วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

เริ่มแล้ว งานแสดงและจำหน่ายสินค้า พาณิชย์ ลดราคาออนทัวร์ @ นครพนม 2023 ครั้งที่ 1

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนที่ทราบข่าวว่ามีการจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้า พาณิชย์ ลดราคาออนทัวร์ @ นครพนม 2023 ครั้งที่ 1 ภายใต้โครงการพาณิชย์ ลดราคาออนทัวร์ ทั่วไทย Lot 21 ซึ่งเป็นการเปิดบูธจำหน่ายสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาดให้กับประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อน ลดภาระและค่าครองชีพ ให้แก่ประชาชน ทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้ประกอบการ เกษตรกร กลุ่มเกษตร วิสาหกิจชุมชน SMEs และทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศฟื้นตัวได้

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า กิจกรรมในวันนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพี่น้องประชาชน ในการที่จะได้มาจับจ่ายซื้อหาสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาถูกกว่าท้องตลาด ซึ่งวันนี้มีถึง 100 ร้านค้า เป็นสินค้าในทุกภาคของประเทศไทยที่นำมาจำหน่าย นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เยาวชน ลูก ๆ หลาน ๆ ได้มาแสดงความสามารถกับการประกวดวงดนตรีโฟล์คซอง ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้เล็งเห็นความสำคัญจัดงานนี้ขึ้นมา และได้มอบหมายให้กรมการค้าจัดสรรงบประมาณให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครพนมมาดำเนินการในพื้นที่ จำนวน 4 ครั้ง จึงขอเชิญชวนชาวนครพนมได้มาเลือกซื้อหาสินค้าได้ตามความชอบ ที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม ตั้งแต่เวลา 09.00 - 21.00 น. โดยงานครั้งที่ 1 นี้จะมีไปจนถึงวันที่ 2 มีนาคม 2566 ส่วนครั้งที่ 2 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 16 มีนาคม 2566 ที่ที่ว่าการอำเภอบ้านแพง ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 29 - 31 มีนาคม 2566 ที่ที่ว่าการอำเภอศรีสงคราม และครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 10 - 12 เมษายน 2566 ที่โรงเรียนปลาปากราษฎร์บำรุง

ด้านนางจุฑารัตน์ ศรีโมรา พาณิชย์จังหวัดนครพนม กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมในครั้งนี้มีทั้ง Supplier กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน SMEs BizClub และ Startup มาจัดจำหน่ายอย่างมากมาย ซึ่งสินค้าจะราคาถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 20 - 40 % เช่น เนื้อหมู-เนื้อแดง จำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 130 บาท แต่ละคนซื้อได้ไม่เกิน 2 กิโลกรัม เนื้อไก่-น่องติดสะโพก กิโลกรัมละ 45 บาท ได้คนละไม่เกิน 2 กิโลกรัม ไข่ไก่เบอร์ 2-3 แผงละ 90 บาท/แผง ได้คนละไม่เกิน 2 แผง น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม ถุงละ 18 บาท ได้ไม่เกินคนละ 5 กิโลกรัม น้ำมันพืชปาล์มขวด 1 ลิตร ราคา 40 บาท ได้คนละไม่เกิน 3 ขวด ข้าวสารหอมมะลิถุงละ 5 กิโลกรัม ราคา 110 บาท ได้คนละไม่เกิน 3 ถุง ข้าวขาว 5% ราคาถุงละ 80 บาท ได้คนละไม่เกิน 3 ถุง โดยกำหนดช่วงจำหน่ายไว้ 3 ช่วงเวลาของการจัดงานทุกวัน คือช่วงที่ 1 เวลา 11.00 – 12.00 น. ช่วงที่ 2 เวลา 14.00 - 15.00 น. และ ช่วงที่ 3 เวลา 17.00 - 18.00 น.


จิตอาสานครพนม รวมพลังทำความสะอาด ปรับภูมิทัศน์ริมฝั่งโขงบ้านวัฒนธรรมชนเผ่า รองรับนักท่องเที่ยว

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในช่วงนี้การท่องเที่ยวจังหวัดนครพนมยังคงคึกคักเติบโตต่อเนื่อง มีประชาชนและนักท่องเที่ยวมาเยือนตลอดเวลา ด้วยมนต์เสน่ห์หลากหลายอย่างที่มีในจังหวัดนครพนม ทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดอย่างพระธาตุพนม สวยที่สุดอย่างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 งามที่สุดทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำโขง แล้วก็ยังมีอารยธรรม ธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อ และวิถีชีวิต Slow life ที่ใครก็ถวิลหา ให้ทุกคนได้มาสัมผัสและเก็บเป็นความทรงจำที่สวยงาม ดังนั้นเพื่อเพิ่มความประทับใจให้กับผู้ที่มาเยือนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหมู่บ้านวัฒนธรรมชนเผ่า ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ถนนสวรรค์ชายโขง อำเภอเมือง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญ ที่จังหวัดนครพนมกำลังพัฒนาและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รู้จัก โดยทุกวันพฤหัสบดีจะมีการเปิดตลาดถนนคนเดินพร้อมกับกิจกรรมดนตรีริมฝั่งโขง@นครพนม เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้มาจับจ่ายซื้อหาสิ่งของที่ต้องการ พร้อมกับการชมธรรมชาติที่งดงามริมฝั่งแม่น้ำโขง ชมความสวยงามของบ้านโบราณที่มีการสร้างขึ้นมาตามแบบวิถีชีวิตชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครพนม และรับฟังเพลงพระราชนิพนธ์เพลงทั่วไปที่นำมาบรรเลงขับกล่อม รวมถึงการแสดงศิลปวัฒนธรรม หรือจะออกกำลังกาย ด้วยการ เดิน วิ่ง ก็ได้เช่นเดียวกัน

และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะถึงนี้ จังหวัดนครพนมก็เตรียมที่จะจัดกิจกรรมนครพนมบีช ที่บริเวณหาดทรายทองศรีโคตรบูร ที่อยู่ด้านล่างริมฝั่งแม่น้ำโขงถัดลงไปจากหมู่บ้านวัฒนธรรมชนเผ่า ซึ่งใน 1 ปีมีให้เห็นเฉพาะช่วงที่น้ำในแม่น้ำโขงลดลงเท่านั้น โดยกิจกรรมก็จะมีให้ผู้ที่มาร่วมงานได้สนุกหลากหลายรูปแบบ และในช่วงนี้ที่น้ำกำลังเริ่มลดลง หาดทรายทองก็เริ่มมองเห็นเป็นรูปร่างที่ชัดเจนที่มาพร้อมกับเศษตะกอน เศษขยะ และเศษวัสดุที่เป็นชิ้นส่วนของเรือไฟที่หลงเหลือจากการจัดงาน กระจัดกระจายอยู่ตามหาดทรายให้ทุกคนได้เห็น ทำให้มองดูแล้วไม่น่ามอง ดังนั้นในวันนี้จึงได้ร่วมกับประชาชนจิตอาสาจังหวัดนครพนม ลงพื้นที่เก็บเศษวัสดุ ขยะ และสิ่งต่าง ๆ รวมถึงตัดหญ้า เพื่อทำความสะอาดปรับแต่งภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบให้มีความสะอาด สวยงาม สร้างหน้าบ้านน่ามอง เพิ่มความประทับใจ และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจังหวัดนครพนมมากยิ่งขึ้น


วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

นครพนม จัดงานวันสหกรณ์แห่งชาติ รำลึกพระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย พร้อมสานพลังความสามัคคีด้วยกีฬาให้สมาชิก

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนเครือข่ายสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ที่เดินทางมาร่วมงานวันสหกรณ์แห่งชาติ จังหวัดนครพนม ประจำปี 2566 ที่สำนักงานสหกรณ์จังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย ที่ทรงริเริ่มทดลองจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นเป็นแห่งแรก ทั้งเพื่อให้สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสหกรณ์ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างรายได้ สร้างความกินดีอยู่ดีให้แก่มวลสมาชิกและพี่น้องประชาชน ทั้งเป็นการเผยแพร่ระบบสหกรณ์ให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าใจ ในหลักการ วิธีการสหกรณ์ และสามารถนำไปใช้ในการดำรงชีวิตได้อย่างถูกต้อง

นางสาววัชรี ปุกหุต สหกรณ์จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า สหกรณ์ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายสมัยรัฐกาลที่ 5 ที่ขณะนั้นประชาชนมีอาชีพหลักคือการทำนา และเมื่อมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น ทำให้มีความต้องการเงินทุนเพื่อมาขยายการผลิตให้เพิ่มมากขึ้น แต่ด้วยเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในฐานะยากจน ขาดแคลนเงินทุน จึงจำเป็นต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากพ่อค้านายทุน จึงมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ให้กู้ยืมในทุกวิถีทาง และด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการเกิดสหกรณ์ในประเทศไทย โดยพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงส่งเสริมให้ก่อตั้งสหกรณ์แห่งแรกขึ้น มีการจดทะเบียนเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2459 เป็นรูปแบบสหกรณ์ เครดิตแบบไรฟ์ไฟเซน และมีการเจริญเติบโตมาโดยลำดับ มีการจัดตั้งสหกรณ์เพิ่มมากขึ้น กระทั่ง 12 ปีต่อมาเมื่อผลการดำเนินงานทางสหกรณ์เป็นที่ประจักษ์ จึงมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2471 และมีการจัดตั้งสหกรณ์ประเภทอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์ที่ดิน ร้านสหกรณ์ โดยเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2527 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันสหกรณ์แห่งชาติ และมีการจัดงานเป็นประจำทุกปี เพื่อรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระบิดาผู้ให้กำเนิดสหกรณ์

