วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2564

สสจ.นครพนม พาผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาหายแล้วกลับบ้าน

 

วันที่ 29 มกราคม 2564 นายแพทย์มานพ ฉลาดธัญญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่จังหวัดนครพนมได้มีการตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด – 19 ที่บ้านหนองกุดแคน หมูที่ 8 ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม โดยผู้ป่วยรายนี้มีประวัติเชื่อมโยงกับผู้ป่วยยืนยันที่มาจากกรุงเทพมหานคร และจังหวัดนครพนมได้ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุขในการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด โดยมีการสั่งปิด 2 หมู่บ้านที่มีกลุ่มเสี่ยงอาศัยอยู่ รวมถึงมีการสืบสวนสอบสวนโรค ค้นหาบุคคลกลุ่มเสี่ยงและการเก็บตัวอย่างทุกคนส่งตรวจ ซึ่งปรากฎว่าทั้ง 1,402 คนไม่พบเชื้อแต่อย่างใด จึงได้มีคำสั่งผ่อนคลายมาตรการตามมาทีหลัง ในส่วนของผู้ป่วยก็ได้นำตัวไปทำการดูแลรักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม ซึ่งจากการตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสในผู้ป่วยมีผล Cycle Threshold (Ct) สูงมาก อยู่ที่ 36 หมายความว่ามีโอกาสแพร่กระจายเชื้อได้น้อยมากเพราะเป็นซากเชื้อตาย นอกจากนี้ยังได้มีการตรวจหาภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วยรายนี้ตามหลักระบาดวิทยา ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายๆ ของการติดเชื้อ ซึ่งปรากฏว่าผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันเช่นเดียวกัน

และในวันที่ 28 มกราคม 2564 ที่ผ่านมาคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม ก็ได้มีการส่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team : MCATT) ไปจัดกิจกรรมวัคซีนใจในชุมชน เพื่อสร้างสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง ที่พร้อมรับรู้และเข้าใจในสถานการณ์การแพร่ระบาด แนวทางปฏิบัติตัวในการเฝ้าระวังป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 โดยเปิดโอกาสทุกคนได้ระบายอารมณ์และแสดงความรู้สึกที่แท้จริง จากนั้นจึงมีการประเมินสภาพความเครียดและความรู้สึกของคนในชุมชน ซึ่งผลปรากฎว่าทุกคนมีความเครียดปกติถึงเล็กน้อย รู้สึกดีใจที่หน่วยงานภาครัฐให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วจึงทำให้คลายความกังวล เวลาเดินทางไปนอกหมู่บ้านยังถูกประชาชนนอกพื้นที่แสดงความไม่ไว้ใจว่าจะนำโรคมาติดหรือไม่จึงต้องการใบรับรองผลตรวจว่าทุกคนปลอดภัยไม่มีเชื้อ ส่วนความคิดเห็นของคนในชุมชนเกี่ยวกับการรับตัวผู้ป่วยโควิดที่หายแล้วกลับมาอยู่บ้าน ร้อยละ 99 ยินดีให้ต้อนรับ ดังนั้นในวันนี้ที่ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันว่าผู้ป่วยรายนี้ไม่มีเชื้อไวรัสโควิด -19 หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงได้ร่วมกับนายแพทย์มนู ชัยวงศ์โรจน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม นายวรวิทย์ วุฒา สาธารณสุขอำเภอธาตุพนม และคณะบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่พากลับบ้าน

นพค.22 เดินหน้าพัฒนาพื้นที่แก้ปัญหาภัยแล้งแบบยั่งยืนให้ชาวอำเภอท่าอุเทน นครพนม

 

วันที่ 29 มกราคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม พันเอก สันทัศน์ ชำนาญเวช  ผู้บังคับการหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 22 สำนักงานพัฒนาภาค 2 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นพค.22 สนภ.2 นทพ.) เปิดเผยว่า การพัฒนาพื้นที่เป้าหมายตามแนวชายแดนในปี 2564 หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 22 มีเป้าหมายอยู่ที่ตำบลพนอมและตำบลพระทาย อำเภอท่าอุเทน ซึ่งการดำเนินงานทางหน่วยต้องการให้เป็นการแก้แก้ปัญหาภัยอุทกภัยและภัยแล้งแบบยั่งยืน เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องผ่านการเห็นชอบของประชาชนในชุมชนที่มีความต้องการจริง ๆ และผ่านการทำการประชาคมหมู่บ้านก่อนจึงจะมีการดำเนินการ โดยการพัฒนาจะมีหลายส่วนด้วยกันประกอบไปด้วยการพัฒนาแหล่งน้ำ การพัฒนาเส้นทางคมนาคม และการส่งเสริมการสร้างอาชีพให้ทุกคนอยู่ได้อย่างพอเพียงและยั่งยืน

  โดยงานพัฒนาแหล่งน้ำจะมีการวางผังระบบงาน เป็นทั้งในลักษณะการป้องกันปัญหาอุทกภัยและการแก้ปัญหาภัยแล้ง เพราะฉะนั้นจะมีทั้งการขุดลอกลำน้ำและแหล่งน้ำต่างๆในพื้นที่ที่มีความตื้นเขินตามกาลเวลา ให้กลับมาสามารถกักเก็บน้ำได้เช่นดังเดิมอยู่ที่ตำบลพนอม 8 โครงการและตำบลพะทาย 2 โครงการ มีการสร้างฝายกลั้นน้ำเพื่อเป็นการชะลอและกักเก็บน้ำ 4 โครงการ นอกจากนี้ยังมีงานก่อสร้างถังเก็บน้ำให้บ้านพะนอม หมู่ที่ 3 เพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้ในการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการอุปโภคบริโภคด้วยขนาดความจุ 100 ลูกบาตรเมตร มีงานสร้างอาคารบริการน้ำดื่มเย็นสะอาดเพื่อให้เด็กนักเรียนและประชาชนในพื้นที่ได้มีน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัยไว้ดื่ม โดยจะมีการสร้างไว้ที่โรงเรียนและศูนย์การเรียนกระจายอยู่ในพื้นที่รวม 5 แห่ง ซึ่งน้ำดื่มที่ได้จะเป็นการผลิตในระบบ RO จำนวน 4 โครงการ และระบบ Softener จำนวน 1 โครงการ โดยทุกแห่งมีอัตรากำลังการผลิตอยู่ที่ 250 ลิตรต่อชั่วโมง

ส่วนงานก่อสร้างเส้นทางคมนาคมในพื้นที่ 2 ตำบล จะมีทั้งสิ้น 18 โครงการ รวมระยะทางประมาณ 36.18 กิโลเมตร ประกอบไปด้วย งานปรับปรุงทางลูกรังเป็นผิวจราจรลาดยาง Cape Seal  1 โครงการ งานปรับปรุงทางผิวจราจร ค.ส.ล.  5 โครงการ และงานซ่อมทางผิวจราจรลูกลัง 12 โครงการ ขณะที่งานส่งเสริมอาชีพให้ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทางหน่วยก็มีการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โดยมีการนำโคแม่พันธุ์มาให้กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงในลักษณะการยืมโคเมื่อมีลูกจะยกลูกให้กับชาวบ้านเพื่อไปขยายพันธุ์ต่อ ซึ่งในระหว่างเลี้ยงจะมีเจ้าหน้าที่มาคอยให้คำแนะนำในทุกขั้นตอนเพราะจะเลี้ยงในลักษณะโรงเรือน ขณะที่การผสมพันธุ์จะมีการหาน้ำเชื้อวัวพันธุ์ดีมาผสมให้ นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมกลุ่มจักสานที่ชาวบ้านมีการดำเนินการอยู่แล้ว ให้เกิดการรวมกลุ่มกันผลิตและจำหน่ายเพื่อเข้าสู่ระบบวิสาหกิจชุมชนต่อไป โดยจะมีการเข้ามาสนับสนุนในเรื่องของงบประมาณและเครื่องจักรในการผลิต ส่วนการส่งเสริมแบบรายครัวเรือนก็จะเป็นการส่งเสริมให้ชาวบ้านเกิดการทำการเกษตรแบบผสมผสานในการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ เบื้องต้นจะมีการค้นหาชาวบ้านที่ยากจนแต่มีศักยภาพในพื้นที่มาสร้างเป็นต้นแบบให้กับคนอื่น ๆ ได้เห็นจำนวน 19 ราย ซึ่งจะมีทั้งการเข้าไปขุดบ่อ ขุดสระน้ำในไร่นาให้ รวมถึงให้หมู ให้ไก่ไว้เลี้ยงรวมถึงนำพันธุ์ไม้นานาชนิดมาสนับสนุนให้ปลูกในพื้นที่ และทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำให้ทุกคนมีการอยู่ดีกินดีมีความมั่นคงในชีวิตอย่างยั่งยืน

