วันที่ 27 มกราคม 2563
ที่ห้องประชุมร่มเกล้า (ชั้น 3) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายแพทย์ธราพงษ์
กัปโก นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม
เป็นประธานการประชุมคณะทำงานพร้อมเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข
(EOC) เพื่อติดตามสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด รวมถึงเป็นการเตรียมความพร้อมของบุคลากร
ทรัพยากร ยาและเวชภัณฑ์หากต้องปฏิบัติการ
โดยศูนย์ EOC ที่ประกอบไปด้วยหน่วยงานต่าง
ๆ ในพื้นที่ที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ประกอบไปด้วย กลุ่มภารกิจตระหนักรู้สถานการณ์
กลุ่มภารกิจยุทธศาสตร์และวิชาการ กลุ่มภารกิจประสานงานและเลขานุการ กลุ่มภารกิจสื่อสารความเสี่ยง
กลุ่มภารกิจด้านการปฏิบัติการ และกลุ่มภารกิจด่านระหว่างประเทศ จะร่วมกันดำเนินสำรวจและเตรียมความพร้อมของทรัพยากร
ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของบุคลากร เครื่องมือ อุปกรณ์ ห้องแยกโรคและยาเวชภัณฑ์ การวางแนวทางการปฏิบัติในภาพของจังหวัด เช่น
การบริหารจัดการในการเฝ้าระวังคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้า-ออก ณ ด่านสะพานมิตรภาพ 3
(นครพนม – คำม่วน)
การเฝ้าระวังคัดกรองผู้ป่วยในพื้นที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่และโรคปอดบวมทุกราย กระบวนและขั้นตอนในการดูแลรักษา
การส่งต่อผู้ป่วยหากเกิดเหตุ รวมไปถึงการรายงานผลการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยแบบรายวัน
การจัดทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็วในพื้นที่จังหวัดเพื่อติดตามผู้สัมผัสเชื้อหากเกิดเหตุ
และการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ที่ถูกต้องให้กับประชาชน โดยในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมทางไกล
Video Conference ชี้แจงและเตรียมความพร้อมกับโรงพยาบาลชุมชนทั้ง
12 อำเภอ
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 3 – 25 มกราคม 2563
พบผู้ป่วยที่มีอาการเข้าได้ตามนิยามทั้งหมด 84 ราย ไม่พบผู้ป่วยอาการรุนแรง
ในจำนวนนี้ได้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐ 19 ราย (นครปฐม กรุงเทพฯ เชียงใหม่
ภูเก็ต ชลบุรี และนครสวรรค์) สถาบันบาราศนราดูร 11 ราย และโรงพยาบาลเอกชน 9 ราย
รวม 39 ราย ผู้ป่วยอาการดีขึ้นและได้กลับบ้านแล้วจำนวน 45 ราย
โดยประชาชนที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1422
กรมควบคุมโรค
ในส่วนของการป้องกันตัวจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
2019 ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปเมืองอู่ฮั่น ตามคำประกาศของทางการจีน
หากมีความจำเป็นต้องเดินทางควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด
ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชน
หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์ และไม่สัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วยหรือตาย และหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำและสบู่
หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น
ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว)
เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
ควรรับประทานอาหารปรุงสุกร้อน และภายใน 14 วัน หลังเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง
หากมีไข้ร่วมกับอาการทางเดินหายใจ ได้แก่ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ
ควรรีบพบแพทย์ทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทางให้เจ้าหน้าที่ทราบ


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น