โดยในปีนี้กิจกรรมของจังหวัดนครพนมได้เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 9.00 น. ที่นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ประธานในพิธีได้นำทุกคนร่วมกันประกอบพิธีวางพานพุ่มดอกไม้สดถวายสักการะ และกล่าวสดุดีพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย จากนั้นประธานในพิธีอ่านสารนายกรัฐมนตรีเนื่องในวันสหกรณ์แห่งชาติ ตามมาด้วยการมอบเกียรติบัตรให้กับสหกรณ์และกลุ่มสหกรณ์ที่มีผลงานดีเด่นในรอบปีที่ผ่านมา และมอบเงินกู้กองทุนพัฒนาสหกรณ์ ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ให้การสนับสนุนสหกรณ์ไปใช้ในการดำเนินงาน ก่อนที่ทุกคนจะได้ร่วมกันทำบุญเลี้ยงพระ ถวายภัตตาหาร เครื่องไทยทานและกิจกรรมเสริมสร้างความรักความสามัคคีให้กับสมาชิก คือการแข่งขันกีฬาที่มีทั้งกีฬาสากลทั่วไปและกีฬามหาสนุก ที่ระหว่างการเล่นจะก่อให้เกิดพลัง เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสหกรณ์ และก่อให้เกิดเครือข่ายที่มีการเชื่อมโยงระหว่างสหกรณ์ กลายเป้นการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ นำไปสู่ความมั่นคงของทุก ๆ สหกรณ์ในอนาคต


วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

นครพนมเดินหน้าส่งมอบโถปันสุขผู้สูงวัย พร้อมเตรียมสร้างช่างไฟฟ้าประจำหมู่บ้านแก้ปัญหาอัคคีภัย

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ที่องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และคณะผู้แทนสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครพนม ร่วมกันส่งมอบโถสุขภัณฑ์ปันสุข ลุกนั่งปลอดภัย ห่วงใยผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นโครงการที่จังหวัดนครพนมบูรณาการทุกภาคส่วนจัดขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุที่ยากจนในพื้นที่ 12 อำเภอ ที่เป็นการเปิดรับบริจาคไปยังผู้มีใจเป็นกุศล ผ่านทางบัญชีเลขที่ 661-9-17572-4 ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี สาธารณกุศล จังหวัดนครพนม โดยให้มีการยืนยันหลักฐานการโอนมายังหมายเลขโทรศัพท์ Line ID : 0854842537 รวมถึงมีการบอกบุญไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการร่วมด้วยช่วยกันดำเนินโครงการ ทำให้ ณ วันนี้มียอดเงินบริจาครวม 8 แสนกว่าบาท โดยจังหวัดได้เร่งดำเนินการจัดหาโถชักโครกมาส่งมอบให้ผู้สูงอายุในพื้นที่ พร้อมกับให้ผู้นำชุมชนและประชาชนจิตอาสาที่มีความสามารถด้านช่างได้ช่วยกันเปลี่ยนโถนั่งยองและปรับปรุงพื้นห้องน้ำให้ใหม่ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้ผู้สูงวัยไม่ต้องเสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุระหว่างลุกนั่งและทำธุระในห้องน้ำ โดยข้อมูลล่าสุดสามารถส่งมอบได้แล้ว 1,049 โถ

และในโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้มีการพูดถึงปัญหาอัคคีภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่มาจากระบบไฟฟ้าลัดวงจร เนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด เสื่อมสภาพ และอื่น ๆนำมาซึ่งการสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงได้มอบหมายให้ทางอำเภอ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ทำการสำรวจ ให้คำแนะนำประชาชน และช่วยกันปรับปรุงซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่มีการชำรุดให้กับมามีสภาพพร้อมใช้งาน แต่เนื่องจากบุคลากรในแต่ละชุมชนมีผู้ที่เชี่ยวชาญในระบบไฟฟ้าน้อย มีไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงมีการปรับแผนใหม่ โดยเตรียมที่จะให้มีการพัฒนาทักษะความสามารถให้ตัวแทนหมู่บ้าน ซึ่งเบื้องต้นให้ไปคัดเลือกตัวแทนเพื่อส่งรายชื่อให้จังหวัด หมู่บ้านละ 1 คน จากนั้นทางจังหวัดจะมีการจัดอบรมและเชิญทีมวิทยากรจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครพนมมาถ่ายทอดความรู้ด้านช่างไฟฟ้าให้ เพื่อที่ทุกคนจะได้มีทักษะความสามารถในการตรวจสอบระบบไฟฟ้า และสามารถซ่อมบำรุงเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ กลายเป็นช่างไฟฟ้าประจำหมู่บ้าน ที่พร้อมออกปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกันการเกิดอัคคีภัยจากสาเหตุไฟฟ้ารัดวงจรในหมู่บ้าน รวมถึงนำความรู้ที่ได้รับไปขยายผลต่อยังคนในชุมชน


กลุ่มคนพิการนครพนม เปิดร้านกาแฟพร้อมทำธุรกิจแก้วพ่นทราย สร้างความยั่งยืนในอาชีพ

นางภัทรพันธ์ พงศ์วัชร์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาธุรกิจชุมชน เปิดเผยว่า สถาบันพัฒนาธุรกิจชุมชนทำหน้าที่ในการฝึกอบรมเพื่อสร้างอาชีพให้กับคนพิการ ซึ่งพบว่าเมื่อคนพิการอบรมเสร็จก็จะมีเพียงวิชาความรู้ที่ได้อบรมเท่านั้น แต่ก็ยังไม่มีทุน ไม่มีเครื่องมือในการประกอบอาชีพ และได้เห็นช่องทางในการจ้างงานตามมาตรา 35 ที่กฎหมาบยบังคับว่าบริษัท สถานประกอบการ ห้างร้านที่มีคนทำงาน 100 คน ต้องจ้างคนพิการ 1 คนเข้าทำงาน แต่ด้วยสถานประกอบการส่วนใหญ่ 80-90 % อยู่ในตัวเมือง ทำให้คนพิการที่อยู่ต่างถิ่นไม่สามารถเดินทางไปทำงานได้ ประกอบกับในพื้นที่จังหวัดนครพนมแทบจะไม่มีบริษัทที่ต้องจ้างงานคนพิการ ดังนั้นสถาบันพัฒนาธุรกิจชุมชนจึงปรับแผนนำเงินที่สถานประกอบการต้องจ้างคนพิการลงไปให้คนพิการที่ชุมชนเลย

จึงเกิดเป็นโครงการจ้างงานคนพิการในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น การส่งเสริมอาชีพรายเดี่ยว การจ้างเหมาที่ให้คนพิการทำงานให้องค์กรภาครัฐหรือสาธารณประโยชน์แล้วบริษัทจ่ายเงินเดือน อีกรูปแบบคือการนำสิทธิคนพิการมารวมกันเพื่อรวมเงินทุนตั้งเป็นโครงการใหญ่ ๆ ที่จะต่อยอดอาชีพสู่ความยั่งยืนของคนพิการ โดยของจังหวัดนครพนมก็จะมี กลุ่ม Do D D (ดูดีดี) Do and Design by Deaf ที่มีการไปเข้ารับการฝึกอบรมและพัฒนาอาชีพการทำแก้วพ่นทราย แก้วกัดกระจกและทำร้านกาแฟ ซึ่งสมาคมคนหูหนวกจังหวัดนครพนมได้ร่วมกับสถาบันพัฒนาธุรกิจชุมชนจัดอบรมให้ และวันนี้ได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาสนับสนุนคนพิการให้ได้มีอาชีพ มีรายได้ สามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดภาระการพึ่งพาครอบครัวและสังคม ที่สำคัญคือก่อให้คนพิการเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง เพราะจริง ๆ แล้วคนพิการทุกคนมีความสามารถมาก เพียงทุกคนให้โอกาสก็ถือเป็นการช่วยเหลือ สนับสนุน สร้างแรงบันดาลใจในการผลิตผลงานที่โดดเด่น ที่ผ่านมามีหลายกลุ่มที่ประสบความสำเร็จ จนสามารถมีโรงงานเฟอร์นิเจอร์ส่งขายทั่วประเทศและมีลูกจ้างเป็นคนปกติที่มาทำงานสนับสนุนช่วยในส่วนที่คนพิการไม่สามารถทำได้

ด้านนางสาวนิลวรรณ ปิติพัฒน์ ประธานกลุ่ม Do D D (ดูดีดี) Do and Design by Deaf กล่าวเพิ่มเติมว่า ร้านของกลุ่มเราจะตั้งอยู่ที่สมาคมคนหูหนวกจังหวัดนครพนม ตรงข้ามกับสวนชมโขง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม มีบริการร้านกาแฟ ที่มีเมนูให้ลูกค้าได้เลือกอย่างหลากหลายพร้อมเสิร์ฟกับขนมคุกกี้แสนอร่อยให้ทุกคนได้มาลองดื่มในราคาที่ไม่แพง ซึ่งทางร้านก็จะมีการจัดมุมภาพเก๋ๆ สวยๆ ให้ได้ถ่ายภาพความประทับใจเก็บเป็นที่ระลึกด้วย หรือถ้าใครมีเวลาว่างนานก๋สามารถนั่งชิว ๆ จิบเครื่องดื่มบนเฟอร์นิเจอร์ที่ประดิษฐ์จากฝีมือคนพิการ แต่มาตรฐานที่รับรองว่านั่งแล้วจะเพลิน หากชื่นชอบก็สามารถสั่งจองได้ในราคาที่เป็นมิตรกับทุกคน และที่ทุกคนไม่ควรพลาด คืองานฝีมือแก้วพ่นทรายที่ทางร้านเราคิดค่าแกะลายเบื้องต้น 50 บาทไม่รวมค่าแก้ว เพราะถ้าลายมีความซับซ้อนตรงนี้ก็ต้องขอคิดราคาเพิ่มขึ้นตามลำดับความยากง่าย ซึ่งตรงนี้ลูกค้าสามารถสั่งได้ว่าอยากได้ลายแบบไหน จะเป็นรูปตัวเอง รูปคนรัก รูปสิ่งสำคัญที่อยากทำเป็นเฉพาะในวาระพิเศษเพื่อมอบให้คนพิเศษก็สามารถทำให้ได้ ยิ่งถ้ามีการสั่งจองเป็นจำนวนมากก็จะได้ในราคาที่ถูกลง จึงอยากขอเชิญทุกท่านมาทดลองสักครั้งรับรองว่าต้องติดใจ นอกจากนี้ก็ขอฝากให้สนับสนุนกลุ่มเพื่อน ๆ คนพิการที่ทำฟาร์มเห็ดด้วย ชื่อ ฟาร์มเห็ดคำเตย ที่มีเห็ดรอจำหน่ายให้ทุกคนในราคาที่ไม่แพง โดยติดต่อได้ที่เบอร์โทร 087-080-2595


วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

นรข.นครพนม บูรณาการร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง ยึดยาบ้าลักลอบข้ามโขง 1.4 ล้านเม็ด

