นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า วันนี้วันดีที่ทุกคนได้มาร่วมกันประกอบพิธียกเสาเอกเริ่มการก่อสร้างอาคารสำนักงานกลาง (Main office) ของโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม เป็นโครงการที่มีความสำคัญที่จะมาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้จังหวัดนครพนมเป็น GATE WAY ประตูการค้าของประเทศไทย จากอีสานตอนบนสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ลาว เวียดนาม และจีน ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมคัดแยกสินค้าและกระจายสินค้าไปตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อลดการขนส่งเที่ยวเปล่าทั้งสินค้าที่นำเข้าและสินค้าที่ส่งออกไปต่างประเทศ และด้วยระยะทางที่จังหวัดนครพนมเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศมีระยะทางที่ใกล้มาก ถึงเวียดนามเพียง 170 กิโลเมตร และอีกประมาณ 700 กิโลเมตร ก็ถึงเมืองหนานหนิง มณฑลกว่างซีของจีน ที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่มาก ทำให้ที่ผ่านมามีมูลค่าการนำเข้าและส่งออกสูงมาก และเชื่อว่าในปี 2566 จะมีมูลค่าทะลุแสนล้านบาทอย่างแน่นอน และต่อไปในอนาคตคงจะมีมูลค่าเป็นหลักหลายแสนล้านบาท ซึ่งสินค้าที่ผ่านเส้นทางนี้หลัก ๆ จะเป็นสินค้าทางการเกษตร และสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์
โดยโครงการนี้เป็นโครงการภายใต้แผนพระราชบัญญัติเอกชนร่วมลงทุน จะแล้วเสร็จในปี 2568 เป็นโครงการที่รัฐไม่ต้องแบกรับความเสี่ยง มีมูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท เป็นเอกชนลงทุนโครงสร้าง 300 กว่าล้านในการสร้างคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า รวมถึงเครื่องมือยกขนต่าง ๆ ที่เหลือรัฐช่วยลงทุนให้ในเรื่องของการเวนคืนที่ดินจำนวน 121 ไร่ และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเอกชนได้สิทธิ์ร่วมลงทุนสัมปทาน 30 ปี มีหน้าที่บริหารจัดการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์และการบำรุงรักษาโครงการตลอดระยะเวลาร่วมลงทุน ซึ่งจะต้องลงทุนในส่วนนี้เพิ่มอีกประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท ทั้งยังต้องจ่ายผลตอบแทนคืนให้แก่รัฐประมาณ 300 ล้านบาทตลอดเวลาสัมปทาน ซึ่งเชื่อว่าศูนย์ตรงนี้จะเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าที่ทำให้มูลค้าทางเศรษฐกิจของจังหวัดนครพนมเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด อีกทั้งเป็นการเตรียมพร้อมรองรับเส้นทางรถไฟสายบ้านไผ่-นครพนม ที่จะมาถึงในปี 2570 และทำให้จังหวัดนครพนมเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ เป็นศูนย์กลางทางโลจิสติกส์อีสานตอนบนอย่างแน่นอน โดยเบื้องต้นที่แล้วเสร็จจะสามารถรองรับตู้สินค้าได้ประมาณ 164,000 ตู้ และมีการวางเฟส 2 ที่เอกชนจะสร้างเพิ่มเติมอีกเมื่อปริมาณสินค้าเกิน 80 % หรือเมื่อมีระยะเวลา 15 ปีไปแล้วตามสัญญาด้านนายบวรสินธุ์ ตันธุวนิตย์ กรรมการบริษัท เอสเอซีแอล จำกัด (ผู้ร่วมลงทุน) กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยภูมิศาสตร์จังหวัดนครพนมที่อยู่ตรงกลาง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกได้ว่าจะส่งสินค้าผ่านทางจังหวัดนครพนมไปยังไปเมืองจีนหรือผ่านทางแหลมฉบังเพราะระยะทางที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งศูนย์แห่งนี้คาดว่าจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการขนส่งจากนครพนมไปยังจีน สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด และเชื่อว่าต้นทุนในการขนส่งจะลดลงในอนาคตอย่างแน่นอนเพราะจะมีรถไฟรางคู่มาสนับสนุน นั้นหมายถึงผู้ส่งออกจะได้เปรียบในเรื่องต้นทุนที่ลดลง โดยที่สินค้าเกษตรยังคงมีความสดและใหม่ตลอดเวลา ส่วนสินค้าประเภทอื่น ๆ ที่จะผ่านทางเส้นทางนี้ก็จะมีการขนส่งเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จะส่งมาประกอบที่ไทย และกลุ่มสินค้าอีคอมเมิร์ซที่เป็นสินค้าออนไลน์ ต้องการให้ถึงมือผู้บริโภคโดยเร็วภายใน 2 – 3 วันขณะที่นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวเสริมว่า เส้นทางการคมนาคมจังหวัดนครพนมถือว่ามีประสิทธิภาพที่ตอบรับระบบขนส่งโลจิสติกส์ได้เป็นอย่างดีและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการส่งเสริมการลงทุนที่จังหวัดได้มีการเตรียมพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษไว้ 1,300 ไร่ เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุน การทำสาธารณะประโยชน์ การสาธารณสุข โรงแรมที่พัก และกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ อีกทั้งในอนาคตที่จะมีรถไฟรางคู่สายบ้านไผ่มาสิ้นสุดที่นครพนม จึงเชื่อว่าเมื่อศูนย์แห่งนี้เกิดขึ้นจะเป็นการเสริมศักยภาพของจังหวัดนครพนมให้เติบโตทางด้านเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด บนพื้นฐานของความมั่นคง และคาดว่าจะทำให้พี่น้องประชาชนในภาคอีสานตอนบน ได้รับผลประโยชน์ในอีกหลายด้านอย่างแน่นอนวันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
ม.นอร์ทกรุงเทพฯ ลงพื้นที่นครพนมสร้างแกนนำผู้สื่อข่าว e-reporter ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน น่าเชื่อถือ ตระหนักถึงพิษภัยและใส่ใจสังคม
ผศ.ดร. อนันต์ ธรรมชาลัย คณบดีคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ เปิดเผยว่า ปัจจุบันในยุคดิจิทัล เป็นยุคที่มีความรวดเร็วในการสื่อสาร ใครมีโทรศัพท์ก็สามารถเป็นนักข่าวได้ เพราะสามารถที่จะนำเสนอข่าวและเนื้อหาผ่านช่องทางต่าง ๆ ของตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีใบประกาศ แต่ก็ต้องมีความระมัดระวังและต้องรับความเสี่ยงในเรื่องต่าง ๆ เองทั้งหมด ด้วยมีโอกาสที่จะทำผิดระเบียบ กฎหมาย ข้อบังคับ และละเมิดสิทธิส่วนบุคคล รวมถึงบางครั้งอาจมีการแชร์ข้อมูลที่เป็นเท็จได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างมาก ดังนั้นเพื่อสร้างแกนนำต้นกล้านักข่าวรุ่นใหม่ให้มีความสามารถและมีประสิทธิภาพในการทำงานที่มีอิสระ นำเสนอข่าวที่ตระหนักถึงหลักทางจริยธรรมและศีลธรรม ม.นอร์ทกรุงเทพฯ จึงได้จัดโครงการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้การเป็นผู้สื่อข่าวที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมีความน่าเชื่อถือ สำหรับ E-Reporter ขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
โดยทุกคนที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เกี่ยวกับกฏหมาย PDPD คู่มือกรมทรัพย์สินทางปัญญา พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2558 สื่อ Online ในประเทศไทย จริยธรรมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเกี่ยวกับสื่อใหม่ Fake News การสร้างความน่าเชื่อถือในการนำเสนอข่าว แนวทางการออกแบบและนำเสนอผลงานของผู้สื่อข่าวและหน่วยงานสื่อมวลชนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการรับรู้และกระตุ้นให้สังคมเกิดความสนใจ การเขียนสคริปท์วีดีโอข่าว การถ่ายวีดีโอข่าว และการตัดต่อวีดีโอข่าว โดยตลอดการสังเกตการอบรมในครั้งนี้ จะเห็นว่าทุกคนมีความสนใจเป็นอย่างมากทำให้เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการปฏิบัติจึงได้ผลงานที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งแต่ละคนก็จะได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อนำไปปรับปรุงผลงานให้มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น รวมถึงนำเอาองค์ความรู้ที่ได้รับในวันนี้ไปขยายต่อในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและคนในชุมชนวันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
