วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564

จิตอาสานครพนมพร้อมใจทำความสะอาดลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก ปรับแต่งภูมิทัศน์ ถนนหนองญาติ - นาแก เนื่องในโอกาสวันระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2564

 

วันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายธวัชชัย รอดงาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ พนักงาน และประชาชนจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ที่ตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอเนกประการ เพื่อวางรากฐานการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งจนกาลปัจจุบัน และด้วยพระอัจฉริยภาพอันล้ำเลิศลึกซึ้ง พระปรีชาญาณอันกว้างไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการค้ากับต่างประเทศ โดยทรงสนพระราชหฤทัยและเชี่ยวชาญในการต่อเรือสินค้า หรือที่เรียกว่าการค้าสำเภาไปค้าขายกับต่างประเทศ ด้วยทรงตระหนักว่าการค้าขายกับต่างประเทศทำให้เศรษฐกิจของประเทศมีเสถียรภาพมั่นคง และทำให้รัฐมีรายได้มากขึ้น และด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกล แม้พระองค์จะเสด็จสวรรคตไปแล้วพระองค์ก็ยังมีส่วนช่วยเหลือประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤตทางการเมืองระหว่างประเทศ ที่เรียกว่าวิกฤตการณ์ร.ศ. 112 หรือ สงครามฝรั่งเศส – สยาม ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยเงินถุงแดงที่พระองค์ทรงเก็บสะสมไว้ได้ถูกนำมาใช้จ่ายเป็นค่าปรับในวิกฤตการณ์ดังกล่าว ทำให้ประเทศรอดพ้นวิกฤตการณ์มาได้

และด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ประชาชนจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครพนม จึงได้พร้อมใจกัน ประกอบกิจกรรม จิตอาสาเราทำความดี ด้วยหัวใจ เนื่องในวันที่รำลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2564 ด้วยการร่วมกันปรับปรุงภูมิทัศน์ กำจัดวัชพืช เก็บกวาดขยะสิ่งกีดขวางการจราจร ตามถนนทางหลวง สายหนองญาติ – นาแก และฉีดน้ำทำความสะอาดถนนช่วงตั้งแต่สามแยกไฟแดงหนองญาติจนถึงบริเวณหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดนครพนม ซึ่งเป็นช่วงที่มีชุมชนหนาแน่น เพื่อเป็นการลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ปะปนอยู่ในอากาศทำให้ประชาชนในชุมชนและประชาชนที่สัญจรไปมาบนถนนเส้นนี้ได้สูดอากาศบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

จังหวัดนครพนม ทอดผ้าป่าสมทบกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปถัมภ์ฯ

 

 วันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมกันประกอบพิธีทอดผ้าป่าสมทบกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปภัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ประจำปี 2564 โดยมีพระครูกิตติสุตานุยุต เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ เจ้าคณะอำเภอเมืองนครพนมเป็นประธานฝ่ายสงฆ์

การทอดผ้าป่าสมทบกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปภัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ประจำปี 2564 ในครั้งนี้ จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนมได้จัดขึ้น เพื่อหารายได้มาสมทบกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปภัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในการช่วยเหลือพัฒนาเด็กที่ครอบครัวมีฐานะยากจนและด้อยโอกาส เป็นการสนับสนุนกิจกรรมการพัฒนาเด็กในกรณีที่เงินสนับสนุนของภาครัฐไม่เพียงพอ นอกจากนี้แล้วยังเป็นการส่งเสริมให้องค์กร ชุมชนและประชาชนทั่วไป ได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมหารายได้เพื่อเป็นกองทุนในการช่วยเหลือเด็กอันเป็นพื้นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาเด็กชนบทขึ้นเมื่อปี 2522 ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อเป็นกองทุนในการช่วยเหลือเด็กก่อนวัยเรียนที่ครอบครัวมีฐานะยากจนและด้อยโอกาสในชนบท ให้ได้รับการพัฒนาอย่างทั่วถึง และต่อมาเมื่อปีพ.ศ 2536 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระกรุณาธิคุณรับกองทุนพัฒนาเด็กชนบทไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยพระราชทานพระราชาอนุญาตให้ใช้ ชื่อว่า “กองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” และมีการน้อมนำแนวพระราชดำริของพระองค์ท่านมาใช้ในการขับเคลื่อนกองทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และสังคม รวมทั้งการส่งเสริมให้เด็กได้ศึกษาหาความรู้ที่แท้จริงที่ไม่ใช่เพียงหาได้ในห้องเรียนหรือตำราแต่เป็นทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว โดยเฉพาะเด็กในช่วงวัย 0-6 ขวบ ที่เป็นช่วงสำคัญที่สุดของการพัฒนามนุษย์ ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างถูกต้องและเท่าเทียมให้กับเด็กในชนบทเพื่อส่งเสริมให้เด็กเหล่านั้นได้เติบใหญ่ไปเป็นกำลังสำคัญในการดูแลประเทศชาติต่อไปในอนาคต โดยได้ร่วมกันขับเคลื่อนกองทุนนี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในวันนี้ทุกภาคส่วนของจังหวัดนครพนมได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพบริจาคเงินสมทบ รวมทั้งสิ้น 151,981.25 บาท ทำให้ปัจจุบันกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปภัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จังหวัดนครพนมมีเงินเพื่อไปช่วยเหลือเด็กทั้งสิ้น 2,246,654.18 บาท

จังหวัดนครพนม ประกอบพิธีวันรำลึกพระมหาเจษฎาเจ้าและวันข้าราชการพลเรือนประจำปี 2564

 

 วันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ส่วนราชการต่าง ๆ ร่วมกันประกอบพิธีถวายราชสดุดีแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพและวันวันเจษฎาบดินทร์ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันน้อยใหญ่นานัปการ ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา รักษาบ้านเมือง ด้านการศึกษาและด้านอื่น ๆ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อพสกนิกรชาวไทยและประเทศชาติ ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตล่วงเลยมา 43 ปี พระองค์ก็ยังทรงได้โปรดพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ (เงินถุงแดง) ไว้เพื่อประโยชน์แก่แผ่นดิน ซึ่งเงินจำนวนนี้สามารถใช้กอบกู้เอกราชในดินแดนบางส่วนและรักษาอำนาจอธิปไตยไว้ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นประชาชนชาวไทยและรัฐบาล จึงพร้อมใจกันประดิษฐานพระราชานุสาวรีย์ ณ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ หน้าวัดราชนัดดาราม ในปี พ.ศ.2541 รวมทั้งทางราชการก็ได้มีการถวายพระราชสมัญญาว่า "พระมหาเจษฎาราชเจ้า” และคณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 31 มีนาคมของทุกปีเป็น วันระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า หรือ วันเจษฎาบดินทร์


จากนั้นได้ประกอบพิธีวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี 2564 เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจถึงบทบาทและหน้าที่ของข้าราชการในการเป็นผู้ให้บริการ เสียสละ และอุทิศเวลาเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม เพื่อให้ข้าราชการได้ตระหนักถึงเกียรติ หน้าที่ สามัคคี ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของข้าราชการอันจะเปลี่ยนภาพพจน์ ทัศนคติของประชาชนที่มีต่อข้าราชการให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งเป็นการเผยแพร่ผลงานใหม่ ๆ ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการประชาชน และเป็นการยกย่องส่งเสริมข้าราชการที่มีความประพฤติและผลการปฏิบัติงานดีเด่น รวมถึงเผยแพร่เกียรติคุณของข้าราชการดีเด่นให้ปรากฏ อันจะช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้ข้าราชการกระทำความดีตลอดไป โดยได้กำหนดให้วันที่ 1 เมษายนของทุกปีเป็นวันข้าราชการพลเรือนเพราะเป็นวันที่ได้มีการประกาศใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช 2472 รวมถึงเป็นเครื่องแสดงถึงกตเวทิคุณสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ในพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ทรงวางรากฐานระเบียบข้าราชการพลเรือนไทยสมัยใหม่ขึ้นมา โดยในพิธีดังกล่าวได้มอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติ (ครุฑทองคำ) แก่ข้าราชการดีเด่นระดับประเทศของจังหวัดนครพนม จำนวน 4 ราย ประกอบไปด้วย นายแพทย์กิตติศักดิ์ ฐานวิเศษ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม(ด้านการแพทย์) นายประพันธ์ศักดิ์ บุตรรัตน์ ปลัดอำเภอ(เจ้าพนักงานปกครอง)ชำนาญการพิเศษ ที่ทำการปกครองอำเอเมืองนครพนม นายหงษา วงค์จำปา ผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอนุบาลนาแกผดุงราชกิจเจริญ นางกัญญาพัชร กิณเรศ เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุขจังหวัดนครพนม และมอบเกียรติบัตรแก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นระดับจังหวัด จำนวน 19 ราย เพื่อเป็นยกย่องเชิดชูเกียรติข้าราชการที่ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนข้าราชการด้วยกัน