นายสุเทพ จีวรสาน ชาวบ้านตำบลพะนอม กล่าวว่า ก็ขอขอบคุณทาง ผบ.นพค.22 ที่พิจารณานำโครงการดี ๆ มาให้ อย่างตรงลำห้วยบ้านหนองสาหร่ายนี้ในช่วงหน้าแล้งไม่สามารถทำการเกษตรได้ เพราะไม่มีน้ำ ตนเองรู้สึกดีใจมาก  รอมานานมาแล้วว่าจะได้น้ำมาทำการเกษตรทั้ง 2 ด้านของห้วยในช่วงฤดูแล้ง ถ้ามีน้ำตนเองคิดว่าจะทำอะไรตอนไหนก็ได้ ไม่ใช่ทำเฉพาะนาปรัง แต่สามารถทำอย่างอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็น ปลูกแตง ปลูกถั่ว ปลูกพริก ปลูกมะเขือได้หมด สามารถทำเป็นเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างสบาย

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2564

4 หน่วยงานนครพนม ประสานความร่วมมือบูรณาการระบบแจ้งไฟฟ้า ประปา ระบบสื่อสารขัดข้องในช่องทางเดียว

 

วันที่ 28 มกราคม 2564 ที่สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครพนม นายพงษ์ศักดิ์ วจนะศิริ ผู้จัดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายสุคนธ์ ศรีนา  ผู้จัดการ การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม นายประติก ปราสาท ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เขต 25 (นครพนม) และว่าที่ร้อยตรียอดเพ็ชร คำแสงดี นายช่างโยธาอาวุโส รักษาราชการแทนผู้อำนวยการ แขวงทางหลวงนครพนม ได้เป็นตัวแทนหน่วยงานร่วมกันลงนามทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือ เพื่อร่วมกันพัฒนาช่องทางการรับแจ้งเหตุไฟฟ้าดับ กระแสไฟฟ้าขัดข้อง ระบบประปาขัดข้อง ท่อประปาแตก รั่ว น้ำประปาไหลอ่อน รวมถึงระบบสายสื่อสารชำรุด หย่อนยานที่อาจก่อให้เกิดอันตราย เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ทันท่วงทีและมีประสิทธิ์ภาพ เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้รับบริการในพื้นที่ที่รับผิดชอบของทั้ง 4 หน่วยงาน ทั้งเป็นการยกระดับความพึงพอใจและความไว้วางใจในการให้บริการของหน่วยงาน เป็นการเสริมสร้างความรู้และทักษะของบุคลากรในการพัฒนาช่องทางดิจิทัลเพื่อรับแจ้งเหตุ เกิดการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่มีศักยภาพและพร้อมทำงานเป็นทีม และเกิดการริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและองค์กร

โดยทั้ง 4 หน่วยงานจะใช้รูปแบบการแจ้งเหตุผ่านการกรอกข้อมูลใน Google ฟอร์ม ที่ได้ร่วมกันออกแบบขึ้นมา เพียงผู้รับบริการหรือประชาชนทั่วไปประสบเหตุ ก็สามารถแสกน QR Code แล้วแจ้งเหตุเข้ามาได้เลย ทั้งนี้ในการกรอกแบบฟอร์มแจ้งเหตุ ผู้ให้ข้อมูลต้องมีการแจ้งเบอร์โทรศัพท์ติดต่อและแนบไฟล์ภาพสถานที่เกิดเหตุเข้ามา จากนั้นระบบจะประมวลผลและแจ้งการรับเรื่องเข้าไปในแอปพลิเคชั่นไลน์ Notify ของผู้รับผิดชอบแต่ละหน่วยงาน เพื่อดำเนินการตามระบบของแต่ละหน่วยในการแก้ไขปัญหาให้ผู้รับบริการในพื้นที่ที่รับผิดชอบ โดยข้อดีของการแจ้งเหตุใน Google ฟอร์มนี้ นอกจากจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางการแจ้งเหตุที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่แล้ว ยังเป็นการแจ้งเหตุครั้งเดียวแต่ได้ถึง 4 หน่วยงาน ซึ่งในบ้างครั้งก่อนหน้านี้ประชาชนอาจจะสับสนหรือเข้าใจคลาดเคลื่อนในหน้าที่และพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน ทำให้เมื่อแจ้งเหตุไปแล้วไม่ตรงกับหน่วยงานที่รับผิดชอบและเกิดความล่าช้าในการแก้ไขปัญหา แต่ในบันทึกข้อตกลงนี้จะทำให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป เพราะทั้ง 4 หน่วยงานจะมีการบูรณาการข้อมูล การประสานงานและส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปแก้ไขปัญหาให้ในทันที  โดยความร่วมมือดังกล่าวจะมีระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 – 31 มกราคม 2565

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2564

อ.เมืองนครพนม ร่วมกับ อบต.บ้านผึ้ง ส่งมอบบ้านสุขใจให้ผู้ยากไร้ในพื้นที่

 

วันที่ 27 มกราคม 2564 ที่บ้านหนองปลาดุก ตำบลบ้านผึ้ง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายพรต ภูภักดิ์ ปลัดจังหวัดนครพนม นายสมลักษ์ ยกน้อยวงษ์ นายอำเภอเมืองนครพนม นายพิทักษ์ ต่อยอด นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ร่วมกันส่งมอบบ้านตามโครงการบ้านสุขใจ ที่ทุกคนได้ร่วมกันก่อสร้างบ้านหลังใหม่ทดแทนหลังเดิมที่มีความทรุดโทรม ให้กับนางทองดี ต้นโพธิ์ อายุ 68 ปี ได้อาศัยอยู่กับหลานสาวที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนบ้านหนองปลาดุก

โดยโครงการบ้านสุขใจเป็นโครงการที่อำเภอเมืองนครพนม ได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้ง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านตำบลบ้านผึ้ง ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ร่วมกันดำเนินการขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาให้ผู้ยากไร้ ผู้ยากจนและด้อยโอกาสในพื้นที่ตำบลบ้านผึ้งที่กำลังประสบความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัย ให้ได้มีบ้านที่มีความมั่นคงแข็งแรง เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้ดีขึ้น โดยการดำเนินงานประกอบไปด้วย การลงพื้นที่สร้างความเข้าใจให้กับชุมชนและร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์คุณสมบัติผู้มีเดือดร้อนที่สมควรได้รับการช่วยเหลือ จากนั้นจึงทำการสำรวจเพื่อค้นหาผู้เดือดร้อนและร่วมกันพิจารณากลั่นกรองจัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วน จัดทำแผนงานโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ และร่วมกันก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ

สำหรับบ้านหลังดังกล่าวใช้เวลาในการก่อสร้างเพียง 3 วันเท่านั้น โดยแรงงานทั้งหมดเป็นแรงงานจากประชาชนจิตอาสาในชุมชน ที่มาช่วยกันคนละเล็กคนละน้อยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาช่วยตามความถนัดและความสามารถของแต่ละคนที่มี ใครที่มีฝีมือด้านช่างก็ช่วยกันทำการก่อสร้างบ้าน ขณะที่คนไม่มีฝีมือด้านก็ก็มาช่วยด้านอื่น ๆ เช่นการช่วยยกไม้ ยกเหล็ก และจับยื่นสิ่งของต่าง ๆ รวมถึงการทำอาหารไว้ร่วมกันรับประทานในแต่ละมื้อ ทำให้บ้านหลังนี้เกิดมาจากความรักความสามัคคี ความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ที่พร้อมแบ่งปันความสุขให้กันและกันของคนในชุมชน สมดังชื่อโครงการบ้านสุขใจ เพราะสุขใจทั้งผู้ให้และผู้ได้รับ โดยบ้านหลังดังกล่าวใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 37,000 บาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมชมรมนิสิตเก่าจุฬาฯประจำจังหวัดนครพนม จำนวน 25,000 บาท และประชาชนในพื้นที่ร่วมบริจาคอีก จำนวน 12,000 บาท  

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระราชทานผ้าห่มกันหนาวแก่ผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่จังหวัดนครพนม

 

วันที่ 26 มกราคม 2564 ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี  โปรดให้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เชิญผ้าห่มกันหนาวพระราชทานไปมอบแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครพนมที่ประสบภัยหนาว จำนวน 1,000 ผืน โดยมีนายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธีเชิญผ้าห่มกันหนาวพระราชทานแก่นายอำเภอและผู้นำชุมชนหมู่บ้านที่เป็นตัวแทนของแต่ละอำเภอเข้ารับพระราชทานเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ฯ เพื่อนำไปส่งต่อยังผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่อีกครั้ง เนื่องจากต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ประกอบไปด้วย อำเภอท่าอุเทน 400 ผืน อำเภอโพนสวรรค์  200 ผืน อำเภอนาหว้า  200 ผืน และอำเภอบ้านแพง 200 ผืน

