นายไพวัลย์ ต้นใหญ่ เกษตรกรบ้านนาหลวง ตำบลท่าค้อ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า สำหรับโคก หนอง นา ที่ตัวเองทำอยู่นี้ เริ่มแรกต้องมีการปรับปรุงบำรุงดินใหม่ เนื่องจากดินไม่ค่อยมีแร่ธาตุ ซึ่งพอเข้าปีที่ 2 ก็เริ่มได้ผลผลิตที่มากขึ้น เนื่องจากไปอบรมการทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพมา ก็นำมาใช้กับแปลงเกษตร โดยผลผลิตที่ได้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น ปลา ข่า ตะไคร้ กล้วย และพืชชนิดอื่น ๆ สำหรับการเลี้ยงปลานั้นจะเลี้ยงไว้ประมาณ 2,000 – 3,000 ตัว ก็ทยอยจับขายไปเรื่อย ๆ
แต่ที่ดีใจมากที่สุดคือสามารถแบ่งปันต้นพันธุ์ ของพืชที่เกิดขึ้นมาให้กับเพื่อนบ้านเอาไปปลูก จนปัจจุบันมีประมาณ 30 ครัวเรือนที่ทำแบบนี้ ซึ่งแต่ก่อนพื้นที่หัวไร่ปลายนาแถวนี้ไม่ค่อยมีคนอยากออกมาอยู่ แต่พอมาทำการเกษตรก็ออกมานอนเฝ้า มาดูแล ทำให้เป็นการขยายเครือข่ายออกไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันตนเองก็พยายามที่จะไปเรียนรู้จากเพื่อนเกษตรกรด้วยกันที่ทำ โคก หนอง นา เป็นการไปขอคำแนะนำ เทคนิค วิธีการ ว่าควรทำอย่างไรให้ได้ผลผลิตสูงสุด ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ซึ่งกันและกันในทุกๆ เรื่อง ทำให้สามารถนำมาปรับปรุงพัฒนาแปลงเกษตรของเรา เช่น การเลี้ยงปลาที่ใช้เวลาน้อยแต่ได้ปลาที่ตัวใหญ่ เราก็ต้องมีการตรวจคุณภาพน้ำ การดูแลเรื่องอาหาร ซึ่งแต่ก่อนจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ ปัจจุบันกลุ่มที่ทำ โคก หนอง นา ในพื้นที่ใกล้เคียงกับตัวเอง จะมีอยู่ประมาณ 4 แห่ง ก็จะใช้วิธีรวมกันทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ แล้วแบ่งกันใช้ ซึ่งขั้นตอนการทำก็เหมือนที่ได้ไปอบรมมา แต่ก็จะนำเอาประสบการณ์ที่ผ่านมา มาปรับปรุงสูตรปุ๋ยของตัวเองให้เข้ากับพื้นที่ เพราะดินแต่ลแปลงจะมีแร่ธาตุไม่เหมือนกัน ถ้าเรานำดินไปตรวจว่ารู้ว่าควรเพิ่มสารอะไรในดิน จะทำให้ดินมีแร่ธาตุที่สมบูรณ์ ต้นไม้ที่ปลูกจะเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ สำหรับการปลูกพืชตัวเองจะเน้นไม่ปลูกเยอะ แต่ให้มีความหลากหลายของชนิด เพราะอยากให้มีทุกอย่างอยู่ในแปลง โคก หนอง นา ทำให้เรามีพออยู่พอกิน เหลือก็แบ่งปันเพื่อนบ้าน เวลามีงานบุญในหมู่บ้านก็สามารถนำผลผลิตจากแปลงไปช่วยงานได้ ส่วนรายได้ที่เกิดจากแปลง โคก หนอง นา ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 300 บาท เช่น เมื่อวานขายพริกไป 4 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 80 บาท แค่นี้ก็อยู่ได้แล้ว โดยทุกวันนี้จะเป็นการขายแบบออนไลน์มีออเดอร์มาก็จะเก็บผลผลิตไว้รอ ซึ่งลูกค้าจะมารับถึงที่ เพราะเราขายแบบให้คนที่มาซื้อสามารถนำไปขายต่อแล้วมีกำไร พูดง่าย ๆ คือ เอาพออยู่ เพราะต้นทุนการผลิตของเราไม่สูง เราไม่ได้เน้นปุ๋ยเคมี เราเน้นการเกษตรแบบอินทรีย์ อีกทั้งปัจจุบันนี้ลูกหลานที่ไปอยู่กรุงเทพ ที่มีการขายผลผลิตทางการเกษตรไปตามร้านค้าคนไทยในต่างประเทศ ก็มีออเดอร์สั่งจองข่าแห้งเข้ามาสัปดาห์ละ 210 กิโลกรัม โดยจะมารับทุกอาทิตย์ ตอนนี้จึงต้องพยามขยายการปลูกเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะมองว่าคงมีผลผลิตไม่เพียงพอต่อออเดอร์ที่สั่งมาอย่างแน่นอน นอกจากนี้ก็ยังมีการไปหาผลผลิตจากแปลงเกษตร คนที่ทำ โคก หนอง นา ด้วยกัน หรือแม้กระทั่งจากชาวบ้านที่ปลูกแต่ไม่ถึงขนาดเป็น โคก หนอง นา ก็เอาผลผลิตทุกคนมารวมกันจำหน่าย ซึ่งพอเรารวมกลุ่มกันได้ทุกคนก็มีรายได้ที่แน่นอน เกิดเป็นความยั่งยืน ที่ทำให้ทุกครอบครัวในชุมชนมีความสุขวันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2565
วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2565
พ่อเมืองนครพนม นำบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองก่อนเริ่มงานประเพณีไหลเรือไฟ 2565
วันที่ 29 กันยายน 2565 ที่บริเวณศาลหลักเมืองจังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีบวงสรวงกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เพื่อ ความเป็นสิริมงคลและขอพรให้คอยปกป้องคุ้มครองทุกคนให้มีความปลอดภัยก่อนเปิดงานประเพณีไหลเรือไฟ ประจำปี 2565 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1-11 ตุลาคม 2565 ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนมและบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง เลียบถนนสุนทรวิจิตร อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
สำหรับงานประเพณีไหลเรือไฟในปีนี้ ถือเป็นการกลับมาจัดให้ยิ่งใหญ่อีกครั้งหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยชาวจังหวัดนครพนมได้มีการบูรณาการร่วมแรงร่วมใจกัน สืบสานประเพณีอันเก่าแก่และงดงามในช่วงวันออกพรรษา ตามความเชื่อที่ว่า การไหลเรือไฟเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธองค์ประทับไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมเทศนา โปรดพญานาคที่เมืองบาดาล รวมถึงเป็นการระลึกถึงพระคุณของแม่น้ำโขง ที่ทุกคนได้ใช้เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตมา ทั้งเป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินลงไป โดยมีเรือไฟขนาดใหญ่ที่ร่วมกันสร้าง ทั้งสิ้น 12 ลำ ประกอบไปด้วย ขนาดความยาว 60 เมตร จำนวน 4 ลำ ขนาด 65 เมตร 2 ลำ ขนาด 69 เมตร 2 ลำ ขนาด 70 เมตร 3 ลำ และขนาดใหญ่สุด คือ 80 เมตร จำนวน 1 ลำ โดยแต่ละลำจะมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะตัว ที่สอดแทรกเรื่องราวของวิถีชีวิตคน ประเพณี วัฒนธรรมและความเชื่อของคนในท้องถิ่น รวมถึงการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาเสริม เพื่อประดับตกแต่งเรือไฟ ให้มีความสวยงาม ยิ่งใหญ่ตระการตานอกจากตะเกียงไฟนับหมื่นดวง เพื่อให้เกิดความประทับใจกับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือน นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงาน ได้ร่วมสนุกและสัมผัสบรรยากาศเก็บความทรงจำดี ๆ ไม่ว่าจะเป็น เรือไฟโบราณที่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนไม่ร่วมสะเดาเคราะห์ อธิฐานขอพร ด้วยการประดิษฐ์เรือไฟขนาดเล็กไปวางในเรือไฟโบราณ ที่เมื่อประกอบพิธีเสร็จจะมีการนำไปไหลลอยกลางแม่น้ำโขงเช่นเดียวกับเรือไฟขนาดใหญ่ การรับชมการประกอบพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ พิธีรำบูชาพระธาตุพนม การแสดงศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชนเผ่า การเดินแบบผ้าไทย การประกวด To Be Number One การประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง การแสดงดนตรีของศิลปินชื่อดัง การแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน การออกร้านจำหน่ายสินค้า OTOP และสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดนครพนม รวมถึงกิจกรรมกาชาดเพื่อหารายได้ไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ในพื้นที่วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2565
เทศบาลเมืองนครพนม สร้างแผนสำรองรับมือพายุโนรู ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมในหลายจุด
มทบ.210 จัดกิจกรรมวันพระราชทานธงชาติไทย ครบรอบ 105 ปี
วันที่ 28 กันยายน 2565 ที่อาคารอเนกประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม พลตรี สถาพร บุญชู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 พร้อมด้วยนางจีระนุช บุญชู ประธานสมาคมแม่บ้าน ทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 210 นำคณะผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกำลังพลของมณฑลทหารบกที่ 210 และ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะครู นักเรียน นักศึกษาวิชาทหาร ชมรมข้าราชการบำนาญ และชมรมผู้สูงวัยในพื้นที่ จัดกิจกรรมวันพระราชทานธงชาติไทย ครบรอบ 105 ปี 28 กันยายน 2565 ด้วยการปลูกจิตสำนึกและถ่ายทอดความรู้ให้ กำลังพลมณฑลทหารบกที่ 210 บุคลากรสถานศึกษา เยาวชนและคนในชุมชนให้ได้เห็นถึงความสำคัญของสถาบันชาติ ร่วมกันแสดงความเคารพธงชาติ แสดงออกถึงความภาคภูมิใจของคนในชาติ ทั้งเป็นการน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ได้ทรงพระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ความเป็นไทยที่มีเอกราช ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นหรืออาณานิคมของชาติใด อันเนื่องมาจากความเสียสละของบรรพบุรุษไทย ทุกยุคสมัยในการปกป้องรักษาแผ่นดิน ให้คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