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2564

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้องคมนตรีเป็นผู้แทนพระองค์ เปิดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “โรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ฯ รวมใจ เทิดไท้องค์ราชัน” ที่จังหวัดนครพนม

 

 วันที่ 30 มีนาคม 2564 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ไปเปิดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ โรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ฯ รวมใจ เทิดไท้องค์ราชัน และการแสดงผลงานของนักเรียนกลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ ฯ ประจำปีการศึกษา 2563 ณ โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 1 นครพนม ตำบลหนองฮี อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม  โดยมีนายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ ครู เจ้าหน้าที่ นักเรียนและประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใส่พระราชหฤทัยในการส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาของชาติ อันเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะเยาวชนซึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังหลักในการช่วยพัฒนาประเทศชาติ เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระราชประสงค์ให้กระจายการศึกษาสู่พื้นที่ทุรกันดารห่างไกล เพื่อให้เยาวชนในพื้นที่เหล่านั้นได้มีโอกาสรับการศึกษาเท่าเทียมกัน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจัดตั้งโรงเรียนทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และโรงเรียนที่อยู่ในชนบทห่างไกลจากการคมนาคมไม่สะดวก จำนวนทั้งสิ้น 15 โรงเรียน และด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลพระองค์ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการส่งเสริมการศึกษาให้เข้าถึงเยาวชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเยาวชนไทยที่มีฐานะยากจน ยากลำบาก แต่ประพฤติดี ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคงต่อเนื่อง และด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ได้พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์และจากผู้บริจาค มาเป็นทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถและศักยภาพแก่เยาวชนไทย โดยในปี พ.ศ. 2552 มีพระราชดำริให้ดำเนินโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร หรือ ม.ท.ศ. ขึ้น เพื่อพระราชทานทุนให้แก่นักเรียนที่จบในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ครอบครัวมีฐานะยากจน แต่เรียนดี ประพฤติดี มีวินัย มีคุณธรรม มีความจงรักภักดี ต่อชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ได้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือสายสามัญและสายอาชีพอย่างต่อเนื่องจนจบระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาที่สอดคล้องกับความรู้ความสามารถ ความต้องการของผู้เรียน ซึ่งทุนพระราชทานนี้ไม่มีภาระผูกพันในการใช้ทุนคืนแต่อย่างใด เมื่อจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีจะเปิดโอกาสให้สามารถสมัครเข้าทำงานเป็นข้าราชการบริพารได้ตามความสมัครใจ

และด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ กลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทั้ง 15 โรงเรียน จึงได้ร่วมกันจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ โรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ฯ รวมใจ เทิดไท้องค์ราชัน และการแสดงผลงานของนักเรียนกลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ ฯ ประจำปีการศึกษา 2563 ขึ้น โดยนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติในครั้งนี้จะประกอบไปด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ รวมถึงนิทรรศการและการแสดงผลงานของผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการครู  นิทรรศการและการแสดงผลงานของนักเรียนกลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ฯ ประจำปีการศึกษา 2563 ประกอบไปด้วย นิทรรศการและการแสดงผลงานด้านทักษะวิชาการ ด้านทักษะวิชาชีพ ด้านทักษะชีวิต ด้านเทคโนโลยี และด้านการสื่อสาร 2 ภาษา นิทรรศการห้องเรียนสีเขียวจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต

นอกจากนี้ภายในงานยังมีนิทรรศการแปลงเกษตรสาธิต โคก หนอง นา พัชรโมเดล เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงานได้เรียนรู้ศึกษาเพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน มีการจัดตลาดนัดพอเพียง เคียงคู่ภูมิปัญญา พัฒนาอาชีพของนักเรียนกลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ฯ และการออกบูธจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน

โดยในโอกาสนี้พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี ผู้แทนพระองค์ ได้อัญเชิญพระราโชบายด้านการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาอธิบายชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ที่จะส่งผลต่อประเทศชาติ ชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคน ให้คณะผู้บริหารสถานศึกษา ครูและนักเรียนของกลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ฯ ได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นระหว่างการชมนิทรรศการว่า การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่นักเรียน 4 ด้าน ซึ่งทุกด้านล้วนเกี่ยวเนื่องและเชื่อมโยงกัน ประกอบไปด้วย ด้านการมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง คือ ต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ดีต่อชาติบ้านเมือง ยึดมั่นในศาสนา มั่นคงในสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีความเอื้ออาทรต่อครอบครัวและชุมชนของตน ด้านการมีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรม คือให้รู้จักแยกแยะสิ่งที่ผิด-ที่ถูก สิ่งชั่ว-สิ่งดี เพื่อปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบที่ดีงาม ปฏิเสธสิ่งที่ผิดที่ชั่ว เพื่อสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง ด้านการมีงานทำ มีอาชีพ คือต้องให้เด็กรักงาน สู้งาน ทำงานจนสำเร็จ อบรมให้เรียนรู้การทำงาน ให้สามารถเลี้ยงตัวและเลี้ยงครอบครัวได้ และด้านการเป็นพลเมือง หมายถึงการมีน้ำใจ มีความเอื้ออาทร ต้องทำงานอาสาสมัคร งานบำเพ็ญประโยชน์ เห็นอะไรที่จะทำเพื่อบ้านเมืองได้ก็ต้องทำ ซึ่งพระบรมราโชบายทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินกว่าครูจะทำและสั่งสอนศิษย์ให้ทำได้ หากครูตั้งใจสร้างศิษย์ให้ได้ผลตามพระบรมราโชบายทั้ง 4 ข้อนี้ ก็จะทำให้ชาติบ้านเมืองเจริญ ไม่มีคนที่นิ่งดูดาย ปล่อยให้เกิดความชั่ว ความไม่ดีในบ้านเมือง รู้จักแยกแยะสิ่งที่ถูกที่ผิด สิ่งที่ดีที่ชั่ว และเลือกรับ เลือกทำแต่ทางที่ถูกที่ดี รู้จักใช้วิจารณญาณของตนไม่ตามแฟชั่นตามสังคมโดยไร้สติ เห็นอะไรที่ควรทำเพื่อบ้านเมืองก็ต้องทำ ไม่ปล่อยให้ผ่านไปด้วยความคิดว่าธุระไม่ใช่

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2564

ครูผู้สร้างอนาคตชาติ ที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก

ข้าราชการครู ถือเป็นอีกหนึ่งสายงานที่มีความสำคัญต่ออนาคตของชาติ เพราะเป็นผู้ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ ให้กับนักเรียนที่จะเติบโตไปพัฒนาประเทศในอนาคต ซึ่งแต่ละท่านก็จะมีเทคนิค วิธีการที่แตกต่างกันออกไป