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ที่สโมสรสัญญาบัตร หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย พล.ร.ต. สมาน ขันธพงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (ผบ.นรข.) น.อ.กษิติ กลิ่นศรีสุข ผบ.นรข.เขตนครพนม พ.ต.อ.(ญ) จีรนันท์ ธนะสิงห์ ผกก.พิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.นครพนม น.ต.สมเจตน์ ค้าทวี หน.สน.เรือบ้านแพง นางนิภาวรรณ ใยบัวเทศ นายด่านศุลกากรจังหวัดนครพนม นางจินตนา สุมขุนทด หัวหน้าด่านตรวจพืชนครพนม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงผลการตรวจยึดยาบ้าจำนวน 1.4 ล้านเม็ด และกัญชา 25 กิโลกรัม ภายหลังการบูรณาการหน่วยความมั่นคงดำเนินการเฝ้าระวังป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน

โดยแบ่งเป็นเหตุเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ สน.เรือบ้านแพง ได้จัดกำลังพลลงพื้นที่ชุ่มเฝ้าตรวจตามพื้นที่เสี่ยงและคาดว่าจะมีการกระทำความผิดกฎหมาย กระทั่งเวลา 19.00 น. ชุดลาดตระเวน นรข. ได้ตรวจพบเรือต้องสงสัยกำลังแล่นเรือมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน มุ่งหน้าสู่บ้านหาดทรายเพ ตำบลหนองเทา อำเภอท่าอุเทน เมื่อใกล้ถึงฝั่งได้ดับเครื่องยนต์และพายเรือเข้าเทียบ จากนั้นชาย 2 คนที่อยู่บนเรือได้ทำการยกวัตถุต้องสงสัยมีลักษณะคล้ายกระสอบมาวางกองไว้ริมฝั่งแม่น้ำโขง เมื่อเห็นดังนั้นชุดลาดตระเวนจึงได้ทำการประชิดระยะและแสดงตัวขอเข้าตรวจค้น ซึ่งเป็นจังหวะที่ชายทั้ง 2 คน ติดเครื่องยนต์เรือและผลักหัวเรือออกจากฝั่งขับหายไปในความมืดด้วยความรวดเร็ว ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดตามได้ทัน จึงได้เข้าทำการตรวจสอบบริเวณดังกล่าว พบกระสอบสีฟ้า 5 กระสอบ สีเหลือง 4 กระสอบวางอยู่ ภายในเป็นยาบ้า 1,456,000 เม็ด จึงได้บันทึกการตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน พร้อมนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอุเทน เพื่อติดตามหาผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ขณะที่อีกเหตุการณ์เป็นวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ระหว่างลาดตระเวน เจ้าหน้าที่ นรข. ได้ตรวจพบเรือต้องสงสัยล่องเข้ามายังบริเวณบ้านดอนแพง ตำบลบ้านแพง อำเภอบ้านแพง จากนั้นมีกลุ่มคน ประมาณ 10 คน เข้ามาทำการขนถ่ายวัตถุต้องสงสัยสีดำบนเรือไปวางไว้ริมฝั่งแม่น้ำโขง ไม่นานก็มีรถกระบะ สีบรอนซ์ทอง ไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียนวิ่งเข้ามาจอดเทียบและกลุ่มดังกล่าวก็ได้ช่วยกันขนวัตถุต้องสงสัยขึ้นท้ายรถกระบะ เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าตรวจค้น ซี่งเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ทั้ง 10 คน มีอาการตกใจพร้อมกับกระโดขึ้นรถขับออกไปด้วยความเร็วและความชำนาญในพื้นที่ แม้เจ้าหน้าที่จะเร่งติดตามแต่ก็ไม่ทัน ดังนั้นจึงได้ย้อนกลับมาตรวจสอบบริเวณเกิดเหตุ พบถุงสีดำขนาดใหญ่ จำนวน 1 ถุง วางอยู่บนพื้นลักษณะเหมือนวัตถุที่กลุ่มบุคคลข้างต้น ขนขึ้นรถกระบะแล้วขับหลบหนีไปได้ ตรวจสอบภายในเป็นกัญชาแห้ง (ส่วนช่อดอก) บรรจุอยู่ในกระสอบห่อด้วยถุงพลาสติกสีดำอย่างดี น้ำหนักประมาณ 25 กิโลกรัม จึงไต้ทำบันทึกตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน พร้อมนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านแพง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


รองผู้ว่าฯนครพนม พร้อม ผกก.ตชด 23 ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมรับเสด็จกรมสมเด็จพระเทพฯ ผ่านระบบออนไลน์ 2 รร. ตชด.ในพื้นที่

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย พันตำรวจเอก วุทธยา สิงห์กิ้ง ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 และคณะ ลงพื้นที่ตรวจติดตามความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมรับเสด็จสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 มีนาคม 2566 เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และสมพระเกียรติอย่างสูงสุด


โดยในเวลา 9.00 น. เป็นการติดตามโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านนาสามัคคี อำเภอนาทม ซึ่งทำการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งสิ้น 35 คน ครูตำรวจตระเวนชายแดน 7 นาย ครูผู้ดูแลเด็ก 1 คน  ครู สพฐ.ตามโครงการแก้ไขปัญหาครูวิกฤติ 1 คน โดยมีดาบตำรวจหญิง ทิพเยาว์ พรมดี ทำหน้าที่ครูใหญ่ จากนั้นในเวลา 13.30 น. เป็นการติดตามโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนชูทิศวิทยา อำเภอท่าอุเทน ที่เปิดทำการเรียนการสอน ตั้งแต่ชั้นก่อนประถมศึกษา – ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งหมด 133 คน ครูตำรวจตระเวนชายแดน 8 นาย ผู้ดูแลเด็กก่อนวัยเรียน 1 คน ครู สพฐ.ตามโครงการแก้ไขปัญหาครูวิกฤติ 1 คน ครูอาสาลูกจ้างมูลนิธิสิริวัฒนภักดี 1 คน โดยมีดาบตำรวจหญิง สุภาวดี เข็มรัตน์ ทำหน้าที่ครูใหญ่ 


ทั้งนี้ทั้ง 2 โรงเรียน เป็นโรงเรียนในความรับผิดชอบของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 จังหวัดสกลนคร ซึ่งตั้งแต่ปีการศึกษา 2560 เป็นต้นมา โรงเรียนได้ดำเนินกิจกรรมการพัฒนาเด็กและเยาวชน ตามแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2560-2569 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างสมดุลในด้านพุทธิ-ศึกษา จริยศึกษา หัตถศึกษา และพลศึกษา ด้วยกระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติ มีความรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ภาคภูมิใจในความเป็นไทย และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและประเทศชาติ เพื่อขยายการพัฒนาจากโรงเรียนสู่ชุมชน ทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ ครอบครัวและชุมชนเกิดการพัฒนา ช่วยเหลือสนับสนุนการพัฒนาเด็กและเยาวชนและโรงเรียนไปพร้อม ๆ กัน และเพื่อผลักดันให้สถานศึกษาพัฒนาเป็นศูนย์บริการความรู้ สามารถถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการพัฒนาให้กับผู้ปกครอง ชุมชน และสถานศึกษาหรือองค์กรอื่น ๆ ทั้งจากภายในประเทศและจากต่างประเทศ เพื่อนำไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละที่ สร้างความร่วมมือและเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างประเทศ 

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการติดตามการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา โรงเรียนอุเทนพัฒนา สพม.นครพนม


วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายไพศาล วุทฒิลานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย ดร.เกษม คำมุงคุณ นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการภาค 11 ลงพื้นที่ตรวจติดตามการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา โรงเรียนอุเทนพัฒนา สพม.นครพนม โดยมีนายภูวนารถ ตั้งศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนอุเทนพัฒนา คณะผู้บริหาร ครู และนักเรียน ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายสรุป รวมถึงเป็นประธานเปิดศูนย์ Moe Safety Center ของโรงเรียนอุเทนพัฒนา เพื่อใช้เป็นศูนย์ช่วยให้ความไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้น ได้รับการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงและความรุนแรง แก้ไขได้ถึงแหล่งต้นตอของปัญหา มีการติดตามความคืบหน้า มีความเป็นธรรมและโปร่งใสแก่ทุกฝ่าย โดยมีการรายงานการแก้ไขปัญหาแบบ Real-time ที่สำคัญคือมีการเก็บเป็นฐานข้อมูล Big-Data เพื่อนำมาวางแผนและกำหนดนโยบายการพัฒนาสถานศึกษาและด้านความปลอดภัยในแต่ละพื้นที่ เพื่อขยายผลในการป้องกัน ปลูกฝัง ปราบปราม รวมถึงการสร้างทักษะให้ผู้เรียนมีความสามารถในการดูแลตนเองจากภัยอันตรายต่าง ๆ ต่อไปในอนาคต
สืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยในสถานศึกษาในปัจจุบัน ที่ยังคงมีให้พบเห็นอยู่เป็นประจำ ทั้งภัยที่เกิดจากการใช้ความรุนแรงของมนุษย์ ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ ภัยที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิ์ และภัยที่เกิดจากผลกระทบทางสุขภาวะทางกายและจิตใจ กระทรวงศึกษาธิการจึงมีนโยบาย Quick Win 7 วาระเร่งด่วน ข้อที่ 1 ความปลอดภัยของผู้เรียน ให้หน่วยงานในสังกัดนําไปปฏิบัติให้เกิดความปลอดภัยในสถานศึกษา พร้อมบูรณาการความร่วมมือกับ 8 กระทรวง 2 หน่วยงาน เพื่อสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นให้แก่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนผู้ปกครองและประชาชนทั่วไป ในการที่จะได้เรียนรู้อย่างมีคุณภาพ และเกิดความปลอดภัยอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมาโรงเรียนอุเทนพัฒนาได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านแผนเผชิญเหตุความปลอดภัยสถานศึกษา ที่มีการนำหลัก 3 ป. ป้องกัน ปลูกฝัง และปราบปราม มาสร้างเป็นมาตรการความปลอดภัยของสถานศึกษาจนทำให้ในปี 2565 ได้รับรางวัลสถานศึกษาปลอดภัย เกียรติบัตรดีเด่นติดต่อกัน 1 ปี ของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครพนม โดยในโอกาสนี้โรงเรียนอุเทนพัฒนา ยังได้นำผลงานในกิจกรรม Open House Active Learning 2566 ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสที่นักเรียนได้แสดงศักยภาพของตนเอง ในการต่อยอดสิ่งที่ได้เรียนรู้เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถสื่อสารในความสนใจของตนเองหรือกลุ่ม ให้ผู้อื่นเข้าใจได้ในหลายๆ วิธีการ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต่อยอดจากการเรียนรู้ แบบ Active Learning ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนในการค้นหาสิ่งที่ตนเองถนัดและสนใจ ผ่านกิจกรรมและการได้แสดงศักยภาพ

