วันที่
3 กันยายน 2563 ที่บริเวณตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์
เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นำคณะทำงานและสื่อมวลชนลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการศึกษาความเหมาะสมการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งลุ่มน้ำสงคราม
และผลกระทบจากภาวะน้ำหลาก/น้ำแล้งของแม่น้ำโขงต่อชุมชนพื้นที่ลุ่มน้ำสงคราม โดยมีตัวแทนบริษัทที่ปรึกษาบรรยายสรุปผลการศึกษาโครงการศึกษาความเหมาะสมการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งลุ่มน้ำสงคราม
ตัวแทนกรมชลประทานสกลนคร บรรยายสรุปให้ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำสงคราม
กรมทรัพยากรน้ำให้ข้อมูลการบริหารจัดการน้ำที่เชื่อมโยงแม่น้ำโขงและแม่น้ำสงคราม
ตลอดจนตัวแทนหน่วยงานในท้องถิ่น นายกองค์การบริหารส่วนตำบลไชยบุรี กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและประชาชนร่วมให้ข้อมูล
ข้อเสนอแนะความต้องการของคนในพื้นที่
ดร.สมเกียรติ
ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ลุ่มน้ำสงครามเป็นลุ่มน้ำสำคัญ ที่เกิดปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งซ้ำซากและยังไม่มีทางออก
เนื่องจากหลายภาคส่วนมีข้อเสนอแนะที่แตกต่างกัน ซึ่งปัญหาที่ว่าแบ่งเป็น 3
ส่วนด้วยกัน คือ ปัญหาที่เกิดจากน้ำเหนือไหลบ่าผ่านมาประมาณ 8 พันล้านลูกบาศก์เมตร
ส่วนที่ 2 คือปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ ซึ่งจะตกบ่อยเพราะอยู่ติดกับแม่น้ำโขง
และอีกส่วนคือน้ำโขงสูงขึ้นทำให้มีการทดน้ำเข้าไปในพื้นที่มากกว่า 300 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาวิธีแก้ปัญหาด้วยการกักเก็บน้ำเอาไว้ในลำน้ำสาขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทั้งยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและระบบประมงน้อยที่สุด ที่สำคัญพื้นที่ตรงนี้ยังเป็นพื้นที่แรมซาร์ไซต์
หรือพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ ที่ได้มีการประกาศมาเร็วๆนี้ ทำให้เราต้องมาหาวิธีพัฒนาในส่วนนี้เพิ่มเติมว่าจะดำเนินการอะไรได้บ้าง
และวันนี้ได้ลงพื้นที่มารับฟังความเห็นของภาคประชาชน ซึ่งปรากฏว่าเห็นด้วยกับการพัฒนาโครงการในลักษณะนี้
เพราะครอบคลุมทั้งโครงการขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก โดยปัจจุบันพอมีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่และขนาดกลางแล้ว
แต่ขนาดเล็กเราต้องฟังเสียงของประชาชน และหน่วยงานที่สำคัญคือหน่วยงานท้องถิ่นเพราะต้องเป็นหน่วยที่ต้องทำโครงการเสนอขึ้นมา
ซึ่งในพื้นที่มีแหล่งน้ำขนาดเล็กมากกว่า 4,500 โครงการที่ต้องการพัฒนา ทั้งนี้ได้มีการชี้แจงให้หน่วยงานท้องถิ่นได้เข้าใจถึงลำดับ
ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อให้โครงการที่เสนอมาสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
สำหรับระยะเวลาศึกษาฯ
เหลือเวลาอีกประมาณเดือนกว่าๆ ก็จะสำเร็จ จากนั้นจะเป็นการเสนอโครงการเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำจังหวัดและกรรมการลุ่มน้ำ
ก่อนที่จะส่งต่อไปยังคณะกรรมการบริหารน้ำแห่งชาติ เพื่อที่จะให้ทุกหน่วยนำไปขับเคลื่อนแผนงาน
บูรณาการปฏิบัติร่วมกันโดยมีกรอบเวลาว่าหน่วยไหนจะทำอะไรบ้าง จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการที่ศึกษาอยู่ในขณะนี้จะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนและเป็นการวางรากฐานในการพัฒนาลุ่มน้ำสงครามที่มีปัญหามายาวนานนับ
10 ปี


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น