วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

นครพนมคึกคักรับวันหยุดยาว นักปั่น 279 ชีวิตร่วมกิจกรรมปั่นข้ามโขง เชื่อมสัมพันธ์ไทย-ลาว ไหว้พระธาตุศรีโคดตะบอง

วันที่ 29 กรกฎาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักตั้งแต่เช้าตรู่ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาเล็กน้อย ก่อให้เกิดความชุ่มฉ่ำที่กระตุ้นให้นักปั่น 279 ชีวิต ได้มีความตื่นตัวก่อนที่จะมีการปั่นข้ามสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 (นครพนม – คำม่วน) ไปยังฝั่งเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับนักปั่นจากแขวงคำม่วน อีกจำนวน 50 ราย เป็นการเชื่อมสิ่งดี ๆ และกระตุ้นการท่องเที่ยว 2 ฝั่งโขง สร้างการรับรู้ถึงสถานที่สำคัญที่มีกระจายอยู่ตลอดเส้นทางริมฝั่งแม่น้ำโขง ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกคนอยากมาสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ เรียนรู้ศิลปและวัฒนธรรมอันดีงามในแบบ Slow life ของบ้านใกล้เรือนเคียงที่มีความสวยงามไม่แพ้จังหวัดนครพนม รวมถึงเก็บภาพบรรยากาศสวย ๆ ของวิวทิวทัศน์ในมุมที่แตกต่าง ที่สามารถวางแผนการเดินทางง่าย ๆ ด้วยการมาพักที่จังหวัดนครพนมแล้วข้ามไปเที่ยวที่ฝั่ง สปป.ลาว ได้แบบชิล ๆ ทั้งแบบเช้าไปเย็นกลับ หรือจะพักค้างคืนก็ได้เช่นเดียวกัน 


โดยกิจกรรมได้เริ่มขึ้นในเวลา 5.00 น. ที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนต้องมาลงทะเบียนรายงานตัวเพื่อเตรียมตัวตรวจสอบเอกสารการข้ามแดนตามระเบียบกฎหมายและขั้นตอนปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครพนมที่มาคอยอำนวยความสะดวก ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จ นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย ท่านวันไซ พองสะหวัน เจ้าแขวงคำม่วน สปป.ลาว และคณะผู้จัดงานทั้ง 2 ฝั่งโขง ก็ได้พาทุกคนปั่นข้ามสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 (นครพนม – คำม่วน) ไปแวะที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ฝั่งแขวงคำม่วน สปป.ลาว เพื่อทำเอกสารอีกครั้ง จากนั้นจึงได้ปั่นไปตามเส้นทางริมฝั่งโขงไปแวะพักและไหว้ศาลหลักเมือง วัดนาโบสีพัดทะนาลาม ที่อยู่ใกล้กับลานพญานาคราช ซึ่งเป็นทางขึ้นสำหรับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่นั่งเรือข้ามฟากจากจังหวัดนครพนมมาเมืองท่าแขก ซึ่งถ้านั่งเรือข้ามฟากจะใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น โดยในจุดนี้จะมีทั้งโรงแรมที่พัก เกสต์เฮาส์ รถโดยสาร รวมถึงร้านค้าจำหน่ายสินค้าสำหรับผู้ที่ต้องการเลือกซื้อของฝากของที่ระลึก จากนั้นปั่นมุ่งหน้าสู่พระธาตุศรีโคตตะบอง เพื่อกราบไหว้สักการะปูขนียสถานที่สำคัญในราชอาณาจักรลาว ที่มีเรื่องเล่าไว้ในนิทานอุรังคธาตุ ว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสาวรีย์พระยาศรีโคตรบอง กษัตริย์นครศรีโคตตะบุระ เนื่องจากที่แห่งนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ คือ พระกะกุสันโท, พระโกนาคะมะโน, พระกัดสะโบและพระโคตะโม โดยเป็นพระธาตุพี่น้องกับพระธาตุพนมพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนมที่ปัจจุบันกำลังขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากนั้นทุกคนได้ปั่นย้อนกลับอีกหนึ่งเส้นทางผ่านชุมชนชาวท่าแขก ทำให้ได้เห็นถึงบรรยากาศและวิถีชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรฟูนันและเจนฬา มีเมืองหลวงชื่อ ศรีโคตรบูร หรือ ศรีโคตรบอง ที่เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าจากต่างเมือง และมีการสร้างบ้านเรือนตามแบบฝรั่งเศสไว้บริเวณท่าแม่น้ำ 

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

จังหวัดนครพนม ประกอบพิธีเครื่องถวายราชสักการะวางพานพุ่ม และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา

วันที่ 28 กรกฎาคม 2566 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะ วางพานพุ่มทอง - พุ่มเงิน และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่ตลอดระยะเวลาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานับประการ ด้วยพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด นำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของพสกนิกร ทำให้ทุกคนได้รับการสนับสนุน การพัฒนาทั้งในด้านทักษะและด้านอาชีพ ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการจิตอาสาพระราชทาน ซึ่งเป็นพระราโชบายที่ทำให้ประชาชนทุกคนมีความรักความสามัคคี รู้จักการแบ่งปัน ช่วยเหลือเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันในด้านต่าง ๆ ก่อให้เกิดประโยชน์แห่งความสุขต่อสังคมและประเทศชาติ