ทั้งนี้จังหวัดนครพนมได้รับอิทธิพลจากความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ซึ่งลักษณะเช่นนี้ทำให้มีอากาศหนาวเย็นทั่วทุกพื้นที่เป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในปีนี้อากาศหนาวเย็นติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน มีประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน ประกอบไปด้วย ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้มีรายได้น้อย ผู้ประสบความเดือดร้อน ซึ่งจากข้อมูลการสำรวจความต้องการเครื่องกันหนาวของประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครพนม ยังมีผู้ที่เดือดร้อนและมีความต้องการเครื่องกันหนาวอยู่เป็นจำนวนมาก แม้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนมูลนิธิและหน่วยงานอื่นๆ ได้นำเครื่องกันหนาวมามอบให้เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนในพื้นที่ไปแล้วกว่า 22,450 ชิ้น และด้วยพระเมตตาและความห่วงใยในครั้งนี้ ทุกคนต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านอย่างหาที่สุดมิได้ที่ทรงพระราชทานความช่วยเหลือในครั้งนี้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนจากการดำรงชีวิตในเบื้องต้นแล้ว ยังเป็นการเยียวยาจิตใจ สร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ประสบความเดือดร้อน และในโอกาสนี้พสกนิกรชาวจังหวัดนครพนมได้พร้อมใจกันตั้งจิตอธิษฐาน ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคลให้พระองค์ทรงพระเจริญ มีพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง เป็นมิ่งขวัญแก่ปวงพสกนิกรชาวไทยสืบไป

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2564

จ.นครพนม รวมพลังนำเสบียงส่งมอบให้ชาวบ้านที่ถูกปิดหมู่บ้านเป็นการชั่วคราว เพื่อควบคุมสถานการณ์โควิด

 

วันที่ 25 มกราคม 2564 ที่บริเวณปากทางเข้าบ้านหนองกุดแคน หมู่ที่ 8 และบ้านหนองกุดแคนเหนือ หมู่ที่ 15 ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม ซึ่งเป็น 2 หมู่บ้านแฝดที่มีคำสั่งจังหวัดนครพนมให้ปิดเป็นการชั่วคราวเพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ภายหลังพบผู้ติดเชื้อเป็นหญิง อายุ 51 ปี เนื่องจากไปสัมผัสใกล้ชิดกับ บุคคลกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางมาเยี่ยมจากกรุงเทพมหานคร บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของผู้มีจิตอันเป็นกุศลที่ได้นำเอาสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ มามอบให้ชาวบ้านเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจว่าชาวนครพนมไม่ทิ้งกันในยามที่เดือดร้อน โดยหลายคนที่ติดภารกิจ หน้าที่เดินทางมาด้วยตนเองไม่ได้ ก็ได้นำมาสิ่งของมามอบให้ นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ที่บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนมตั้งแต่ช่วงเช้า ก่อนที่จะมีการรวบรวมทั้งหมดนำมาส่งต่อยังชาวบ้านในช่วงบ่ายของวันนี้ ขณะที่อีกหลายคนที่ไม่ติดอะไรก็ร่วมมากับคณะเพื่อส่งมอบด้วยตนเอง โดยสิ่งของที่นำมาในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย หน้ากากอนามัย น้ำดื่ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวหอมมะลิ ไข่ไก่ น้ำปลา ปลาดุก ผักกวางตุ้ง ผักชี ต้นหอม ฟักทอง มะละกอ กะหล่ำปลี คะน้า แตงกวา ข้าวโพดหวาน มันแกวและพืชผักอื่น ๆ อีกหลากหลายชนิด

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ของจังหวัดนครพนมปัจจุบันมีเพียง 1 ราย ซึ่งยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงดีไม่ต้องรับวัคซีนป้องกันแต่อย่างใดเนื่องจากสภาพร่างกายสร้างภูมิคุ้นกันตัวเองแล้ว ขณะที่ชาวบ้านในหมู่บ้ายทุกคนก็ยังคงมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดี โดยเฉพาะเมื่อทราบผลการตรวจบุคคลที่อยู่ในกลุ่มตามไทม์ไลน์ ทั้งในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน รวมกว่า 1,400 รายตรวจไม่พบเชื้อทั้งหมด โดยทุกคนพร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี เพราะเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ดีเพื่อเป็นการเฝ้าระวังบุคคลที่อาจจะเกิดความเครียดและโรคซึมเศร้าเนื่องจากต้องอยู่ในพื้นที่นาน ๆ ทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม ก็มีการจัดทีมแพทย์ MCATT (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team ) เพื่อเฝ้าดูแลและค้นหาบุคคลที่อาจมีความเสี่ยงเหล่านี้เพิ่มเติมจากชุดแพทย์ปกติด้วย

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2564

นครพนม ผ่อนคลายมาตรการ พร้อมสร้างความมั่นใจให้ประชาชนเชิญนายจ้างลูกจ้างสถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตตรวจหาเชื้อ

 วันที่ 22 มกราคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายมานพ ฉลาดธัญญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนมได้มีมาตรการและแนวทางปฏิบัติในการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และได้ออกคำสั่งที่ 3/2564 ลงวันที่ 3 มกราคม 2564  และคำสั่งที่ 8/2564 ลงวันที่ 4 มกราคม 2564 เรื่องปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ของโรคติดต่ออันตราย ทำให้สถานประกอบการต่าง ๆ เช่น สถานบันเทิง คาราโอเกะ ร้านสัก นวดแผนโบราณ สปา ร้านอาหาร สนามกีฬา ร้านเสริมสวย คลินิกความงาม ต้องปิดเป็นการชั่วคราว และด้วยความห่วงใยประชาชน จังหวัดนครพนมจึงได้มีการผ่อนคลายมาตรการ เพื่อลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงในพื้นที่ โดยมีการยกเลิกทั้ง 2 คำสั่งและได้ออกคำสั่งใหม่เป็นคำสั่งที่ 127/2564 ลงวันที่ 21 มกราคม 2564

ซึ่งในคำสั่งนี้ยังคงให้สนามชนไก่ รวมถึงสนามซ้อมฯ กัดปลา สนามมวย/ค่ายมวยฯลฯ และสถานที่สำหรับที่จัดให้มีการเล่นพนันอย่างอื่นทุกชนิดปิดเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ส่วนสถานบันเทิง คาราโอเกะ ร้านสัก นวดแผนโบราณ สปา ร้านอาหาร สนามกีฬา ร้านเสริมสวย คลินิกความงาม ตลาดสด ตลาดนัด ถนนคนเดิน ตลาดคลองถม ตลาดโต้รุ่ง ตลาดนัดโคกระบือ โรงภาพยนตร์ ร้านเกม  โต๊ะสนุ๊ก สถาบันกวดวิชา ร้านพระเครื่อง สระน้ำ คอนเสิร์ต หมอลำ รถแห่ ทั้งกลางแจ้งและในร่ม โรงเรียนและสถาบันการศึกษาทุกประเภท ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก (ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สถานพัฒนาเด็กประถมวัย ฯลฯ) อนุญาตให้เปิดดำเนินการได้ โดยต้องได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด – 19 และปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด หากพบการกระทำที่อาจมีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรค พนักงาน เจ้าหน้าที่ อาจให้คำแนะนำ ตักเตือน ห้ามปราม และมีอำนาจกำหนดช่วงระยะเวลา เพื่อให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเพื่อป้องกันมิให้มีการแพร่ระบาด รวมทั้งเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายอำเภอท้องที่ตามที่ได้รับมอบหมายมีอำนาจสั่งปิดสถานสถานที่รับผิดชอบไว้เป็นการชั่วคราวครั้งละไม่เกิน 14 วัน ทั้งนี้ในคำสั่งห้ามมิให้มีการชุมนุม หรือการมั่วสุม ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัด ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 18 แห่ง พรก.ฉุกเฉินฯ

ดังนั้นในวันนี้จึงได้ระดมเจ้าหน้าที่มาช่วยกันตรวจคัดกรองนายจ้างและลูกจ้าง สถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตตามคำสั่งในพื้นที่เทศบาลเมืองนครพนม เพื่อเก็บสิ่งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ จำนวน 2 จุด คือที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม และที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองจันทน์ เป็นการสร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่ามาใช้บริการแล้วจะมีความปลอดภัยห่างไกลจากไวรัสโควิด -19

จ.นครพนม ประกอบพิธีมอบปฏิทินหลวง พุทธศักราช 2564 พระราชทานสำหรับความสุขปีใหม่

 

วันที่ 22 มกราคม 2564 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานพิธีมอบปฏิทินหลวงพุทธศักราช 2564 พระราชทานสำหรับความสุขปีใหม่ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี  ให้แก่ข้าราชการในจังหวัดนครพนม จำนวน 2 เล่ม ตามที่จังหวัดพิจารณาเห็นว่าเหมาะสมจำนวน 2 คน ได้แก่ นายธวัชชัย รอดงาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และนายพรต ภูภักดิ์ ปลัดจังหวัดนครพนม

ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปฏิทินหลวง พุทธศักราช 2564พระราชทานสำหรับความสุขปีใหม่ โดยสำนักพระราชวังได้จัดพิธีมอบปฏิทินหลวงพุทธศักราช 2564 เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ให้แก่กระทรวงมหาดไทย ส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2564 ณ อาคารสำนักพระราชวัง หน่วยราชการในพระองค์ 904 โดยมีพลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง เป็นประธานในพิธี เพื่อให้กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการมอบปฏิทินหลวงฯ ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 1 เล่ม และข้าราชการในจังหวัด จำนวน 2 เล่ม ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเข้ารับมอบปฏิทินหลวงฯ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ตามวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าวแล้ว และได้กำหนดให้จังหวัดจัดพิธีมอบปฏิทินหลวงฯ ให้แก่ข้าราชการในจังหวัดอีกจังหวัดละ 2 เล่ม เพื่อใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานในโอกาสต่อไป

สำหรับปฏิทินหลวง พุทธศักราช 2564 เป็นสมุดปกหนังสีเหลือง อันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพ มีตราพระปรมาภิไธยย่อ วปร. ระบุข้อความ "ปฏิทินหลวง พุทธศักราช 2564 พระราชทานสำหรับความสุขปีใหม่" รวมมีเนื้อหาทั้งหมด 23 หัวข้อ ประกอบไปด้วย ปฏิทินหลวง พระปฐมบรมราชโองการ พระราชดำรัสประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก พระราชปณิธาน ปีและศักราชทางจันทรคตินิยมอย่างไทย กาลโยค ประกาศสงกรานต์ ตารางปฏิทินย่อ ตารางวันเดือนปี วันกำหนดการ อุปราคา วันหยุดราชการประจำปี การชักและประดับธงชาติในวันสำคัญ วันหยุดตามประเพณีของสถาบันการเงิน วันพระราชสมภพพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระราชินีนาถและวันสำคัญของประเทศที่มีสัมพันธไมตรีกับประเทศไทย วันประสูติสมเด็จพระสังฆราช วันพระราชสมภพ วันพระราชสมภพพนะบรมวงศ์ วันประสูติพระบรมวงศ์ พระอนุวงศ์และวันเกิด วันสำคัญทางศาสนาคริสต์ วันสำคัญทางศาสนาอิสลาม วันสำคัญทางวัฒนธรรมและประเพณีจีน และตารางเทียบปีต่าง ๆ

ชาวบ้านท่าเรือ นครพนม สร้างแหล่งอาหารปลูกผักแลกผักเหลือจำหน่ายอยู่อย่างสบายในยุคโควิด

 

วันที่ 22 มกราคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายวิชา คำมุงคุณ รักษาราชการเกษตรอำเภอนาหว้า เปิดเผยว่า จากที่ชาวบ้านในตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า มีแนวคิดที่อยากจะปลูกพืชแบบปลอดภัยไร้สารเคมี จึงเป็นที่มาของการส่งเสริมสนับสนุนให้ชาวบ้านได้ทำการเกษตรแบบอินทรีย์ ซึ่งทางสำนักงานเกษตรอำเภอนาหว้า ได้เข้าไปให้คำแนะนำและถ่ายทอดความรู้ รวมถึงมีการจัดตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนเพื่อให้ทุกคนได้มีแหล่งแลกเปลี่ยนข้อมูลและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกพืชผักให้ได้ผลผลิตสูง การใช้สารชีวภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อลดการใช้สารเคมี เช่น การใช้เชื้อราเพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับพืช การใช้เชื้อบิวเวอร์เรียในการป้องกันแมลง และในเรื่องอื่น ๆ ซึ่งการปลูกพืชของที่นี่จะเริ่มขึ้นหลังจากที่ทุกคนเก็บเกี่ยวข้าวนาปีเสร็จแล้ว โดยทุกคนในชุมชนจะมีส่วนในการบริหารจัดการทุกอย่างร่วมกันภายใต้แนวคิดการปลูกพืชปลอดภัยที่ใส่ใจผู้บริโภค ทั้งการวางแผนการเพาะปลูก การบริหารจัดการน้ำและการตลาด ทำให้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ในที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศเช่นนี้ ทุกคนในชุมชนมีความปลอดภัยและมีแหล่งอาหารที่เพียงพอไม่ได้รับความเดือดร้อน ทั้งยังมีเหลือเพื่อจำหน่ายเป็นรายได้เพิ่มเติมจากส่วนอื่น ๆ อีกด้วย

ด้านนายเกษชัย มิ่งวงค์ธรรม ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลท่าเรือ เปิดเผยว่า ตนเองเป็นคนในพื้นที่ที่เกิดมาพ่อแม่ก็พาทำในลักษณะนี้มาตลอด สมัยก่อนปลูกแตงร้านและพืชผักสวนครัว  เช่น หอม ผักชี ผักกาด และผักอีกนานาชนิด ส่วนการบริหารจัดการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคนในชุมชนยังใช้หลักการเดิม คือการร่วมมือกันเพราะพื้นที่ที่ใช้ปลูกเป็นพื้นที่สาธารณะที่เรียกว่าหนองเรือ ซึ่งจะมีการทำข้อตกลงร่วมกันว่าแต่ละครัวเรือนต้องปลูกไม่เกิน 1 แปลง แม้ปัจจุบันจำนวนคนจะเพิ่มขึ้นเป็น 500-600 ครัวเรือน ก็ยังคงปลูกในลักษณะนี้อยู่ ที่สำคัญคือทุกคนจะเน้นการทำเกษตรแบบอินทรีย์เพราะดีต่อสุขภาพ ทั้งยังลดต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ก็พยายามนำเอานวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพิ่มเติม ในเรื่องของน้ำเราก็พยายามใช้ให้ประหยัดที่สุดเพราะต้องใช้ประโยชน์หลายอย่างจากน้ำตรงนี้ ส่วนผลผลิตที่ได้จะนำไปรับประทานกับคนในครอบครัว ถ้าอยากทานพืชชนิดอื่นที่ไม่ได้ปลูกก็จะนำผักของตนเองไปแลกกับเพื่อนบ้าน เพราะแต่ละคนปลูกพืชคนละชนิด ใครอยากรับประทานอะไรก็นำไปแลกกับคนนั้น ส่วนผลผลิตที่เหลือถึงจะจำหน่ายให้กับคนในชุมชนอื่น โดยระยะหลังๆ นี้ จะมีพ่อค้าคนกลางจากต่างอำเภอที่อยู่ข้างเคียงมารับซื้อให้ถึงที่ เพราะได้ยินจากการเล่าปากต่อปากว่าพื้นที่ตรงนี้ปลูกพืชที่ไม่มีสารเคมี เมื่อมาเห็นก็เป็นจริง ทำให้ทุกคนในชุมชนอยู่อย่างสบาย ๆ มีแหล่งอาหารและมีรายได้ โดยในทุกเย็นเวลาประมาณ 15.00 น. แต่ละคนก็จะออกมาดูแปลงผักของตนเองเพื่อเก็บผลผลิตไปรับประทานและจำหน่ายให้พ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อ  

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2564

ทีมแพทย์นครพนม ไล่เก็บเชื้อกลุ่มเสี่ยงโควิดครบ 1,200 ราย พร้อมตั้งทีมเฝ้าระวังอาการซึมเศร้าประชาชนที่ถูกปิดหมู่บ้าน

 

วันที่ 21 มกราคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน พร้อมติดตามผลการดำเนินงานในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด -19 ระลอกใหม่ ที่มีการตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อและมีการสั่งปิดหมู่บ้าน คือบ้านหนองกุดแคน หมู่ที่ 8 และบ้านหนองกุดแคนเหนือ หมู่ที่ 15 ซึ่งเป็นหมู่บ้านแฝด รวมถึงให้ปิดโรงเรียนบ้านหนองกุดแคน และปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองกุดแคน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อที่อาจจะออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ และลงพื้นที่พูดคุยให้กำลังใจและสร้างความเข้าใจกับตัวแทนชุมชนเพื่อนำไปขยายผลต่อยังเพื่อนบ้าน ถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้องปิดหมู่บ้าน ความคืบหน้าอาการของผู้ติดเชื้อ ที่ปัจจุบันไม่แสดงอาการแต่อย่างใดทั้งยังมีการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง รวมถึงแนวทางการช่วยเหลือต่าง ๆ ที่จังหวัดกำลังดำเนินการอยู่