ส.อ.ท.ลงพื้นที่นครพนม เปิดกล่องของขวัญเพื่อ SMEs สร้างโอกาสและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการในพื้นที่
วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ที่โรงแรมเวลาดี ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานกิจกรรมเปิดกล่องของขวัญเพื่อ SMEs ปี 2566 สัญจรจังหวัดนครพนม ที่สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครพนม ร่วมกับ สถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนความรู้ให้แก่ SMEs และเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs รายใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจ และผู้ประกอบการเดิมที่ต้องการขยายตลาดและพัฒนาธุรกิจให้ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับการประกอบการ นำไปต่อยอดทางการเงิน เพิ่มขีดความสามารถในการผลิต และแสวงหาโอกาสในการขยายตลาดสินค้าและบริการไปสู่ตลาดสากลได้มากยิ่งขึ้น โดยมีนายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสมยศ ชาญจึงถาวร ประธานสภาอุตสาหกรรม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการเงิน ตลอดจนผู้ประกอบการ SMEs ทั้งรายเก่าและรายใหม่ของจังหวัดนครพนมร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก
วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
ประชาชนและนักท่องเที่ยวแห่รวมถ่ายภาพประทับใจ งานวิจิตร@นครพนม นครแห่งความสุขริมฝั่งโขง หลังทราบจะมีการเทสระบบทั้ง 15 จุดครั้งแรก
จิตอาสานครพนม รวมใจบำเพ็ญประโยชน์ปรับภูมิทัศน์พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
วันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนจิตอาสา ร่วมกันพัฒนาปรับปรุงภูมิทัศน์ ตัดตกแต่งกิ่งไม้ดอกไม้ประดับ จัดสวนหย่อม ทำความสะอาดพื้นที่บริเวณโดยรอบ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ตลอดรัชสมัยทรงอุทิศพระองค์บำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อปวงชนชาวไทย และทรงปกครองพระราชอาณาจักรให้มีความมั่นคงและร่มเย็นเป็นสุข ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จประพาสต้นเพื่อสดับตรับฟังทุกข์สุขของปวงพสกนิกรในท้องถิ่นต่าง ๆ มีพระราชดำริพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ทรงนำวิทยาการที่ได้จากการเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนต่างประเทศมาวางรากฐานการพัฒนาประเทศ ทั้งการปฏิรูป การบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูประบบการเงินการคลัง การศึกษา การสาธารณูปโภค และด้วยพระปรีชาสามารถสายพระเนตรอันกว้างไกล ทำให้ประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้าทันสมัยทรงยกเลิกระบบทาส ระบบไพร่ และทรงนำศาสตร์การปกครองของไทยและชาติสากลมาผนวกใช้ในการปกครองพระราชอาณาจักรนำพาชาติบ้านเมืองให้ผ่านพ้นภัยดำรงอธิปไตยและความเป็นเอกราชของชาติไว้ได้อย่างมั่นคง ทำให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรืองพัฒนาไพบูลย์มาจนกาลปัจจุบัน และด้วยพระปรีชาสามารถ พระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น และพระเกียรติยศเป็นที่ประจักษ์แก่นานาอารยประเทศ ทวยราษฎร์ทั้งปวงจึงได้ถวายพระราชสมัญญาว่า พระปิยมหาราช หรือพระพุทธเจ้าหลวง โดยทุกวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี จะมีการประกอบพิธีวางพวงมาลัยถวายราชสักการะเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน
ทั้งนี้พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ของจังหวัดนครพนม เป็นสถานที่ที่ชาวนครพนมสร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงพระองค์ท่าน ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี นครพนม ตำบลในเมือง อำเภอเมือง เป็นรูปหล่อสำริดทรงม้าที่เหมือนกับลานพระราชวังดุสิต หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยในวันนี้จิตอาสาทุกคนได้แบ่งโซนการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ออกเป็น 5 จุดใหญ่เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดโดยรอบ คือบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ บริเวณด้านข้างติดกับศาลหลักเมือง บริเวณด้านข้างที่ติดกับสถานีดับเพลิงเทศบาลเมืองนครพนม บริเวณด้านข้างที่ติดกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม และบริเวณด้านหน้าหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี นครพนมวันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ 908 ลงพื้นที่เรือนจำกลางนครพนม ตรวจเยี่ยมและติดตามโครงการกำลังใจฯ
วันที่ 23 พฤษภาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ 908 และรองประธานกรรมการกองทุนกำลังใจฯ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ และติดตามการดำเนินงานตามโครงการกำลังใจในพระดำริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ของเรือนจำกลางนครพนม โดยมีนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายจรูญ เหง่าลา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้ต้องขัง ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายสรุป
โดยโครงการกำลังใจฯ เป็นโครงการที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงริเริ่มเพื่อประทานความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการโอกาสในสังคมไทย เนื่องด้วยทรงดำริว่า ทุกคนในสังคมจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขก็ต่อเมื่อรู้จักรักษาสิทธิของตน โดยไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น กระบวนการยุติธรรมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ทุกคนเคารพสิทธิของผู้อื่น ซึ่งเมื่อกระบวนการยุติธรรมดำเนินไปจนถึงที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับผลทุกฝ่ายในสังคมก็น่าที่จะได้มีโอกาสอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง แต่กระนั้นในบางครั้ง กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ต้องขัง กลุ่มผู้ถูกคุมประพฤติ หรือผู้ที่เป็นจำเลย กลับมิได้รับโอกาสเท่าที่ควร ในการที่จะกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมส่วนรวม ส่งผลให้บุคคลเหล่านี้ขาดโอกาสที่จะดำเนินชีวิตดังที่ควร ทรงดำริว่าผลงานจากโครงการกำลังใจ จะช่วยให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ตระหนักว่ายังมีผู้ที่เต็มใจจะให้โอกาส และเอาใจช่วยให้พวกเขาสามารถเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ได้ และเมื่อทุกคนได้รับโอกาสที่สมควรแล้วจะต้องรู้จักในการเคารพสิทธิของผู้อื่น ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการกระทำผิด ซ้ำซ้อน และเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านี้กลับมาเป็นประชากรที่มีคุณภาพแล้ว ยังมีส่วนที่จะช่วยให้สังคมส่วนรวมกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขอีกด้วยซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน กระทรวงยุติธรรมได้เปิดโครงการกำลังใจฯ ในเรือนจำต่าง ๆ ทั่วประเทศไปแล้ว 22 แห่ง ได้ให้การช่วยเหลือกลุ่มผู้ต้องขังในเรือนจำทั้งด้านจิตใจ ร่างกาย การส่งเสริมความรู้และทักษะต่าง ๆ เพื่อให้ผู้กระทำผิดสามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิ และไม่หวนกลับมากระทำผิดซ้ำ โดยเรือนจำกลางนครพนมได้น้อมนำพระดำริ มาขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ในปี 2563 เรือนจำกลางนครพนมได้รับพระราชทานโล่รางวัล เรือนจำดีเด่นในโครงการกำลังใจ จำนวน 3 รางวัล คือ รางวัลที่ 1 ด้านนวัตกรรม รางวัลที่ 2 ด้านการฝึกอบรมอาชีพ และรางวัลที่ 3 ด้านแม่และเด็ก และด้านการช่วยเหลือให้ความรู้ด้านกฎหมาย และเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2565 