โดยประเทศไทยมีการใช้ธงชาติมานานนับหลายร้อยปี มีวิวัฒนาการเรื่อยมา จนปัจจุบันเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 6 ส่วน ยาว 9 ส่วน แบ่งด้านยาวออกเป็น 5 แถบ แถบตรงกลางเป็นสีน้ำเงินแก่กว้าง 2 ส่วน ถัดจากแถบสีน้ำเงินแก่ทั้ง 2 ข้าง เป็นสีขาวกว้างข้างละ 1 ส่วน และต่อจากแถบสีขาวทั้ง 2 ข้างเป็นแถบสีแดงกว้างข้างละ 1 ส่วน โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงกำหนดความหมายของสีธงไตรรงค์ แบบไม่เป็นทางการในพระราชนิพนธ์ เรื่องเครื่องหมายแห่งไตรรงค์ไว้ว่า สีแดงหมายถึงเลือดอันยอมพลีให้แก่ชาติ สีขาวหมายถึงความบริสุทธิ์แห่งธรรมะอันเป็นหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา สีน้ำเงินหมายถึงสีส่วนพระองค์ขององค์พระมหากษัตริย์ โดยต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้มีบันทึกเรื่องธงชาติ โดยให้ยึดเอาธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทยตั้งแต่นั้นมาเพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดความสับสนกับต่างประเทศ และจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงธงชาติบ่อย ๆ และได้กำหนดความหมายของธงไตรรงค์ให้ชัดเจนแต่ครอบคลุมอุดมการณ์เดิมของรัชกาลที่ 6 เอาไว้ คือ สีแดงหมายถึงชาติ (ประชาชน) สีขาวหมายถึงศาสนา (ไม่ได้เน้นศาสนาใดโดยเฉพาะ) และสีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งความหมายนี้ก็ใช้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันจ.นครพนม ประกอบพิธีเคารพธงชาติน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและสร้างความภาคภูมิใจ เนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย
วันที่ 28 กันยายน 2565 ที่บริเวณหน้าศาลาลกลางจังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำข้าราชการจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีเคารพธงชาติ เนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย และสร้างความภาคภูมิใจของคนในชาติ
โดยประเทศไทยมีการใช้ธงชาติมานานนับหลายร้อยปี มีวิวัฒนาการเรื่อยมา ธงชาติไทยผืนแรกเป็นธงพื้นสีแดงเกลี้ยงใช้เป็นสัญลักษณ์ในการติดต่อค้าขายทางเรือกับต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ เริ่มใช้ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา กระทั่งถึงปี พ.ศ. 2398 ได้เปลี่ยนเป็นธงพื้นแดงมีรูปวงจักรสีขาวตรงกลาง เป็นธงพื้นแดงมีรูปช้างเผือกอยู่ข้างในวงจักรสีขาวตรงกลาง เป็นธงพื้นแดงมีรูปช้างเผือกหันหน้าเข้าหาเสาธงอยู่ตรงกลาง เป็นธงพื้นแดงมีรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนบนแท่นหันหน้าเข้าหาเสาธงอยู่ตรงกลาง เป็นธงแดงขาว 5 ริ้ว และเปลี่ยนเป็นธงไตรรงที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันกล่าวได้ว่า ธงชาติไทย ในแต่ละยุคสมัยมีบทบาทสำคัญต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในยุคนั้น ๆ ที่คนรุ่นหลังควรศึกษาและเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงมีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ 28 กันยายน ของทุกปี เป็น วันพระราชทานธงชาติไทย (Thai National Flag Day) เพื่อระลึกถึงความเป็นมาของธงชาติไทย โดยเริ่มปีแรกในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560ธงชาติไทย หรือธงไตรรงค์ ในปัจจุบัน เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 6 ส่วน ยาว 9 ส่วน แบ่งด้านยาวออกเป็น 5 แถบ แถบตรงกลางเป็นสีน้ำเงินแก่กว้าง 2 ส่วน ถัดจากแถบสีน้ำเงินแก่ทั้ง 2 ข้าง เป็นสีขาวกว้างข้างละ 1 ส่วน และต่อจากแถบสีขาวทั้ง 2 ข้างเป็นแถบสีแดงกว้างข้างละ 1 ส่วน โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงกำหนดความหมายของสีธงไตรรงค์แบบไม่เป็นทางการในพระราชนิพนธ์ เรื่องเครื่องหมายแห่งไตรรงค์ไว้ว่า สีแดงหมายถึงเลือดอันยอมพลีให้แก่ชาติ สีขาวหมายถึงความบริสุทธิ์แห่งธรรมะอันเป็นหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา สีน้ำเงินหมายถึงสีส่วนพระองค์ขององค์พระมหากษัตริย์ โดยต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้มีบันทึกเรื่องธงชาติ โดยให้ยึดเอาธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทยตั้งแต่นั้นมาเพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดความสับสนกับต่างประเทศ และจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงธงชาติบ่อย ๆ และได้กำหนดความหมายของธงไตรรงค์ให้ชัดเจนแต่ครอบคลุมอุดมการณ์เดิมของรัชกาลที่ 6 เอาไว้ คือ สีแดงหมายถึงชาติ (ประชาชน) สีขาวหมายถึงศาสนา (ไม่ได้เน้นศาสนาใดโดยเฉพาะ) และสีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งความหมายนี้ก็ใช้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันวันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2565
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทานมอบช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยอำเภอเรณูนคร
วันที่ 27 กันยายน 2565 ที่จังหวัดนครพนม ว่าที่ร้อยตรี ภูมิศักดิ์ ขำปู่ นายอำเภอเรณูนคร เป็นผู้แทนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทาน ไปมอบให้กับนางสาวอนุรักษ์ คำวัน เพื่อให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นขวัญกำลังใจ ภายหลังบ้านที่อยู่อาศัยเลขที่ 56 หมู่ที่ 6 ตำบลเรณูใต้ อำเภอเรณูนคร เกิดเหตุไฟฟ้าลัดวงจรทำให้บ้านไม้ 2 ชั้นไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง รวมทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ มูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2565 เวลา 12.00 น. โดยมีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและผู้มีจิตอันเป็นกุศลร่วมบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ในครัวเรือน และเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประสบภัย
ว่าที่ร้อยตรี ภูมิศักดิ์ ขำปู่ นายอำเภอเรณูนคร เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยในพสกนิกรของพระองค์ ทรงต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว อันจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและผ่อนคลายความทุกข์ร้อน อีกทั้งเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ประสบอัคคีภัยในครั้งนี้ ให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยความเข้มแข็ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทานมามอบให้ จึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และก็ขอแสดงความเสียใจกับผู้ประสบภัยด้วย โดยตั้งแต่เกิดเหตุขึ้นมา ทุกฝ่ายต่างพยายามให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการช่วยกันดับไฟ การสำรวจประเมินความเสียหายเพื่อหาทางช่วยเหลือ การจัดตั้งศูนย์รับบริจาคเพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับความช่วยเหลือจากภาคส่วนต่าง ๆ โดยปัจจุบันองค์การบริหารส่วนตำบลเรณูใต้กำลังเสนอคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติวงเงินช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าใช้จ่ายช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2560 