วันที่ 30 เมษายน 2564 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายแพทย์มานพ ฉลาดธัญญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายแพทย์สมโภชน์ กังวานธีรวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม และพลตำรวจตรี ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อโควิด -19 ของจังหวัดนครพนม ที่วันนี้มียอดสะสมเพิ่มขึ้นอีก 2 ราย รวมทั้งสิ้น 102 ราย โดยมีผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 24 ราย เสียชีวิต 1 ราย และอยู่ระหว่างการรักษา 77 ราย
โดยในวันนี้ทางจังหวัดนครพนมยังคงเน้นย้ำถึงการใช้มาตรการเชิงรุก ที่ต้องค้นหาให้ไว เจอให้เร็ว รักษาให้ทัน เพราะที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดจากคลัสเตอร์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยหลังจากนี้คาดว่าจะมีเคสพบผู้ป่วยติดเชื้อในลักษณะประปราย เนื่องจากจะมีประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงเดินทางกลับภูมิลำเนาของตนเอง โดยได้มีการสั่งการในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นอีก เช่นในพื้นที่เทศบาลเมืองนครพนม ที่มีลักษณะเป็นชุมชนเมือง ก็ให้มีการแบ่งโซนเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เคาะประตูบ้านสแกนหาคนที่มาจากพื้นที่เสี่ยงเพื่อทำการตรวจคัดกรองหาเชื้อและให้กักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน ส่วนที่สนามบินก็จะให้ตรวจคัดกรองผู้โดยสารขาเข้าทันทีที่ลงจากเครื่อง ทั้งนี้ได้มีการขอความร่วมมือไปยังประชาชนในการช่วยเป็นหูเป็นตาร่วมกันเฝ้าระวังป้องกัน และแจ้งข้อมูลผู้ที่มาจากพื้นที่เสี่ยงแล้วไม่ปฏิบัติตามมาตรการให้เจ้าหน้าที่ได้ทราบด้วย ส่วนตัวของผู้ป่วยติดเชื้อก็ขออย่าได้ปกปิดข้อมูลไทม์ไลน์ของตนเองเพราะนั้นมีเคสในวันนี้ที่ผู้ป่วยก่อนหน้าปกปิดข้อมูลทำให้ญาติอันเป็นที่รักได้รับเชื้อตามไปด้วย ซึ่งการปกปิดข้อมูลนอกจากจะทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้นแล้ว บุคคลข้างเคียงก็กลายเป็นกลุ่มเสี่ยงเพิ่มตามไปด้วยทั้งยังก่อให้เกิดความเสี่ยงกับบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็น หมอ พยาบาล ผู้ปฏิบัติงานรวมไปถึงคนในชุมชน ซึ่งเชื้อไวรัสโควิดสายพันธ์ UK เป็นสายพันธ์ที่ติดง่าย มีความรุนแรงและบางรายไม่แสดงอาการซึ่งตรงนี้จะมีโอกาสส่งต่อเชื้อไปยังบุคคลใกล้ชิดได้วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564
จ.นครพนมเน้นมาตรการเชิงรุกคุมโควิด พร้อมเปิดสายด่วนรับแจ้งผู้ติดเชื้อและเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการสวมแมสนอกเคหะสถาน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น