นครพนม ปรับแผนเพิ่มมาตรการ เดินหน้าสร้างเมืองแห่งความปลอดภัย

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ห้องประชุมพระธาตุนคร ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนครพนม ร่วมรับชมพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด และศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ในการที่จะร่วมกันหนุนเสริมจังหวัดเพื่อความปลอดภัยทางถนนของอำเภอเสี่ยงภัยในการขับขี่จักรยานยนต์ ผ่านระบบการประชุมทางไกล จากนั้นจึงได้มีการประชุมติดตามการขับเคลื่อนภารกิจด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของหน่วยงาน 5 เสาหลักและภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่เมืองแห่งความปลอดภัย

โดยจากข้อมูลสถิติอุบัติเหตุของแต่ละปี พบว่าจังหวัดนครพนมยังคงมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นใกล้เคียงกัน ซึ่งในห้วงระหว่างเดือนตุลาคม 2565 - มกราคม 2566 มีการเกิดอุบัติเหตุแล้ว 1,467 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 150 ราย เสียชีวิต 29 ราย ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ทางศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนใหญ่กำหนด แต่อย่างไรก็ดีเพื่อมุ่งเป้าหมายไปสู่การเป็นเมืองแห่งความปลอดภัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจึงได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยไปขับเคลื่อนแผนงานโครงการต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นและต่อเนื่องนับจากนี้ เพราะปัจจุบันจังหวัดนครพนมมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวทุกเดือน จึงกลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่จะกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น เช่น มอบหมายให้แขวงทางหลวงนครพนม ไปติดตามตรวจสอบเกี่ยวกับระบบส่องสว่าง ป้ายแจ้งเตือนตามถนน ที่กำลังก่อสร้างและซ่อมบำรุง เพื่อให้จุดเสี่ยงจุดอันตรายต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สมบูรณ์ เป็นการลดความเสี่ยงในเรื่องทัศนวิสัยการขับขี่ มอบหมายให้ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมดำเนินการเกี่ยวกับการอบรมถ่ายทอดความรู้ให้กับเยาวชนในเรื่องของการขับขี่ปลอดภัย กฎหมายจราจร เพราะจากสถิติพบว่ากลุ่มดังกล่าวมีการสูญเสียจากการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของการปลดล็อคประตูรถยนต์ รถตู้ รถโดยสารประจำทางสำหรับเด็กเล็กป้องกันการสูญเสียจากเหตุหลงลืมของผู้ขับขี่ ส่วนมาตรการทางกฎหมายขอให้เริ่มบังคับใช้อย่างเข้มข้นตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป ขณะเดียวกันเพื่อให้ข้าราชการเป็นต้นแบบให้กับประชาชนในการสวมหมวกกันน็อค ก็ให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนมร่วมกับปกครองจังหวัดนครพนม ดำเนินการในการตรวจเข้มสำหรับข้าราชการที่จะเข้ามาในพื้นที่ราชการเพื่อปฏิบัติหน้าที่สวมหมวกกันน็อคทุกคัน รวมถึงประชาชนที่จะมาติดต่อราชการก็ต้องปฏิบัติเช่นเดียวกัน เพราะก่อนหน้านี้จังหวัดนครพนมได้มีการประกาศ เรื่องมาตรการองค์กร ด้านความปลอดภัยทางถนน จังหวัดนครพนม ร่วมใจ สวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงเตรียมนำคณะทำงานไปศึกษาดูงานบ้านผึ้งโมเดล ตำบลขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลอุบัติเหตุ ที่ อบต. บ้านผึ้ง อำเภอเมืองนครพนม ซึ่งเป็นต้นแบบระดับประเทศในการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน โดยสร้างเครือข่าย ระบบ กลไก การบริหารจัดการ วางแผนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาครอบคลุมทุกมิติ เพื่อนำมาถอดบทเรียนปรับแผนเพิ่มเติมมาตรการส่วนต่าง ๆ เพิ่มเติมในแต่ละพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาในภาพรวมทั้งหมด


จ.นครพนม เดินหน้าสร้างเครือข่ายเยาวชนขับขี่ปลอดภัย รุ่น 2 แนะสวมลดเสี่ยงสร้างวินัยจราจร

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ที่โรงเรียนนครพนมวิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดและบรรยายพิเศษในการอบรมเยาวชนขับขี่ปลอดภัยเสริมสร้างวินัยจราจรและการป้องกันอุบัติภัยในโรงเรียน ประจำปีงบประมาณ 2566 ที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนครพนม โดยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนม บูรณาการร่วมกับโรงเรียนนครพนมวิทยาคม หน่วยงานภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน จัดขึ้น เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการขับขี่ปลอดภัยให้กับตัวแทนนักเรียน จำนวน 100 คน ให้ได้มีทักษะ ความสามารถเกี่ยวกับการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ถูกต้องตามหลักการขับขี่ปลอดภัยและถูกกฎจราจร ซึ่งเมื่อผ่านการฝึกอบรมแล้วมีโอกาสนำความรู้ที่ได้รับไปเข้าสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์จากกรมการขนส่งทางบกได้ รวมถึงเป็นเครือข่ายในการกระตุ้นเตือนปลูกจิตสำนึกเพื่อน ๆ ในโรงเรียน คนในครอบครัวและในชุมชน ในการเห็นความสำคัญของการใส่หมวกนิรภัย การขับขี่ตามกฎจราจร เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนของจังหวัดนครพนมให้น้อยลงตามนโยบายของรัฐบาล


นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า สาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนนของจังหวัดนครพนมมีปัจจัยหลายส่วน ทั้งสภาพรถที่ไม่พร้อม ถนนไม่ดี หรือแม้กระทั่งในเรื่องของสภาพแวดล้อม ทัศนวิสัย แต่ปัจจัยที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุมากสุดก็คือ คนที่ขาดจิตสำนึกในการขับขี่ ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร ซึ่งอุบัติเหตุทางถนนนที่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของนครพนม 77 % เป็นการขับขี่รถจักรยานยนต์ โดยในจำนวนนี้ส่วนใหญ่จะไม่สวมหมวกกันน็อค ทั้งที่เป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่เมื่อสวมใส่แล้วเกิดอุบัติเหตุ จะช่วยปกป้องศีรษะจากการกระแทกพื้น ลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บและเสียชีวิตได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนครพนม จึงอยากให้ทุกคนได้เห็นความสำคัญในจุดนี้ เพียงแค่สวมเราก็ลดความเสี่ยงแล้ว ซึ่งในวันนี้เป็นรุ่นที่ 2 แล้วที่ทางศูนย์ฯ ได้เข้ามาดำเนินการจัดการฝึกอบรมให้กับเยาวชนที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต เป็นการปลูกฝังค่านิยมการขับขี่ที่ปลอดภัย รวมถึงกฎวินัยจราจรที่ต้องรู้และปฏิบัติ โดยภาคเช้าจะเป็นทฤษฎีส่วนภาคบ่ายจะเป็นภาคปฏิบัติ นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทอดทักษะการเอาตัวรอดจากเหตุอัคคีภัย วิธีการดับเพลิงเบื้องต้น การช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อประสบเหตุและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อให้ทุกคนได้มีความรู้และนำไปขยายผลต่อยังเพื่อนในโรงเรียน คนในครอบครัวและชุมชน

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

วัฒนธรรมนครพนม เร่งหารือคณะทำงาน วางแผนเตรียมพร้อมจัดกิจกรรมเสริมเพิ่มเสน่ห์ในงานบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช

นางกรรญา ศูนย์คำ วัฒนธรรมจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ตามคำสั่งสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมที่ 1756/2565 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 แต่งตั้งคณะทำงานยกระดับเทศกาลประเพณีไปสู่ระดับชาติและนานาชาติของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพื่อดำเนินการคัดเลือกเทศกาลประเพณีที่มีศักยภาพและมีความโดดเด่นของจังหวัดต่าง ๆ มาส่งเสริมให้มีการยกระดับเป็นเทศกาลประเพณีในระดับชาติและนานาชาติ ตามนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งยังเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้ให้กับประชาชน และเป็นการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมแขนงต่าง ๆ ของชาติสู่สายตาโลก ซึ่งผลปรากฎว่าประเพณีบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เลาะตลาดถนนคนเมืองไทยนคร ของจังหวัดนครพนม ได้รับการคัดเลือกเป็นลำดับที่ 13 ตามระยะเวลาที่จัดงาน

ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการจัดงานดังกล่าวให้มีความหลากหลาย มีเสน่ห์และสีสันเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าทุกปี สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม จึงได้มีการเชิญคณะทำงานที่มีการบูรณาการภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมประชุมหารือแนวทางการจัดกิจกรรมภายในงาน ซึ่งเบื้องต้นยังคงมีกิจกรรมต่าง ๆ เหมือนเช่นปีที่ผ่านมา เช่น การแห่ขบวนเครื่องบูชา และการรำบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราชจากประชาชนชาวนครพนม 9 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ ที่จะเป็นการแสดงเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละชนเผ่าสู่สายตานักท่องเที่ยว รวมถึงการจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยลุ่มแม่น้ำโขง การแสดงวงดนตรีพื้นเมือง การจัดจำหน่ายสินค้าดีสินค้าเด่นของจังหวัดนครพนม