ได้ส่งผลการดำเนินงานเข้าร่วมประกวดเรือนจำ/ทัณฑสถาน ที่เข้าร่วมโครงการกำลังใจฯ ประจำปี 2564 เนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปี โครงการกำลังใจฯ ประกอบด้วย ด้านช่วยเหลือให้ความรู้ทางกฎหมาย ด้านการฝึกอบรมวิชาชีพ ด้านการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย ด้านนวัตกรรม และด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยในโอกาสนี้ในที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนงานโครงการกำลังใจฯ เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้ต้องขังที่กำลังจะพ้นโทษมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสำรวจความต้องการแล้ว พบว่าส่วนใหญ่เมื่อพ้นโทษไปต้องการที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัวตามภูมิลำเนาเดิม และอยากทำงานอิสระมากกว่าไปทำงานตามสถานประกอบการ แม้ปัจจุบันสถานประกอบการในจังหวัดนครพนมจะเปิดโอกาสให้และมีความต้องการแรงงานด้านอาชีพสูง โดยหลังจากนี้เตรียมผลักดันเกี่ยวกับการฝึกอาชีพนวดแผนไทยให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมถึงในเรื่องของการดูแลผู้สูงวัย และอาชีพเฉพาะทางวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
นักปั่น 300 ชีวิต ร่วมปั่นชิลๆ ชมวิวชายโขง สัมผัสบรรยากาศยามเช้าที่นครพนม
วันที่ 21 พฤษภาคม 2566 ที่บริเวณโคกหนองนาโมเดลริมโขง ถนนสวรรค์ชายโขง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดและนำปั่นจักรยาน กับกิจกรรมปั่นชิลๆ ชมวิวชายโขง ที่จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครพนมจัดขึ้น ภายใต้โครงการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวจังหวัดนครพนม ที่ต้องการให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้สัมผัส Unseen เส้นทางจักรยานเลียบแม่น้ำโขงชมวิวรับแสงตะวันรุ่ง เรียนรู้เรื่องสมุนไพร และศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนเมืองเก่าสมัยศรีโคตรบูร ในเช้าวันหยุด ด้วยการปั่นจักรยานเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย
นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า กิจกรรมในครั้งนี้มีระยะทางรวมทั้งสิ้น 20 กิโลเมตรเป็นการปั่นไปกลับตามเส้นทางเดิมที่จะทำให้ทุกคนได้รู้จักกับถนนสวรรค์ชายโขง เส้นทางจักรยานเลียบแม่น้ำโขง ที่ถือเป็นอีกหนึ่ง Unseen ของจังหวัดนครพนม ที่จะให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้สัมผัสกับหมู่บ้านวัฒนธรรมชนเผ่าของนครพนมและความงดงามของวิวทิวทัศน์ริมฝั่งโขงที่สามารถมองเห็นทิวเขาหินปูนฝั่ง สปป.ลาว พร้อมการปั่นจักรยานรับโอโซนอันบริสุทธิ์ในยามเช้า โดยจุดแวะพักจุดแรกจะอยู่ที่ดอนหมากกะทันเป็นจุดสิ้นสุดถนนสวรรค์ชายโขงพอดีมีระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งตรงนี้จะสามารถมองเห็นพระธาตุศรีโคดตะบอง ของเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาวได้พอดี โดยพระธาตุศรีโคตะบองเป็นพระธาตุคู่บุญพระธาตุพนม เป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อกันว่าใครได้ไปนมัสการจะทำให้หน้าที่การงานมีความเจริญรุ่งเรือง และในอนาคตอันใกล้นี้จังหวัดนครพนมก็เตรียมบูรณาการร่วมกับแขวงคำม่วนจัดกิจกรรมปั่นจักรยานไปไหว้พระธาตุศรีโคตะบอง จึงอยากให้ทุกคนได้เห็นทั้งมุมมองในฝั่งไทยก่อนที่จะได้เดินทางไปไหว้ที่ฝั่งลาวจากนั้นทุกคนจะปั่นไปตามถนนทรายถือเป็นการทดสอบความฟิตของร่างกาย เนื่องจากปัจจุบันกำลังมีการก่อสร้างทางจักรยานเพื่อเชื่อมต่อไปยังสวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่เป็นศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพรมากกว่า 50 ชนิด โดยแวะพักจุดนี้ทุกคนสามารถพักถ่ายภาพสวย ๆ กับธรรมชาติและสมุนไพรได้ตามความชอบพร้อมกับการเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ก่อนที่ปั่นไปตามถนนชุมชนมุ่งหน้าสู่ชุมชนเมืองเก่าบ้านหนองจันทร์ (ศรีโคตรบูร) ที่เป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตความเรียบง่ายของชาวนครพนม ด้วยเป็นชุมชนกึ่งชนบทที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง พื้นที่โดยรอบเป็นการทำเกษตรกรรม มีสถานที่สำคัญให้ได้เรียนรู้ศึกษาประวัติศาสตร์ เช่น วัดท่าบ้านหนองจันทร์ ที่เคยเป็นข่าวดังมาก่อนเรื่องจอมปลวกพิสดาร ด้วยผิดจากจอมปลวกทั่วไปคือมีแท่งดินคล้ายเศียรพญานาคโผล่ขึ้นกลางจอมปลวก ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพญานาคแสดงปาฏิหาริย์ วัดป่าแพงศรี ซึ่งเป็นศูนย์รวมน้ำใจและความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งเดิมเคยมีเรื่องเล่าต่าง ๆ นานา ด้วยมักจะขุดพบวัตถุโบราณ ประเภท จาน ไห อยู่บ่อยๆ เพราะเป็นเมืองเก่าสมัยโบราณ ศาลอัญญาพระไซ ศาลเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศรีโคตรบูร เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชุมชน เป็นตัวแทนของเจ้าหัวเมือง ที่มีความกล้าหาญมีความสามารถในการสู้รบปกป้องบ้านเมืองและปราบปรามศัตรู นอกจากนี้ยังมีวัดป่าเมืองเก่า พระธาตุเมืองเก่า (วัดแต้ม) และอื่นๆ อีก
วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
จ.นครพนม สนองพระราชปณิธาน ร.10 ร่วมสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เด็กและเยาวชนผู้ยากไร้ กับกิจกรรม เดิน - วิ่ง เฉลิมพระเกียรติฯ
วันที่ 20 พฤษภาคม 2566 ที่บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดกิจกรรม เดิน - วิ่ง เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันสำคัญที่พระองค์ท่านทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรีและราชอาณาจักรไทย โดยหลังเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติและดำรงพระอิสริยยศ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติราชกรณียกิจหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการศึกษา ทรงส่งเสริมและสร้างโอกาสทางการศึกษา ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชทรัพย์ร่วมสนับสนุนก่อสร้างโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร และทรงรับโรงเรียนไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ พระราชทานวัสดุอุปกรณ์การศึกษาที่ทันสมัยและมอบทุนช่วยเหลือเยาวชนที่เรียนดี ขยันหมั่นเพียร ประพฤติดี มีคุณธรรม แต่มีฐานะยากจนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันเด็กและเยาวชนยังขาดโอกาสทางการศึกษาอีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นกระทรวงมหาดไทยได้กำหนดจัดโครงการระหว่างวันที่ 1-31 พฤษภาคม 2566 เพื่อนำเงินรายได้เข้ามูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯ เพื่อเยาวชนในพระบรมราชินูปถัมภ์และมูลนิธิชัยพัฒนา และจังหวัดนครพนม โดยสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ แสดงออกถึงความจงรักภักดี และสนองพระราชปณิธานพระองค์ท่าน ทำให้เด็กและเยาวชนผู้ยากไร้ได้มีโอกาสทางการศึกษา
โดยกิจกรรมในครั้งนี้มีประชาชนสมัครเข้าร่วมกิจกรรม 472 คน ซึ่งแต่ละคนต่างก็เดินทางมารอตั้งแต่เวลา 05.00 น.โดยหลายคนเลือกที่จะไปเก็บภาพบรรยากาศสวย ๆ ในมุมต่าง ๆ ด้วยเป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังย่ำรุ่ง ที่ให้แสงสีทองอร่ามตัดกับเส้นขอบฟ้าและวิวทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยมีพญาศรีสัตตนาคราชตั้งเด่นเป็นสง่าเป็นพื้นหลัง กระทั่งใกล้เวลา 6.00 น. ทุกคนได้มารวมกันบริเวณหน้าเวทีเพื่อร่วมกันวอร์มร่างกาย จากนั้นประธานในพิธีจึงได้นำทุกคนประกอบพิธีถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นจึงเป็นการปล่อยตัวให้ทุกคนได้เดินและวิ่งไปตามเส้นทางที่กำหนด โดยเริ่มจากลานพญาศรีสัตตนาคราช มุ่งหน้าไปยังสวนเทิดพระเกียรติฯ จากนั้นเลี้ยวซ้ายลงสู่หมู่บ้านวัฒนธรรมชนเผ่า และเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสวรรค์ชายโขง มุ่งหน้าสู่ศาลาแสงสิงแก้ว ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าสู่เส้นทางจักรยานริมฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณหน้าวัดพระอินทร์แปลง และย้อนกลับมายังลานพญาศรีสัตตนาคราช รวมระยะทางทั้งสิ้น 5 กิโลเมตรวันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