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2561 วงเงินไม่เกิน 49,500 บาททั้งนี้อยากฝากไปยังพี่น้องประชาชนขอให้ตรวจเช็คระบบไฟฟ้าภายในบ้านให้ดี ไม่ว่าจะเป็น สภาพของระบบไฟฟ้า สายไฟ แหล่งจ่ายไฟฟ้า รวมถึงสภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดที่มีอยู่ภายในบ้าน เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียอย่างเช่นครั้งนี้ ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่ายังใช้ได้อยู่ แต่ตามหลักความเป็นจริงแล้วอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างมีอายุการใช้งาน เพราะฉะนั้นเราต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่ายังใช้งานได้จริง ไม่มีปัญหา หรือถ้าเริ่มมีปัญหาก็ควรซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ เช่น ปลั๊กไฟที่พอใช้งานไปนาน ๆ มีการเสียบและถอดปลั๊กบ่อย ๆ จะเกิดการหลวมของเต้ารับ แม้จะใช้งานได้แต่ก็มีโอกาสหลวมและก่อให้เกิดความร้อนตรงจุดนี้นำมาซึ่งการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ เพราะฉะนั้นถ้าหลวมก็ควรซ่อมแซมให้กลับมามีสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งาน หรือไม่ก็เปลี่ยนใหม่ ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการฝึกพฤติกรรมที่ปลอดภัย เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเพลิงไหม้ภายในบ้านแบบไม่รู้ตัว เช่น การเสียบสายไฟเครื่องใช้ไฟฟ้าทิ้งไว้แม้ไม่ได้ใช้งาน การเก็บสะสมขยะหรือของที่ติดไฟได้ง่ายเอาไว้ภายในบ้านจำนวนมากจนเกินไป หรือแม้กระทั่งการเปิดวาล์วแก็สทิ้งไว้เมื่อไม่ได้ใช้งาน เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ทั้งสิ้นจ.นครพนม หารือเตรียมความพร้อมการจัดงาน One Man and The River หนึ่งคนว่าย หลายคนให้
วันที่ 27 กันยายน 2565 ที่ห้องประชุมพระธาตุนคร ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการจัดงาน One Man and The River หนึ่งคนว่าย หลายคนให้ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 22 ตุลาคม 2565 เพื่อระดมทุนบริจาค จัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลนครพนม และโรงพยาบาลแขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ด้วยการที่พระเอกนักร้องหนุ่ม “โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” จะว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขง จากบริเวณลานพญาศรีสัตนาคราช จังหวัดนครพนม ไปยังวัดพระธาตุศรีโคตรตะบอง เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว และว่ายน้ำกลับ จากบริเวณหาดบ้านนาเมือง แขวงคำม่วน สปป.ลาว มายังลานพญาศรีสัตตนาคราช จังหวัดนครพนม โดยจะมีการถ่ายทอดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านทางสื่อออนไลน์ (Facebook) และรายการทีวี เพื่อให้ประชาชนและแฟนคลับได้รับชม ซึ่งผู้ที่มีจิตอันเป็นกุศลสามารถร่วมบริจาคได้ที่ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (โครงการเทใจ) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เลขที่บัญชี 034-0-04773-2
โดยในการประชุมครั้งนี้เป็นการมอบหมายภารกิจความรับผิดชอบให้กับแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการ เตรียมความพร้อมในเรื่องของความปลอดภัยในกิจกรรม การจัดรถพยาบาลพร้อมทีมแพทย์ พยาบาล ติดตามทีมว่ายน้ำ การจัดตั้งทีมกู้ชีพกู้ภัยเคลื่อนที่เร็วเฉพาะกิจ จัดตั้งหน่วยปฐมพยาบาลและการส่งต่อหากเกิดเหตุสุดวิสัย รวมถึงการวางแผนเผชิญเหตุ ไปจนถึงการจัดเตรียมเวทีสถานที่และจุดต่าง ๆ ที่จะมีกิจกรรม การติดตั้งทุ่นลอยน้ำ การจัดการจราจร และการขออนุญาตข้ามแดน โดยในโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้เน้นย้ำกับเจ้าหน้าที่ทุกคน ในการทำงานขอให้มีความรอบครอบในทุกขั้นตอนการปฏิบัติ ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ต้องคำนึงถึงสัมพันธไมตรีที่มีมาอย่างยาวนานของจังหวัดนครพนมกับแขวงคำม่วน สปป.ลาว ขอให้มีการประสานการดำเนินงานและรายละเอียดทุกอย่างให้ชัดเจน เพื่อให้การปฏิบัติมีความถูกต้องตามระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยทุกคนมีความปลอดภัยวันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2565
สมาคมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครพนม มอบรถเข็นวิวแชร์ 73 คัน ดูแลคนพิการในพื้นที่
วันที่ 26 กันยายน 2565 ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นางกาญจนี รุจนเสรี ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดนครพนม ตลอดจนเจ้าหน้าที่และสมาชิกชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครพนม ร่วมกันส่งมอบรถเข็นวิวแชร์ให้กับนายอำเภอต่าง ๆ เพื่อเป็นตัวแทนนำไปส่งมอบต่อยังผู้พิการในพื้นที่ เป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อปวงชนชาวไทย
โดยกิจกรรมในครั้งนี้เกิดขึ้นจากที่จังหวัดนครพนมได้มีโครงการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง "นครพนม สร้างสังคมอุดมสุข ทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน" ประจำปี 2565 เพื่อให้การช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่ ทั้งเป็นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของครัวเรือนเป้าหมายที่ประสบความเดือดร้อนและยากจนไม่ผ่านเกณฑ์ จปฐ. ปี 2564 ด้านรายได้ ข้อ 22 (รายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 38,000 บาท/คน/ปี) จากระบบการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) ปี 2562 ครัวเรือนเปราะบาง และครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเวทีประชาคม 5 มิติ ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านความเป็นอยู่ ด้านการศึกษา ด้านรายได้ และด้านการเข้าถึงบริการภาครัฐ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการประชุมปรึกษาหารือ และร่วมกันลงพื้นที่สำรวจ หาข้อมูล จนได้ข้อสรุปถึงกลุ่มเป้าสหมายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งทาง สมาคมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครพนม ได้เล็งเห็นว่าผู้พิการหลาย ๆ คนไม่มีรถเข็น ทำให้เวลาที่จะทำอะไรไม่มีความสะดวก อีกทั้งยังต้องเป็นภาระให้กับคนในครอบครัวที่ต้องมาคอยดูแลตลอดเวลาทั้งที่ยังสามารถเคลื่อนไหวช่วยเหลือตนเองได้ ส่งผลให้หลายครอบครัวขาดรายได้ ดังนั้นจึงได้ร่วมกับจังหวัดนครพนมจัดหารถเข็นวิวแชร์ จำนวน 73 คัน มามอบให้ผู้พิการของอำเภอเมืองนครพนม 11 คัน อำเภอธาตุพนม 5 คัน อำเภอนาแก 10 คัน อำเภอเรณูนคร 2 คัน อำเภอโพนสวรรค์ 17 คัน อำเภอนาหว้า 15 คัน อำเภอศรีสงคราม 9 คัน อำเภอนาทม 3 คัน และอำเภอวังยาง 1 คัน เพื่อใช้ในโอกาสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภายในบ้านและการออกไปข้างนอกเพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสภาวะจิตใจของผู้ป่วย และเป็นการลดภาระของผู้ดูแลในครอบครัว เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้ทุกคนมีความสุขมากยิ่งขึ้นวันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2565
จ.นครพนม ประกอบพิธีมอบเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2564-2565
วันที่ 23 กันยายน 2565 ที่บริเวณหอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานอัญเชิญเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2564 -2565 อัญเชิญพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มามอบให้แก่ตัวแทนหมู่บ้านต้นกล้ากองทุนแม่ของแผ่นดินที่มีความเข้มแข็ง สามัคคี และได้ร่วมกันป้องกันยาเสพติดให้หมดไปจากชุมชนของตนเอง นำมาซึ่งความสงบสุข ความปลอดภัยและร่มเย็นในหมู่บ้านชุมชนอย่างต่อเนื่อง มอบประกาศเกียรติคุณแก่คณะกรรมการเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดิน ชุดเดิมที่หมดวาระ และมอบประกาศเกียรติคุณหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินดีเด่นระดับจังหวัด ปี 2565 ให้กับตัวแทนบ้านเหล่าพัฒนา หมู่ที่ 9 ตำบลเหล่าพัฒนา อำเภอนาหว้า จากนั้นร่วมกันประกอบพิธีทอดผ้าป่ากองทุนแม่ของแผ่นดิน ที่ได้ระดมทุนต่อยอดเงินกองทุนแม่ของแผ่นดิน จังหวัดนครพนม เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการดำเนินงานป้องกันปัญหายาเสพติดในหมู่บ้านและชุมชน จำนวน 49,780 บาท
