วันที่ 26 กันยายน 2562
ที่จังหวัดนครพนม ดร. สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
นำคณะลงพื้นที่ติดตามแนวทางการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อศึกษาวางแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบมีส่วนร่วม
เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างยั่งยืน ป้องกันบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งของกลุ่มจังหวัดอีสานตอนบน
หนองคาย นครพนม มุกดาหาร
ดร. สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
เปิดเผยว่า จากที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบ ให้ สทนช. เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จัดทำแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ ระยะ 5 ปี คือ ปี 2561- 65
และสร้างการรับรู้กับทุกหน่วยงานให้แล้วเสร็จ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้นจึงได้พิจารณาคัดเลือกพื้นที่จังหวัดที่ประกาศเป็นเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษที่อยู่ติดแม่น้ำโขง
3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดหนองคาย นครพนม และจังหวัดมุกดาหาร เพื่อดำเนินการศึกษาแนวทางในการบริหารจัดการน้ำ
เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ทั้งเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีความยั่งยืนสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ
20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
โดยในวันนี้เป็นการนำคณะลงพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่มีการประกาศตัวเป็นเมืองเกษตรอุตสาหกรรมด้านอาหาร
ซึ่งน้ำถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญมาก ถ้าไม่มีมาตรการป้องกันก็จะเกิดการแย่งน้ำได้ในอนาคต
ดังนั้นจึงต้องเข้ามาดูว่าจะจัดสรรทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ให้กับทุกภาคส่วนได้อย่างไร
โดยจะต้องมีการวางหลักการ กฎเกณฑ์ และกติกาตั้งแต่เริ่มแรกอย่างชัดเจน เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบและสามารถวางแผนการทำงานได้อย่างถูกต้อง
รวมถึงการหาวิธีกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ ไม่ว่าจะเป็น น้ำบาดาล น้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน ด้วยในอนาคตสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือน้ำในการอุปโภคบริโภคมีไม่เพียงพอ
เพราะไม่สามารถพึ่งน้ำจากแม่น้ำโขงอย่างเดียวได้ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศมีความไม่แน่นอน
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับแนวความคิด ปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการใหม่ในหลาย
ๆ จุด เพื่อที่จะสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
โดยหลังจากนี้จะนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้ในวันนี้
ไปวางแนวนโยบายในภาพรวมเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง ที่เน้นการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบมีส่วนร่วม
ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3
ส่วนด้วยกัน คือส่วนที่มีการสำรวจข้อมูลทุกอย่างพร้อมแล้วในส่วนนี้สามารถดำเนินงานต่อไปได้เลยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
ส่วนต่อมาคือส่วนที่ยังไม่มีความชัดเจนจะต้องสำรวจศึกษาให้มีความแน่นอนเสียก่อนจึงจะสามารถดำเนินการต่อไปได้
และส่วนสุดท้ายคือส่วนที่ไม่สามารถดำเนินการได้ในส่วนนี้จะต้องหารูปแบบใหม่ เพื่อมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น