นรข. ประกอบพิธีวางพวงมาลาและทำบุญตักบาตร เนื่องในวันอาภากร องค์บิดาของทหารเรือไทย
วันที่ 19 พฤษภาคม 2566 ที่กองบัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงนครพนม อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม พลเรือตรี สมาน ขันธพงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง พร้อมด้วย นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำกำลังพลหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงและประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันประกอบพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ และประกอบพิธีทำบุญตักบาตรบำเพ็ญกุศลแด่พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์บิดาของทหารเรือไทย เนื่องในวันอาภากร ซึ่งตรงกับวันที่ 19 พฤษภาคมของทุกปี ด้วยเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ได้ทรงวางรากฐาน พัฒนากิจการทหารเรือให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง มีความเจริญก้าวหน้าเป็นที่ประจักษ์มาตราบเท่าทุกวันนี้
วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
บรรยากาศหลังปิดหีบเลือกตั้ง นครพนมพรรคเพื่อไทยได้คะแนนบัญชีรายชื่อมากสุด ส่วน ส.ส. เป็นเพื่อไทยและภูมิใจไทย พรรคละ 2 คน
ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศหลังปิดหีบเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม เต็มไปด้วยความสนใจของประชาชนที่มาลุ้นคะแนนว่าใครจะได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และพรรคการเมืองไหนจะได้เป็นตัวแทนคนนครพนม โดยภายหลังปิดหีบเลือกตั้ง นายสมพล พงษ์พิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครพนม ได้ให้ข้อมูลว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยทุกหน่วยเลือกตั้งไม่มีการแจ้งการกระทำผิดใด ๆ ที่เป็นการจงใจกระทำความผิด มีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบ เช่นผู้มีสิทธิไปผิดหน่วยเลือกตั้งแต่ก็สามารถที่จะไปลงทะเบียนที่อีกหน่วยได้ทันเวลา และการตรวจรายชื่อที่เจ้าหน้าที่ตรวจไม่ละเอียดทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งเมื่อมีการตรวจสอบโดยละเอียดแล้วก็สามารถใช้สิทธิได้ตามปกติ ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องมาดูกันว่าจะมีบัตรเสียเท่าไหร่เพราะในปี 2562 มีบัตรเสียค่อนข้างเยอะ 5 เปอร์เซ็นต์กว่า รวมแล้วทั้งจังหวัด 20,000 กว่าใบ ครั้งนี้นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้ขอความร่วมมือส่วนราชการในการช่วยเร่งการประชาสัมพันธ์ก่อนเลือกตั้งประมาณ 2 เดือน ในเรื่องวิธีการกากบาทบัตรเลือกตั้งให้ถูกต้องว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เป็นบัตรเสีย ซึ่งเชื่อว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้จะมีบัตรเสียลดลงเป็นจำนวนมาก
โดยภายหลังปิดหีบและมีการนับคะแนนตามหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ ผลปรากฏคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 1 เป็นของนายภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ ได้คะแนน 44,712 คะแนน ส่วนคะแนนบัญชีรายชื่อเป็นของพรรคเพื่อไทยได้คะแนน 50,429 คะแนน จากที่มีผู้มาใช้สิทธิ จำนวน 100,285 คน ส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 2 เป็นของนางมนพร เจริญศรี ได้คะแนน 39,856 คะแนน ส่วนคะแนนบัญชีรายชื่อเป็นของพรรคเพื่อไทยได้คะแนน 45,200 คะแนน จากที่มีผู้มาใช้สิทธิ จำนวน 99,905 คน ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 3 เป็นของนายอลงกต มณีกาศ ได้คะแนน 41,738 คะแนน ส่วนคะแนนบัญชีรายชื่อเป็นของพรรคเพื่อไทยได้คะแนน 45,945 คะแนน จากที่มีผู้มาใช้สิทธิ จำนวน 97,928 คน และ ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 4 เป็นของนายชูกัน กุลวงษา ได้คะแนน 25,253 คะแนน ส่วนคะแนนบัญชีรายชื่อเป็นของพรรคเพื่อไทย ได้คะแนน 39,708 คะแนน จากที่มีผู้มาใช้สิทธิ จำนวน 99,881 คน ทั้งนี้จังหวัดนครพนมมีบัตรเสีย จำนวน 15,124 ใบ คิดเป็น 3.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งน้อยกว่าปี 2562วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
ผวจ.นครพนม และ ผอ.กกต. เร่งแก้ปัญหาความเข้าใจคลาดเคลื่อน หลังบ้านเลขที่ 1 เป็นเหตุ
วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนที่เดินทางมาใช้สิทธิในหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ กันอย่างต่อเนื่อง โดยที่หน่วยเลือกตั้งที่ 20 เขตเลือกตั้งที่ 2 ตำบลในเมือง อำเภอเมือง ซึ่งสถานที่เลือกตั้งอยู่ที่วัดโพธิ์ศรี ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ด้วยในหน่วยนี้มีบ้านเลขที่ 1 จำนวน 2 หลัง แต่จะอยู่กันคนละซอย ทำให้ผู้ที่มาใช้สิทธิเกิดความเข้าใจผิดหลังมาตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่หน้าหน่วย ด้วยเห็นว่าบ้านเลขที่ 1 ไม่มีชื่อของตัวเอง แต่กลายเป็นชื่อของคนอื่นอีก 4 รายชื่อ ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าบ้านเลขที่ของตัวเองโดนคนอื่นมาสวมสิทธิ จึงได้เดินทางมาสอบถามกับนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และ นายสมพล พงษ์พิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครพนม ที่กำลังตรวจเยี่ยมหน่วยเลือกตั้งที่บริเวณหน้าสำนักงานเทศบาลเมืองนครพนม
โดยเมื่อรับทราบปัญหาดังกล่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครพนม ได้มีการสอบถามรายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้น พร้อมกับขอดูบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อนำหมายเลข 13 หลักมาตรวจสอบผ่านระบบออนไลน์สำนักบริหารการทะเบียน ของกรมการปกครอง ทำให้ทราบว่านายเชิดชายมีสิทธิอยู่ที่วัดโพธิ์ศรี ในลำดับที่ 122 ตรงตามที่มีหนังสือแจ้งไปที่บ้าน จึงได้มีการประสานไปยังหน่วยเลือกตั้งอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบอีกครั้งว่าเหตุใดจึงไม่มีรายชื่อ ทำให้ทราบว่าในหน่วยเลือกตั้งดังกล่าว มีบ้านเลขที่ 1 จำนวน 2 หลัง ในเอกสารรายชื่อที่ติดประกาศ โดยบ้านเลขที่ 1 หลังแรกจะอยู่ที่ซอยศรีเชียงใหม่ มีรายชื่อผู้มีสิทธิ 4 ราย ส่วนบ้านเลขที่ 1 ของนายเชิดชายผู้ร้องเรียนอยู่ที่ซอยพิพิจพจนา และมีเพียงรายชื่อเดียวตรงตามที่เจ้าตัวแจ้ง จึงได้ชี้แจงทำความเข้าใจเพื่อให้ได้กลับไปใช้สิทธิตามปกติ และในโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้มีการสั่งการกำชับไปยังคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งทุกหน่วยในการให้บริการประชาชน ขอให้ตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดให้ดี ให้มีความรอบคอบถี่ถ้วน เช่นรายนี้ แม้จะมีการสอบถามรายละเอียดผู้มาใช้สิทธิแล้ว แต่ไม่ได้ขอดูบัตรประจำตัวประชาชนในขั้นตอนของการตรวจรายชื่อเนื่องจากเข้าใจว่าน่าจะมีบ้านเลขที่ 1 แค่หลังเดียวในหน่วยเลือกตั้งจึงทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนกัน จนผู้มาใช้สิทธิเกิดความตกใจ เข้าใจผิดคิดว่ามีการสวมสิทธิเกิดขึ้นทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ใช่ ส่วนการติดตามเยี่ยมตามหน่วยเลือกตั้งอื่น ๆ ยังไม่พบมีประเด็นร้องเรียนเข้ามาแต่อย่างใดชาวนครพนมออกมารอใช้สิทธิเลือกตั้งคึกคัก สละเวลาให้ผู้พิการใช้สิทธิคนแรก ตามด้วยผู้สูงอายุ
วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนที่เดินทางมารอใช้สิทธิเป็นจำนวนมากในแต่ละหน่วยเลือกตั้ง โดยที่บริเวณหน้าสำนักงานเทศบาลเมืองนครพนม ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครพนม จัดให้เป็นสถานที่ลงคะแนนเลือกตั้งหน่วยเลือกตั้งที่ 11 ของเขตเลือกตั้งที่ 2 โดยในเวลา 7.30 น. นางสาวอุบล คำชาตา อายุ 67 ปี อยู่บ้านเลขที่ 139 ถนนอภิบาลบัญชา ได้มานั่งรอคิวเป็นคนแรก จากนั้นไม่นานครอบครัวของนายแพทย์สมคิด สุรชัย อายุ 65 ปี ซึ่งป่วยพิการต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลาก็เดินทางมารอ ตามด้วยคนอื่นที่มีสิทธิเลือกตั้งในหน่วยนี้ก็มาตรวจสอบบัญชีรายชื่อที่บริเวณหน้าสถานที่เลือกตั้งก่อนและเข้ารอคิวใช้สิทธิ โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการอำนวยความสะดวกตลอดเวลา กระทั่งใกล้เวลาเปิดหีบเจ้าหน้าที่ได้ให้ตัวแทนผู้มีสิทธิจำนวน 2 คน เข้าไปตรวจสอบหีบเลือกตั้งว่าด้านในไม่มีอะไร จากนั้นจึงทำการล็อคหีบพร้อมเซ็นต์ชื่อกำกับ และเมื่อถึงเวลา 8.00 น.ที่เปิดหีบเลือกตั้ง ทุกคนที่มารอคิวล่วงหน้าก่อนเวลาที่มีอยู่ประมาณ 20 คน ก็ได้เสียสละให้นายแพทย์ที่เป็นผู้พิการเข้าไปใช้สิทธิก่อนเป็นคิวแรก ตามมาด้วยผู้สูงอายุที่เดินไม่ค่อยสะดวก จากนั้นจึงทยอยเข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามลำดับ โดยในหน่วยนี้นอกจากจะมีประชาชนทั่วไปมาใช้สิทธิแล้ว ยังเป็นหน่วยที่นายวันชัย จันท์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ก็มาใช้สิทธิด้วย โดยมีรายชื่ออยู่ในลำดับที่ 210 ตามทะเบียนบ้านเลขที่ 160 ถนนสุนทรวิจิตร ซึ่งระหว่างรอคิวก็ได้ฝากสื่อมวลชนกระจายข่าวในการเชิญชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิกันมากๆ เพื่อเลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ใช่ เข้าไปทำหน้าที่ในสภา โดยหลังการหย่อนบัตรเลือกตั้งลงหีบแล้วจะมีการออกเยี่ยมให้กำลังใจและตรวจความเรียบร้อยตามหน่วยเลือกตั้งต่างๆ
นางสาวอุบล คำชาตา เปิดเผยว่า ที่มาก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นคนแรกแต่ด้วยมีธุระต้องเดินทางไปต่างจังหวัดจึงรีบมาใช้สิทธิ สำหรับการเลือกตั้งในครั้งนี้ตนเองรู้สึกปกติ เพราะอายุเยอะแล้ว ไม่รู้จะบอกยังไงกับการเมืองในทุกวันนี้ แต่เมื่อมีสิทธิก็ต้องมาใช้สิทธิตามหน้าที่พลเมืองที่ดี จึงอยากขอเชิญชวนผู้ที่มีสิทธิได้ออกมาใช้สิทธิ เลือกคนที่เราคิดว่าดีที่สุด พรรคดีที่สุด ไม่ต้องเห็นแก่อะไรทั้งสิ้น ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตร 2 ใบ ให้ลงคะแนน คือสีเขียวและสีม่วง ซึ่งก็ต้องไปสอบถามเจ้าหน้าที่อีกครั้งว่าบัตรแต่ละใบใช้เลือก ส.ส. หรือ เลือกพรรคการเมืองขณะที่ลูกชายนายแพทย์สมคิด สุรชัย เปิดเผยว่า พ่อตนเองมีความตื่นเต้นกับการที่จะมาใช้สิทธิในครั้งนี้มาก รบเร้าให้พามาแต่เช้าจึงได้รีบพามา เพราะจะได้ใช้สิทธิเร็วรวมทั้งไม่ก่อให้เกิดความแออัดและลำบากสำหรับคนอื่น ซึ่งเมื่อมาถึงเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกอย่างดีจนแล้วเสร็จทุกกระบวนการเลือกตั้ง
วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
ผู้ว่าฯนครพนม นำทีมลงพื้นที่เยี่ยมและมอบแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งให้ กปน.เลือกตั้ง ย้ำรอบคอบ ถูกต้อง โปร่งใส สะดวก
วันที่ 13 พฤษภาคม 2566 ที่โรงเรียนเทศบาล 4 อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็น 1 ในจุดแจกจ่ายวัสดุอุปกรณ์ประจำหน่วยเลือกตั้ง นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมนายสมพล พงษ์พิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครพนม ปลัดจังหวัดนครพนม ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนม และนายอำเภอเมืองนครพนมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำหน่วยเลือกตั้ง ที่เดินทางมารับวัสดุอุปกรณ์ประจำหน่วยเลือกตั้ง เพื่อนำไปปฏิบัติหน้าที่ในวันพรุ่งนี้ 14 พฤษภาคม 2566 ที่จะเปิดให้ประชาชนชาวจังหวัดนครพนมที่มีสิทธิจำนวน 568,560 คน ได้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง
โดยโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้เน้นย้ำกับคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำหน่วยทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่ต้องมีความรอบคอบ ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามระเบียบ ขั้นตอน วิธีการและกระบวนการของทาง กกต. ซึ่งในวันนี้ขอให้ทุกคนช่วยกันตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์ประจำหน่วยเลือกตั้งที่แจกจ่ายออกไปให้ครบก่อนเซ็นต์ชื่อรับ เพราะถ้ามีการเซ็นชื่อรับไปแล้วจะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำหน่วย และเมื่อรับไปแล้วขอให้หัวหน้าประจำหน่วยเลือกตั้งเก็บรักษาให้ดี เพราะเคยมีกรณีที่รับไปแล้วเอาไว้ในรถแล้วลูกที่บ้านนำรถไปใช้จนเกิดเป็นเรื่องและความวุ่นวายตามมาดังนั้นจึงไม่อยากให้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเก็บรักษาไว้ที่ใดก็ต้องล็อกกุญแจให้แน่นหนา มิดชิด ไม่ให้ใครเข้าไปวุ่นวายกับวัสดุอุปกรณ์ประจำหน่วยเลือกตั้งได้ ส่วนเรื่องต่อมาคือวันพรุ่งนี้ที่มีการเลือกตั้งที่คาดการณ์ว่าพี่น้องประชาชนมีการตื่นตัวจะออกมาใช้สิทธิเป็นจำนวนมาก เห็นได้จากการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 ที่มีผู้มาใช้สิทธิถึง 93 % จึงขอให้หัวหน้าหน่วยได้นำคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งไปปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เช้า เพื่อเตรียมความพร้อมในทุก ๆ ด้านให้เรียบร้อยก่อนเปิดหีบเลือกตั้งในเวลา 8.00 น. รวมถึงเมื่อปิดหีบเลือกตั้งเวลา 17.00 น. แล้ว ที่จะต้องมีการนับคะแนนซึ่งในส่วนนี้ต้องใช้เวลานาน เพราะฉะนั้นจะต้องเตรียมระบบไฟฟ้าแสงสว่างให้ดีมีความพร้อม และสิ่งสำคัญที่ในปีนี้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือบัตรสีม่วงเลือก ส.ส.ของแต่ละเขตเลือกตั้ง โดยทั้ง 4 เขตเลือกตั้งจังหวัดนครพนมจะมีอยู่ประมาณ 10 กว่าคน ส่วนบัตรสีเขียวที่เลือกพรรคการเมืองมีอยู่ 67 พรรคการเมือง ก็อยากให้ได้ชี้แจงประชาชนผู้มาใช้สิทธิให้ดีเพราะอาจสับสนได้ โดยห้ามชี้นำเรื่องหมายเลขโดยเด็ดขาด ในส่วนของการทำเครื่องหมายกากบาทในช่องทำเครื่องหมายให้ทำได้บัตรละ 1 เครื่องหมายเท่านั้น ขณะที่การติดตั้งป้ายไวนิลที่อธิบายจำนวนผู้สมัครและจำนวนพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ให้ไปจะมี 2 ขนาดก็ขอให้เอาไปติดตั้งในที่มองเห็นได้ชัดเจน ในส่วนของบริเวณใกล้กับคูหา 1 ป้าย และที่หน้าหน่วยเลือกตั้ง 1 ป้าย นอกจากนี้ก็ขอให้เตรียมพร้อมสำหรับการอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุ คนพิการให้ดี ให้ได้รับความสะดวกสูงสุดโดยอยู่ภายใต้ระเบียบที่ทำได้ ทั้งให้เตรียมความพร้อมสำหรับการรับมือของฝนและลมกรรโชกที่อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่ด้วย เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยามีการคาดการณ์ว่าจะเกิดลมฝนในหลายพื้นที่วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
โคล้านครอบครัว
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่เลือกมาลงพื้นที่ที่จังหวัดนครพนม เพราะมีวิสาหกิจชุมชนหมู่บ้านดอนพะธาย ซึ่งใช้เงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ในเรื่องของการทำปศุสัตว์และประสบความสำเร็จจากการเลี้ยงโค เอาเฉพาะแนวความคิดหรือการต่อยอด ณ ปัจจุบันสามารถมีรายได้ต่อปีประมาณ 3,000,000 บาท จากการจำหน่ายมูลวัว ทั้งยังมีการตั้งเป้าไว้ภายใน 3 ปีจะทำยอดให้ได้ 15,000,000 บาทต่อปี ซึ่งก็มีออเดอร์สั่งจองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงถือว่าเป็นวิสาหกิจชุมชนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงอีกกองทุน อีกกองทุน มันเป็นอะไรที่วิเศษสำหรับพี่น้องกองทุนอย่างยิ่งที่สามารถต่อยอดไปสู่ความร่ำรวย