โดยในโอกาสนี้ที่ประชุมยังได้มีการเสนอให้จัดกิจกรรมเพิ่มเติม คือการเสวนาองค์ความรู้เกี่ยวกับความเชื่อความศรัทธาต่อพญาศรีสัตตนาคราช เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงานได้รับรู้ถึงความเป็นมาและความเชื่อของคนลุ่มน้ำโขงที่เชื่อกันว่าพญาศรีสัตตนาคราชคอยปกปักรักษาองค์พระธาตุพนมและคนในลุ่มน้ำโขง รวมถึงให้มีมหกรรมผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ร่วมสมัยที่เกี่ยวเนื่องกับพญานาคจากทั่วประเทศและประเทศลาว และมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ นาค ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทย ประเภทสัตว์ในตำนานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้จัดทำเส้นทางความเชื่อความศรัทธาแห่งลุ่มน้ำโขง ภายใต้โครงการจาริกเส้นทางบุญในมิติทางศาสนา ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงวัดต่างๆที่มีความสำคัญเข้ากับความเชื่อความศรัทธาเพื่อเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อสร้างการรับรู้ กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ กระจายรายได้ให้กับประชาชนในชุมชน ทั้งนี้จะมีการนำข้อมูลทั้งหมดที่ตกผลึกแล้วเสนอเข้าที่ประชุมใหญ่ของจังหวัดอีกครั้ง เพื่อพิจารณาให้ดำเนินการในส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมา


จังหวัดนครพนม เปิดเวทีเสริมศักยภาพผู้ปฏิบัติขับเคลื่อน BCG Model ในระดับพื้นที่

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมถ่ายทอดความรู้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ 2566 จังหวัดนครพนม ที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและพัฒนาศักยภาพด้านโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อส่งเสริมให้ภาคส่วนต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วย คณะทำงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะทำงานด้านการขนส่ง คณะทำงานด้านพลังงาน คณะทำงานด้านการเกษตร คณะทำงานด้านการท่องเที่ยว ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เทศบาลเมืองนครพนม เทศบาลตำบลทุกแห่ง ตลอดจนภาคเอกชน และประชาชนผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาของจังหวัดนครพนมโดยใช้องค์ความรู้ด้านโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model)

โดยผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมจะได้รับความรู้จาก นางวรรณณิพา ทองสิมา ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ เกี่ยวกับหลักการและความรู้เบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และนางสาวกุหลาบ สุตะภักดี นักวิเคราะห์อาวุโส สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน BCG ของประเทศไทย เกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนและประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจBCG ในระดับจังหวัด ที่คณะทำงานด้านต่าง ๆ จะต้องดำเนินการเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม สร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ผ่านแผนการขับเคลื่อน 3 ระยะ โดยปัจจุบันเข้าสู่ระยะที่ 2 ที่สัดส่วนเกษตรกรผู้ประกอบการที่ประยุกต์ใช้แนวคิด BCG เพิ่มขึ้น ตลาดในประเทศสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการ BCG ขยายตัวเพิ่มขึ้น สัดส่วนของมูลค่าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าสูงเพิ่มขึ้น และการขยายตัวของการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG มีทั้งเดิมและใหม่

ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันของการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ด้านเกษตรและอาหารมีประชาชน 12 ล้านคนทำงานภาคการเกษตร ซึ่ง 90 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เพาะปลูกพืช 6 ชนิดคือ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา น้ำมันปาล์ม และข้าวโพด ขณะที่ด้านสุขภาพและการแพทย์ ต้องใช้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อนำเข้าผลิตภัณฑ์เวชกรรม และเภสัชกรรม และ 1.4 ล้านล้านบาทคืองบประมาณการค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ส่วนด้านพลังงานวัสดุและเคมีชีวภาพ 60 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานที่ใช้ในประเทศมาจากการนำเข้า 15.5 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานที่ผลิตในประเทศไทยมาจากการใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งที่เป็นผู้ส่งออกอันดับต้นๆ ของ อ้อย มันสำปะหลัง แต่นำเข้าพลังงาน 1 ล้านล้านบาท และมีพลังงานชีวมวล 40 ล้านตันไม่ได้ใช้ประโยชน์ต้องเผาทิ้งทำให้เกิดมลพิษ ส่วนด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยมีรายได้เป็นอันดับ 4 ของโลก คือ 3 ล้านล้านบาท โดย 80 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวคือประมาณ 35 ล้านคนกระจุกตัวอยู่ใน 8 จังหวัด


ป.ป.ช.ประจำจังหวัดนครพนม เปิดเวทีเสริมศักยภาพพัฒนาแนวต้านและลดการทุจริตด้วยกลไกสหยุทธ์ กรณีพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาแนวทางต้านและลดการทุจริตด้วยกลไกสหยุทธ์ กรณีพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตจังหวัดนครพนม ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประจำจังหวัดนครพนม จัดขึ้นเพื่อให้กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งประกอบไปด้วยสื่อเครือข่ายภาคประชาชน สมาชิกชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริตจังหวัดนครพนม ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่จังหวัดนครพนม ได้เข้าใจถึงการจัดที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในเขตปฏิรูปที่ดิน ที่มีการจัดสรรที่ดินให้เกษตรกร พี่น้องประชาชนคนไทยที่ยังขาดแคลนในเขต ส.ป.ก. โดยให้สิทธิในเรื่องการทำกินที่ไม่สามารถซื้อขายกันได้ แต่สามารถตกทอดเป็นมรดกได้ และกำหนดไว้ชัดเจน คือห้ามไปทำลาย ทำให้เสียรูปทรง หรือนำทรัพย์สินไปขาย รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการขับเคลื่อนตามมาตรการป้องกันการทุจริตด้านทรัพยากรสาธารณะ ตามข้อเสนอแนะ และมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ต้องการสร้างให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการร่วมกันแก้ไขปัญหาและการกำหนดแนวทางเฝ้าระวังการทุจริตในระดับพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับภัยของการทุจริต ทำให้ประชาชนมีความประสงค์และเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริต

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า เรื่องของการทุจริต ภาษาโบราณกล่าวไว้ว่าปรบมือข้างเดียวไม่ดัง จะต้องทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งผู้ให้และผู้รับ ถ้าผู้รับปฏิเสธผู้ให้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ซึ่งวันนี้สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีนโยบายสำคัญออกมา คือ No Gift Policy ที่ไม่รับของขวัญและของกำนัลทุกชนิดจากการปฏิบัติหน้าที่ และของจังหวัดนครพนมเองก็ได้มีการถ่ายทอดนโยบายในเรื่องนี้ รวมถึงในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ด้วยหลักธรรมาภิบาลไปแล้ว หลังจากนี้จะเป็นการสอดส่องดูแลการทำงานของข้าราชการ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ทุกวันนี้ระบบต่าง ๆ มีการใช้เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัย เพื่อลดในเรื่องของการทุจริต ลดขั้นตอนการปฏิบัติ ทำให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความโปร่งใสในทุกขั้นตอน สำหรับวันนี้จะเป็นการเน้นในเรื่องของสหยุทธ์ ที่จะมาร่วมกันทำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในเรื่องของการบริหารจัดการเกี่ยวกับเรื่องของที่ดินของ ส.ป.ก. เพราะระบบสหยุทธ์เป็นการทำงานร่วมกันหลายหน่วย จึงหวังว่าจะเป็นพลังและเกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อการป้องกันการทุจริต และหวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้ประเทศไทยเรา จะมีลำดับความโปร่งใสดีขึ้นทัดเทียมประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งในวันนี้นอกจากผู้เข้าร่วมประชุมจะได้รับความรู้ได้แลกเปลี่ยนแนวคิดข้อเสนอแนะแล้วยังได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อนมาตรการ ความเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตด้านทรัพยากรสาธารณะ ระหว่าง สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดนครพนมที่นำโดยนายสมพจน์ แพ่งประสิทธิ์ และสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครพนมที่นำโดยนายชัชวาล ทรัพย์แก้วยอด ที่จะร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ เพื่อสร้างให้จังหวัดนครพนมปลอดจากการทุจริต


นครพนม เดินหน้าสร้างเยาวชนขับขี่ปลอดภัย เสริมสร้างวินัยจราจรและลดอุบัติเหตุสู่สังคม

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ที่โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดและบรรยายพิเศษในการอบรมเยาวชนขับขี่ปลอดภัยเสริมสร้างวินัยจราจรและการป้องกันอุบัติภัยในโรงเรียน ประจำปีงบประมาณ 2566 ที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนครพนม โดยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนม และโรงเรียนปิยะมหาราชาลัยจัดขึ้น เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรม ซึ่งเป็นตัวแทนนักเรียน จำนวน 100 คน ได้รับความรู้และทักษะเกี่ยวกับการขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างถูกต้อง ตามหลักการขับขี่ปลอดภัยและถูกกฎจราจร ซึ่งเมื่อผ่านการฝึกอบรมแล้วมีโอกาสนำความรู้ที่ได้รับไปเข้าสอบเพื่อรับใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์จากกรมการขนส่งทางบก นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นเตือนปลูกจิตสำนึกในการลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนของจังหวัดนครพนมให้น้อยลงตามนโยบายของรัฐบาล และเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ในการป้องกันอุบัติภัยภายในโรงเรียน ที่เมื่อเกิดเหตุสามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและขั้นตอนการเอาตัวรอด รวมถึงการช่วยเหลือผู้อื่นๆในสถานการณ์ต่าง ๆ

นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า อุบัติเหตุในลักษณะต่าง ๆ ก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในปีหนึ่ง ๆ จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุทางถนนอันเนื่องมาจากการขับขี่ และส่วนใหญ่อยู่ในวัยเด็กและเยาวชนที่เป็นทรัพยากรบุคคลอันมีค่าในการพัฒนาประเทศ ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนนของจังหวัดนครพนมก็เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดคือ คน ส่วนปัจจัยอื่น ๆ เช่น เรื่องของรถไม่พร้อม ถนนไม่ดี และเรื่องของสภาพแวดล้อม จะเป็นทางกายภาพที่มาสนับสนุนให้เกิด ดังนั้นถ้าทุกคนมีจิตสำนึกในการขับขี่รถที่ดี ไม่ว่าจะเป็น มอเตอร์ไซต์หรือรถยนต์ ก็จะเป็นการหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้ วันนี้คณะทำงานไม่ได้มารณรงค์เพื่อให้ทุกคนใส่หมวกนิรภัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะเป็นการเอาสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมาเล่าให้ลูก ๆ เยาวชนได้รับฟัง ว่าถ้าไม่ใส่หมวกนิรภัยแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เพื่อให้เค้าได้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วมีการสูญเสีย พิการหรือได้รับบาดเจ็บจะคุ้มไหม กับการที่ต้องแลกมาเพียงเพราะไม่ใส่หมวกนิรภัย และถ้าเลือกใส่หมวกนิรภัยแล้วนำไปแนะนำคนอื่นๆ ให้ทำตามพร้อมกับความรู้ที่จะได้รับ ทั้งในเรื่องทักษะในการขับขี่ที่ปลอดภัย การใช้รถใช้ถนน วินัยและกฎจราจร รวมถึงขั้นตอนการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดอุบัติภัยชนิดอื่น ๆ ที่ทางวิทยากรบูรณาการจากหลายฝ่ายมาถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ ก็จะกลายเป็นการสร้างมาตรการลดความเสี่ยงสู่ชุมชนและสังคมที่สมบูรณ์แบบ เพราะการสอน การฝึกอบรมในวันนี้เป็นเหมือนภาคทฤษฎีที่ทำให้รู้เท่านั้น ส่วนภาคปฏิบัติจะอยู่กับทุกคนในสังคม


วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

นครพนม เดินหน้าส่งมอบความสุขให้ผู้สูงวัย พร้อมเตรียมแผนซ่อมสร้างบ้านส่งต่อผู้พิการ

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ส่งมอบโถชักโครก ตามโครงการโถสุขภัณฑ์ปันสุข ลุกนั่งปลอดภัย ห่วงใยผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นโครงการที่จังหวัดนครพนมบูรณาการทุกภาคส่วนจัดขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุที่ยากจนในพื้นที่ทั้ง 12 อำเภอ ที่เป็นการเปิดรับบริจาคไปยังผู้มีใจเป็นกุศล ผ่านทางบัญชีเลขที่ 661-9-17572-4 ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี สาธารณกุศล จังหวัดนครพนม โดยให้มีการยืนยันหลักฐานการโอนมายังหมายเลขโทรศัพท์ Line ID : 0854842537 รวมถึงมีการบอกบุญไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการร่วมด้วยช่วยกันจัดหาโถชักโครกมาส่งมอบให้ผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้นำชุมชนและประชาชนจิตอาสาที่มีความสามารถด้านช่าง ได้ช่วยกันเปลี่ยนจากโถนั่งยอง และปรับปรุงพื้นห้องน้ำให้ใหม่ เพื่อทำให้ผู้สูงอายุมีความปลอดภัย ไม่ต้องเสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุ ระหว่างลุกนั่งและเวลาทำธุรในห้องน้ำ โดยวันนี้เป็นการลงพื้นที่มอบให้กับผู้สูงอายุ อำเภอท่าอุเทน และอำเภอโพนสวรรค์ เพิ่มเติมจากก่อนหน้านี้ที่มีการส่งมอบให้กับผู้สูงอายุ อำเภอวังยาง อำเภอนาหว้า อำเภอนาแก อำเภอธาตุพนม และอำเภอเรณูนคร ทำให้ ณ ปัจจุบันสามารถส่งมอบให้ได้แล้ว 7 อำเภอ ยังคงเหลือ 5 อำเภอ ซึ่งจะมีการทยอยส่งมอบในวันต่อไป

และในโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ยังได้พูดถึงการเตรียมแผน 2 สำหรับการส่งมอบความสุขให้กับผู้สูงอายุและผู้พิการที่ยากไร้ในพื้นที่ ที่ไม่มีที่อยู่อาศัยหรือบ้านเรือนที่อาศัยมีความทรุดโทรม โดยได้มอบหมายให้ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เร่งสำรวจเพื่อที่จะได้ทำเรื่องเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามพระราชบัญญัติของผู้สูงอายุ 2546 และพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ที่มีในเรื่องของการซ่อมสร้างบ้าน เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุและคนพิการ หลังละไม่เกิน 40,000 บาท ซึ่งในปีงบประมาณนี้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนมได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับผู้สูงอายุมาและมีการดำเนินงานไปแล้ว 50 หลัง แต่ยังเหลืองบประมาณอยู่อีกประมาณ 800,000 บาท ซึ่งจะสามารถดำเนินการซ่อมสร้างบ้านได้ 20 หลัง ส่วนคนพิการรอบแรกจะได้ 50 หลังทั้งจังหวัด ส่วนรอบที่ 2 จะได้เพิ่มอีก 50 หลัง รวมแล้ว 100 หลัง ดังนั้นถ้าสำรวจได้เสร็จเร็วก็จะสามารถดำเนินการพิจารณาได้เร็ว นั้นหมายถึงผู้สูงอายุและผู้พิการในจังหวัดนครพนมจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ซึ่งในการพิจารณาจะแม้นการสำรวจหากพบว่ามีจำนวนมากกว่าจำนวนงบประมาณที่มี ทางจังหวัดนครพนมก็จะเรียงลำดับจากผู้ที่จำเป็นเร่งด่วนที่สุด และเมื่อครบจำนวนที่กำหนดแล้ว จะทำเรื่องเสนอขอในปีงบประมาณต่อไป


วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

สภาความมั่นคงแห่งชาติเปิดเวทีชี้แจงแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย (พ.ศ. 2566 -2570 )ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นครพนม

นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติครั้งที่ 3/ 2565 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย (พ.ศ. 2566 - 2570 )ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้เสนอแผนเพื่อเป็นกรอบทิศทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนงานส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมในประเทศไทยให้เป็นเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกันและในช่วงที่ผ่านมาสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้ประเมินสถานการณ์ว่าประเทศไทยมีลักษณะสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายทางชาติพันธ์ุ วัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อ และวิถีชีวิต ซึ่งเป็นผลให้คนบางกลุ่มมีความเข้าใจและไม่ยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน นำไปสู่ความขัดแย้งภายในสังคม จนบางครั้งส่งผลต่อปัญหาความรุนแรงในที่สุดอันเป็นอุปสรรคต่อการอยู่ร่วมกันแบบสมานฉันท์ และดำรงไว้ซึ่งความเป็นปึกแผ่นของคนในชาติ

ดังนั้น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ จึงได้จัดทำแผนการส่งเสริมอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมในประเทศไทยขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางการเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันของคนทุกกลุ่มทั่วทั้งประเทศด้วยหัวใจของแผนฉบับนี้คือการส่งเสริมให้คนในชาติได้รับการประกันสิทธิ์ขั้นพื้นฐานและได้รับการพัฒนาศักยภาพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเสมอภาคและไม่เลือกปฏิบัติมีการบริหารจัดการบนความหลากหลายด้วยแนวทางสันติวิธีภายใต้หลักสิทธิมนุษย์ชนที่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วม และในวันนี้ 17 กุมภาพันธ์ 2566 จึงได้มีการลงพื้นที่ชี้แจงแผนปฏิบัติพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดนครพนม และผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Zoom ) ไปยังจังหวัดอื่นๆ เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับคณะหัวหน้าส่วนราชการที่มีความเกี่ยวข้องในการดำเนินการขับเคลื่อนแผนงานโครงการต่างๆ ทำให้เกิดการนำไปปฏิบัติร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างสมรรถนะทางวัฒนธรรมที่เหมาะสม เอื้อต่อการบริหารจัดการความหลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับหลักนิติรัฐ นิติธรรม และหลักสิทธิมนุษย์ชน


รองเจ้าแขวงคำม่วน สปป.ลาว นำทีมร่วม งานเกษตรลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 24 เรียนเกษตร DIY ง่าย ๆ พาลงมือทำ

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ที่คณะเกษตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนครพนม ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานงานเกษตรลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 24 ประจำปี 2566 ที่มหาวิทยาลัยนครพนม ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน จัดขึ้นภายใต้ธีม เกษตร DIY ง่าย ๆ พาลงมือทำ เพื่อกระจายโอกาสในการให้บริการวิชาการ บริการวิชาชีพทางการเกษตรและเทคโนโลยี นำเสนองานวิจัย นวัตกรรมการเกษตร การแข่งขันทักษะและการประกวด นอกจากนี้ยังมีการฝึกอบรม การเสวนาถ่ายทอดความรู้ทางการเกษตร รวมถึงการส่งเสริม เผยแพร่ และอนุรักษณ์ศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้กับผู้ที่สนใจได้มาศึกษาหาความรู้ ซึ่งงานดังกล่าวจะมีไปจนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 โดยบรรยากาศภายในงานเป็นไปด้วยความคึกคักของนักเรียน นักศึกษา นักวิชาการ เกษตรกร และประชาชนทั่วไป ที่เดินทางร่วมงาน โดยในปีนี้นอกจากประชาชนในพื้นที่แล้ว ยังมีคณะจาก สปป.ลาว ที่นำโดยท่าน สมสะอาด อุ่นสีดา รองเจ้าแขวงคำม่วน เดินทางมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการเกษตร เพื่อนำองค์ความรู้ไปขยายต่อยังประชาชนชาวลาวด้วย

โดยในเวลา 11.00 น. นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรไทยคนที่ 2 ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิด พร้อมเล่าถึงที่มาและประสบการณ์ที่ได้เห็นพัฒนาการในการจัดงานเกษตรลุ่มน้ำโขงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของเกษตรกรและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทางด้านการเกษตร ทั้งในจังหวัดนครพนมและจังหวัดใกล้เคียงมาร่วมกันจัดนิทรรศการถ่ายทอดความรู้จากประสบการณ์ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ที่มีอะไรดี ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ที่เกิดขึ้นมาจัดแสดงโชว์ มาสาธิต มานำเสนอให้ผู้ที่มาร่วมงานได้รับรู้ในสิ่งใหม่ ๆ นำไปสู่การพัฒนาด้านการเกษตรของเกษตรลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะในปีนี้ที่จัดในธีมเกษตร DIY ง่าย ๆ พาลงมือทำ ยิ่งเป็นการนำเสนอในรูปแบบที่พร้อมให้ทุกคนทำได้ด้วยตนเอง เพื่อนำไปสู่การประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่พึ่งพาตนเองได้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) ที่มุ่งเสริมจุดแข็งและแก้ไขจุดอ่อนให้เอื้อต่อการพัฒนาภาคการเกษตรในระยะยาว เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ “เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตรมั่งคั่ง ทรัพยากรการเกษตรยั่งยืน” โดยสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร เพิ่มความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม”