นายหงษา วงค์จำปา ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลนาแกผดุงราชกิจเจริญ เปิดเผยว่า หลักและปณิธานในการทำงานของตนเองคือ อุทิศตนเพื่อศิษย์ อุทิศชีวิตเพื่อการศึกษา รักศรัทธาอาชีพครู อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ทำความดีเพื่อความดี ซึ่งในการบริหารตนเองนั้นมีหลักอยู่ 4 ประการ คือ หลักธรรม หลักกรรม หลักแห่งกฎหมาย และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับในเรื่องของการบริหารหรือการพัฒนาโรงเรียนนั้น ยึดหลักอยู่ 2 ประการที่สำคัญ คือ หลัก ป.ป.ช. ซึ่งประกอบไปด้วย ป. ปฏิรูปการเรียนรู้ เพราะทุกวันนี้ครูบาอาจารย์สถานศึกษาจะต้องมีการปฏิรูปการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วการปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอนให้เข้ากับยุค ทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นในเรื่องของ active learning เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ให้การจัดการศึกษาทันกับการเปลี่ยนแปลง ป.ตัวที่ 2 คือเรื่องของการประกันคุณภาพ โรงเรียนจะต้องมีการหลักประกันคุณภาพ เพื่อให้ผู้ปกครองทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้มีความมั่นใจในการจัดการศึกษาของโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของมาตรฐานการศึกษา ทั้งทางด้านคุณภาพผู้เรียน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และทางด้านการบริหารสถานศึกษา ส่วน ช. ตัวสุดท้ายก็คือ ใช้โรงเรียนเป็นฐาน นั้นหมายถึงโรงเรียนจะต้องมีการบริหารจัดการที่มีความโปร่งใส และก็มีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่จะเข้ามาจัดการศึกษา ส่วนอีกประเด็นที่ใช้เป็นหลักในการบริหารก็คือ หลัก น 4 ตัว คือ know not now new  ซึ่ง know ก็คือต้องรู้เขารู้เราในการบริหารงานต่างๆ not ก็คือเราจะไม่โทษใคร เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะมาแก้ไขร่วมกัน now ก็คือทำทันที ทำให้เป็นปัจจุบัน ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ทันโลกทันเหตุการณ์ ทันสมัยที่มีความถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน และ new ก็คือเราจะนำเอานวัตกรรม หรือ innovation ใหม่ๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา

ท้ายที่สุดนี้ที่ได้รับรางวัลต่างๆมา จริง ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า อยากมีหน้ามีตาอะไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยากให้ทุกคนได้เห็นว่า เมื่อทำงานแล้วก็อยากให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในตำแหน่งไหน เราจะอยู่ในหน่วยงานใด อายุจะมากจะน้อยไม่สำคัญ เราสะสมงานของเราแล้ว เราก็นำเสนอเพื่อให้คนรู้ ซึ่งทางคณะกรรมการก็ได้พิจารณาจากผลงานที่ได้ดำเนินการมา สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ภาคภูมิใจและอยากให้ผู้ร่วมงาน ลูกน้อง ครูบาอาจารย์ ได้เอาเป็นตัวอย่าง และพากันพัฒนางานของตนเองเพื่อพัฒนาวิชาชีพของเราด้วย

และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปฏิบัติหน้าที่ ด้วยแนวคิดที่ไม่หยุดนิ่งเพื่อสร้างอนาคตของชาติบนพื้นฐานของความพอเพียง ถ้อยทีถ้อยอาศัย ที่พร้อมก้าวไปข้างหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก จึงได้รับการคัดเลือก เป็นข้าราชการดีเด่นระดับประเทศ ประจำปี 2563 ของจังหวัดนครพนม ซึ่งถือเป็นรางวัลเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ในชีวิตข้าราชการ


คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาตินครพนม ร่วมกิจกรรมสื่อสารงานรัฐ พัฒนางานข่าว สร้างความเข้าใจให้ประชาชน

 

วันที่ 29 มีนาคม 2564 ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติระดับจังหวัด จังหวัดนครพนม มอบหมายให้นายวิรพ จันทฤทธิ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนม นำคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติระดับจังหวัด จังหวัดนครพนม และคณะทำงานร่วมประชุมออนไลน์กิจกรรมสื่อสารงานรัฐ พัฒนางานข่าว สร้างความเข้าใจให้ประชาชน ร่วมกับส่วนกลางและจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศ ที่กรมประชาสัมพันธ์ในฐานะ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ จัดขึ้น โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เปิดและปาฐกถาในหัวข้อ บทบาทของโฆษกกระทรวง และแนวทางการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์ภาครัฐ

โดยผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ยังจะได้รับความรู้เกี่ยวกับ แนวทางการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ 2021 จากนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะดูเหมือนง่ายแต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นงานที่มีความยากและท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะต้องมีการรับฟังเสียงของประชาชนก่อนนำมากำหนดทิศทางในการสื่อสาร หรือส่งต่อข้อมูลข่าวสารภาครัฐไปยังประชาชน ต้องมีการศึกษา วิเคราะห์ความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ที่ตรงกลุ่ม รวมถึงการตอบโต้ข่าวเท็จ ข่าวรือ ข่าวลวง หรือ Fake News ที่ในยุคปัจจุบันเกิดขึ้นได้ง่าย และส่งผลกระทบต่อประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ 2021 ต้องคำนึงถึงว่าการสร้างการรับรู้และเข้าใจให้ประชาชนแล้วทำให้เกิดการต่อยอดไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย  นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เทคนิคการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารงานรัฐกับกิจกรรมเจาะลึก พูดชัด จากภาครัฐ ทุกกระทรวง ซึ่งจะมีเทคนิคในการแถลงข่าวจากตัวอย่างโฆษกกระทรวงที่ประธานในพิธีได้ทำการสุ่มเลือกมาแสดงให้ทุกคนได้เห็นเป็นตัวอย่างในการตอบคำถามผู้สื่อข่าว วิธีการสอดแทรกเรื่องราวการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงที่อยากสื่อสารสู่ประชาชนและการรับฟังข้อคิด ข้อเสนอแนะต่างๆ จากผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อนำไปปรับปรุงประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐที่ต้องการจะสื่อออกไปยังประชาชน ได้รับทราบถึงแนวทางการสร้างความรับรู้เข้าใจแก่ประชาชนในประเด็น ID IA IR Chat ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ที่สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักโฆษก สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลและกรมประชาสัมพันธ์ จะมาร่วมกันชี้แจ้งเพื่อให้ทุกคนได้เห็นและเข้าใจถึงแผนการดำเนินงานในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารไปยังประชาชน ประกอบไปด้วย การติดตามประเด็นข้อมูลข่าวสาร การแตกประเด็นข้อมูลข่าวสาร การรายงานประเด็นข้อมูลข่าวสารในแต่ละวัน และการบริหารจัดการกับประเด็นข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวเท็จ ที่จะต้องมีการตอบโต้ที่รวดเร็ว ทันเวลา และทันเหตุการณ์ บนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ จากการบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ  

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2564

นครพนม บูรณาการหน่วยงานลงพื้นที่ดูแลช่วยเหลือผู้ยากไร้อำเภอศรีสงครามแก้ปัญหาความยากจน

วันที่ 26 มีนาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายพรต ภูภักดิ์ ปลัดจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้ยากไร้ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ เป็นการลดความเหลื่อมล้ำของสังคม สนับสนุนการสร้างโอกาส สร้างอาชีพและการมีรายได้ที่มั่นคงให้กับประชาชน โดยใช้กลไกประชารัฐให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ พัฒนาคุณภาพชีวิตยกระดับครัวเรือนแบบบูรณาการเชิงพื้นที่

โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้ได้ไปที่บ้านเลขที่ 27 บ้านศรีเวนชัย หมู่ที่ 13 ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม ของนางเกสร ผงราช ที่อาศัยอยู่กับสามีและหลานชาย วัย 3 ขวบ ในบ้านปูนชั้นเดียวที่สภาพบ้านหลังคาห้องครัวรั่ว ซึ่งทั้ง 3 ชีวิตอาศัยการเลี้ยงชีพจากการรับจ้างทอเสื่อและทำการเกษตร ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการครองชีพ และประชาชนในหมู่บ้านได้มีประชามติร่วมกันเห็นควรให้ความช่วยเหลือ จึงได้เสนอขอรับการสนับสนุนช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ ตามโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนจังหวัดนครพนม ปี 2564 ซึ่งในวันนี้หน่วยงานต่าง ๆ ได้มีการบูรณาการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ ประกอบไปด้วย กองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปภัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี จังหวัดนครพนม มอบทุนอุปการะเด็กยากจน/ ด้อยโอกาส จำนวน 1,200 บาท สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม มอบเงินสงเคราะห์ผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน จำนวน 2,000 บาท สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนม สนับสนุนวัสดุในการทอเสื่อและมอบทุนในการประกอบอาชีพ จำนวน 1,000 บาท หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดนครพนม มอบหลักประกันสุขภาพ มาตรา 40 เป็นระยะเวลา 1 ปี จำนวน 1,200 บาท คณะกรรมการพัฒนาสตรี อำเภอศรีสงคราม มอบเงินช่วยเหลือ 2,000 บาท เครือข่ายกองทุนหมู่บ้านมอบทุนส่งเสริมอาชีพ 3,000 บาท สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม สำนักงานประมงอำเภอศรสงคราม บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด สาขานครพนม และบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัดสาขานครพนม มอบเครื่องอุปโภค บริโภค ตลอดจนเครื่องใช้ในครัวเรือนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผ้าห่มกันหนาว นมผงกล่อง ข้าวสาร อาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูป น้ำปลา น้ำดื่ม น้ำยาล้างจาน ตะกร้าใส่เสื้อผ้า กล่องใส่อาหาร สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ผงซักผ้าและอื่น ๆ เพื่อใช้ในการเลี้ยงชีพ รวมถึงได้มีการแนะนำวิธีการต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและหาช่องทางการตลาดใหม่ ๆ เพื่อให้ครอบครัวนางเกสรได้นำไปวางจำหน่ายเพิ่มเติมด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2564