พี่น้องคนไทยมีอาชีพเกษตร ส่วนใหญ่ที่ทำเพาะปลูกตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย ก็พงพาแต่หนี้สิน แต่โครงการโคล้านครอบครัวสามารถเปลี่ยนชีวิตที่มีแต่หนี้ ให้สามารถหลุดพ้น และสามารถมีความร่ำรวยได้เป็นโอกาสของลูกหลานคนไทยถ้าหากว่าอยากจะรวยบนแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะไปอยู่หมู่บ้านไหน ตำบลใด ก็สามารถร่ำรวยได้ ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยการเลี้ยงโค ที่เพียงแค่เกี่ยวหญ้าเป็นก็รวยได้แล้ว ไม่ต้องเรียนเก่ง ไม่ต้องมีความพร้อม ไม่ต้องมีที่ดิน เพราะวัวเป็นสัตว์วิเศษที่กินแต่หญ้า 10 เดือนโตถึง 300 กิโลกรัม ออกลูกทุกปี ให้ทุกคนลองคิดดูว่าปริมาณวัวที่เพิ่มขึ้น น้ำหนักวัวที่เพิ่มขึ้นเป็นเม็ดเงินมหาศาลกับครอบครัว สามารถทำให้ลูกหลายไทยที่เป็นแต่แรงงานหรือกินแต่เงินเดือน ถ้าหากคิดอยากร่ำรวยสามารถทำได้ด้วยวิธีง่าย ๆ สามารถมาอยู่กับอยู่บ้าน มาอยู่กับพ่อแม่ เลี้ยงดูปู่ ย่า ตา ยาย ได้ คิดว่าต่อไปลูกหลานคนไทยจะมีอนาคตกับโครงการวัวล้านครอบครัว ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 ในกรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท สามารถปล่อยกู้ให้กับพี่น้องกองทุนได้ครัวเรือนละ 50,000 บาท โดยผ่าน ธ.ก.ส. เพื่อนำไปซื้อโคเพศเมียจำนวน 2 ตัว และนำไปต่อยอดให้เป็นโคล้านครอบครัว ที่จะสามารถทำให้พี่น้องเกษตรกรที่เลี้ยงวัวหลุดพ้นจากความยากจนและรวยได้สพม. นครพนม จัดอบรม 1 โรงเรียน 1 ครูอนามัย สร้างเด็กไทย รอบรู้สุขภาพ เขตตรวจราชการที่ 11
วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ที่โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธานเปิดการอบรม 1 โรงเรียน 1 ครูอนามัย สร้างเด็กไทย รอบรู้สุขภาพ เขตตรวจราชการที่ 11 ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนมจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 11-12 พฤษภาคม 2566 เพื่อมุ่งให้ครูอนามัยมีองค์ความรู้นำไปขยายผลต่อยังนักเรียน ทำให้ทุกคนได้มีทักษะความสามารถในการเสริมสร้างสุขภาพได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เป็นผู้ที่มีสุขภาพกายแข็งแรง มีจิตใจที่ดี ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย เอื้อต่อการเรียนรู้ รวมถึงก่อเกิดความร่วมมือกับเครือข่ายในการขับเคลื่อนการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในสถานศึกษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง มีการพัฒนาและสร้างระบบการเฝ้าระวังสุขภาพและการเรียนรู้ของเด็กวัยเรียนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยมีนายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายพิศูทธิ์ กิติตศรีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม คณะผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามุกดาหารและสกลนครพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1, เขต 2 ศูนย์อนามัยที่ 8 อุดรธานี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม มุกดาหารและสกลนคร คณะครูอนามัยโรงเรียนในเขตตรวจราชการที่ 11 จังหวัดมุกดาหาร สกลนครและนครพนม ร่วมให้การต้อนรับและร่วมกิจกรรม
นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า การพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 พ.ศ. 2565-2570 คือการทำให้เด็กไทยในศตวรรษนี้ เป็นเด็กที่เก่ง ดี มีทักษะ และแข็งแรง ซึ่ง 12 กระทรวงได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานเพื่อทำให้เด็กวันเรียน วัยรุ่น มีความรู้และทักษะที่ครบถ้วน รู้จักคิด วิเคราะห์ รักการเรียน มีสำนึกพลเมือง มีความกล้าหาญทางจริยธรรม มีความสามารถในการแก้ปัญหา ปรับตัว สื่อสาร และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิผลตลอดชีวิต โดยกระทรวงศึกษาและกระทรวงสาธารณสุขได้เน้นให้ความสำคัญกับการดำเนินการด้านการส่งเสริมสุขภาพเด็กวัยเรียน วัยรุ่น ด้วยการส่งเสริมให้โรงเรียนมีพัฒนาการดำเนินงานด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความรอบรู้ด้านสุขภาพ ตลอดจนการเสริมสร้างสมรรถนะครูอนามัยโรงเรียน ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทหลักในการบูรณาการด้านสาธารณสุข และสนับสนุนให้นักเรียนมีสุขภาพดี เติบโตสมวัยทั้งร่างกาย และสติปัญญา มีความพร้อมต่อการเรียนรู้สู่การเป็นประชากรที่มีคุณภาพ เป็นการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมสำหรับชีวิตในศตวรรษที่ที่ 21 โดยปัจจุบันเด็กที่อยู่ในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีอยู่ประมาณปีละ 6,000,000 กว่าคน ในจำนวนนี้ 1,000,000 คน เป็นผู้ที่อยู่ในภาวะอ้วน เตี้ย ผอม ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปดูแลเด็กเหล่านี้เป็นพิเศษเพื่อให้มีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดี อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข และครูอนามัย 126 ท่าน ที่มาเข้ารับการอบรมในวันนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนงานไปสู่จุดหมายด้าน นายพิศูทธิ์ กิติตศรีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม เปิดเผยว่า สำหรับการอบรมภายใต้โครงการ 1 โรงเรียน 1 ครูอนามัย ในครั้งนี้จะมีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ผ่านการเรียนรู้จากวิทยากรผู้เชียวชาญ 4 ฐานสุขภาพ คือ ฐานนาทีชีวิต ที่เป็นการกู้ชีพจรขั้นพื้นฐาน CPR การใช้เครื่อง AED ฐานรอบรู้สุขภาพใจห่างไกลปลอดภัยยาเสพติด ที่เป็นการดูแลสุขภาพใจด้วย School Health Hero ระบบสุขภาพจิตโรงเรียนวิถีใหม่ ประเมิน 9 S Plus การประเมินภาวะซึมเศร้า PHQA การรู้เท่าทันบุหรี่ไฟฟ้า สุรา ยาเสพติด และการป้องกัน ฐานคัดกรองการได้ยิน วัดสายตา ภาวะซีดและวัคซีน HPV และฐานใส่ใจตรวจเต้านม นอกจากนี้ยังจะได้เรียนรู้ผ่านระบบ E-Learning ในอีก 6 ทักษะ ก่อนที่จะไปขยายผลต่อยังครูอนามัยท่านอื่น ๆ ในโรงเรียน รวมถึงนักเรียนในสถานศึกษาของตนเอง คือ ทักษะสุขภาพ ทักษะชีวิต ทักษะสังคม ทักษะการจัดการสภาพแวดล้อม ทักษะเท่าทันด้านเทคโนโลยี และทักษะการจัดการงานอนามัยโรงเรียน
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
ททท. ร่วมกับ จ.นครพนม เตรียมจัดแสดงแสง สี เสียง 3D Projection Mapping กับงาน วิจิตร@นครพนม นครแห่งความสุขริมฝั่งโขง
วันที่ 11 พฤษภาคม 2566 ที่สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นางสาวสรัสวดี อาสาสรรพกิจ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ททท. และนายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม ร่วมกันแถลงการจัดงานวิจิตร@นครพนม นครแห่งความสุขริมฝั่งโขง ที่จะมีขึ้นในเขตเทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม – 4 มิถุนายน 2566 ตั้งแต่เวลา 18.00 – 24.00 น. เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว เพิ่มอัตราการพักค้างคืน และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการและเกิดการหมุนเวียนของรายได้ในพื้นที่