นายมานพ ฉลาดธัญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในส่วนการดำเนินงานของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ได้มีการระดมสรรพกำลังทั้งจากโรงพยาบาลอำเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ต่าง ๆ เข้ามาช่วยกันในการดำเนินงาน และในกรณีผู้ป่วยยืนยันของจังหวัดนครพนมนั้น เนื่องจากในหลักการระบาดวิทยาจะมีการติดตามหาผู้ป่วยสัมผัสเสี่ยงสูงและกลุ่มผู้ที่สัมผัสเสียงต่ำ ซึ่งการดำเนินงานของเรานั้นขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า ในการตรวจสอบสืบสวนสอบสวนโรคมีวความครบถ้วน เพราะเราได้มีการกำหนดพื้นที่ที่จะต้องได้รับการตรวจทั้งในส่วนการสืบสวนสอบสวนโรค และในการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยได้มีการแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ที่ต้องได้รับการตรวจ คือกลุ่มของชุมชน ที่มีอยู่ประมาณ 800 คน ในส่วนของธนาคารเพื่อการเกษตร สาขาธาตุพนมอีกประมาณ 100 กว่าคนในส่วนของตลาด ที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าต่างๆ ที่อาจจะไปติดเชื้อประมาณ 100 กว่าคน รวมแล้วในการเก็บตัวอย่างไปประมาณ 1,200 คน นอกจากนี้เรายังมีการประกาศให้กรณีที่ผู้ที่อยู่นอกพื้นที่ที่อาจจะเข้ามาในเหตุการณ์ ก็สามารถเข้ามารับการตรวจหาเชื้อได้ ตามสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียง หรือแจ้งให้เจ้าหน้าที่ อสม. เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้าไปตรวจยืนยันให้แน่ใจได้เช่นเดียวกัน  ซึ่งจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ได้ทำการเก็บตัวอย่างส่งตรวจมาประมาณ 2 วัน ตอนนี้ครบหมดแล้ว เพราะมีการแบ่งกันปฏิบัติหน้าที่ในหลายๆ จุด ไปพร้อมกัน ทั้งที่ตลาดสด หมู่บ้านทั้ง 2 หมู่บ้าน ที่ ธ.ก.ส. และในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม ซึ่งก็เป็นที่น่าดีใจว่าผลตรวจที่ออกมาประมาณ 800 คนยังไม่พบเชื้อทำให้พ่อแม่พี่น้องในพื้นที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ตามปกติด้วยความอุ่นใจ ในส่วนมาตรการป้องกันตัวหมู่บ้านทั้ง 2 หมู่บ้านนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้มีนโยบายให้ปิดหมู่บ้านชั่วคราว เพื่อให้การดำเนินการสอบสวนและควบคุมโรคเป็นไปด้วยความรวดเร็วและเกิดความคล่องตัว ส่วนการช่วยเหลือนั้นมีทั้งการสนับสนุนสิ่งของข้าวปลาอาหาร เครื่องยังชีพต่างๆ โดยสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ขณะที่ในเรื่องการดูแลความสะอาดและความปลอดภัยในวิถีชีวิตต่างๆ ก็มีการให้คำแนะนำให้ประชาชนแต่ละครอบครัวได้ทำการคัดแยกขยะใส่ถุง ทั้งขยะทั่วไปและขยะอันตราย ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่ไปเก็บมาทำลาย ส่วนการดูแลเรื่องการเจ็บป่วยต่าง ๆ สำนักงานสาธารณสุขได้มีการเตรียมความพร้อมทั้งโรงพยาบาลสนามและสาธารณสุขเคลื่อนที่ที่เป็นหน่วยย่อย ๆ พร้อมเข้าไปดูแลในเรื่องของการเจ็บป่วยแบบทันที มีระบบประสานงานและส่งต่อ แต่ที่เรากังวลก็คือเมื่ออยู่ในพื้นที่นาน ๆ ประชาชนอาจจะมีความเสี่ยงในเรื่องของอารมณ์ ความซึมเศร้า จึงได้มีการจัดทีมที่เรียกว่าทีมแอนแทรกซ์ เพื่อดูแลในเรื่องสุขภาพจิตของประชาชน โดยจะเข้าไปให้การดูแลและค้นหาคนที่อาจจะมีโอกาสซึมเศร้า และในวันนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมก็ได้ลงพื้นที่พูดคุยให้กำลังใจ พร้อมให้การสนับสนุนในเรื่องของงบประมาณต่าง ๆ ที่จะมาดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเราพยายามจะให้จบเร็วที่สุด ทุกคนไม่มีความเสี่ยง และถ้าผลตรวจออกมาปกติทุกรายไม่พบเชื้อ ก็คิดว่าไม่นานคณะกรรมการโรคติดต่ออาจจะมีการคลายล็อคให้ประชาชนทั้ง 2 หมู่บ้านได้อยู่กันตามปกติ

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2564

นครพนม พบผู้ป่วยโควิดแบบเชื้อตายซากโอกาสกระจายเชื้อน้อย พร้อมแจงไทม์ไลน์และมาตรการควบคุม

 นครพนม พบผู้ป่วยโควิดแบบเชื้อตายซากโอกาสกระจายเชื้อน้อย พร้อมแจงไทม์ไลน์และมาตรการควบคุม

วันที่ 20 มกราคม 2564 ที่ห้องประชุมพระธาตุท่าอุเทน ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และนายมานพ ฉลาดธัญกิจ. นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม ร่วมกันแถลงสถานการณ์โควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ในพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่มีการรายงานผลตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อโควิด – 19 จำนวน 1 ราย เป็นหญิงอายุ 51 ปี มีอาชีพขายอาหารที่บ้านหนองกุดแคน หมู่ที่ 8 ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม ซึ่งจากการตรวจสารพันธุกรรมของไวรัส มีผล Cycle Threshold (Ct) สูงมากอยู่ที่ 36 ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสแพร่กระจายเชื้อได้น้อยมากเพราะเป็นซากเชื้อตาย นอกจากนี้ยังได้มีการตรวจหาภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วยรายนี้ตามหลักระบาดวิทยาที่จะเกิดขึ้นช่วงปลาย ๆ ของการติดเชื้อ ซึ่งปรากฏว่าผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันเช่นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ดีเพื่อความไม่ประมาทก็ได้ให้ทีมสืบสวนโรคดำเนินการต่อ

โดยไทม์ไลน์ของผู้ป่วยติดเชื้อรายนี้ ประกอบไปด้วย วันที่ 29 ธันวาคม 2563 – 13 มกราคม 2564 ไปตลาดสดเทศบาลธาตพนม เพื่อซื้ออาหาร ไปร้านข้าวมันไก่ในหมู่บ้าน วันที่ 6-9 มกราคม ไปช่วยงานศพที่วัดบ้านหนองกุดแคนในช่วงวันที่ 11-12 มกราคม และวันที่ 13 -17 มกราคมเดินทางไปเฝ้ามารดาที่มีอายุ 76 ปีป่วยเป็นเบาหวานมีแผลที่เท้า และติดเชื้อในกระแสเลือดที่นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระยุพราชธาตุพนม โดยในช่วงเช้าวันที่ 13 ก่อนที่จะไปโรงพยาบาลได้ไปที่ ธ.ก.ส. สาขาธาตุพนม และวันที่ 16 มกราคมได้เดินทางไปส่งหลานที่อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ทำให้มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงรวมทั้งสิ้น 11 ราย มีการตรวจไปแล้ว 8 ราย เหลือ 3 รายที่เดินทางไปจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งในส่วนนี้ได้แจ้งให้จังหวัดสุรินทร์ดำเนินการตรวจเพิ่มเติม โดยอยู่ระหว่างรอผลตรวจ  

ทั้งนี้ภายหลังได้รับไทม์ไลน์ผู้ติดเชื้อจากทาง ศคบ. ที่ส่งมาให้ทางจังหวัดนครพนมได้ดำเนินการเข้าตรวจคัดกรองและสืบสวนโรคในทันที แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมากินระยะเวลาค่อนข้างนาน ประมาณ 16 วัน เพราะฉะนั้นจึงกินพื้นที่กว้างจึงจำเป็นต้องมีคำสั่งปิดสถานที่เสี่ยง คือบ้านหนองกุดแคน หมู่ที่ 8 และบ้านหนองกุดแคนเหนือ หมู่ที่ 15 ซึ่งเป็นหมู่บ้านแฝด รวมถึงให้ปิดโรงเรียนบ้านหนองกุดแคน หมู่ที่ 15 และปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองกุดแคน หมู่ที่ 15  เพื่อล็อกดาวน์ไม่ให้การแพร่กระจายเชื้อที่อาจจะออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ จากนั้นก็คือการเข้าไปตรวจให้ได้ว่าประชาชนที่อาจจะเข้ามาสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายนี้เป็นใครบ้าง เพื่อไล่ดูไทม์ไลน์ของทุกคน โดยกลุ่มก้อนใหญ่ๆที่จะต้องสอบสวนโรคและคัดกรองหาเชื้อทุกราย ประกอบไปด้วยกลุ่มของประชาชนทั้ง 2 หมู่บ้านที่มีอยู่ประมาณ 700-800 คน กลุ่มที่ 2 คือที่ตลาดสดอีกประมาณ 100 กว่าคน กลุ่มต่อมาคือกลุ่มของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลมารดาของผู้ป่วยรายนี้ที่ตึกอายุรกรรมหญิง ชั้น3 ซึ่งข้อดีเบื้องต้นคือมารดาของผู้ป่วยรายนี้ผลตรวจไม่พบเชื้อแต่อย่างใด และสุดท้ายคือกลุ่มที่ไป ธ.ก.ส. และกลุ่มคนที่ไปร่วมงานศพที่วัด ซึ่งตรงนี้ทางจังหวัดนครพนมได้มีการประกาศประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้ผู้ที่ไปในสถานที่เสี่ยงที่กล่าวข้างต้นเข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อได้ฟรี ณ โรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน  