จ.นครพนม จัดกิจกรรมหารายได้ช่วยครอบครัวยากจน เตรียมระเบิดวงสวิงกลางลำน้ำโขง

 

วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่บริเวณหมู่บ้านวัฒนธรรมชนเผ่า ถนนสวรรค์ชายโขง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายสุวิทย์  จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นายศุภชัย  โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ในฐานนะนายกสมาคมกีฬาจังหวัดนครพนม พ.ต.อ.พลาเดช เพ็ชรหว้าโง๊ะ รอง ผบก.ภ.จว.นครพนม นางสาวกนกวรรณ  ดุงศรีแก้ว ผอ.ททท.สำนักงานนครพนม นางสาวศุภพานี  โพธิ์สุ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม และนายประภัทร ตรีวัฒนประภา ตัวแทนหอการค้าจังหวัดนครพนม ร่วมแถลงข่าวการจัดการแข่งขันกอล์ฟกลางแม่น้ำโขง ณ หาดทรายทองศรีโคตรบูรณ์และสนามกอล์ฟภูกระแต ภายใต้ชื่อ มหัศจรรย์ตีกอล์ฟกลางเแม่น้ำโขง ครั้งที่ 2 Unseen Mekong Golf @ Nakhon Phanom # 2 ที่จังหวัดนครพนม เตรียมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 - 4 เมษายน 2564 เพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาที่จังหวัดนครพนมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564

 นายสุวิทย์  จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า กิจกรรมมหัศจรรย์ตีกอล์ฟกลางแม่น้ำโขงที่จัดขึ้นนี้ มีวัตถุประสงค์จากที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด มีความเป็นห่วงประชาชนที่มีความเดือดร้อน โดยเฉพาะที่เป็นครัวเรือนยากจน ซึ่งจากการสำรวจของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องใน 1,131 หมู่บ้าน 99 ตำบล 12 อำเภอ ของจังหวัดนครพนม มีครัวเรือนยากจนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนมากถึง 1,025 ครัวเรือน ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนกลุ่มนี้ได้รับการก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที ด้วยการช่วยเหลือในลักษณะการทำให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ที่ไม่ใช่การสงเคราะห์ จังหวัดนครพนมจึงได้จัดการแข่งขันมหัศจรรย์กอล์ฟกลางแม่น้ำโขงขึ้น เพื่อหารายได้มาสนับสนุนการช่วยเหลือดังกล่าว ซึ่งในวันนั้นเราจะได้เห็นภาพของนักกอล์ฟใจบุญที่มีความสุขและมีสุขภาพกายที่แข็งแรง เพราะการสมัครเข้ามาเล่นกอล์ฟในครั้งนี้ได้ทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่สำคัญคือได้มาระเบิดวงสวิงบนหาดทรายกลางแม่น้ำโขงที่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ซึ่งในแต่ละปีจะมีเพียงครั้งเดียวเพราะต้องรอให้น้ำลดและเกิดหาดทรายจึงจะได้เห็นและลงมาสัมผัส ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนครพนม โทร.042-513490 และ อบจ.นครพนม กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โทร 091 867 4665

นอกจากการช่วยเหลือครอบครัวยากจนแล้ว เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของจังหวัด อันจะเป็นการนำมาซึ่งรายได้ของประชาชนทั่วไปในพื้นที่ จังหวัดนครพนมก็มีกิจกรรมกีฬาชายหาด ทั้งการแข่งขันเปตอง วอลเลย์บอลชายหาด การแข่งขันเซปักตะกร้อ และฟุตซอล เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มากราบนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ในจังหวัดนครพนมแล้ว สามารถเดินทางมาชมการแข่งขัน มาสัมผัสบรรยากาศหาดทรายที่สวยงามกลางลำน้ำโขงได้ ระหว่างวันที่ 13 – 15 เมษายน 2564 ซึ่งในช่วงนั้นจะมีการทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า และมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมที่โดดเด่นให้ได้ชมด้วย คือ การแสดงรำผีโผน ซึ่งเชื่อว่าหลายคนก็ยังไม่เคยเห็นและรู้จักศิลปวัฒนธรรมที่คนนครพนมสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานนี้ รวมถึงการแสดงของไทยแสกเต้นสากที่หาดูได้ยาก เพราะเป็นการแสดงที่จะมีเฉพาะในเทศกาลสำคัญของชาวไทแสกเท่านั้น หรือ การแสดงไทโส้ทั่งบั้ง ก็ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่จะทำให้ทุกคนต้องตื่นตาตื่นใจไปกับการรำกระแทกไม้ไผ่ตามจังหวะดนตรีพื้นถิ่นที่เหมือนย้อนกับไปในสมัยอดีต ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็น unseen ของจังหวัดนครพนม ที่รอต้อนรับให้ทุกคนได้มาสัมผัส รับรองว่าจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

นครพนม ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และจังหวัดเคลื่อนที่ให้บริการประชาชนอำเภอศรีสงคราม

 

วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่บริเวณโรงเรียนชุมชนบ้านสามผง ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม นายพรต ภูภักดิ์ ปลัดจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน นำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนมและโครงการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการออกให้บริการประชาชนแบบครบวงจรในจุดเดียว เป็นการสร้างการเข้าถึงการบริการในด้านต่าง ๆ ให้กับประชาชนในพื้นที่ ทั้งเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพในการเดินทางมาติดต่อราชการ นอกจากนี้ยังได้นำเอานโยบายของรัฐบาลและแนวทางในการดำเนินงาน การให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ไปชี้แจงให้กับประชาชน ได้รับรู้ รับทราบและเข้าใจ รวมถึงตอบข้อซักถามที่ประชาชนสงสัย รวบรวมข้อมูลปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ กลับมาประชุมหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งหาทางให้ความช่วยเหลือต่อไปในอนาคต

โดยกิจกรรมในครั้งนี้นอกจากประชาชนที่มาร่วมงานจะได้รับการบริการด้านสาธารณสุขแล้ว ยังจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรู้เท่าทันโควิด การเข้าถึงสิทธิ์ที่พึงได้ต่าง ๆ รวมถึงการเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนทักษะในด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การเลือกใช้พลังงาน การทำบัตรประชาชน การฝากเงินออม การทำประกันสังคม การทำประกันภัย การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไปจนถึงการรับคำปรึกษา คำแนะนำด้านการลงทุน กฎหมาย การสร้างบ้าน การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การรับแจกพันธุ์ต้นไม้ การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ การเลือกซื้อสินค้าราคาถูก สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP จากหน่วยงานที่มาออกบูธจำหน่าย รวมไปถึงการมอบพันธุ์ปลาแก่ผู้นำชุมชนเพื่อนำไปปล่อยตามแหล่งน้ำของชุมชน จำนวน 50,000 ตัว มอบเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุในภาวะยากลำบาก จำนวน 10 รายๆละ 3,000 บาท มอบเงินสงเคราะห์ช่วยเหลือเด็กในครอบครัวยากจน จำนวน 49 รายๆ ละ 1,000 บาท  มอบเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย จำนวน 20 ราย ๆ ละ 3,000 บาท และมอบถุงยังชีพของเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม จำนวน 160 ชุด

