทางอาหาร และหลายคนอาจจะมองว่าพื้นที่ของตนเองมีน้อย ไม่เพียงพอต่อการปลูกพืชผักไว้รับประทาน แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกคนล้วนสามารถทำได้ เพียงมีการดัดแปลงและประยุควิธีการปลูกใหม่ เป็นการปลูกในถัง ในขวดพลาสติก หรือในกล่องโฟมก็สามารถทำได้ และถ้าเราจัดตกแต่งดี ๆ จะเป็นการเนรมิตพื้นที่ให้กลายเป็นสวนที่สวยงามขนาดย่อม ๆ ได้ อย่างเช่นที่บ้านพักนายอำเภอนาแก ที่มีการปลูกผักในถังแล้วนำมาจัดตกแต่งเป็นสวนเข้ากับบ้านเก่าสไตล์โคโลเนียล โดยขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแค่เจาะรูด้านข้างไว้สำหรับใส่ต้นผักต่าง ๆ ที่ต้องการรับประทาน จากนั้นหาท่อ PVC มาเจาะรูไล่ระดับจากบนลงล่าง เพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับรดน้ำผักที่ปลูก เมื่อมีทั้งถังและท่อที่เจาะแล้วก็เตรียมดินที่จะปลูกผักใส่เข้าไปในถัง ให้ท่อ PVC อยู่ตรงกลาง นำเมล็ดพันธุ์หยอดตามรูด้านข้างถังที่เจาะไว้ ที่เหลือก็เพียงนำไปจัดวางในตำแหน่งที่ต้องการและรดน้ำลงไปในท่อ ซึ่งน้ำจะซึมผ่านรูที่เจาะไปยังดินและส่งแร่ธาตุในดินไปยังพืชผักที่ปลูก ทำให้เจริญเติบโตกลายเป็นแหล่งอาหารไว้รับประทานสำหรับทุกคนในครอบครัวจิตอาสานครพนม ร่วมทำความสะอาดพัฒนาพื้นที่สถานศึกษา เนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี 2566
วันที่ 17 มกราคม 2566 ที่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะครู อาจารย์ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และประชาชนจิตอาสาร่วมกันทำความสะอาด ปรับแต่งภูมิทัศน์พัฒนาพื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติจังหวัดนครพนม เพื่อให้เกิดความสวยงาม ร่มรื่น ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี 2566 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันทรงคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน
โดยพระองค์ทรงรวบรวมแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกันจนกลายเป็นราชอาณาจักรไทยที่กว้างใหญ่ไพศาล ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้นมาให้ชาติไทยได้มีมรดกอันล้ำค่า ที่ทุกคนรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นเอกลักษณ์และความสละสลวย ที่ก่อให้เกิดการสะสมองค์ความรู้ทางศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่าง ๆ สืบทอดกันมา โดยในรัชสมัยของพระองค์เป็นช่วงที่กรุงสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ด้วยตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมที่สามารถค้าขายติดต่อกับบ้านเมืองต่าง ๆ ได้โดยรอบ ทั้งยังยอมเป็นเมืองผ่านทางการค้าที่อนุญาตให้พ่อค้าเอาสินค้าไปค้าขายได้โดยไม่เก็บภาษี จึงเกิดการค้าขายเป็นจำนวนมาก และด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านในด้านต่าง ๆ ปวงชนชาวไทยจึงได้พร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” แด่พระองค์ท่านเป็นองค์แรกของชาติไทย และได้มีการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ไว้สักการะ ณ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ จังหวัดสุโขทัย ต่อมาในปี พ.ศ. 2531 สำนักงานสภาจังหวัดสุโขทัย ได้มีหนังสือเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ขอให้มีการกำหนดวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราชขึ้น โดยถือเอาวันที่ 17 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีและทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ เป็นวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ต่อมาได้มีการพิจารณาทบทวนเรื่องการกำหนดวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความถูกต้องตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทางคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติจึงได้เสนอความคิดเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพบหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในวันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2376 จึงได้เสนอให้คณะรัฐมนตรี ลงมติอนุมัติการกำหนดวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติ โดยให้วันที่ 17 มกราคมของทุกปีเป็นวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นวันรัฐพิธี โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีถวายราชสักการะ เนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี 2566
วันที่ 17 มกราคม 2566 ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติจังหวัดนครพนม อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะครู อาจารย์ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ร่วมกันประกอบพิธีถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมราชนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราซ เนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี 2566 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันทรงคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน ทรงรวบรวมอาณาจักรไทยจนเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง ทั้งยังได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้น ทำให้ชาติไทยได้สะสมความรู้ทางศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่าง ๆ สืบทอดกันมา
.jpg)
.jpg)


.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)


.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
%20(1).jpg)
.jpg)