 ในส่วนของการดูแลประชาชนที่ถูกกักตัวและปิดสถานที่เสี่ยงนั้นจังหวัดนครพนมได้มีการประสานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมในการจัดชุดธารน้ำใจไปมอบให้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งแต่ละชุดจะสามารถใช้ได้เป็นเวลา 14 วัน นอกจากนี้ยังได้จัดทีมแพทย์ไปตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อเตรียมความพร้อมดูแลประชาชนหากมีการเจ็บป่วย นอกจากนี้ยังได้มีการหารือเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบโควิดทั้งจังหวัดกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเตรียมดำเนินโครงการเพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบมาลงทะเบียนขอรับการช่วยเหลือ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเรื่องค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี 2560 ส่วนคำสั่งและมาตรการควบคุมต่าง ๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ที่เตรียมจะผ่อนคลายให้ เนื่องจากเกิดเหตุสุดวิสัยจึงยังให้คงมีผลเหมือนเดิมทุกคำสั่ง

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2564

ผู้ว่านครพนม นำทีมลงพื้นที่สร้างการตระหนักรู้ให้ประชาชน พร้อมสั่งขันน๊อตการคุมสถานการณ์โควิด

 

วันที่ 19 มกราคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ คณะทำงานลงพื้นที่เยี่ยมพ่อค้าแม่ค้าและประชาชน สร้างการตระหนักรู้และไม่ให้ตื่นตระหนกเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด – 19 ในพื้นที่ พร้อมตรวจประเมินมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย ตามมาตรการเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ภายหลังทราบข้อมูลเบื้องต้นว่ามีผู้ติดเชื้อในพื้นที่จำนวน 1 ราย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทีมปฏิบัติการเฝ้าระวังสอบสวนควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ กำลังเร่งดำเนินการสืบสวนโรคเพื่อตรวจเช็คไทม์ไลน์การเดินทางอย่างละเอียด รวมถึงเก็บตัวอย่างบุคคลกลุ่มเสี่ยงทั้งหมดเพื่อตรวจหาเชื้อ โดยจังหวัดนครพนมได้มีการออกคำสั่งที่ 110/2564 เรื่องปิดสถานที่และห้ามเข้าออกสถานที่เป็นการชั่วคราว ห้ามผู้ใดเข้าหรือออกจากพื้นที่บ้านหนองกุดแคน หมู่ที่ 8 และบ้านหนองกุดแคนเหนือ หมู่ที่ 15 ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม ตามแผนที่แนบท้ายคำสั่ง หากมีความจำเป็นจะต้องเข้าหรือออกจากพื้นที่ ให้ขออนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม หรือนายอำเภอธาตุพนม หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อที่ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม หรือนายอำเภอธาตุพนม รวมถึงให้ปิดโรงเรียนบ้านหนองกุดแคน หมู่ที่ 15 และให้ปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองกุดแคน หมู่ที่ 15 ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564

 นายไกรสร กองลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการสร้างการตระหนักรู้ไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกจนเกินไปแล้ว ยังเป็นการลงพื้นที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน โดยเฉพาะการปฏิบัติตามหลักระบาดวิทยาที่ว่า การไม่เจอผู้ติดเชื้อดีที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าเจอไม่ได้ เพราะสถานการณ์ทั่วโลกก็ยังคงพบอยู่ แต่หมายความว่าเมื่อเจอแล้วจะทำอย่างไรให้ควบคุมได้เร็วที่สุด เจอไวที่สุด และตีวงไม่ให้เชื้อโรคกระจายออกไป อันนี้คือหัวใจหลักในการปฏิบัติ ก็พยายามบอกเจ้าหน้าที่ว่าเรื่องของการกักตัวนั้นมีความจำเป็น เพราะถ้าผู้ป่วยมีอาการอย่างน้อยอยู่ในมือเราก็มั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัย ไม่แพร่กระจายโรค แต่ถ้าไม่มีการกักตัวคนที่จากพื้นที่เสี่ยง ถ้าป่วยแล้วเดินทางไปทั่วจะอันตรายเพราะทุกวันนี้เป็นแล้วแท้จะไม่แสดงอาการ อย่างรายที่พบในวันนี้ก็เกิน 14 วัน ซึ่งก็ยังไม่ได้แสดงอาการอะไรเลยซึ่งเป็นเคสที่น่าสนใจเป็นกรณีศึกษาที่ทุกคนต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ทั้งนี้การมาวันนี้ก็ได้มากำชับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับระบบคัดกรองต่างๆ การกักตัว รวมไปถึงเรื่องของฐานข้อมูลต่าง ๆ ต้องเที่ยงตรงกัน เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปด้วยความรวดเร็วตรงจุด สำหรับรายละเอียดทุกอย่างจะมีการแถลงในวันพรุ่งนี้ (20 มกราคม 2564 ) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมพระธาตุนคร (ชั้น 3) ศาลากลางจังหวัดนครพนม (หลังใหม่)

ผบ.นรข นำทีมแพทย์ดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่นครพนม

วันที่ 19 มกราคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม พลเรือตรี จรัสเกียรติ  ไชยพันธุ์ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง นำทีมแพทย์และกำลังพล ลงพื้นที่ร่วมกับนายสมศักดิ์  ชุ่มแจ่ม นายอำเภอท่าอุเทน และเจ้าหน้าที่เยี่ยมและดูแลสุขภาพประชาชนที่บ้านเชียงยืน บ้านเชียงยืน หมู่ที่4 และ 5 ตำบลเวินพระบาท อำเภอท่าอุเทน พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในการเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 และการดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาวที่จังหวัดนครพนมยังคงมีอุณหภูมิที่หนาวเย็นอย่างต่อเนื่อง โดยในเวลา 6.00 น. ของวันนี้สถานีอุตุนิยมวิทยานครพนมรายงานว่าจังหวัดนครพนมมีสภาพท้องฟ้าโปร่ง ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 10-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีอุณหภูมิต่ำสุด 7.2 องศาเซลเซียส   

โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการให้ความรู้ในการปฏิบัติตัวแล้ว ยังมีการตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กับประชาชนในชุมชน และเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงวัยในหมู่บ้าน รวมถึงแจกยาสามัญประจำบ้าน มอบอาหารเพื่อสุขภาพให้กับผู้ป่วย และมอบผ้าห่มกันหนาวที่ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท คิง พาวเวอร์ ให้กับประชาชนผู้ยากไร้และผู้สูงอายุ นอกจากนี้ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงยังได้พูดคุยแลกเปลี่ยนแนวความคิด แนวทางการปฏิบัติงานกับผู้นำท้องถิ่นด้วย

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2564

กำลังพลจิตอาสา มทบ.210 ทำความสะอาดฆ่าเชื้อในโรงเรียน เตรียมพร้อมการเปิดเรียนพรุ่งนี้

วันที่ 18 มกราคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม พลตรี สามารถ  จินตสมิทธิ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 เปิดเผยว่า จากที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ในหลายพื้นที่ของประเทศและทั่วโลก แม้ปัจจุบันจังหวัดนครพนมจะยังไม่พบผู้ติดเชื้อระลอกใหม่ก็ตาม แต่ด้วยประชาชนยังคงมีการเดินทางไปมาหาสู่กันข้ามจังหวัดอยู่ ดังนั้นเพื่อเป็นการเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคและสร้างความปลอดภัยให้กับเด็ก เยาวชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปในพื้นที่จังหวัดนครพนม คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม จึงได้มีคำสั่งปิดสถานที่เสี่ยงต่าง ๆ ไปเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2564 โดยมีระยะเวลาระหว่างวันที่ 5-18 มกราคม 2564  ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโรงเรียนและสถาบันการศึกษาทุกประเภท และก่อนที่จะมีการเปิดเรียนในวันพรุ่งนี้ จึงได้นำกำลังพลจิตอาสามาร่วมกันทำกิจกรรม Big Cleaning ฆ่าเชื้อทำความสะอาดภายในและภายนอกอาคารเรียน สำนักงาน ห้องเรียน สนามเด็กเล่น ลานอเนกประสงค์ โรงอาหาร ด้วยการพ่นยาฆ่าเชื้อพร้อมเช็ดทำความสะอาดพื้น โต๊ะเรียน เก้าอี้ อุปกรณ์การเรียน และทุกพื้นที่ของโรงเรียนให้มีความสะอาดปลอดเชื้อ ร่วมกับคณะครู อาจารย์ บุคคลากรของสถานศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการ และประชาชนจิตอาสา เพื่อร่วมกันสร้างความปลอดภัยไร้ COVID-19 ให้แก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่ เป็นการเตรียมพร้อมการเปิดเรียนในวันพรุ่งนี้ ทั้งเป็นการความวิตกกังวลให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้มั่นใจได้ว่าบุตรหลานที่มาโรงเรียนทุกคนแล้วไม่มีความเสี่ยง