โดยกองทุนแม่ของแผ่นดิน มีจุดเริ่มต้นจากการที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 และได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ผ่านเลขาธิการ ป.ป.ส. โดยมีพระราชประสงค์ให้นำไปใช้สนับสนุนกิจกรรมของราษฎรที่ร่วมกันป้องกันยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชนของตนเอง และสำนักงาน ป.ป.ส. ได้นำพระราชทรัพย์ดังกล่าวมาสมทบกับงบประมาณของสำนักงานจัดตั้งเป็นกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประกอบพิธีพระราชทานเงินกองทุนแม่ของแผ่นดิน ครั้งแรกในปี 2547 เป็นเงินประเดิมเริ่มต้นกองทุนละ 8,000 บาท และได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในปี 2565 ได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เป็นประธานในการพระราชทานเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2564-2565 ภายใต้แนวคิด 90 พรรษาแม่ของแผ่นดิน (ร้อยความรักรวมดวงใจประชาไทยร่มเย็น) ในวันที่ 28 สิงหาคม 2565 ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลน อิมแพ็ค เมืองทองธานี และในโอกาสดังกล่าวนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นผู้แทนหมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดินเข้ารับพระราชทานและในวันนี้จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนม และคณะกรรมการเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดินจังหวัดนครพนม จึงได้จัดพิธีมอบเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดินประจำปี 2564-2565 ขึ้น เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงห่วงใยในปัญหายาเสพติดของประชาชน ทั้งเป็นการกระตุ้นให้แกนนำหมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดิน เกิดความภาคภูมิใจ เกิดอุดมการณ์อันหนักแน่น ในการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินเพื่อสนองพระราชปณิธานแม่ของแผ่นดินวันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2565
ผู้ว่าฯนครพนม นำทีมเยี่ยมให้กำลังใจศิลปินเรือไฟ พร้อมชวนนักท่องเที่ยวสัมผัสเรือไฟ แบบ 3 มิติ
วันที่ 21กันยายน 2565 ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงเลียบถนนสุนทรวิจิตร เทศบาลเมืองนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ศิลปินเรือไฟของแต่ละอำเภอที่กำลังเร่งประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเรือไฟ ไม่ว่าจะเป็น ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ที่ใช้เป็นทุ่นรองรับโครงสร้างเรือไฟที่ทำมาจากไม่ไผ่ โดยใช้ลวด ตะปู และยางรถจักยานยนต์ มาตัดและมัดเพื่อยึดชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกันให้กลายเป็นเรือไฟขนาดใหญ่ ใช้เป็นประทีปพุทธบูชาในช่วงวันออกพรรษา ภายใต้งานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม ประจำปี 2565 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1-11 ตุลาคม 2565
นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ประเพณีไหลเรือไฟเป็นประเพณีเก่าแก่หนึ่งเดียวในโลกที่ชาวนครพนมถือปฏิบัติเป็นประจำทุกปีในช่วงวันออกพรรษา ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านการจัดงานอยู่ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ แต่ในปีนี้ที่สถานการณ์คลี่คลายมากขึ้น ดังนั้นทุกคนจึงได้พร้อมใจกันจัดสร้างเรือไฟที่มีขนาดใหญ่ จำนวน 12 ลำ โดยจากการตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและสอบถามศิลปินเรือไฟ พบว่ามีเรือไฟขนาดต่าง ๆ ประกอบไปด้วย ขนาดความยาว 60 เมตร จำนวน 4 ลำ ขนาด 65 เมตร 2 ลำ ขนาด 69 เมตร 2 ลำ ขนาด 70 เมตร 3 ลำ และขนาดใหญ่สุด คือ 80 เมตร จำนวน 1 ลำ โดยลวดลายของแต่ละลำก็จะมีความเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละท้องถิ่น ที่สอดแทรกเรื่องราวของชุมชนตัวเองเอาไว้แต่แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ในเรื่องของเทคนิคการตกแต่งลวดลายนั้นบอกได้เพียงว่าจะมีการนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีเข้ามาเสริม เพื่อให้เรือไฟที่จัดสร้างมีความสวยงามโดดเด่นตามจินตนาการและการออกแบบที่ได้วางเอาไว้ เพื่อสร้างความประทับใจและความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือน เช่น ของอำเภอนาหว้าจะทำให้เรือไฟในยามค่ำคืน เวลามองเห็นเป็นลวดลายแบบ 3 มิติ ที่ลอยเด่นออกมาจากตัวเรือไฟมุมมองแต่ละมุมจะให้ความรู้สึกที่ต่างกัน ส่วนของอำเภอศรีสงครามที่เป็นแหล่งปลาแม่น้ำโขง ก็จะทำให้ลวดลายเป็นสายน้ำเคลื่อนไหวได้มีปลาแวกว่ายอยู่เหนือน้ำ ส่วนอำเภอโพนสวรรค์ที่ปีนี้จัดสร้างเรือไฟขนาดใหญ่สุด จะมีการประดับตกแต่งลวดลายด้วยตะเกียงไฟมากถึง 25,000 ดวง ส่วนเรือไฟของอำเภออื่น ๆ ก็จะมีจินตนาการที่แตกต่างกันออกไป จึงอยากขอเชิญชวนทุกคนให้ได้มาสัมผัสความงดงามแห่งสายน้ำในครั้งนี้ไปพร้อมกัน โดยการไหลเรือไฟนั้นจะมีการไหลโชว์วันละ 1 ลำ และในวันที่ 10 ตุลาคม 2565 ที่เป็นวันออกพรรษาจะไหลพร้อมกันทั้ง 12 ลำ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ให้ทุกคนได้ร่วมสนุกร่วมสัมผัส ไม่ว่าจะเป็น เรือไฟโบราณที่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนไม่ร่วมสะเดาเคราะห์ อธิฐานขอพร ด้วยการประดิษฐ์เรือไฟขนาดเล็กไปวางในเรือไฟโบราณที่เมื่อประกอบพิธีเสร็จจะมีการนำไปลอยกลางแม่น้ำโขงเช่นเดียวกับเรือไฟขนาดใหญ่ การรับชมการประกอบพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ พิธีรำบูชาพระธาตุพนม การแสดงศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชนเผ่า การเดินแบบผ้าไทย การประกวด To Be Number One การประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง การแสดงดนตรีของศิลปินชื่อดัง การแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน การออกร้านจำหน่ายสินค้า OTOP และสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดนครพนม รวมถึง กิจกรรมกาชาดเพื่อหารายได้ไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ในพื้นที่วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2565
พ่อเมืองนำทีมการันตีความพร้อม เชิญชวนนักท่องเที่ยวสัมผัสความยิ่งใหญ่ประเพณีไหลเรือไฟนครพนม
วันที่ 19 กันยายน 2565 ที่บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นางสาวศุภพานี โพธิ์สุ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม นายนิวัต เจียวิริยะบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม พันตำรวจเอก ชัยพร พงษ์ศักดิ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม นางสาวกนกวรรณ ดุงศรีแก้ว ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานนครพนม นายธนพัต ทีฆธนานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดนครพนม และนายอภิสิทธิ์ คิดโสดา หัวหน้าไปรษณีย์จังหวัดนครพนม ร่วมกันแถลงข่าวความพร้อมในการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม ประจำปี 2565 ไม่ว่าจะเป็น สถานที่จัดกิจกรรม การรักษาความปลอดภัย การจราจร และการอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1-11 ตุลาคม 2565 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเยือนจังหวัดนครพนมในช่วงวันออกพรรษา โดยมีการถอดบทเรียนจากปีก่อนหน้ามาเป็นต้นแบบพร้อมปรับปรุงพัฒนาแก้ไขในส่วนที่บกพร่องให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