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2564

นครพนม เตรียมออกมาตรการขึ้น blacklist มือเผาแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เสริมมาตราการทางกฎหมาย

 

วันที่ 24 มีนาคม 2564 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และคณะทำงานเฝ้าระวังติดตามฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จังหวัดนครพนม เพื่อติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานที่ผ่านมา โดยในการประชุมครั้งนี้ได้มีการพูดคุยถึงแนวทางการแก้ปัญหาและมาตรการต่าง ๆ ที่จะร่วมกันขับเคลื่อน เพื่อแก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดนครพนม และในโอกาสนี้ที่ประชุมได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมให้มีการออกมาตรการขึ้น blacklist มือเผาในพื้นที่จังหวัดนครพนม เนื่องจากเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดมลพิษ ที่ทำลายทั้งสุขอนามัยของประชาชนโดยทั่วไป ทำลายสภาพแวดล้อม สภาพอากาศ เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ทั้งยังจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วย เนื่องจากพบว่าสาเหตุหลักของการเกิดฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดนครพนมอันดับ 1 คือ การเผาในที่โล่ง ไม่ว่าจะเป็น การเผาพื้นในพื้นที่การเกษตร การเผาตอซังข้าว การเผาพื้นที่ทำไร่ การเผาในพื้นที่ชุมชน ริมทางหลวง ทางสาธารณะ การเผาขยะ เศษวัสดุต่างๆ แม้จะมีมาตรการทางกฎหมาย รองลงมาคือปัญหาหมอกควันข้ามแดน และควันไอเสียจากยานพาหนะ และไอเสียจากอุตสาหกรรม โดยในช่วงเดือนที่ผ่านมาจังหวัดนครพนมมีปริมาณฝุ่น PM 2.5 สูงสุดอยู่ที่ 101 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

โดยมาตรการขึ้น blacklist มือเผาในพื้นที่จังหวัดนครพนมนั้น จะเริ่มจากหน่วยงานบูรณาการลงพื้นที่สร้างความเข้าใจกับประชาชน ถึงความจำเป็น ผลกระทบที่เกิดขึ้นที่จะส่งผลต่อตัวประชาชนทั้งในระยะสั้น ระยะยาว เนื่องจากหลายคนยังเข้าใจผิดมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ จากนั้นให้ประชาชนทำประชามติชุมชนร่วมกัน ถือการดำเนินมาตรการในพื้นที่ ซึ่งในส่วนของจังหวัดจะมีการกระจายรายชื่อผู้ที่ถูกขึ้นบัญชีไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของบุคคลเหล่านี้ ในการให้ช่วยเหลือเมื่อมีเหตุต่าง ๆ หรือการให้การสนับสนุนต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนพันธ์กล้าไม้ของหน่วยงานที่แต่ละปีมีการแจกจ่ายให้ประชาชน แต่ถ้าขึ้น blacklist มือเผาก็มีความเชื่อได้ว่าต้นไม้ที่ได้ไปมีโอกาสรอดน้อยก็ควรพิจารณาให้คนอื่นที่ให้ความร่วมมือก่อน หรือแม้กระทั่งหน่วยงานทางการเงินที่ปัจจุบัน ก็มีเกณฑ์พิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่มองเห็นถึงการร่วมกันแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 อยู่ด้วย ซึ่งถ้ามีการทำประชาคมของหมู่บ้าน เป็นกติกาของหมู่บ้านแล้ว ทุกคนต้องให้ความร่วมมือเพราะคงไม่มีใครอยากให้คนอื่นอยู่เหนือกติกาหมู่บ้าน และถ้าถูกขึ้น blacklist มือเผาแล้ว การจะปลดออกจากรายชื่อก็จะต้องมีระยะเวลาในการประพฤติตัวที่แสดงให้คนในชุมชนมั่นใจและเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแล้วจริง ๆ

สำหรับการเผานั้นผิดพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 กล่าวคือ การเผาหญ้า หรือขยะ หรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเองนั้น ยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่อาจจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของบุคคลอื่น เพียงแต่ก่อให้เกิด กลิ่น แสง สี เสียง รังสี ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แก่ผู้ที่อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง การกระทำเช่นนี้เป็นความผิดอาญา โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากมีความรุนแรงถึงขั้นที่ “น่าจะ” เป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น เช่นนี้เจ้าของที่ดินผู้เผาจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 220 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท ทั้งนี้โดยที่ไม่ต้องเกิดเพลิงไหม้หรือความเสียหายขึ้นจริงๆเลย เพียงแต่น่าจะเกิดก็เป็นความผิดตามมาตรา 220 แล้ว หากเกิดอันตรายขึ้นแก่ทรัพย์สินหรือบุคคลอื่นจริงๆ ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา 218 หรือมาตรา 224 แล้วแต่กรณีซึ่งมีระวางโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตยกเว้นหากทรัพย์สินที่เกิดเพลิงไหม้หรืออาจจะเกิดเพลิงไหม้นั้นมีราคาเล็กน้อย ผู้กระทำก็จะได้รับโทษเบาลงตามมาตรา 223 หากลักษณะการเผาหญ้าหรือขยะหรือสิ่งอื่นใดในที่ดินของตนเองนั้น ผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลได้อยู่แล้วว่า ลักษณะการจุดไฟเผาของตนอาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้อย่างแน่นอน เช่น จุดไฟในลักษณะที่ใกล้เคียงกับบ้านหรือทรัพย์สินของคนอื่นอย่างมาก ในช่วงที่ลมแรง เช่นนี้ ผู้กระทำผิดย่อมมีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 217-218 แล้วแต่กรณี ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงถึงประหารชีวิต

พ่อเมืองนครพนม นำทีมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ช่วยเหลือ 8 ครอบครัวบ้านถูกไฟไหม้

 วันที่ 24 มีนาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนม ตลอดจนเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ลงพื้นที่ชุมชนบ้านเอื้อง หมู่ที่ 16 ตำบลบ้านเอื้อง อำเภอศรีสงครามเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่บ้านถูกไฟไหม้ เมื่อเวลา 23.30 น. ของวันที่ 23 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา เบื้องต้นจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่และการสอบถามผู้พบเห็นเหตุการณ์ คาดว่าสาเหตุมาจากไฟฟ้าลัดวงจร เนื่องจากก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียงดังคล้ายประทัดระเบิดที่บ้านนายจุด ไชยกา ซึ่งอยู่กับภรรยา จากนั้นไม่นานก็เห็นเพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ชาวบ้านจึงได้แจ้งขอความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และพยายามช่วยกันดับเพลิงต้นเหตุที่กำลังโหมลุกไหม้ ซึ่งใช้เวลานานกว่า  1 ชั่วโมงจึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ ด้วยพื้นที่ดังกล่าวอยู่กลางชุมชน รถดับเพลิงเข้าไปยาก ประกอบกับบ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้เก่า จึงทำให้เกิดเมื่อเพลิงสงบมีบ้านถูกไหม้ รวมกันทั้งสิ้น 8 หลัง นอกจากนี้ยังมียุงข้าว รถไถเดินตาม รถมอเตอร์ไซค์ รถซาเล้งที่ใช้ในการเกษตร และสิ่งของเครื่องใช้และของมีค่าอื่น ๆ อีก

นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า ก่อนอื่นก็ต้องขอแสดงความเสียใจกับพี่น้องประชาชนที่ประสบอัคคีภัยเมื่อคืนนี้ ซึ่งตนเองทราบข่าวเมื่อเช้าก็ได้รีบลงมาให้ความช่วยเหลือทันที ซึ่งการเยียวยาในวันนี้อาจจะไม่เท่ากับความสูญเสียที่พี่น้องประชาชนได้รับแต่อย่างไรก็ตามก็ได้มีการกำชับทุกภาคส่วนให้เข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตามระเบียบราชการ โดยวันนี้เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมก็ได้มาให้ความช่วยเหลือด้วยครอบครัวละ 8,000 บาท พร้อมสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค อื่น ๆ ขณะเดียวกันทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยก็ได้หางบประมาณมาช่วยอีกครอบครัวละ 5,000 บาท นอกจากนี้ก็ยังมีงบประมาณจากองค์การบริการส่วนตำบลบ้านเอื้องที่จะเข้ามาช่วยเหลือตามระเบียบราชการอีก 4 หมื่นกว่าบาท ซึ่งอันนี้จะไม่รวมกับเครื่องครัวและสิ่งของอื่น ๆ  ส่วนทางอำเภอศรีสงครามก็กำลังระดมความช่วยเหลือจากผู้มีจิตอันเป็นกุศลในพื้นที่มาให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ทุกคนที่ประสบเหตุในครั้งนี้ ซึ่งขอยืนยันว่าทางจังหวัดจะไม่ทอดทิ้งพี่น้องประชาชน เพราะตอนนี้เราได้มีการวางแผนแก้ไขปัญหาและพยายามประสานความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ อยู่ โดยเบื้องต้นมณฑลทหารบกที่ 210 ได้แสดงความจำนงที่พร้อมส่งกำลังพลมาสนับสนุนช่วยเหลือในการเคลียร์พื้นที่ และฟื้นฟูในส่วนต่าง ๆ แล้ว

จ.นครพนม ประกอบพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย ประจำปี 2563

 

วันที่ 24 มีนาคม 2564 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในการประกอบพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี 2563 ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย ประจำปี 2563 เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2563 โดยได้มีการประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในสถานที่เหมาะสม โดยในปี 2563 จังหวัดนครพนม มีข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย รวมทั้งสิ้น 35 ราย ประกอบไปด้วยชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก จำนวน 15 ราย ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย จำนวน 20 ราย

โดยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก 1 สำรับ ประกอบด้วย ดวงตรา ด้านหน้าเป็นรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่นอยู่บนพื้นทองในดอกบัวบาน กลีบลงยาสีแดง เกสรเงิน รอบนอกมีกระจังเงิน 8 ทิศ มีกระจังแทรกตามระหว่าง ด้านหลังเปลี่ยนรูปช้างเป็นอักษรพระปรมาภิไธยย่อ ม.ป.ร. ลงยาสีแดง เบื้องบนมีพระมหามงกุฎทองมีรัศมี สายสะพาย เป็นแพรแถบขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร สีแดงริมเขียวใหญ่ มีริ้วเหลืองและน้ำเงินขนาดใหญ่ควบคั่นทั้ง 2 ข้าง สำหรับสะพายบ่าขวาเฉียงลงทางซ้าย และดารา ด้านหน้ามีลักษณะเช่นเดียวกับดวงตราแต่กระจังยาวกว่า ด้านหลังเป็นทอง สำหรับประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย ดวงตรา ดารา และสายสะพายสำหรับพระราชทานสตรีนั้นจะมีขนาดย่อมกว่าบุรุษ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องหมายประดับแพรแถบย่อและดุมเสื้อ มีลักษณะเป็นรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่นอยู่ในดอกบัวบาน กลีบลงยาสีแดงสลับเขียว เกสรเงิน

ส่วนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย 1 สำรับ ประกอบด้วย ดวงตรา เป็นรูปพระมหามงกุฎอยู่ในลายหว่านล้อมทอง พื้นลงยาสีน้ำเงินและสีแดง มีกระจังเงินใหญ่และเล็ก อย่างละสี่ทิศ มีรัศมีทองสลับตามระหว่าง ด้านหลังเปลี่ยนพระมหามงกุฎเป็นอักษรพระปรมาภิไธยย่อ "จ.ป.ร." เบื้องบนมีจุลมงกุฎ สายสะพาย เป็นแพรแถบขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร สีน้ำเงินริมเขียว มีริ้วเหลืองรื้วแดงขนาดใหญ่คั่นทั้งสองข้าง สะพายบ่าขวาเฉียงลงบ่าซ้าย และดารา เป็นรูปอย่างด้านหน้าดวงตรา ด้านหลังเป็นทอง และไม่มีจุลมงกุฎ ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย

ทั้งนี้ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย เกิดขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงเรียกว่า "เครื่องราชอิสริยยศ" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างเครื่องราชอิสริยยศขึ้นอีกหลายตระกูล และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เปลี่ยนมาเรียกว่า "เครื่องราชอิสริยาภรณ์"สำหรับพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และผู้กระทำคุณความดีให้แก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งที่เป็นบุรุษและสตรี

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2564

จิตเวชฯนครพนม พัฒนาศักยภาพทีมเยียวยาจิตใจเพิ่มการเฝ้าระวังดูแลประชาชนในระดับพื้นที่

 

วันที่ 22 มีนาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม โรงพยาบาลจิตเวชนครพนมราชนครินทร์ ได้มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพทีมเยียวยาจิตใจสำหรับบุคลากรระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งประกอบไปด้วย จังหวัดนครพนม สกลนคร และบึงกาฬ เพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้ พัฒนาทักษะในการช่วยเหลือเยียวยาจิตใจสำหรับประชาชนผู้ประสบภาวะวิกฤติสุขภาพจิตเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ ในพื้นที่ เพิ่มศักยภาพในการดูแลสุขภาพใจให้กับประชาชน โดยมีนายแพทย์มานพ ฉลาดธัญญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธี

นายแพทย์โกศล วราอัศวปติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชนครพนมราชนครินทร์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์วิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศ ทั้งภัยที่เกิดจากธรรมชาติและภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินไหว โรคระบาด ภาวะทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งการเมือง การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอย่างกะทันหัน รวมถึงเหตุการณ์วิกฤตทางสังคมในระดับพื้นที่ เช่น ผู้ติดสารเสพติดก่อความรุนแรงในชุมชนด้วยการวางเพลิงหรือทำลายทรัพย์สิน หรือกรณีผู้ป่วยจิตเวชทำร้ายคนในครอบครัวหรือบุคคลอื่นจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ไปจนถึงปัญหาการฆ่าตัวตาย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ประชาชนเกิดการสูญเสียและส่งผลกระทบต่อจิตใจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เกิดความผิดปกติ และโรคทางจิตเวช เช่น โรคเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ ภาวะซึมเศร้า การฆ่าตัวตาย การติดสุราและยาเสพติด ซึ่งทางโรงพยาบาลจิตเวชนครพนมราชนครินทร์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพทีมเยียวยาจิตใจสำหรับบุคลากรระดับ รพ.สต. ในพื้นที่รับผิดชอบ ขึ้น เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แก่บุคลากรเครือข่ายผู้รับผิดชอบงานวิกฤตสุขภาพจิตให้สามารถช่วยเหลือเยียวยาจิตใจประชาชนผู้ประสบภาวะวิกฤตสุขภาพจิตได้อย่างถูกต้อง ทันท่วงที และมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น รวมทั้งสามารถเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ระยะยาวต่อไป

โดยกิจกรรมในครั้งนี้บุคลากรที่เข้ารับการอบรม จำนวน 70 คน จะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเกี่ยวกับ การสังเกตอาการด้านจิตใจ การสังเกตผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงต่อการก่อความรุนแรง ระบบบริการสุขภาพจิตในชุมชน แบบประเมินปัจจัยเสี่ยงอาการทางจิตกำเริบ การแปลผลคะแนนเพื่อวัดระดับความก้าวร้าวรุนแรง ปฏิกิริยาการตอบสนองทางด้านจิตใจของผู้ประสบภาวะวิกฤติ การเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตในรูปแบบต่างๆ ชุมชนกับการมีส่วนร่วมต่อการดูแลประชาชนตาม พรบ.สุขภาพจิต การช่วยเหลือทางจิตใจในสถานการณ์วิกฤต การปฐมพยาบาลทางใจ 3 ส (สอดส่องมองหา ใส่ใจรับฟัง ส่งต่อเชื่อมโยง) ขั้นตอนการปฐมพยาบาลทางใจในสถานการณ์วิกฤตต่างๆ การฝึกดูแลจิตใจตนเองและผู้อื่น การประเมินระดับความเครียด ธรรมชาติของอารมณ์และสัญชาตญาณเตือนที่ควรดูแลตัวเอง การควบคุมอารมณ์เศร้า เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดด้วยตัวเอง หลักการเจรจาต่อรอง การสื่อสารในสถานการณ์วิกฤตเพื่อลดความตื่นตระหนกและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์วิกฤต การรับมือกับสถานการณ์วิกฤตและแนวทางการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2564