อีกทั้งเป็นการน้อมรำลึกถึงถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทรงกระทำยุทธหัตถีจนมีชัยต่อพระมหาอุปราชาของพม่า และคณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้วันที่ 18 มกราคมของทุกปีเป็นวันยุทธหัตถีและเป็นวันกองทัพไทย ซึ่งทุกๆปี ทหารทุกหมู่เหล่าจะมีการประกอบพิธีสวนสนามผ่านธงชัยเฉลิมพล และประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเหล่าทหารกล้าที่ได้สละชีพเพื่อปกป้องประเทศชาติ แต่ในปีนี้เพื่อความปลอดภัยทางมณฑลทหารบกที่ 210 ได้งดประกอบพิธีดังกล่าว และร่วมกันออกทำกิจกรรมจิตอาสาเพื่อดูแลพี่น้องประชาชนแทน

จังหวัดนครพนม ประกอบพิธีน้อมรำลึกวันยุทธหัตถีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปี 2564

 

วันที่ 18 มกราคม 2564 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายธวัชชัย รอดงาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ พยาบาล สมาชิกเหล่ากาชาด เจ้าหน้าที่ และประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีวางพานพุ่มดอกไม้สด ถวายราชสักการะพระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องในวันยุทธหัตถี ประจำปี 2564 และกล่าวคำถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อน้อมรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงแสดงพระปรีชาสามารถ กระทำสงคราม แม้ขณะนั้นพระองค์จะตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก และอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แต่พระองค์ก็มีพระสติมั่น ไม่หวั่นไหว ทรงมีพระปฏิภาณว่องไว ทำยุทธหัตถีจนมีชัยต่อพระมหาอุปราชาอย่างสมพระเกียรติ ยังมาซึ่งความเป็นอธิปไตยของผืนแผ่นดินไทย

ทั้งนี้เดิมมีการระบุว่า วันยุทธหัตถีหรือวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชานั้น ตรงกับวันที่ 25 มกราคม แต่ต่อมามีการคำนวณวันใหม่ จึงกำหนดให้วันที่ 18 มกราคมของทุกปี เป็นวันยุทธหัตถีหรือวันสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและเป็นวันรัฐพิธีแทน โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงวันทั้งสองนั้น เนื่องจากเป็นการนับวันทางสุริยคติที่คนปัจจุบันจะสามารถจดจำได้ง่ายมากกว่า อีกทั้ง นายประเสริฐ ณ นคร ราชบัณฑิต ก็ได้คำนวณแล้วพบว่าการนับวันทางจันทรคติของวันกระทำยุทธหัตถีที่ตรงกับวันจันทร์ เดือน 2 แรม 2 ค่ำ จุลศักราช 954 ที่เดิมกำหนดเป็นวันที่ 25 มกราคมนั้นคลาดเคลื่อน จึงได้มีการเปลี่ยนใหม่ให้ตรงกับความเป็นจริง คือวันที่ 18 มกราคม

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2564

ทหารพราน ปะทะเดือดแก๊งค้ายาบ้า สกัดยึด 264, 000 เม็ด พร้อมยาไอซ์ ที่ริมโขง

 

วันที่ 16 มกราคม 2564 ที่กองร้อยทหารพรานที่ 2108 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี บ้านปากห้วยม่วง ตำบลนาเข อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม   นายวรวิทย์ พิมพนิตย์ นายอำเภอบ้านแพง พร้อมด้วย พ.อ.วุทธิพงศ์ อรรคคำ รอง.ผบ.บก.ควบคุมที่ 1 กกล.สุรศักดิ์มนตรี พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ จันทร์ศรี ผกก.สภ.บ้านแพง พ.ต.อ.สมเกียรติ สมใจ ผกก.ตม.นครพนม ร.ต.ยุทธจักร์ ศรีบุตตะ ผบ.ร้อย.ทหารพรานที่ 2108  กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ร.อ.กิตติกร จันทร์หอม ผบ.ร้อย คทร.1 กกล.สุรศักดิ์มนตรี ร่วมกันแถลงข่าวการสกัดยึดยาบ้า 264,000 เม็ด และ ยาไอซ์ 24 กรัม ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงบ้านท่าลาด อำเภอบ้านแพง

โดยเมื่อกลางดึกของวันที่ 15 มกราคม 2564 ร.ต.ยุทธจักร์ ศรีบุตตะ ผบ.ร้อย.ฉก.กพ.2108 ฉก.กพ.21 ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการลักลอบขนส่งยาเสพติดจากประเทศเพื่อบ้านเข้ามาในพื้นที่รับผิดชอบ จึงได้มีการวางกำลังกระจายซุ่มตามจุดเสี่ยงต่าง ๆ กระทั่งเวลา 21.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบเรือกีบเผายาวติดเครื่องยนต์ จำนวน 1 ลำ เข้ามาจอดเทียบท่าริมฝั่งแม่น้ำโขง ริเวณดอนแพง บ้านท่าลาด ตำบลบ้านแพง จากนั้นได้มีชาย 4 คนที่แอบอยู่ในพงหญ้าออกมารับวัตถุต้องสงสัย ซึ่งเป็นกระสอบและเป้สะพายหลังจากชาย 3 คนที่โดยสารมากับเรือ เพื่อนำมาวางไว้บนฝั่ง เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเพื่อขอเข้าตรวจสอบ เมื่อกลุ่มบุคคลที่อยู่บนเรือเห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่เพื่อเปิดเส้นทางหลบหนีทันทีจึงเกิดการปะทะกันขึ้น จากนั้นกลุ่มบุคคลต้องสงสัยได้วิ่งหลบหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศทางหายไปในความมืดและป่าที่รกทึบ เจ้าหน้าที่ได้ประสานขอกำลังจาก หน.สถานีเรือบ้านแพง เพื่อตรวจสอบหาผู้ต้องสงสัยที่อาจจะหลบหนีทางน้ำ รวมถึงขอกำลังจาก อส.อ.บ้านแพง, จนท.สภ.บ้านแพง, ร้อย ตชด.237, มว.คทร.ที่ 1 เพื่อช่วยในการตรวจสอบพื้นที่โดยรอบทางภาคพื้นดิน ซึ่งไม่ปรากฎกลุ่มบุคคลดังกล่าวทั้งทางบกและทางน้ำ และเมื่อเหตุการณ์สงบลงเจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ พบเป้สะพายหลัง จำนวน 3 ใบ และกระสอบสีเขียว 1 ใบ ภายในบรรจุยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 264,000 เม็ด และยาไอซ์ จำนวน 24 กรัม จึงได้ทำบันทึกตรวจยึดและนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านแพง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564

จังหวัดนครพนม ประกอบพิธีถวายราชสักการะ เนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี 2564

วันที่ 15 มกราคม 2564 ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติจังหวัดนครพนม อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และประชาชนชาวจังหวัดนครพนมร่วมกันประกอบพิธีถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมราชนุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราซ เนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี 2564 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันทรงคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน ทรงรวบรวมอาณาจักรไทยจนเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง ทั้งยังได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้น ทำให้ชาติไทยได้สะสมความรู้ทางศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่าง ๆ สืบทอดกันมา