โดยงานดังกล่าวเป็นงานต่อเนื่องจากที่ ททท. จัดงานวิจิตรเจ้าพระยาต้อนรับคณะผู้ที่มาประชุม APEC ที่ในครั้งนั้นได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก จึงได้มีโครงการที่จะจัดงานวิจิตร 5 ภาคขึ้น และในภาคอีสานได้เลือกที่นครพนม โดยผู้ที่พบเห็นจะตื่นตาตื่นใจไปกับแสง สีเสียงที่อลังการอยู่ในถสานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดนครพนม ประกอบไปด้วยพื้นที่ลาน 8 ลาน และอาคาร 7 อาคาร ซึ่งแต่ละแห่งจะมีความสวยงามที่แปลกตาแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ของการจัดงาน จะมีการแสดงพิเศษ 3 จุดใหญ่ที่ใช้เทคนิค 3D Projection Mapping ซึ่งเป็นการนำเอาศาสตร์หลายแขนงมารวมกัน ทั้งเทคนิคการวาดเขียน แอนิเมชัน งานกราฟิก งานสถาปัตยกรรม และงานดนตรี มาประกอบเป็นโชว์ที่ให้ผู้ได้พบเห็นต้องจดจำไปตราบนานแสนนาน โดยจุดแรกคือที่รองอาสนวิหารนักบุญอันนา-หนองแสง ที่จะเป็นการเล่าเรื่องราวเป็นภาพเคลื่อนไหวการ์ตูนชนเผ่าและพญานาคที่ผนังอาคารผ่านลำแสงเครื่อง Laser Projector จุดต่อมาคือลานพนมนาคาจะมีการติดตั้งจอแอลอีดีขนาดใหญ่ที่ตอนกลางวันสามารถมองทะลุผ่านได้เหมือนไม่มีอะไรวางอยู่ตรงนั้น แต่พอมืดจะมีการฉายหนังสั้นเกี่ยวกับนครพนมในอดีต ปัจจุบัน และความรุ่งเรืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจุดที่ 3 หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ จะเป็นการวาดภาพของศิลปินชื่อดังที่เป็นผู้วาดภาพจ่าแซม วีรบุรุษถ้ำหลวงฯ ที่จะมาวาดภาพสดโชว์ให้ทุกคนได้เห็นที่ผนังอาคาร ส่วนวันปกติ ทั้ง 15 จุดจะเป็นแบบ Lighting Up สวย ๆ ให้ทุกคนได้ชมและถ่ายภาพความประทับใจ โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมสีสันบรรยากาศได้ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งยังจะได้ลุ้นโชค 2 ต่อ เพียงท่านสแกนคิวอาร์โค้ดลงทะเบียนเช็คอินครบ 15 จุด จะสามารถมารับของรางวัลได้ทันทีที่ลานพนมนาคาในวันงานและสิทธิต่อมาจะเป็นการลุ้นรับ Gift Voucher บัตรกำนันที่พัก ส่วนลดร้านอาหาร ร้านกาแฟ ค่าเช่ารถจักรยานปั่นเที่ยว ที่ระบบจะสุ่มจากหมายเลขโทรศัพท์ที่ลงทะเบียน วันละ 40 – 50 รางวัล รวม 9 วัน มูลค่า 500,000 บาท ทั้งนี้สามารถติดตามข้อมูลการอัปเดตกิจกรรมได้ทาง Facebook Fan Page : Vijitr วิจิตร นครพนม และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนครพนม โทร. 042 513 490 หรือ TAT Contact Center โทร. 1672 Travel Buddyวันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
ปลัด มท. ชูงานผ้าไทยใส่ให้สนุก ร้อยหลาก พรรณราย ผ้าไทยนครพนม คือจุดกำเนิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวไร่ชาวนาในยุคปัจจุบัน
วันที่ 10 พฤษภาคม 2566 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานเปิดงานผ้าไทยใส่ให้สนุก ร้อยหลาก พรรณราย ผ้าไทยนครพนม ที่จังหวัดนครพนมได้บูรณาการภาคส่วนต่าง ๆ จัดขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์ด้วยการเดินแบบแฟชั่นโชว์ 7 เช็ต 76 คู่ ด้วยชุดที่หลากหลายสไตล์จากการออกแบบให้มีความทันสมัยแต่ลงตัว กระตุ้นให้ทุกคนได้เห็นว่าผ้าไทยสามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาส ทุกวาระ และทุกเพศทุกวัย โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและประธานแม่บ้านพัฒนาชุมชน นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นางสงวน จันทร์พร ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครพนม นายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย ตลอดจนคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มผู้ทอผ้า และประชาชนทั่วไปร่วมกิจกรรม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า งานผ้าไทยใส่ให้สนุก ร้อยหลาก พรรณราย ผ้าไทยนครพนม เป็นงานที่สำคัญยิ่ง ด้วยพระราชปณิธานและพระประสงค์อันแรงกล้าของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน นับเรื่องมาจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จนถึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เป้าหมายอยู่ที่พี่น้องคนไทยทั้งมวล ทรงอยากเห็นคนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนั้นทุกคนที่มาร่วมงานในวันนี้รวมถึงคนที่อยู่ทางบ้านที่มีหัวใจเห็นคุณค่าความสำคัญของผ้าไทย และงานหัตถกรรมไทย ขอจงได้โปรดภาคภูมิใจว่าท่านได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต คือการช่วยเหลือชาวไร่ชาวนาที่อาศัยเวลาว่างในการทำผ้าทุกประเภท ทำงานหัตถกรรมทุกชนิด ให้มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีเพิ่มขึ้น สนองแนวพระราชดำริของทุกพระองค์ ขอจงภาคภูมิใจว่าท่านได้ช่วยสร้างความมั่นคงด้านเครื่องนุ่งห่มแก่ประเทศชาติ ซึ่งเป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่มวลมนุษยชาติถือว่ามีความสำคัญและขาดไม่ได้ เพราะตัวคนเราไม่สามารถปกป้องอุณหภูมิที่หนาวเย็น หรือแดดอันแรงกล้าได้ด้วยผิวหนัง การที่ทุกคนได้อุดหนุนสวมใส่ผ้าไทย เป็นการทำให้ภูมิปัญญาผ้าไทยยังคงอยู่กับลูกหลานตราบนานเท่านาน เพราะได้ช่วยทำให้คนที่มีภูมิปัญญาผ้าไทยรุ่นใหม่ ๆ เกิดขึ้นเนื่องจากเห็นว่าเป็นอาชีพที่มีรายได้ทั้งมีนัยสำคัญตรงกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ได้ให้ทุกคนตระหนักและพึ่งพาตนเอง เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าในอนาคตข้างหน้าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เหมือนเช่นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่ผ่านมา แต่ถ้าเรามีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มวันนี้ก็เป็นหนึ่งในการเตรียมความพร้อมของการพึ่งพาตนเอง ซึ่งต้องขอขอบคุณนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมและคณะ ที่ได้จัดกิจกรรมดี ๆ นี้ขึ้นมา เพื่อกระตุ้นให้ชาวจังหวัดนครพนมได้เป็นผู้นำเหมือนเช่นในปี 2513 จวบจนปัจจุบัน ที่จังหวัดนครพนมคือผู้นำของการนำเอาภูมิปัญญาผ้าไทยมาเป็นจุดกำเนิดในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและกลายเป็นมูลนิธิส่งเสริมศูนย์ศิลปาชีพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แห่งที่หนึ่งที่เกิดขึ้นบริเวณข้างวัดพระธาตุประสิทธิ์ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม จนปัจจุบันมีศูนย์ศิลปาชีพกระจายอยู่ทั่วประเทศ และมั่นใจว่ากิจกรรมในวันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการที่จะทำให้คนรุ่นปัจจุบันและคนที่เป็นเยาวชนรุ่นใหม่ ๆ ได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาผ้าไทย ได้ช่วยกันพัฒนาต่อยอดผ้าไทยตาม โครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ซึ่งมีนัยสำคัญที่ทำให้ทุกคนได้ขบคิด ประยุกต์ ดัดแปลง ได้ช่วยกันพัฒนาต่อยอดผ้าไทย ทั้งเรื่องของแบบลวดลาย สีสัน ตลอดจนถึงการตัดเย็บให้มีความเหมาะสมกับรสนิยมและความต้องการของพี่น้องประชาชนทุกเพศทุกวัย ที่สามารถนำมาสวมใส่ได้ในทุกโอกาส โดยสุดท้ายนี้ขอให้งานนี้ประสบความสำเร็จ เป็นจุดเริ่มต้นของผ้าไทยนครพนม ที่มีความมั่นคงแข็งแรง เกิดการพัฒนาต่อยอดในรูปแบบที่หลากหลาย และก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียนในจังหวัดนครพนมเป็นจำนวนมาก ๆปลัด มท.พร้อมนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำพุทธศาสนิกชนถวายกุฏิขนฺติกโรอนุสรณ์ น้อมรำลึกและถวายเป็นอาจาริยคุณแด่หลวงปู่อ่อนศรี ขันติกโร พระอริยสงฆ์แห่งวัดป่าโนนแพง นครพนม