ท่าน สมสะอาด อุ่นสีดา รองเจ้าแขวงคำม่วน สปป.ลาว เปิดเผยว่า วันนี้รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้นำพาคณะของแขวงคำม่วนมาร่วมงานเกษตรลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 24 นี้ ซึ่งเป็นงานที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดนครพนมและแขวงคำม่วนมีความใกล้ชิดและสายสัมพันธ์อันดีและแน่นแฟ้นต่อกันเสมอมา แม้ 2 ปีที่ผ่านมาจะมีสถานการณ์โควิดและทำให้ต้องหยุดชะงักการพบปะกัน แต่เมื่อทุกอย่างดีขึ้นก็กลับมาเหมือนเดิม งานนี้ก็เป็นอีกหนึ่งงานที่เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ ที่ทำให้เกิดการไปมาหาสู่และการแลกเปลี่ยนบทเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งความรู้ด้านการเกษตรสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาทักษะให้กับประชาชนได้เป็นอย่างดี รวมถึงรู้สึกยินดีที่ภาคธุรกิจแขวงคำม่วนและจังหวัดนครพนมได้มีการลงนามความร่วมมือสานต่อการค้าขายด้านการเกษตรระหว่างประเทศ เพราะจะทำให้การค้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และก็หวังว่าหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ จะได้มีการขยายความสัมพันธ์กันเพิ่มมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังขอขอบคุณทางมหาวิทยาลัยนครพนม ที่ได้สร้างบุคคลากรทางด้านเกษตรให้กับแขวงคำม่วน


วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

คณะเกษตรและเทคโนโลยี ม.นครพนม จัดประชุมวิชาการนำเสนองานวิจัยและเสวนา นวัตกรรมเกษตรเพื่อ BCG

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ห้องประชุมอาคารศูนย์วิทยบริการ คณะเกษตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนครพนม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุ้งลาวัลย์ เอี่ยมกุศลกิจ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษ เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการแห่งชาติเกษตรลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 1 นวัตกรรมเกษตรเพื่อ BCG (Agricultural Innovation for BCG) เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกร นักศึกษา คณาจารย์ และนักวิจัยมหาวิทยาลัยนครพนม ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนางานวิจัยในด้านการเกษตร
ดร.ชัชวาล แสงฤทธิ์ รองคณบดีคณะเกษตรและเทคโนโลยี กล่าวว่า การประชุมวิชาการในครั้งนี้เป็นเวทีเพื่อที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาตลอดจนคณาจารย์ของคณะเกษตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนครพนม รวมถึงหน่วยงาน ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้นำเสนอผลงานการวิจัยด้านการเกษตรให้นักวิจัยทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจน คณะอาจารย์ นักศึกษา และเกษตรกร ได้รับรู้ถึงความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงไปในการพัฒนาด้านการวิจัย และงานวิชาการของประเทศ เพื่อนำไปประยุกต์ พัฒนา ต่อยอด และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่เพื่อใช้กับชุมชนและสังคม อีกทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายทางวิชาการ ทั้งภายในและภายนอกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการเกษตร นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก ดร.กรีฑา วีระนันทนาพันธ์ จากบริษัท นันทกรี จำกัด มาเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ในเรื่องปุ๋ย ในหัวข้อ วิกฤตการณ์ปุ๋ยเคมี และแนวทางการใช้ปุ๋ยเคมีอินทรีย์ และปุ๋ยต่อคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตรสู่ความมั่นคงในระดับอุตสาหกรรม ดร.จิตติมา เรืองรัตนากร และเครือข่ายมิตรภาพเอเชียประเทศไทย (T-AFS) มาถ่ายทอดประสบการณ์ในการวิเคราะห์หาปริมาณอินทรีย์ในปุ๋ยอินทรีย์เคมีด้วยเทคนิค Near Infrared Spectroscopy : NIRS ก่อนที่ทุกคนจะได้ร่วมกันรับฟังการเสวนาในหัวข้อ นวัตกรรมเกษตรเชิงพื้นที่ จากผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กัมปนาจ เภสัชชา ,ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนพัฒน์ สุระนรากุล และ ดร.คมศักดิ์ หารไชย อาจารย์มหาวิทยาลัยนครพนม

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทานมอบช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบอัคคีภัยอำเภอศรีสงคราม

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่หมู่ที่ 4 ตำบลโพนสว่าง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นผู้แทนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทาน ไปมอบให้กับครอบครัวของนายไสว โคตะบิน ซึ่งบ้านพักที่อยู่อาศัยรวมกัน 5 คน เกิดเหตุเพลิงไหม้ เมื่อเวลา 15.00 น. ของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 เสียหายทั้งหลัง

นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เกิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยทรงห่วงใยต่อพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ และต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ ให้ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว อันจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และผ่อนคลายความทุกข์ร้อนของประชาราษฎร์ทุกหนแห่ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2506 เป็นต้นมา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด การดำเนินงานของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทานมามอบให้กับครอบครัวผู้ประสบภัยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน จึงขอให้ครอบครัวผู้ประสบภัยได้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่านและพระพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่ทรงมีพระเมตตา

โดยตั้งแต่เกิดเหตุทุกภาคส่วนต่างระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของนายไสวมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเข้าระงับเหตุ จากนั้นมีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อเป็นที่พักอาศัยและเป็นศูนย์กลางในการรับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสาร อาหารแห้ง ผ้าห่ม เครื่องนอน และของใช้อื่น ๆ ที่จำเป็นจากประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมยังได้มอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือรวมเป็นเงิน 10,000 บาท สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม มอบเงินสงเคราะห์ 3,000 บาท ขณะเดียวกันสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยก็กำลังประสานมูลนิธิปอเต็กตึ้งเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือรายละ 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 15,000 บาท นอกจากนี้องค์การบริหารส่วนตำบลโพนสว่างก็กำลังพิจารณาอนุมัติเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 ตามหลักเกณฑ์มาช่วยเหลือซื้อวัสดุเพื่อสร้างบ้านให้ใหม่ จำนวน 49,500 บาท ร่วมกับเงินบริจาค


ผู้สูงวัยนครพนมยิ้มแป้นได้รับโถปันสุข ตอบแทนด้วยเสียงลำอันไพเราะแทนความรู้สึก

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศการส่งต่อความรักให้ผู้สูงวัยยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง โดยในวันนี้ นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชนตลอดจนคหบดีผู้มีใจเป็นกุศลร่วมกันเดินทางไปส่งมอบโถชักโครก ตามโครงการโถสุขภัณฑ์ปันสุข ลุกนั่งปลอดภัย ห่วงใยผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นโครงการที่จังหวัดนครพนมบูรณาการทุกภาคส่วนจัดขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุที่ยากจนในพื้นที่ 12 อำเภอ ที่เป็นการเปิดรับบริจาคไปยังผู้มีใจเป็นกุศล ผ่านทางบัญชีเลขที่ 661-9-17572-4 ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี สาธารณกุศล จังหวัดนครพนม โดยให้มีการยืนยันหลักฐานการโอนมายังหมายเลขโทรศัพท์ Line ID : 0854842537 รวมถึงมีการบอกบุญไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการร่วมด้วยช่วยกันดำเนินโครงการ ทำให้ ณ วันนี้มียอดเงินบริจาคถึง 8 แสนบาท และจังหวัดได้เร่งดำเนินการจัดหาโถชักโครกส่งมอบให้ผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้นำชุมชนและประชาชนจิตอาสาที่มีความสามารถด้านช่าง ได้ช่วยกันเปลี่ยนโถนั่งยองและปรับปรุงพื้นห้องน้ำให้ใหม่ เพื่อสร้างความปลอดภัยไม่ต้องเสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุระหว่างลุกนั่งและในการใช้ห้องน้ำ เป็นของขวัญเดือนแห่งความรัก โดยวันนี้เป็นการส่งมอบให้กับอำเภอธาตุพนม และอำเภอเรณูนคร ซึ่งพอผู้สูงอายุแต่ละคนที่ทราบว่าตัวเองได้รับโถสุขภัณฑ์ต่างก็ดีใจจนน้ำตาไหล บางคนก็ถึงกับพูดไม่ออก เพราะคิดอยากได้แต่ด้วยฐานะยากจนจึงได้แค่ แต่เมื่อความฝันกลายเป็นความจริงจึงมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

และในโอกาสนี้นางเพลินจิต บาดตาสาว ชาวบ้านขอนขว้างใหญ่ หมู่ที่ 4 ตำบลนาหนาด อำเภอธาตุพนม จึงขอเป็นตัวแทนทุกคนกล่าวขอบคุณจากความรู้สึกและจากใจ เพราะรู้ดีว่าแต่ละคนตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ได้ แต่ก็เปลี่ยมไปด้วยความสุขกับสิ่งที่ได้รับในวันนี้ เพราะผู้สูงวันนับวันก็เหมือนเด็กที่ต้องการการดูแลที่มากขึ้น ตนเองในฐานะอดีตแชมป์หมอลำเก่า จึงจะขอให้พรเป็นเสียงลำที่ไพเราะตอบแทนน้ำใจในครั้งนี้ โดยใจความสรุปได้ว่า อันพญาผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ผู้สูงวัยได้พักพิงอาศัย ขออย่าให้มีสิ่งใดมาทำภัยอันตรายได้ ขอให้มีแต่ความสุขความเจริญ ประสงค์สิ่งใดก็ขอให้มีแต่ความสมหวัง เงินทองให้ไหลมาเทมา และมีอายุยืนยาว

โดยก่อนเดินทางกลับผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมในครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วมาก เพราะเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ก็มีผู้ใจบุญสมทบทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากที่คิดไว้ตอนแรกต้องใช้เวลาถึง 2 ปี จึงจะสามารถเปลี่ยนโถชักโครกให้ผู้สูงอายุที่ยากไร้ ที่มีการสำรวจไว้เบื้องต้นประมาณ 2,500 คน ได้ครบทั้งหมด แต่พอบอกบุญไปทุกคนต่างมาสนับสนุนอย่างนี้ ทำให้คาดว่าชุดแรกจะแล้วเสร็จเร็วขึ้นไม่น่าจะเกิน 1 ปี แต่อย่างไรก็ดีก็ยังจะมีการดำเนินการต่อเนื่องในส่วนอื่น ๆ เพื่อทำให้ผู้สูงวัยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงคนนครพนมทุกคนด้วยที่อยากจะให้มีรายได้ที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น และมีความสุขกันถ้วนหน้า


จังหวัดนครพนม จัดพิธีถวายภัตตาหารพระราชทานแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณรในการสอบบาลีสนามหลวง ประจำปี 2566