โดย 2 ปี ก่อนหน้านี้ จังหวัดนครพนมมีการจัดกิจกรรมไหลเรือไฟ เพื่อสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ไม่สามารถจัดให้ยิ่งใหญ่ได้ เนื่องด้วยปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด แต่พอปีนี้สถานกาณ์คลี่คลาย จึงได้บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมกันจัดมหกรรมที่ยิ่งใหญ่นี้อีกครั้ง มีการสร้างเรือไฟขนาดใหญ่ จำนวน 12 ลำ โดยลำที่มีขนาดใหญ่สุดปัจจุบันมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 84 เมตร ส่วนความสูงอยู่ที่ประมาณ 26 เมตร ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเร่งสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ ถ้านักท่องเที่ยวมาในช่วงนี้จะได้เห็นและสัมผัสกับบรรยากาศและกรรมวิธีในการสร้างเรือไฟ ที่มีความละเอียดอ่อนในทุกขั้นตอนของการสร้าง ไม่ว่าจะเป็น การมัดขึ้นโครงสร้างเรือไฟจากไม้ไผ่นับหมื่นๆลำ การทำตะเกียงไฟมาประดับเรือไฟซึ่งแต่ละลำจะใช้ตะเกียงไฟไม่น้อยกว่า 30,000 ดวงเพื่อให้ได้แสงไฟตามลวดลายที่ได้ร่วมกันออกแบบไว้ ไปจนถึงเทคนิคการทำกระทงสายที่ประดิษฐ์จากกะลามะพร้าว แต่ถ้านักท่องเที่ยวมาในช่วงระหว่างวันงานก็จะได้ชมการไหลเรือไฟโชว์คืนละ 1 ลำ พร้อมกับกระทงสาย โดยในคืนวันที่ 10 ตุลาคม 2565 ซึ่งเป็นวันออกพรรษาจะมีการไหลเรือไฟทั้งหมดพร้อมกันรวมกับกระทงสายกว่า 5,000 ดวง กลายเป็นความยิ่งใหญ่ที่งดงามตลอดริมฝั่งแม่น้ำโขง รวมระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่บริเวณหน้าโบสถ์นักบุญอันนา หนองแสง ไปสิ้นสุดที่บริเวณหน้าลานหมู่บ้านชนเผ่าวันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2565
มทบ.210 จัดพิธีอำลาชีวิตราชการทหารประจำการ ประจำปี 2565 ขอบคุณทุกความเสียสละที่มี เพื่อกองทัพบกและประเทศชาติ
วันที่ 16 กันยายน 2565 ที่ค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม พลตรี สถาพร บุญชู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 เปิดเผยว่า นับเป็นวันสำคัญอีกวาระหนึ่งของมณฑลทหารบกที่ 210 เนื่องจากมีเพื่อนข้าราชการทหาในสังกัดมณฑลทหารบกที่ 210 จำนวนหนึ่ง ซึ่งเคยร่วมปฏิบัติภารกิจ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ได้ครบวาระการเกษียณอายุราชการ และเข้าโครงการเกษียณอายุราชการ ที่ต้องอำลาชีวิตราชการทหารไปตามวาระในปีนี้ ซึ่งตลอดระยะเวลาทุกท่านได้รับราชการ ปฏิบัติหน้าที่มากมาย ด้วยความวิริยะอุตสาหะ เต็มกำลังความสามารถ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการเสริมสร้างเกียรติประวัติให้กับมณฑลทหารบกที่ 210 สร้างความมั่นคง และนำพาประเทศชาติให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤตต่าง ๆ ดังนั้น เพื่อเป็นการแสดงความชื่นชม และสดุดีในเกียรติประวัติ คุณงามความดี ของทุกท่าน มณฑลทหารบกที่ 210 จึงได้จัดพิธีอำลาชีวิตราชการทหารประจำการ ให้กับผู้ที่เกษียณอายุราชการและผู้เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2565 รวมทั้งสิ้น 14 นาย โดยมีคณะผู้บังคับบัญชา อดีตผู้บังคับบัญชา สมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 210 ส่วนราชการ กำลังพลมณฑลทหารบกที่ 210 , ร.3 พัน.3 ผู้บริหารสถานศึกษา ชมรมข้าราชการบำนาญค่ายพระยอดเมืองขวาง ชมรมผู้สูงอายุบ้านพระยอดเมืองขวาง พร้อมด้วยครอบครัวผู้เกษียณอายุราชการร่วมเป็นเกียรติโดยพร้อมเพรียงกัน
โดยพิธีอำลาชีวิตราชการทหารประจำการในครั้งนี้ ประกอบพิธีสวนสนามเทิดเกียรติอำลาชีวิตราชการทหารประจำการ และพิธีมอบประกาศเกียรติคุณ เพื่อเป็นเกียรติประวัติให้กับผู้เกษียณอายุราชการและผู้เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุราชการ จากนั้นมัคคุเทศก์น้อยมณฑลทหารบกที่ 210 นำทุกคนเข้าสักการะอนุสาวรีย์พระยอดเมืองขวาง และเยี่ยมชมห้องแสดงพระอัจฉริยภาพของพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรี เพื่อเรียนรู้พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์และประวัติศาสตร์ไทย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ และนำไปถ่ายทอดต่อยังลูกหลานเยาวชนคนรุ่นหลัง ให้ได้ทราบถึงพระราชกรณียกิจได้อย่างครบถ้วนถูกต้องด้านพันโท กริชเพชร โภคา นายทหารอาวุโส ได้เป็นตัวแทนผู้เกษียณอายุราชการและผู้ที่เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุราชการ กล่าวแสดงความรู้สึก ว่าจากการที่พวกกระผมได้รับราชการในมณฑลทหารบกที่ 210 เป็นเวลานาน ซึ่งบางท่านได้รับราชการอยู่ในมณฑลทหารบกที่ 210 ตลอดชีวิตการรับราชการ ทำให้เกิดความรัก ความผูกพัน เปรียบเสมือนเป็นบ้านแห่งหนึ่ง และก่อนที่จะหมดภาระหน้าที่การปฏิบัติราชการในมณฑลทหารบกที่ 210 แห่งนี้ จึงใคร่ขอฝากเพื่อนข้าราชการทุกคนที่ยังรับราชการอยู่ ขอให้ช่วยกันรักษาและพัฒนามณฑลทหารบกที่ 210 ให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป โดยพวกกระผมขอตั้งปณิธานว่า เมื่อใดที่มณฑลทหารบกที่ 210 มีภารกิจหรือกิจกรรมใด ๆ ที่จะให้ร่วมปฏิบัติก็พร้อมที่จะมาร่วมกิจกรรมนั้นด้วยความภาคภูมิใจ และเต็มใจอย่างยิ่ง สำหรับข้อคิดที่ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 ได้ฝากไว้หลังชีวิตราชการที่ได้ปลดภาระหน้าที่ไปแล้วและต้องก้าวเดินต่อไปในวิถีชีวิตใหม่ในฐานะพลเรือน ก็จะขอเป็นศูนย์รวมน้ำใจแห่งความรักใคร่ ความนับถือ เป็นที่พึ่งพาอาศัย เป็นคลังปัญญา และองค์ความรู้ให้กับทุกคน ที่จะนำไปใช้ให้เกิดคุณประโยชน์ต่อกองทัพและประเทศชาติต่อไปวันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565
สกู๊ป โคก หนอง นา การนำพาที่ยั่งยืน สู่ลูกหลานและชุมชน
นายณัฐชา โพนไชยา เกษตรกรบ้านนาราชควาย อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า อย่างที่เห็นว่าโคก หนอง นา ของเรามีการทำอยู่ประมาณไร่กว่า มีการปลูกในส่วนของพืชผักกินได้ตามสโลแกนที่ว่า กินทุกอย่างที่ปลูก ปลูกทุกอย่างที่กิน ไม่ว่าจะเป็น ข่า ตระไคร้ ในส่วนของต้นไม้ก็จะมีประเภทของผลไม้มะม่วง มะพร้าว แล้วก็อีกหลายชนิดที่เราปลูกไว้ ในส่วนของสัตว์เลี้ยง เราก็ปล่อยปลาหลากหลายชนิด ตามโคก หนอง นา ตามคลองไส้ไก่ที่ทำไว้ นอกจากนี้ก็ยังมีกบ ในส่วนของสัตว์ใหญ่เราก็วัว ควาย
โคก หนอง นา ที่ได้จริง ๆ จากพระราชดำริของในหลวง ที่ทรงดำรัชและทรงทำให้เป็นต้นแบบ ว่าสิ่งนี้เกิดประโยชน์ ทำให้เราพออยู่ พอกิน พอเพียงและพอประมาณ ซึ่งชุมชนเองที่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของพื้นที่ที่ลดน้อยลง แต่ก็มีอาหารให้รับประทาน มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว เพราะเราสามารถจับปลามารับประทานได้เอง เหลือเราก็แบ่งปัน สุดท้ายก็คือรายได้ที่มาจากการจำหน่าย ซึ่งปัจจุบัน โคก หนอง นา ตรงนี้ได้กลายเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับทุกคนที่สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ มาดูว่าควรทำอย่างไร ผลสัมฤทธิ์ที่ได้จะมากน้อยขนาดไหน เพื่อนำไปปรับปรุงแปลงเกษตรของตนเอง โดยทุกวันนี้ก็จะมีนักเรียนจากโรงเรียนนาราชควายมาดูงาน ก็จะสอนพื้นฐานให้เลย คือ สอนให้ลูกๆ หลาน ๆ รักในธรรมชาติ ซึ่งจะเห็นตั้งแต่ปากทางเข้ามาว่าเมื่อเราปลูกต้นไม้ ที่ว่าปลูก 3 อย่างได้ประโยชน์ 4 อย่าง เป็นอย่างไร นอกจากนี้ก็ยังมีในเรื่องของปุ๋ยที่จะพาทำปุ๋ยหมักว่าทำอย่างไรถึงจะได้คุณภาพ ได้แร่ธาตุอาหารให้กับต้นไม้ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาก็เพื่อที่จะให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้นำกลับไปทำที่โรงเรียน และสุดท้ายเอากลับไปทำที่บ้าน ทำให้พ่อแม่ได้เห็นว่ามาแล้วได้ความรู้นำกลับไปใช้ได้จริง ในส่วนของสารเคมีนั้นในแปลง โคก หนอง นา แห่งนี้จะไม่ใช้เพราะมีการเลี้ยงวัว ควาย และหมู ก็เอามูลสัตว์เหล่านี้มาผสมและทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ด้วยการหมักเป็นปุ๋ยชีวภาพ สุดท้ายเศษอาหารที่เรามีในครัวเรือนเราก็เอามาทำเป็นน้ำหมักที่ผสมกากน้ำตาล และสารที่เป็นแร่ธาตุต่าง ๆ แล้วก็เอามาบำรุงต้นไม้ที่เราปลูกอยู่ทำให้มีการเจริญเติบโตที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งผลผลิตที่ได้ก็จะมีคุณภาพ เช่น มะม่วงเมื่อเรานำมารับประทานจะมีความแตกต่างจากการปลูกที่ใช้สารเคมีทั่วไป ในส่วนของไฟฟ้าก็มีการนำโซล่าเซลล์มาเติมเต็มทั้งระบบแสงสว่างและการปั้มน้ำ เพื่อนำน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้รดต้นไม้และพืชอื่น ๆ ในช่วงฤดูแล้ง เพราะพื้นที่ตรงนี้สูง น้ำไหลลงไปที่ต่ำทำให้ระดับน้ำลดลงไปมาจึงจำเป็นต้องเติมเต็มในส่วนที่หายไป เป็นการผันน้ำขึ้นมาทดแทนน้ำเดิม ซึ่งถ้าไม่ทำแบบนี้ปลาที่ปล่อยไว้ก็อาจจะตายได้รวมถึงพืชผลอื่น ๆ ก็ต้องการน้ำเช่นเดียวกันจ.นครพนม เดินหน้าสร้างสังคมอุดมสุข ทุกช่วงวัย ดูแลผู้พิการอำเภอท่าอุเทน