นครพนม ลุยค้นร้านธงฟ้ากระทำผิด ยึดของกลางบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 393 ใบ

 

วันที่ 20 มีนาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม นางสุธิษา จารุเมธาวิทย์ คลังจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่คลังจังหวัดนครพนมได้รับการร้องเรียนจากประชาชน ว่ามีร้านค้าซึ่งเป็นร้านธงฟ้าราคาประหยัดและได้เข้าร่วมโครงการบัตรประชารัฐ โครงการเราชนะ ที่รัฐบาลออกมาตรการมาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ว่าร้านดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของการเข้าร่วมโครงการ โดยมีการดำเนินการจ่ายเงินสดให้กับผู้ที่ได้รับสิทธิ์แทนการซื้อสินค้าจริงจากร้าน และในการดำเนินการนี้จะมีการเรียกดำเนินค่าตอบแทนในอัตราร้อยละ 10 จากเงินที่ผู้มีสิทธิ์ได้รับตามโครงการ ดังนั้นจึงได้มีการประสาน พ.ต.ท. ประสพ แดงนา รอง ผกก.กก.สส.ภ.จว.นครพนม ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผบก.ภ.จว. นครพนม พ.ต.อ.ฉกาจน์ เทียนมวงศ์ รอง ผบก.ภ.จว.นครพนม พ.ต.อ.จตุรงค์ มหิทธิโชติ ผกก.สืบสวน ภ.จว.นครพนม โดยได้มอบหมายให้ พ.ต.ต.ธานินทร์ กันภัย สว.กก.สส.ภ.จว.นครพนม พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการขอหมายศาลเข้าตรวจค้น ร่วมกับเจ้าหน้าที่คลังจังหวัดนครพนม และสำนักงานพานิชย์จังหวัดนครพนม

กระทั่งเวลาเวลา 14.00 น. ของวันที่ 19 มีนาคม 2564 เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงได้นำหมายศาลจังหวัดนครพนมที่ ค.163/2564 เข้าแสดงและขอตรวจค้นร้านค้าที่บ้านนาแค ตำบลเวินพระบาท อำเภอท่าอุเทน ซึ่งปรากฏว่าร้านดังกล่าวกระทำผิดจริง โดยภายในร้านมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและบัตรประชาชนของผู้มีสิทธิ์ที่ทางร้านเก็บไว้ภายในห้องชั้นสองของร้าน รวม 393 ใบ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำบันทึกตรวจยึดไว้เป็นของกลางร่วมกับสมุดคุมบัญชีซื้อสินค้าของลูกค้า จำนวน 3 เล่ม และสมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 4 เล่ม และเครื่องรูดบัตร (EDC) จำนวน 1 เครื่อง เพื่อประกอบการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป พร้อมทั้งปลดป้ายร้านธงฟ้าราคาประหยัดเพื่อเพิกถอนสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการ

สำหรับโทษของผู้กระทำผิดในส่วนของผู้ที่รับซื้อสิทธิและผู้ที่ขายสิทธิ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะทำการตัดสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการพร้อมยกเลิกการใช้แอพพลิเคชัน ติดแบล็คลิสต์ และริบเงินคืน รวมถึงมีความผิดฐานฉ้อโกงและหากเป็นการกระทำผิดผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ก็อาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ขณะที่ร้านค้าที่มีพฤติกรรมไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของการเข้าร่วมโครงการ อย่างเช่นกรณีนี้ หรือไม่ปิดป้ายแสดงราคา ปรับราคาสูงขึ้น จะมีโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และหากจำหน่ายสูงเกินสมควร จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากประชาชนพบร้านค้าที่ฉวยโอกาส ปรับราคาสินค้า หรือไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้า หรือกระทำในลักษณะดังกล่าวสามารถแจ้งมาที่สำนักงานคลังจังหวัดนครพนม หรือโทรไปที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดก็ได้เช่นเดียวกัน

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2564

รองอธิบดีกรมประมงลงพื้นที่นครพนม สร้างธนาคารผลผลิตสัตว์น้ำแบบมีส่วนร่วมกระจายความยั่งยืนสู่ชุมชน

 

วันที่ 18 มีนาคม 2564 ที่แหล่งน้ำหนองพัง หมู่ที่ 2 บ้านปากบัง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมงเป็นประธานเปิดและชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนโครงการธนาคารผลผลิตสัตว์น้ำแบบมีส่วนร่วม ที่กรมประมงโดยสำนักงานประมงจังหวัดนครพนมและศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม คัดเลือกเพื่อส่งเสริม สนับสนุน ให้ประชาชนในชุมชนมีการบริหารจัดการแหล่งน้ำแห่งนี้ ที่มีขนาด 60 ไร่ ให้สามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพของแหล่งน้ำได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะด้านการประมง ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่จะสนับสนุนและส่งเสริมให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการแหล่งน้ำชุมชนให้เป็นแหล่งผลิตสัตว์น้ำ เพื่อสร้างรายได้ สร้างเศรษฐกิจฐานราก เลี้ยงชุมชนได้อย่างยั่งยืน

นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า โครงการธนาคารผลผลิตสัตว์น้ำแบบมีส่วนร่วมเป็นโครงการสำคัญของกรมประมงและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการที่จะผลักดันให้กับพี่น้องประชาชนได้มีความมั่นคงด้านอาหารเป็นประการสำคัญ ประการที่ตามมาคือทำให้พี่น้องประชาชนมีรายได้ และสามารถเอารายได้นี้ไปอุดหนุนในชุมชนในการสร้างสาธารณะประโยชน์ต่างๆให้เกิดประโยชน์ต่อภาพรวม ซึ่งโครงการนี้มีการสนับสนุนการดำเนินการอยู่ 3 ปี โดยกรมประมงจะเข้ามาดำเนินการส่งเสริม ติดตามให้คำแนะนำและดูแลในเรื่องต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปีที่ 1 ธนาคารผลผลิตสัตว์น้ำแบบมีส่วนร่วมจะได้รับเงินอุดหนุนจากกรมประมง 175,000 บาท ในการที่จะทำกิจกรรมเสริมเพื่อให้แหล่งน้ำมีศักยภาพเพิ่มเติมขึ้น เช่น การนำไปปรับปรุงแหล่งอาหารธรรมชาติ หรือสร้างกระชังเพื่ออนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนก่อนที่จะปล่อยลงแหล่งน้ำต่อไป หรือทำโรงเก็บวัสดุ เก็บอาหารต่างๆก็ได้ ขึ้นอยู่กับการประชุมและการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการโครงการ นอกจากนี้ในปีแรกก็ยังจะมีการส่งเสริมสัตว์น้ำให้เพิ่มเติมอีก ทั้งนี้กรมประมงเชื่อว่าธนาคารแห่งนี้จะมีความยั่งยืน เพราะจากการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2561 ยังประโยชน์แก่ชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากอย่างชัดเจน เห็นเป็นรูปธรรมจากการร่วมมือร่วมใจของราชการและชุมชน รวมทั้งพี่น้องในพื้นที่มีความตั้งใจในการทำงาน ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นที่ประจักษ์ จนได้รับรางวัลจากสำนักงานพัฒนาระบบบริหารราชการ (กพร.) 3 ปีซ้อน โดยปัจจุบันมีธนาคารเข้าร่วมโครงการแล้ว 80 แหล่งน้ำ จึงขอเชิญชวนจังหวัดอื่นๆที่มีความสนใจและอยากเข้าร่วมโครงการสามารถที่จะไปติดต่อที่ประมงจังหวัด หรือศูนย์วิจัยเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด ศูนย์ประมงน้ำจืดในพื้นที่ พร้อมแจ้งความประสงค์ว่ามีแหล่งน้ำที่อยู่ในเกณฑ์คือ 30 - 60 ไร่ และมีความพร้อมที่จะดำเนินโครงการธนาคารผลผลิตสัตว์น้ำแบบมีส่วนร่วม ซึ่งเราจะบรรจุเข้าในปีงบประมาณต่อไปให้