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนา และทรงถวายความอุปถัมภ์แด่พระภิกษุ สามเณร ที่เข้าทดสอบความรู้บาลีสนามหลวง ครั้งที่ 1 ครั้งหลัง ประจำปี 2566 และพระภิกษุผู้ทำหน้าที่กรรมการกำกับการสอบที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 กุมภาพันธ์ 2566 โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นผู้เชิญภัตตาหารและสิ่งของพระราชทาน ถวายแด่พระภิกษุ สามเณร ที่เข้าสอบบาลีสนามหลวง ณ ศาลาเฉลิมพระเกียรติวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
สำหรับการสอบบาลีสนามหลวง หรือการสอบพระปริยัติธรรมแผนกบาลี คือการสอบไล่วัดความรู้พระปริยัติธรรมของคณะสงฆ์ไทย โดยคำว่า "สนามหลวง" นั้น สันนิษฐานว่ามาจาก การสอบพระปริยัติธรรมบาลีในพระราชวังหลวง ซึ่งการสอบในสมัยก่อนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงรับเป็นพระราชภาระ ถวายความอุปถัมภ์การจัดสอบขึ้นในพระบรมมหาราชวัง โดยเป็นการสอบแบบปากเปล่า คือพระภิกษุหรือสามเณรผู้ศึกษาบาลี มีความรู้พอสมควรแล้ว เข้าสอบบาลีสนามหลวง โดยการแปลคัมภีร์ภาษาบาลีเป็นภาษาไทย หรือแต่งภาษาไทยเป็นภาษาบาลี ต่อหน้าพระที่นั่งและคณะกรรมการพระเถรานุเถระ โดยผู้สอบไล่ได้ในชั้นประโยคต่างๆ จะได้รับการพระราชทานสมณศักดิ์ พัดยศ ไตรจีวร และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระภิกษุสามเณรผู้สอบได้ให้เป็นเปรียญและรับนิตยภัตของหลวงเป็นการยกย่องเชิดชู ทั้งนี้การสอบจะแบ่งออกเป็น 9 ประโยค ประโยค 1-2 ถึงประโยค 3 เป็นเปรียญตรี (กระทรวงศึกษาธิการเทียบวุฒิให้เทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนต้น) ประโยค 4 ถึงประโยค 6 เป็นเปรียญโท (กระทรวงศึกษาธิการเทียบวุฒิให้เทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนปลาย) ประโยค 7 ถึงประโยค 9 เป็นเปรียญเอก (กระทรวงศึกษาธิการเทียบวุฒิให้เทียบเท่าปริญญาตรี) โดยการสอบจะใช้ข้อสอบที่ออกโดยแม่กองบาลีสนามหลวง ซึ่งการสอบในครั้งนี้จัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยในส่วนสนามสอบวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร มีพระภิกษุและสามเณร สมัครเข้าทดสอบรวมทั้งสิ้น 130 รูป ในระดับเปรียญธรรมประโยค 1-2, เปรียญธรรมประโยค 3-4, บาลีศึกษาประโยค 1-2, บาลีศึกษาประโยค 3-4

นครพนม KICK OFF เปิดตัวโครงการสุขภาพดี ชีวีมีสุข@นครพนม ให้บริการคัดกรองและตรวจสุขภาพประชาชนทุกกลุ่มวัยฟรี

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธาน KICK OFF เปิดตัวโครงการสุขภาพดี ชีวีมีสุข@นครพนม ที่จังหวัดนครพนม โดยการบูรณาการร่วมของคณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอเมืองนครพนม (คปสอ.เมืองนครพนม) โรงพยาบาลนครพนม สำนักงานเทศบาลเมืองนครพนม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครพนม และองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครนพม จัดขึ้น เพื่อให้บริการตรวจคัดกรองสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชนทุกกลุ่มวัย รวมถึงหากมีการตรวจพบโรคก็จะมีการส่งต่อกลุ่มเสี่ยงเพื่อเข้ารับการรักษาในสถานบริการสาธารณสุขต่อไป

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า โครงการนี้เกิดขึ้นมาเพราะอยากให้ประชาชนจังหวัดนครพนมได้มีโอกาสตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือเพื่อดูแลสุขภาพให้กับพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มวัย แบบฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย มีการเจาะเลือด นำปัสสาวะ อุจจาระ เข้าห้องแล็ปเพื่อตรวจหาโรค ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิต ตรวจสายตา ดูแลสุขภาพจิต สุขภาพช่องปาก ส่วนเด็กปฐมวัยก็จะมีการตรวจพัฒนาการให้ด้วย จึงขอให้ทุกคนได้มาตรวจสุขภาพกัน อย่าคิดว่าตัวเองแข็งแรงสมบูรณ์ เพราะนั่นเป็นเพียงการดูจากภายนอก แต่จริง ๆ ภายในอาจจะมีอะไรผิดปกติ ถ้าเจอจะได้รีบรักษา ซึ่งวันนี้เป็นการเปิดตัวโครงการที่จังหวัด ส่วนในแต่ละอำเภอก็จะมีการดำเนินการเช่นเดียวกัน ขอให้ติดตามสอบถามได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน เพราะจะทำให้คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้น มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง ที่สำคัญคืออย่าไปทำอะไรที่เป็นการทำร้ายร่างกายตัวเอง ดูแลเรื่องการกิน การอยู่ การใช้ชีวิต การออกกำลังกาย การประกอบอาชีพก็อย่าใช้สารเคมี ให้ทำการเกษตรแบบอินทรีย์ เพื่อให้ทุกท่านมีชีวิตที่ยืนยาว

ขณะที่นายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม เป็นองค์กรด้านสุขภาพ ที่รวมพลังสังคมเพื่อชาวนครพนมมีสุขภาพดีและยั่งยืน อีกทั้งมีการพัฒนาสถานบริการและระบบบริการสุขภาพให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างมีคุณภาพ มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดี และเพื่อเป็นการดำเนินงานเชิงรุกในการค้นหาและป้องกันโรค ที่อาจจะเกิดขึ้นกับชาวนครพนมและกลายเป็นภัยสุขภาพในอนาคต จังหวัดนครพนมจึงได้จัดทำโครงการสุขภาพดี ชีวีมีสุข@นครพนม ขึ้น โดยเมื่อเสร็จสิ้นโครงการนี้คาดว่าจะสามารถทราบสถานะทางสุขภาพของพี่น้องชาวนครพนม จำนวน 718,704 คน ได้ทั้งหมด และสามารถนำมาวางแผนการดูแลสุขภาพในอนาคตได้เป็นอย่างดี ถ้าพบว่ามีอาการป่วยจากการตรวจสุขภาพก็จะนำเข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาลทันที และหากพบว่ามีความเสี่ยงทางโรงพยาบาลจะรับไปเพื่อให้คำแนะนำการปรับเปลี่ยนสุขภาพ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ส่วนกลุ่มปกติก็จะได้รับการส่งเสริมให้คำแนะนำต่าง ๆ


วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

นรข.เขตนครพนม บูรณาการร่วม ยึดยาบ้าได้ 300,000 เม็ด

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ที่สโมสรสัญญาบัตรหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) อ.เมืองนครพนม พล.ร.ต.สมาน ขันธพงษ์ ผู้บัญชาการฯ (ผบ.นรข.) มอบหมายให้ นาวาเอก ณฐพัฒน์ ซื่อมงคล รอง ผบ.นรข. นาวาเอก กษิดิ กลุ่นศรีสุข ผู้บังคับ นรข.เขตนครพนม (ผบ.นรข.เขตนครพนม) ร่วมกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง แถลงการณ์ตรวจยึดยาบ้าจำนวน 1 กระสอบ จำนวน 300,000 เม็ด ภายหลังจากการข่าวแจ้งว่าจะมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดส่งมอบกันที่ริมแม่น้ำโขงบริเวณรอยต่อพื้นที่ อ.บ้านแพง จ.นครพนม กับ อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ


โดยพล.ร.ต.สมาน ขันธพงษ์ ผบ.นรข. จึงได้สั่งการให้ น.อ.กษิดิ กลิ่นศรีสุข ผบ.นรข.เขตนครพนม ประสานกับ ผบ.นรข.เขตหนองคาย บูรณาการร่วมกัน โดยมี น.อ.ศิริพงษ์ นพไธสง หัวหน้าสถานีเรือบึงกาฬ และ น.ต.สมเจตน์ ค้าทวี หัวหน้าสถานีเรือบ้านแพง วางแผนจัดชุดปฏิบัติการลาดตระเวนทั้งทางน้ำและทางบก กระทั่งพบเรือหาปลาแล่นข้ามแม่น้ำโขงมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเข้าจอดเทียบท่าท้ายหมู่บ้านโคกกว้าง หมู่ที่ 1 ต.โคกกว้าง อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ จากนั้นไม่ถึง 2 นาทีเรือลำดังกล่าวก็เบนหัวออกจากฝั่งเร่งเครื่องกลับไปทันที ขณะเดียวกันก็มีชาย 2 คน ขับรถจักรยานยนต์วิ่งเข้ามาที่ริมฝั่งตรงจุดที่เรือเทียบท่า ไม่นานก็ขับขึ้นมาบนถนนที่เป็นทางลูกรัง ชุดปฏิบัติการจึงใช้ยานพาหนะติดตามไปทันที ปรากฏว่าผู้ต้องสงสัยได้บิดคันเร่งพยายามหลบหนี ก่อนจะโยนวัตถุลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมลงข้างทางและใช้ความชำนาญพื้นที่หลบหนีไปได้ เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการตรวจสอบวัตถุต้องสงสัย พบเป็นกระสอบพลาสติกสีดำพันด้วยเทปกาวใสอย่างแน่นหนา ภายในเป็นยาบ้าจำนวน 300,000 เม็ด จึงได้ทำบันทึกตรวจยึดพร้อมนำหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการขยายผลต่อไป

ทั้งนี้ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) มีกองบัญชาการอยู่ที่จังหวัดนครพนม เป็นหน่วยเฉพาะกิจกองทัพเรือ มีพื้นที่รับผิดชอบตลอดลำน้ำโขง ตั้งแต่พื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จนถึง อ.โขงเจียม จ.อุบลฯ รวมระยะทาง 928 กิโลเมตร มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดตามลำแม่น้ำโขง โดยเฉพาะด้านยาเสพติด ซึ่งการตรวจยึดในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ ที่ได้มอบไว้ให้ หน่วยเฉพาะกิจของกองทัพเรือที่ปฏิบัติงานตามแนวชายแดน