วันที่ 8 กันยายน 2565 ที่บ้านเลขที่ 10/1 หมูที่ 8 บ้านนาแค ตำบลเวินพระบาท อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางกาญจนี รุจนเสรี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ลงพื้นที่ติดตามเยี่ยมให้กำลังใจนายหลงมา ไตรริน อายุ 68 ปี ผู้สูงอายุพิการขาลีบ ขาอ่อนแรง ที่มีฐานนะยากจนและอยู่ตัวคนเดียว โดยมีรายได้มาจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยคนพิการ และการสานแหเพื่อจำหน่ายตามความต้องการของลูกค้า และเมื่อจังหวัดนครพนมมีการสำรวจเกณฑ์ จปฐ.ปี 2564 ทำให้ไม่ผ่านเกณฑ์รายได้ ข้อ 22 (รายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 38,000 บาท/คน/ปี) ถือเป็นครัวเรือนที่มีความเดือดร้อนจากการทำประชาคม 5 มิติ ได้แก่ ด้านสุขภาพ ความเป็นอยู่ การศึกษา รายได้ และการเข้าถึงบริการภาครัฐ ของระบบการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) จึงจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพื่อขจัดความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ตามโครงการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง "นครพนม สร้างสังคมอุดมสุข ทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน" ประจำปี 2565
โดยการช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งมีทั้งการมอบเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสาร อาหารแห้ง พันธุ์พืชผักสวนครัว สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ตะกร้า จาน ชาม มุ้ง หมอน ผ้าห่ม เครื่องใช้ในครัวเรือนที่จำเป็น เงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย และเงินทุนสำหรับการประกอบอาชีพ นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้ทางอำเภอท่าอุเทนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือดูแลในการตรวจสุขภาพและการให้คำแนะนำด้านต่าง ๆ รวมถึงให้ขอการสนับสนุนรถสามล้อโยกสำหรับคนพิการและไม้เท้าพยุง มาเพิ่มความสะดวกในการที่จะเดินทางไปข้างนอกบ้านให้กับนายหลงมาด้วย ในส่วนของห้องน้ำที่เดิมไม่มีประตูและหลังคาเพื่อปิดบังให้มิดชิด ก็ขอให้ทางอำเภอท่าอุเทนได้บูรณาการร่วมกับทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้ามาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ เพื่อที่จะได้มีห้องน้ำที่เป็นสัดส่วนถูกสุขอนามัยที่ดีจ.นครพนม บูรณาการออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการประชาชนแบบครบวงจรในจุดเดียวอำเภอท่าอุเทน
วันที่ 8 กันยายน 2565 ที่โรงเรียนบ้านม่วงนาสีดา ตำบลเวินพระบาท อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมคณะหัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้ร่วมกันออกให้บริการประชาชนในพื้นที่ห่างไกล สร้างโอกาสการเข้าถึงหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนแบบครบวงจรในจุดเดียว ตามโครงการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม
โดยก่อนที่จะให้บริการประชาชนในพื้นที่ที่มาร่วมงาน ทุกคนได้ประกอบพิธีถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี จากนั้นเป็นการแนะนำส่วนราชการต่าง ๆ ให้กับประชาชนได้รู้จักเพื่อให้สามารถเข้ารับบริการได้อย่างถูกต้องตามความต้องการ โดยในโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ยังได้นำเอานโยบายของรัฐบาลไปถ่ายทอดให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจ เช่น การลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ที่ออกมาช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยเพื่อลดภาระค่าครองชีพ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยได้รับสิทธิหรือคนใหม่ที่อยากได้สิทธิ ต้องมาลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด รวมถึงเรื่องอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนน การสวมหมวกนิรภัย การขับขี่ปลอดภัย ปัญหาในเรื่องของยาเสพติด และการรู้เท่าทันสื่อโซเชียล นอกจากนี้ยังมีการตอบข้อซักถามในเรื่องต่าง ๆ ที่ประชาชนมีข้อสงสัย จากนั้นรวมกันมอบจักรยาน มอบเครื่องแบบลูกเสือและเนตรนารีให้นักเรียนผู้ยากไร้ มอบเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน มอบเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง มอบพันธุ์ปลาให้กับผู้นำชุมชนเพื่อนำไปปล่อยในแหล่งนำสาธารณะ และมอบถุงยังชีพเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมให้กับตรอบครัวผู้ยากจนก่อนที่จะมีการแยกย้ายกันไปใช้บริการหน่วยเคลื่อนที่ต่าง ๆ ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ในพื้นที่โรงเรียนตามความต้องการของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น การเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนทักษะในด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การเลือกใช้พลังงาน การทำบัตรประชาชน การฝากเงินออม การทำประกันสังคม การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไปจนถึงการรับคำปรึกษาคำแนะนำด้านการลงทุน กฎหมาย การสร้างบ้าน การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การรับแจกพันธุ์ต้นไม้ การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ การเลือกซื้อสินค้าราคาถูก สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP และการตรวจสุขภาพเบื้องต้น การทำทันตกรรม การรับคำปรึกษาปัญหาสุขภาพกับบุคคลากรทางการแพทย์ที่มาให้บริการกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนมวันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2565
มทบ. 210 ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์การรับสมัครทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ (กรณีพิเศษ) ด้วยระบบออนไลน์
วันที่ 7 กันยายน 2565 ที่ค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม พลตรี สถาพร บุญชู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 เปิดเผยว่า จากที่กองทัพบกต้องการเดินหน้าพัฒนาการตรวจเลือกทหารกองประจำการ โดยมุ่งสู่ระบบทหารกองประจำการอาสา ทดแทนการเรียกเกณฑ์ให้เป็นรูปธรรมในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงกลาโหม ด้านการปฏิรูปกองทัพและเพิ่มความหลากหลาย รวมถึงสร้างแรงจูงใจให้ชายไทยสมัครเป็นทหาร ดังนั้นจึงมีการเปิดรับสมัครทหารกองเกิน เข้ารับราชการทหารกองประจำการ โดยวิธีร้องขอ(กรณีพิเศษ) ด้วยระบบออนไลน์ขึ้นมา เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนทั่วไป น้อง ๆ นักเรียน นักศึกษาในพื้นที่จังหวัดนครพนม ได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารนี้ได้อย่างทั่วถึง จึงได้มอบหมายให้กำลังพลของมณฑลทหารบกที่ 210 ประกอบไปด้วย ชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือน กำลังพลจิตอาสา และ ทีมแพทย์จากโรงพยาบาล ค่ายพระยอดเมืองขวาง ลงพื้นที่เพื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ รวมถึงมีการให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นและให้ความรู้ด้านสุขอนามัย พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวความคิด ในการดำเนินชีวิต และปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ ที่อยากให้ช่วยเหลือ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่ ว่ามณฑลทหารบกที่ 210 พร้อมที่จะเคียงข้างให้ให้ความช่วยเหลือเมื่อทุกคนเดือดร้อน
สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครได้จะไม่จำกัดวุฒิการศึกษา ไม่จำกัดภูมิลำเนา แต่ต้องเป็นชายไทย อายุ 18-20 ปีบริบูรณ์ ในปี พ.ศ.2566 (เกิดปี 2546-2548) ซึ่งเป็นผู้ที่ยังไม่ถูกเรียกเข้าเป็นทหารกองประจำการ หรือเป็นทหารกองเกินที่มีอายุ 22-29 ปีบริบูรณ์ ในปี พ.ศ.2566 (เกิดปี 2537-2544) ที่เคยเข้ารับการตรวจเลือกทหารแล้ว แต่ไม่ถูกเข้าประจำการ เพราะจับสลากได้ใบดำ หรือคนที่ได้รับการปล่อยตัวเพราะมีคนร้องขอพอ และต้องเป็นผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์ดี ไม่เป็นผู้ที่มีร่างกายที่เห็นชัดว่าไม่สมบูรณ์แต่ไม่ถึงทุพพลภาพ หรือมีอวัยวะพิการทุพพลภาพหรือผิดส่วนแต่อย่างใด หรือมีโรค หรือสภาพร่างกาย หรือสภาพจิตใจซึ่งไม่สามารถจะรับราชการทหารได้ตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2497 ประกอบกับกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยผู้สนใจสามารถสมัครได้ด้วยตนเองทางเว็บไซต์ rcm65.rta.mi.th หรือสมัครได้ที่หน่วยทหารใกล้บ้าน หน่วยสัสดีอำเภอทุกอำเภอตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปถึงวันที่ 29 มกราคม 2566 ซึ่งสามารถเลือกเข้าเป็นทหารกองประจำการได้ถึง 510 หน่วยทั่วประเทศกสทช.ภาค2 และเขต 25 จับมือ ปภ.นครพนม ซ้อมแผนการใช้เครื่องวิทยุคมนาคมรับมือภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน
กสทช.ภาค2 และเขต 25 จับมือ ปภ.นครพนม ซ้อมแผนการใช้เครื่องวิทยุคมนาคมรับมือภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน
วันที่ 7 กันยายน 2565 ที่จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมปฏิบัติการ โครงการซ้อมแผนภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน รูปแบบจำลองสถานการณ์ ประจำปี 2565 ที่สำนักงาน กสทช.ภาค 2 สำนักงาน กสทช.เขต 25 และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานข่ายสื่อสารวิทยุคมนาคมในการปฏิบัติงาน จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ชมรมวิทยุสมัครเล่นเออารอีีซี ชมรมวิทยุสมัครเล่นจังหวัดนครพนม หน่วยกู้ชีพกู้ภัยและหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง จำนวน 75 คน ให้สามารถบูรณาการความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกับการใช้เครื่องวิทยุคมนาคมได้อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน ได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง ทันท่วงทีเป็นการลดการสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้น
นายสัญญา กระจ่างศรี ผู้อำนวยการ กสทช.2 เปิดเผยว่า ในการฝึกอบรมครั้งนี้ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเริ่มตั้งแต่บทบาทหน้าที่ของสำนักงาน กสทช. ที่เกี่ยวกับภัยพิบัติ กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวกับการใช้เครื่องวิทยุคมนาคม การจำแนกเครื่องวิทยุคมนาคม การใช้เครื่องวิทยุคมนาคมแบบสังเคราะห์ความถี่ คลื่นความถี่สำหรับการประสานงานร่วม การขอรับใบอนุญาตวิทยุคมนาคม ในประเภทต่างๆ และความรู้เกี่ยวกับการป้องกันบรรเทาสาธารณภัย การแบ่งระดับภัยพิบัติ การแจ้งเตือนภัย การเตรียมความพร้อม การเผชิญเหตุ การช่วยเหลือหลังเกิดเหตุ ช่องทางการแจ้งขอความช่วยเหลือ พรบ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประเภทของสาธารณภัยที่เกิดในไทย โครงสร้างการจัดการในการบริหารจัดการสาธารณภัยของไทย จากนั้นทุกคนจะได้รับร่วมกันฝึกซ้อมแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในสถานนะการณ์เสมือนจริง รูปแบบการฝึกเฉพาะหน้าที่ table top exercise และ functional exercise เพื่อให้เกิดความพร้อมในการปฏิบัติงานและการรายงานสถานการณ์ภัยพิบัติ
วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2565
นครพนม วันแรกการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐคึกคัก สับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับสถานะโสด
วันที่ 5 กันยายน 2565 ที่บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่จังหวัดนครพนมเปิดให้บริการประชาชนในการรับลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ระหว่างวันที่ 5 ก.ย. – 19 ต.ค. 2565 โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก มีประชาชนเดินทางมาลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิใหม่ ทั้งที่เป็นรายเดิมและรายใหม่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ซึ่งในจุดได้แบ่งการให้บริการออกเป็นชุดคัดกรองประชาชน เพื่อให้ทุกคนได้ดำเนินการกรอกข้อมูลได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ก่อนที่จะนำเอกสารที่ได้ไปยื่นลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่อีกชุดเพื่อลงระบบ
โดยตลอดระยะเวลาที่มีการลงทะเบียน ประชาชนที่เดินทางมาใหม่จะมีความสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับการแยกสถานะของตัวเอง ระหว่างคนโสดกับคนที่มีครอบครัวแล้ว เนื่องจากในการกรอกข้อมูลจะให้ระบุ สำหรับคนที่แต่งงานแล้วแต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นคนโสด รวมถึงถ้ามีบุตรแต่อายุไม่เกิน 18 ปี ให้ภรรยาลงทะเบียนเป็นแต่งงานแล้วมีบุตร ส่วนสามีถ้าไม่ได้จดทะเบียนรับรองบุตรให้กรอกข้อมูลเป็นโสด และถ้าบุตรอายุเกิน 18 ปี ทุกคนจะต้องกรอกข้อมูลเป็นโสด โดยบุตรจะมีสิทธิลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิได้อีก 1 สิทธิ เพราะถือว่าเป็นอีกหนึ่งครอบครัว ส่วนผู้ที่สามีหรือภรรยาเสียชีวิตทำให้เป็นหม้ายให้ลงทะเบียนเป็นคนโสด ซึ่งเมื่อทุกคนเข้าใจในรายละเอียดที่เจ้าหน้าที่อธิบายแล้ว การดำเนินการก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไร ทำให้การดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้อง และแล้วเสร็จด้วยเวลาอันรวดเร็ว นางรัตนาภรณ์ อัศวนุภาพ คลังจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในการรับลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในครั้งนี้จังหวัดนครพนมได้มีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากที่สุด โดยแบ่งจุดให้บริการประจำหน่วย 40 จุด คือ ที่สำนักงานคลังจังหวัดนครพนม ที่ว่าการอำเภอทั้ง 12 อำเภอ ธ.ก.ส. 11 สาขา ยกเว้นสาขาอำเภอวังยาง ธนาคารออมสิน 10 สาขา ยกเว้นสาขาอำเภอนาแกและอำเภอวังยาง ธนาคารกรุงไทย 6 สาขา ได้แก่ สาขาศาลากลางจังหวัดนครพนม สาขานครพนม สาขานาแก สาขาธาตุพนม สาขาเรณูนครและสาขาศรีสงคราม รวมถึงมีการออกหน่วย Mobile เคลื่อนที่รับลงทะเบียนตามจุดต่าง ๆ เพิ่มเติมอีก ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการลงทะเบียนไปแล้วว่าคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิรับลงทะเบียนคือเป็นอย่างไร แต่ละหมู่บ้านสามารถลงทะเบียนได้ที่ไหน วันใด เพื่อให้เกิดการกระจายตัวในการลงทะเบียน ประชาชนได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดและไม่เกิดการกระจุกตัวอยู่ที่จุดเดียว เนื่องจากฐานข้อมูลเดิมของจังหวัดนครพนมมีผู้เคยได้รับสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมากถึง 189,593 ราย และคาดว่าจะมีผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิแต่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดมาลงทะเบียนเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก ทั้งนี้สำหรับประชาชนที่เก่งเรื่องเทคโนโลยีสามารถที่จะลงทะเบียนเองได้ที่ทางเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ http://welfare.mof.go.th และก็ขอขอบคุณทางภาคเอกชนที่แม้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินการแต่ก็มาให้กำลังใจรวมถึงนำน้ำดื่มมามอบให้เพื่อให้ประชาชนได้รับประทานแก้กระหายวันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2565