วันที่ 10 พฤษภาคม 2566 เวลา 6.00 น. ที่วัดป่าโนนแพง ตำบลบ้านแพง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นำนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและประธานแม่บ้านพัฒนาชุมชน นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นางสงวน จันทร์พร ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครพนม นางกาญจนี รุจนเสรี ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดกำแพงเพชร นายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย นายวรงค์ แสงเมือง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายสมาน พั่วโพธิ์ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน นางสาวกนกพร ไชยศล หัวหน้าสำนักงานจังหวัดนครพนม นายอดิศักดิ์ นามวงค์ นายอำเภอบ้านแพง นายสุพรรณ โกศล นายกเทศมนตรีตำบลบ้านแพง นายธนากร - นางมณฑาทิพย์ วีรชาติยานุกูล ผู้บริหารศูนย์การค้ายูดีทาวน์ ตลอดจนพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ร่วมประกอบพิธีปล่อยสัตว์น้ำ ซึ่งประกอบไปด้วย ปลาดุก หอยขม ปลาไหล และเต่า เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต จากนั้นประกอบพิธีทำบุญถวายมหาสังฆทาน และถวายกุฏิขนฺติกโรอนุสรณ์ เพื่อถวายเป็นอาจาริยบูชาน้อมรำลึกถึงพระคุณของหลวงปู่อ่อนศรี ขันติกโร อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าโนนแพง ผู้เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของประชาชนชาวจังหวัดนครพนม จังหวัดอุดรธานี และพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป โดยได้รับเมตตาจาก พระครูใบฎีกากฤษณ์ กิตติญาโณ (พระอาจารย์ตุ๋ย) เจ้าอาวาสวัดนิมิตโพธิญาณ อ.เพ็ญ จ. อุดรธานี เป็นประธานสงฆ์ พระสมุห์นิพนธ์ วิจิตฺโต เจ้าคณะตำบลบ้านแพง - นาทม (ธ) เจ้าอาวาสวัดป่าโนนแพง อำเภอบ้านแพง นำคณะสงฆ์ประกอบพิธี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า "กุฏิขนฺติกโรอนุสรณ์" เป็นเสนาสนะที่พักอาศัยของหลวงปู่อ่อนศรี ขันติกโร อดีตเจ้าวาสวัดป่าโนนแพง พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้เป็นพระอริยสงฆ์เป็นหลักชัยในการอบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ โดยเน้นให้ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว ใครจะว่า จะด่าอะไรก็ให้ทนอย่าโกรธ ให้รักษาอารมณ์ไว้อย่าให้ขุ่นมัว ให้หมั่นดูจิตของตนเองตลอดเวลาให้รู้เท่าทันมัน ไม่ส่งออกไปกระทบอารมณ์ภายนอก และเน้นหนักในด้านการทำความเพียรให้หนัก เพื่อหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ ท่านได้เน้นย้ำคำสอนว่า ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ถ้าตั้งใจจริง ปฏิบัติอย่างจริงจัง จะเห็นผลในไม่ช้า ไม่ต้องมากล่าวโทษว่าบุญไม่ถึง บารมีไม่ถึง มีเวรมีกรรมมากเหล่านี้ เป็นต้น โดยหลวงปู่อ่อนศรี ขันติกโร ได้ละสังขารไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2545 และตามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือดำเนินโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข "ระดับปฏิบัติการเชิงพื้นที่" ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้รับเมตตาจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคม บูรณาการภาคีเครือข่ายทำให้วัดเป็นสถานที่สัปปายะ เป็นสถานที่พักแก่ผู้เข้ามาพึ่งพาบำบัดทุกข์และเสริมสร้างความสุขทั้งแก่กายและใจ อันจะนำไปสู่ความวัฒนาสถาวรของชาติและสถาบันพระพุทธศาสนา ดังนั้น จังหวัดนครพนม จึงได้ร่วมกับคณะศิษยานุศิษย์ ภาคีเครือข่าย ทั้งภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน นำโดย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย บริจาคปัจจัยเป็นทุนทรัพย์ในการปฏิสังขรณ์กุฏิขนฺติกโรอนุสรณ์ ซึ่งได้ประกอบพิธีบวงสรวงบูรณปฏิสังขรณ์ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จสมบูรณ์ตามความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกภาคส่วน จึงได้มาร่วมกันอนุโมทนาบุญในครั้งนี้ เพื่อทำให้วัดป่าโนนแพงเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ เป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านในการหลอมรวมความรัก ความสามัคคี ความมีน้ำใจ ความเป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงในหลักธรรมคำสอน และถ่ายทอดสู่เด็ก เยาวชน ลูกหลานชาวบ้านแพง และชาวจังหวัดนครพนม รุ่นต่อไป ด้วยการนำหลักธรรมคำสอนบวรพระพุทธศาสนา หลักวัตรปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์ที่มีหลวงปู่อ่อนศรี ขันติกโร หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เกี่ยวกับการพึ่งพาตนเอง พระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในด้านการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร "บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง" และ "ทางนี้มีผลผู้คนรักกัน" ที่เป็นการปลูกพืชผักสวนครัว พืชสมุนไพร มาใช้ในการดำเนินชีวิต รวมถึงเป็นแหล่งเรียนรู้ตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) สอดคล้องกับพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา "หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)" อันจะทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความสุขอย่างยั่งยืนด้านพระสมุห์นิพนธ์ วิจิตฺโต เจ้าคณะตำบลบ้านแพง - นาทม (ธ) เจ้าอาวาสวัดป่าโนนแพง กล่าวสัมโมทนียกถา ความโดยสรุปว่า ย้อนไปเมื่อปี 2545 ในปีที่หลวงปู่อ่อนศรี ขันติกโรละสังขาร ท่านได้รับปากกับหลวงปู่ว่า เราจะร่วมกันสืบสานเจตนาอันบริสุทธิ์ของหลวงปู่ต่อสถาบันหลักของชาติอันได้แก่ ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ โดยเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2566 เหล่าศิษยานุศิษย์ทุกคนได้ร่วมกันถวายพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ ตามคำปรารภของหลวงปู่ ณ วัดนิมิตโพธิญาณ เป็นสัปปายะสถานและแหล่งเรียนรู้ให้กับอนุชนคนรุ่นหลังได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และในวันนี้ศิษยานุศิษย์ทุกสายก็ได้ร่วมกันสมัครสมานสามัคคีบูรณะปฏิสังขรณ์ เสนาสนะ "ขนฺติกโรอนุสรณ์" อันเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ จนเสร็จสมบูรณ์ นับเป็นมหาบุญมหากุศล ที่จะทำให้เกิดประโยชน์อันไพศาลแก่พระพุทธศาสนา และการศึกษาเรียนรู้ของอนุชนคนรุ่นหลังต่อไป ขออานิสงส์ทั้งหมดได้อุทิศให้กับลูกหลานและญาติโยมทั้งหลายที่ร่วมบุญกุศล ที่มาด้วยความศรัทธาในทิศทั้ง 8 คิดสิ่งใดขอให้สมปรารถนาทุกท่านทุกคน และขอให้ทุกคนตอบแทนแผ่นดินเกิดตัวเอง ทำคุณให้พ่อแม่ ทำคุณให้แผ่นดินไทยของพวกเราทุกคนตลอดไปวันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ หารือแนวทางพัฒนาการสร้างเสริมภูมิคุ้นกันโรคให้ประชาชนร่วมกับสื่อนครพนม
นายแพทย์ นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ด้วยองค์การอนามันโลกได้กำหนดให้สัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายนของทุกปี เป็นสัปดาห์แห่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโลก (World Immunization Week 2023) เพื่อเน้นย้ำถึงการประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการส่งเสริมการใช้วัคซีนเพื่อป้องกันประชาชนทุกช่วงวัยจากโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน ดังนั้นจึงได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุของค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน จัดกิจกรรมเนื่องในสัปดาห์แห่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโลก ในวันที่ 26 เมษายน 2566 และมีกิจกรรมต่อเนื่อง โดยการสร้างความร่วมมือในพื้นที่นำร่องที่ได้รับการคัดเลือก ซึ่งจังหวัดนครพนมเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับการคัดเลือกดังกล่าวและสถาบันวัคซีนแห่งชาติได้เล็งเห็นความสำคัญของการสื่อสาร นอกเหนือจากความร่วมมือของหน่วยงานบริการทางสาธารณสุขในพื้นที่ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งต่อความรู้สู่ประชาชน และได้รับความเชื่อถือจากประชาชนเป็นอย่างมาก จึงได้มีการเชิญสื่อมวลชนของจังหวัดนครพนมในแขนงต่าง ๆ มาร่วมหารือ เพื่อที่จะทำอย่างไรให้ประชาชนชาวนครพนมได้มีความรอบรู้เรื่องวัคซีน เพื่อเป็นต้นแบบแนวทางในการพัฒนาสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้กับประชาชน
.jpg)

.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)