พ่อขุนรามคำแหง หรือ พญาร่วง หรือ พระบาทกมรเตงอัญศรีรามราช เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 3 ในราชวงศ์พระร่วงแห่งราชอาณาจักรสุโขทัย เมื่อครั้งมีพระชนมายุ 19 พรรษา ได้เสด็จเข้าร่วมกองทัพกับพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ผู้เป็นพระบิดาไปป้องกันเมืองตาก และได้สู้รบกับขุนสามชนจนได้รับชัยชนะ และด้วยความกล้าหาญในครั้งนั้นทำให้พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระราชทานนามให้ว่า รามคำแหง ซึ่งหมายความว่า รามผู้กล้าหาญเข้มแข็งในการรบ ภายหลังเมื่อประมาณ พ.ศ. 1822 พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ขึ้นครองกรุงสุโขทัย โดยในรัชสมัยของพระองค์ถือเป็นช่วงสมัยที่กรุงสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด เพราะตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมที่สามารถค้าขายติดต่อกับบ้านเมืองต่าง ๆ ได้โดยรอบ และยังยอมเป็นเมืองผ่านทางการค้า มีการอนุญาตให้พ่อค้าเอาสินค้าไปค้าขายได้โดยไม่เก็บภาษี ทำให้มีคนมาค้าขายเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงรวบรวมแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกันจนเป็นราชอาณาจักรไทยที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่าทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นมา เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1826 ที่ถือเป็นต้นกำเนิดมรดกอันล้ำค่าที่คนไทยทุกคนรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นเอกลักษณ์และความสละสลวย และด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านในด้านต่าง ๆ ปวงชนชาวไทยจึงได้พร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” แด่พระองค์ท่านเป็นองค์แรกของชาติไทย และได้มีการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ไว้สักการะ ณ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ จังหวัดสุโขทัย ต่อมาในปี พ.ศ. 2531 สำนักงานสภาจังหวัดสุโขทัย ได้มีหนังสือเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ขอให้มีการกำหนดวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราชขึ้น โดยถือเอาวันที่ 17 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีและทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ เป็นวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ต่อมาได้มีการพิจารณาทบทวนเรื่องการกำหนดวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความถูกต้องตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทางคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติจึงได้เสนอความคิดเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพบหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในวันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2376 จึงได้เสนอให้คณะรัฐมนตรี ลงมติอนุมัติการกำหนดวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติ โดยให้วันที่ 17 มกราคมของทุกปีเป็นวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นวันรัฐพิธี โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ


เกษตรกรนครพนม เปลี่ยนแนวคิดเลี้ยงโคแนวใหม่สร้างรายได้ตลอดทั้งปี

  วันที่ 15 มกราคม 2564 ที่ตำบลบ้านเสียว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม นายธนูศร ปัญญาสาร ประธานกลุ่มแปลงใหญ่โคเนื้อบ้านดอนพะธาย  เปิดเผยว่า การใช้ชีวิตของคนเราทุกวันนี้ต้องพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก เพราะฉะนั้นเกษตรกรต้องเป็นเกษตรกรยุคใหม่และต้องหันไปดูวิถีเก่า คือการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ อย่าลืมว่าเคมีนั้นทำลายชีวิต แต่อินทรีย์นั้นสร้างชีวิต สร้างภูมิคุ้มกัน สร้างความต้านทานให้กับชีวิตเรา จึงอยากให้พี่น้องที่ทำการเกษตรด้านปศุสัตว์ทุกคนอย่ามองแต่ตัววัวอย่างเดียว ต้องมองสิ่งต่าง ๆ ที่ทุกคนมองข้ามด้วย เพราะรายได้ 2 ปี ถ้าเลี้ยงวัวเพื่อรอขายอย่างเดียวจะขาดทุนตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว แต่ถ้าคิดว่ารายวัน รายเดือนจะหารายได้อะไรจากวัว ก็คงต้องเป็นมูลวัว ซึ่งตรงนี้ถ้าเราเอามายกระดับ อัพเกรดให้ได้ราคาที่สูงขึ้น จากราคากิโลกรัม 2 บาท เป็นกิโลกรัมละ 6 บาท 7 บาทไปจนถึง 10 บาท ซึ่งถ้าทำแบบนี้ท่านจะรู้ว่าวัวไม่ได้ขายไม่เป็นไร ขอให้วัวขับถ่ายทุกวันเราก็จะมีรายได้ไปตลอด สิ้นปีมาจะเป็นเงินก้อนใหญ่ที่เราออมไว้ในตัววัวการขายปุ๋ยตรงนี้

ส่วนใครที่ถามว่าปุ๋ยอินทรีย์ดีจริงไหม ก็ต้องบอกว่าดีจริงแต่ต้องไม่โกงพี่น้องเกษตรกร อย่างกลุ่มของเราที่ทำอยู่ตอนนี้ เราจะยังไม่ให้สั่งซื้อแต่จะต้องมาดูขั้นตอนการผลิตของเราก่อน ท่านเอาปุ๋ยไปใส่พืชอะไรก็ให้บอกมา เราจะใส่ส่วนผสมให้ตรงตามที่พืชนั้นต้องการ เพราะนำไปใส่นาข้าวก็มีสูตรเฉพาะ ใส่พืชผลไม้อย่างอื่นก็ต้องไปดูว่า พืชผลไม้นั้นต้องการไปบำรุงในส่วนไหน หัว ใบ ราก ดอกหรือว่าผล โดยในอนาคตปุ๋ยของกลุ่มเราจะออกไปในลักษณะกระสอบสีต่าง ๆ ส่วนแนวทางที่กลุ่มวางไว้ข้างหน้า อยากให้เป็นกลุ่มเลี้ยงโคที่ไม่ได้มุ่งเน้นรายได้จากการขายโค แต่เน้นรายได้จากการขายปุ๋ยมูลวัวที่มีเกรดสูงที่เรานำมาผสมธาตุอาหารที่พืชต้องการให้ตรงตามหลักความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งเราจะไม่มีการโกหกชาวบ้าน เพราะเราไม่ใช่นายทุนที่ต้องซื้อทุกอย่าง แต่เราผลิตจากวัตถุดิบของกลุ่มพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงโคบ้านดอนพะธาย ที่แต่ละคนมี 3 กระสอบ 4 กระสอบหรือ 5 กระสอบเอามารวมกันผลิต แล้วก็คืนให้ทุกคนในราคาต้นทุนของส่วนผสม ที่เหลือก็เอาไปจำหน่าย ดังนั้นเกษตรกรทุกคนจะได้ใช้ปุ๋ยในสูตรเดียวกันทั้งหมด

ที่สำคัญอีกอย่างคือเรื่องของเวลาที่เราจะต้องอยู่กับวัว อย่าให้เกิน 1 ชั่วโมง เพราะเราจะติดนิสัยกับการแช่เวลาอยู่ตรงนี้ ซึ่งการเลี้ยงวัวยุคใหม่ให้ทำแบบธุรกิจ คนมีงานประจำก็ทำได้ เริ่มตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมาให้อาหารวัวเสร็จก็เก็บมูลวัวที่เปียกออก ส่วนมูลแห้งรอให้วัวเยียบย้ำแล้วเย็นค่อยมาเก็บกวาดให้หมด เวลาที่เหลือก็เอาไปทำงานตามปกติ อย่ามาเสียเวลากับตรงนี้ เป็นการเรียนรู้ สร้างนิสัยให้ตนเอง อย่าลืมว่าคุณไม่ได้ใช้เงินคนเดียวแต่ใช้ทั้งครอบครัว การเลี้ยงวัวยุคใหม่ไม่ต้องไปสนใจว่าแดดจะร้อน ฝนจะตก ฟ้าจะผ่า ฟ้าจะร้อง เพราะวัวของเราอยู่ในคอก น้ำก็มีระบบลูกลอย วัวกินเมื่อไหร่น้ำก็ไหลออกมาเอง การเกษตรแบบใหม่ 4.0 จำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน เพราะถ้าเราผสมอาหารให้วัวโดยใช้จอบก็จะขาดทุนในเรื่องแรงงาน เรื่องของเวลา แต่ถ้าเรานำเทคโนโลยีมาใช้ตรงนี้ก็คือเครื่องผสมอาหาร ขณะที่มูลวัวถ้าเราเอาใส่กระสอบแต่ไม่มีเทคโนโลยีก็ได้ราคาเพียงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเราเอาเครื่องมาบดอัดเป็นเม็ด ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ออกมาวางขายในราคาที่สูงขึ้น ฉะนั้นในตอนนี้ที่เทคโนโลยีต่างๆเข้ามาแล้ว  เกษตรกรเราต้องยอมเปลี่ยนทุกอย่างในอดีต พูดง่าย ๆ ก็คือในวงจรชีวิตการเลี้ยงสัตว์เราต้องจบทุกอย่างในตัว คือเลี้ยงวัว ทำนา ก็เอามูลวัวไปใส่นาโดยให้เป็นปุ๋ยที่มีคุณภาพสูง ใส่ผักก็จะกลายเป็นผักอินทรีย์ ซึ่งตรงนี้จะทำให้เกิดกลุ่มปุ๋ยชีวภาพ คนที่ทำการเกษตรแบบชีวภาพ ข้าวชีวภาพจะเกิดขึ้น สำหรับกลุ่มเรายังมองอะไรอีกหลายๆ อย่างต่อไปในอนาคต วันไหนวัวล้นตลาดจริง ๆ ก็อาจจะทำเป็นเนื้อวัวแห้งหรือทำลูกชิ้นเนื้อวัวเพื่อออกมาจำหน่าย