ชาวตำบลพระซอง นครพนม จัดแข่งเรือยาวสืบสานประเพณีพิชิตความโค้งงอของลำน้ำบัง
วันที่ 2 กันยายน 2565 ที่บริเวณลำน้ำบัง ตำบลพระซอง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนะเสรี ผู้ราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดงานบุญประเพณีแข่งขันเรือยาวตำบลพระซอง ประจำปี 2565 ที่เทศบาลตำบลพระซองร่วมกับประชาชนในพื้นที่ร่วมกันจัดขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เด็ก เยาวชนและประชาชน ได้ร่วมกันอนุรักษ์สืบสานประเพณีการแข่งเรือยาวซึ่งเป็นมรดกวัฒนธรรม ทางสายน้ำที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำของผู้คนและเรือ บนพื้นฐานของความสามัคคี พร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชน และเป็นการบำรุงรักษาศิลปะการแสดง จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป ทั้งเป็นการปลูกฝังความภาคภูมิใจของชาวพระซองสู่สายตานักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่นเปิดโอกาสให้ประชาชนชาวตำบลพระซองได้พักผ่อนหย่อนใจหลังเสร็จสิ้นการปักดำ
โดยการแข่งขันในครั้งนี้ มีทีมเรือยาวในพื้นที่และทีมเรือยาวจากอำเภอต่างๆ ของจังหวัดนครพนม มุกดาหาร และจังหวัดสกลนคร เข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 57 ลำ ใน 5 ประเภทการแข่งขัน คือ ประเภทเรือชายใหญ่ ฝีพายตั้งแต่ 36 - 55 คน ประเภทเรือชายเล็ก ฝีพายไม่เกิน 35 คน ประเภทเรือหญิง ฝีพายไม่เกิน 35 คน (รวมทั้งผู้ชายซึ่งลงได้ไม่เกิน 5 คน) ประเภทเรือในเขตเทศบาล ฝีพายไม่เกิน 35 คน และประเภทเรือผสมของชุมชน ฝีพายไม่เกิน 10 คน (เป็นชาย 5 คน หญิง 5 คน) ซึ่งในการแข่งขันนอกจากจะมีความท้าทายในเรื่องพละกำลังและความสามัคคีของฝีพายที่ต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้ว ยังมีในเรื่องของจังหวะการควบคุมทิศทางของผู้คุมหางเสือเรือ ที่จะต้องควบคุมให้เรือมีระยะห่างที่พอเหมาะพอดีกับแรงส่งของฝีพายในทีมช่วยกันออกแรง เพื่อให้เรือไหลไปตามกระแสน้ำด้วยความรวดเร็วและผ่านพ้นโค้งน้ำที่โค้งงอของลำน้ำบัง ก่อนที่จะเข้าสู่สายน้ำที่เป็นเส้นตรงเพื่อวัดพละกำลังอีกครั้งก่อนที่จะทะยานสู่เส้นชัย ด้วยระยะทางรวมประมาณ 800 เมตรจ.นครพนม มอบเครื่องแบบลูกเสือเนตรนารีให้แก่นักเรียนผู้ขาดแคลน สร้างกำลังใจในการเรียนและแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง
วันที่ 2 กันยายน 2565 ที่โรงเรียนเรณูวิทยาคาร อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม นายชาธิป รุจนะเสรี ผู้ราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม และตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมกันมอบเครื่องแบบลูกเสือและเนตรนารีให้แก่นักเรียนผู้ขาดแคลน ตามนโยบายปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ซึ่งได้เล็งเห็นว่าการแต่งกายด้วยชุดลูกเสือและเนตรนารี เป็นการปลูกฝังความรักความภาคภูมิใจในความเป็นลูกเสือและเนตรนารี อีกทั้งเป็นเครื่องแบบพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบิดาแห่งกิจการลูกเสือไทย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการปลูกฝังอุดมการณ์ลูกเสือ โดยหากผู้ปกครองรายใดมีฐานะยากจนขัดสน ไม่สามารถดำเนินการจัดหาชุดลูกเสือและเนตรนารีให้แก่บุตรได้ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดให้การสนับสนุนช่วยเหลือ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง และเพื่อให้นักเรียนทุกคนได้มีขวัญกำลังใจ ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ประพฤติและปฏิบัติตนเป็นคนดีต่อผู้ปกครอง สังคม และเป็นอนาคตที่ดีของประเทศชาติ
ด้วยวิชาลูกเสือ-เนตรนารี เป็นวิชาพื้นฐานที่สำคัญในการปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันหลักของชาติที่หลอมรวมความเป็นชาติไทย ความสมัครสมานสามัคคี ซึ่งเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานที่สำคัญในการหล่อหลอมให้คนในชาติ มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทำให้บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองรอดพ้นจากภัยทั้งปวง ทั้งยังก่อให้เกิดพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ และเมื่อสังคมปราศจากความขัดแย้งก็จะเกิดความสงบสุข ความรักใคร่กลมเกลียว ความสามัคคีนำมาสู่ความผาสุกในสังคมไทยอย่างยั่งยืนซึ่งที่ผ่านมาจังหวัดนครพนม จึงได้มีการมอบหมายให้แต่ละอำเภอสำรวจเด็กนักเรียนในทุกระดับชั้นในพื้นที่ที่มีฐานะยากจนและไม่สามารถหาเครื่องแบบลูกเสือและเนตรนารีได้ รวมถึงมีการแจ้งให้ผู้บริหารสถานศึกษาทุกแห่งสำรวจและยืนยันข้อมูลเด็กนักเรียนที่ขาดแคลนอีกครั้ง ซึ่งปรากฎว่ามีนักเรียนที่มีฐานะยากจนและขาดแคลนเครื่องแบบลูกเสือเนตรนารีในพื้นที่ 12 อำเภอ รวมทั้งสิ้น 1,893 ราย ดังนั้นจังหวัดนครพนมจึงได้มีการบูรณาการภาคส่วนต่าง ๆ จัดหามามอบให้ โดยในวันนี้เป็นการมอบให้เด็กนักเรียนในอำเภอเรณูนคร จำนวน 20 ราย จากโรงเรียนในพื้นที่ 14 แห่งวันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2565
นครพนม ปล่อยขบวนรณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100% กระตุ้นการขับขี่ปลอดภัยให้ประชาชน
วันที่ 1 กันยายน 2565 ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม (หลังใหม่) นายชาธิป รุจนะเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนนักเรียนนักศึกษา ร่วมกันปล่อยขบวนรถจักรยานยนต์รณรงค์การสวมหมวกนิรภัย 100% จังหวัดนครพนม เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นเตือนให้ประชาชนได้เข้าใจถึงภัยที่เกิดจากพฤติกรรมผู้ขับขี่ที่มีความประมาทเมา เมาแล้วขับ ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด และจากข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุทั่วประเทศพบว่า ร้อยละ 70 ของผู้เสียชีวิตหรือผู้พิการมาจากการใช้รถจักรยานยนต์แล้วไม่สวมหมวกนิรภัย โดยในปี 2565 จังหวัดนครพนมมีผู้เสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์มากถึง 81 ราย และในจำนวนนั้นเป็นผู้ไม่สวมหมวกนิรภัย 74 ราย ทั้งที่การสวมหมวกนิรภัยมีกฎหมายบังคับมานานแล้ว ทั้งยังสามารถลดความรุนแรงของการบาดเจ็บที่ศีรษะได้ถึง 72 % ลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ถึง 39% แต่อัตราการสวมหมวกนิรภัยยังน้อยอยู่ ดังนั้นคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนครพนม จึงได้ดำเนินการรณรงค์การสวมหมวกนิรภัย 100% ขึ้นในวันนี้
ซึ่งการรณรงค์ในครั้งนี้จะมีการขับเคลื่อนทั้งในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับพื้นที่ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดกระแสการสวมหมวกนิรภัยในทุกพื้นที่ สร้างความตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และสร้างมาตรฐานองค์กรแห่งหน่วยงาน สถานศึกษา ห้างร้าน ที่ให้ความสำคัญในการสวมหมวกนิรภัย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ผู้บริหารท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่จะต้องเป็นแบบอย่างให้กับประชาชน ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายที่จะมีทั้งการตั้งด่านกวดขันการสวมหมวกนิรภัยตามเส้นทางต่าง ๆ โดยเบื้องต้นจะเป็นการว่ากล่าวตักเตือนก่อน และหากมีครั้งต่อไปจะดำเนินการตามกฎหมาย.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)

.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)