วันที่ 23 ธันวาคม 2565 ที่ศาลายงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังการแถลงข่าวร่วมกับคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับงานวิจัยวัคซีนเอชเอ็กซ์พี – จีพีโอแวค (HXP – GPOvac) ขนาด 10 ไมโครกรัม ในรูปแบบกระตุ้นขององค์การเภสัชกรรม เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนโควิด – 19 ที่มีการพัฒนาขึ้นมาใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น หลังการทดลองทางคลินิกระยะที่ 2 ประสบผลสำเร็จ และในวันนี้เป็นการเปิดตัวเพื่อเข้าสู่การทดลองทางคลินิก ระยะที่ 3 กับอาสาสมัครอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 4,000 คน หากผลการศึกษาในระยะที่ 3 เป็นที่น่าพอใจ จะสามารถยื่นขึ้นทะเบียนวัคซีนต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ในปี พ.ศ. 2566 และสามารถกระจายวัคซีนสู่ผู้ใช้ได้หลังจากนั้น โดยองค์การเภสัชกรรมมีศักยภาพในการผลิตวัคซีนดังกล่าวประมาณ 5 – 10 ล้านโดส รวมถึงสามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
.jpg)
สำหรับวัคซีนเอชเอ็กซ์พี – จีพีโอแวค (HXP – GPOvac) ขนาด 10 ไมโครกรัมขององค์การเภสัชกรรม เป็นวัคซีนที่พัฒนามาจากนวัตกรรมการตัดต่อเชื้อไวรัสนิวคาสเซิลร่วมกับเทคโนโลยีเฮกะโปรเพิ่มความคงสภาพของโปรตีนส่วนหนาม เป็นแบบเชื้อตายลูกผสม เป็นวัคซีนที่วิจัยกันเองด้วยมาตรฐานระดับโลก โดยมีความร่วมมือกับหน่วยงานระดับโลกในการดำเนินงาน คือองค์กร PATH, Icahn School of Medicine at Mount Sinai (Icahn Mount Sinai) ยอร์ค, University of Texas at Austin (UT Austin) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สนับสนุนงานด้านวิชาการและกำกับคุณภาพงานวิจัย ซึ่งการวิจัยในลักษณะนี้ปัจจุบันมีอยู่ 3 ประเทศ คือ บราชิล เวียดนาม และไทย ซึ่งของเราก้าวหน้ามากที่สุด .jpg)
ส่วนที่ทีมวิจัยเลือกพื้นที่จังหวัดนครพนมเพื่อทำการวิจัย ก็เนื่องมาจากเคยเป็นพื้นที่ที่ทำการวิจัยวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาก่อน ทำให้ประชาชนที่เป็นอาสาสมัครและประชาชนทั่วไปในพื้นที่มีพื้นฐานความเข้าใจในแนวทางการวิจัยและให้ความร่วมมือด้วยดี และหากผลการทดลองสำเร็จจะเป็นวัคซีนที่มีศักยภาพ เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ประเทศไทยเราสามารถผลิตได้เองโดยไม่ต้องพึงพาต่างประเทศ ทำให้ในอนาคตประชาชนชาวไทยสามารถเข้าถึงวัคซีนได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านสาธารณสุขของประเทศ ที่สำคัญคือก่อให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนด้านวัคซีนสำหรับคนไทยทุกคน หากเกิดการระบาดในอนาคต รวมทั้งผลการวิจัยนี้ยังสามารถนำไปต่อยอดและพัฒนาเป็นวัคซีนตัวอื่นๆ ต่อไปในอนาคตได้อีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น