นายคำฟอง  พ่ออามาตร  ประธานธนาคารผลผลิตสัตว์น้ำแบบมีส่วนร่วมแหล่งน้ำหนองพัง เปิดเผยว่า ตอนนี้เราตั้งความหวังไว้ว่าเราจะขยายสมาชิกเพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมทั้งหมู่บ้าน เพื่อให้ทุกคนได้มีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งเราจะไม่กีดกันคนใดคนหนึ่ง สำหรับเป้าหมายในอนาคตที่วางไว้หากโครงการนี้สำเร็จ ยังมีโครงการเพิ่มเติมคืออยากจะขอให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาดูแลสนับสนุนในการแปรรูปอาหารที่ได้จากสัตว์น้ำที่มาปล่อย ซึ่งจะมีการตั้งกลุ่มแม่บ้านที่อยู่ในหมู่บ้านให้ได้มามีส่วนร่วมในการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็น ปลาส้ม ปลาจ่อม ปลาแดดเดียว อะไรอีกหลาย ๆ อย่าง สำหรับการบริหารจัดงานเงินที่เราทำอยู่ในตอนนี้ กำไรสมาชิกทุก ๆ คนจะได้ครบทั้งหมดแบ่งเป็นกรรมการ 30 % สมาชิก 30% สาธารณประโยชน์คือหมู่บ้าน 20 % และส่วนที่เหลืออีก 20% เอาเข้ากองกลางไว้เผื่อเกิดสมาชิกท่านใดมีการเจ็บหรือเสียชีวิตก็จะนำเงินส่วนนี้ไปช่วยเหลือ

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2564

 

วันที่ 17 มีนาคม 2564 ที่บ้านหนองดู่ ตำบลนาใน อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายนพดล พลซื่อ ปลัดอำเภอรักษาราชการแทนนายอำเภอโพนสวรรค์ ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลนาใน ผู้บริหารสถานศึกษา กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและประชาชนในพื้นที่ร่วมกันส่งมอบบ้านตามตามโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนจังหวัดนครพนม ที่ทุกคนได้ร่วมกันก่อสร้างบ้านหลังใหม่ทดแทนหลังเดิมที่มีความทรุดโทรม ให้กับนางสาวพรทิพย์ พากุล ที่อาศัยอยู่กับ บุตร 2 คน เนื่องจากสามีซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา

โดยโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนจังหวัดนครพนม เป็นโครงการที่อำเภอโพนสวรรค์ ได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลนาใน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านบ้านนาใน ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ร่วมกันดำเนินการขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาให้ผู้ยากไร้ ผู้ยากจนและด้อยโอกาสในพื้นที่ตำบลนาในที่กำลังประสบความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัย ให้ได้มีบ้านที่มีความมั่นคงแข็งแรง เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้ดีขึ้น โดยการดำเนินงานประกอบไปด้วย การลงพื้นที่สร้างความเข้าใจให้กับชุมชนและร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์คุณสมบัติผู้มีเดือดร้อนที่สมควรได้รับการช่วยเหลือ จากนั้นจึงทำการสำรวจเพื่อค้นหาผู้เดือดร้อนและร่วมกันพิจารณากลั่นกรองจัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วน จัดทำแผนงานโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ และร่วมกันก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ


โดยที่ทำการปกครองอำเภอโพนสวรรค์ สนับสนุนงบประมาณจำนวน 21,000 บาท รวมถึงสนับสนุนบุคลากร เจ้าหน้าที่กองร้อยอาสารักษาดินแดนในการก่อสร้างบ้าน องค์การบริหารส่วนตำบลนาในสนับสนุนบุคลากรในการสร้างบ้านและวัสดุอุปกรณ์ อาทิเช่น ปูนเทพื้น ทราย ปูนฉาบ ขณะที่กำนันตำบลนาใน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนประชาชนจิตอาสาในพื้นที่ได้มาร่วมแรงร่วมใจกันสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ ทำให้บ้านหลังดังกล่าวไม่มีค่าจ้างแรงงานแต่อย่างใด เพราะทุกคนทุกฝ่ายจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาดำเนินการตามความถนัดของแต่ละคน ใครที่มีฝีมือด้านช่างก็ช่วยกันทำการก่อสร้างบ้าน ขณะที่คนไม่มีฝีมือด้านช่างก็มาช่วยด้านอื่น ๆ เช่น การช่วยยกไม้ ยกเหล็ก และจับยื่นสิ่งของต่าง ๆ รวมถึงการทำอาหารไว้ร่วมกันรับประทานในแต่ละมื้อ ทำให้บ้านหลังนี้เกิดขึ้นมาจากความรักความสามัคคี ความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชน ที่พร้อมแบ่งปันความสุขซึ่งกันและกัน

เลขาฯสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ นำคณะลงพื้นที่นครพนมถ่ายทอดเทคโนโลยีก่อนเริ่มฤดูกาลผลิตใหม่

 

วันที่ 17 มีนาคม 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติเป็นประธานนำคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เครือข่ายอำเภอท่าอุเทน ถ่ายทอดองค์ความรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเกษตรกรในพื้นที่ เกี่ยวกับการวางแผนการผลิตสินค้า การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ในการเกษตร การแปรรูปผลิตภัณฑ์และสินค้าเกษตร การสร้างช่องทางการตลาดและการจำหน่าย เป็นการสร้างความพร้อมให้กับเกษตรกรทุกคนก่อนเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ในปี 2564 ทำให้ทุกคนได้เข้าใจและพร้อมปรับเปลี่ยนแนวคิดในการผลิตที่มีต้นทุนที่ลดลง อันจะนำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น และกลายเป็นการทำการเกษตรที่มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต ภายใต้กิจกรรมวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ ปี 2564 (Field Day)

โดยกิจกรรมในครั้งนี้มีการแบ่งฐานการเรียนรู้ออกเป็น 6 สถานี ประกอบไปด้วย สถานีการเรียนรู้มาตรฐานสินค้าเกษตรที่คณะวิทยากรจากศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนครพนม จะมาให้ความรู้ คำแนะนำเพื่อให้ทุกคนสามารถผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานเป็นที่ต้องการของตลาด สถานีต่อมาคือสถานีการใช้สารชีวภัณฑ์ทดแทนการใช้สารเคมี ซึ่งสถานีนี้วิทยากรจากกลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนมจะมาให้ความรู้ทั้งในเรื่องของการผลิตและการใช้สารชีวภัณฑ์ ที่นอกจากจะทำให้เกษตรกรทุกคนสามารถลดต้นทุนการผลิตได้แล้วยังสามารถดูแลสุขภาพของเกษตรกรทุกคนได้ด้วย ขณะที่สถานีการจัดการดินและปุ๋ยที่เหมาะสมสำหรับการปลูกพืชจะเป็นวิทยากรจากสถานีพัฒนาที่ดินนครพนม ซึ่งจะให้ความรู้เกี่ยวกับการปรับปรุงบำรุงดินและการใช้ปุ๋ยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนสถานีการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าจะเป็นวิทยากรจากโครงการชลประทานนครพนม ที่จะมาแนะนำความรู้ เทคนิคในเรื่องระบบการให้น้ำในไร่นาและโรงเรือน สถานีการปลูกแตงโมไร้เมล็ดในระบบโรงเรือนและพื้นที่หลังฤดูทำนา จะเป็นวิทยากรจากกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่แตงโมไร้เมล็ดที่จะมาถ่ายทอดเทคนิควิธีการในการผลิตแตงโมไร้เมล็ดให้ทุกคนได้เห็นและเรียนรู้แบบถามคำตอบคำไม่มีการหมกเม็ดข้อมูล และสถานีสุดท้ายสถานีการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ ซึ่งสถานีนี้จะมีทั้งการแนะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกษตรกรได้เห็นว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสินค้าเกษตรของตนเองเพื่อต่อยอดผลผลิตให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น สามารถสร้างแบรนด์ของตนเองได้ รู้จักช่องทางการตลาดใหม่ ๆ ในโลกออนไลน์ และการติดต่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งสินค้าเกษตรให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังมีการเปิดตลาดเกษตรเพื่อให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร กลุ่มส่งเสริมอาชีพ smart farmer และ young smart farmer ได้นำสินค้าเกษตรที่ตนเองผลิตและแปรรูปมาวางจำหน่ายอีกด้วย