ทั้งนี้ที่มาของพานพุ่มเกิดจากที่สมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้ในการทำกิจกรรมและประกอบพิธีต่าง ๆ ดังนั้น จึงได้มีการนำขี้ผึ้งมากดพิมพ์คุ้มงอเหมือนแล้วนำมาติดโครงกระดาษแข็ง ให้มีรูปทรงเหมือนพุ่มข้าวบิณฑ์หรือดอกบัวหลวง จากนั้นนำมาตั้งบนพานเพื่อนำไปถวายพระนอกเหนือจากธูปและเทียน โดยเรียกกันว่า พุ่มเทียน ซึ่งพระท่านจะแกะเอาขี้ผึ้งออกมาใส่ใส้ฝั้นเป็นเทียนเล่มเพื่อจุดให้แสงสว่างในเวลากลางคืน ชาวบ้านจึงถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันรวมทั้งมีวิวัฒนาการเพิ่มขึ้นมา เพื่อนำไปเป็นเครื่องบูชาหรือเครื่องสักการะสิ่งที่เคารพนับถือ เป็นการแสดงออกถึงความเคารพและความจงรักภักดีในโอกาสต่าง ๆ เช่น พานพุ่มดอกไม้สด หรือพานพุ่มดอกไม้ และพานพุ่มทอง – พานพุ่มเงิน ส่วนพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล มีจุดเริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2520 ที่หน่วยอาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน ( อส.) ศูนย์สาธิตที่ 1 หุบกะพง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งได้มีการจัดงานเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเป็นการจัดพิธีถวายพระพรในตอนกลางคืน เนื่องจากในช่วงกลางวันชาวบ้านมีความจำเป็นต้องไปทำงานในเรือกสวนไร่นา ประกอบสถานที่จัดงานในเวลากลางคืนมืดสนิทเพราะไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ทุกคนจึงได้นำเทียนไขมาคนละเล่ม โดยมีการจุดเทียนชัยไว้ที่แท่นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านเพื่อให้เกิดแสงสว่างไสวกับสถานที่ก่อน กระทั่งเวลา 20.00 น. ก็ได้พร้อมใจกันจุดเทียนที่นำและกล่าวคำถวายพระพร จากนั้นได้พร้อมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี 1 จบ และพากันเวียนเทียนประทักษิณรอบพระบรมฉายาลักษณ์ จำนวน 3 รอบ ซึ่งในกิจกรรมครั้งนั้น อส.ได้วิทยุรายงานแจ้งเรื่องการจุดเทียนชัยถวายพระพรเข้าสู่สำนักพระราชวัง ณ พระราชวังไกลกังวล เพื่อรายงานให้พระองค์ได้ทรงรับทราบเป็นระยะๆ จวบจนจบพิธี ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 ทางราชการได้มีการประกาศจัดพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกที่ท้องสนามหลวง และจากนั้นก็ได้ถือปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้


จ.นครพนม ประกอบพิธีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา

วันที่ 28 กรกฎาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม วันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม เจ้าหน้าที่และประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมกันประกอบพิธีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวจังหวัดนครพนม โดยพระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานับประการด้วยพระองค์เอง และทรงพระราชทานพระราชดำริ ต่าง ๆ อย่างมากมาย เพื่อให้เป็นไปตามพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการทรงงานที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด นำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของพสกนิกร ทำให้ทุกคนได้รับการสนับสนุน การพัฒนาอาชีพและชีวิตความเป็นอยู่ ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ นำมาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการจิตอาสาพระราชทาน ที่เป็นพระราโชบายที่ทำให้ประชาชนมีความรักความสามัคคี ช่วยเหลือเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันในทุก ๆ ด้าน นำมาซึ่งประโยชน์แห่งความสุข

โดยในเวลา 7.00 น. ทุกคนได้พร้อมใจกันประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ สามเณร จำนวน 72 รูป ถวายเป็นพระราชกุศล ณ บริเวณวัดสว่างสุวรรณาราม ตำบลหนองแสง อำเภอเมืองนครพนม จากนั้นได้เดินทางไปที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณหน้าวัดมหาธาตุ เพื่อร่วมกันประกอบพิธีปล่อยพันธุ์ปลาเฉลิมพระเกียรติ จำนวน 4,272 ตัว ประกอบไปด้วย ปลาตะเพียนทอง 2,000 ตัว ปลากระแห 2,000 ตัว และ ปลากรดแก้ว 272 ตัว เพื่อเป็นการคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับแม่น้ำโขง เปิดโอกาสให้พันธุ์ปลาท้องถิ่นได้เจริญเติบโตและแพร่ขยายพันธุ์ ก่อให้เกิดประโยชน์ในการประกอบอาชีพ เป็นแหล่งอาหารของคนชุมชน จากนั้นทุกคนได้เดินทางไปที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม เพื่อร่วมกันประกอบพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดินประจำปี 2566 ทั้งนี้ในช่วงเย็นของวันนี้ จังหวัดนครพนมจะมีพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ ศาลาประชาคมยงใจยุทธ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม

ทั้งนี้พสกนิกรจังหวัดนครพนมได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ทำให้ได้มีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและทำการเกษตร ผ่านโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ไขปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวน 20 หมู่บ้าน พื้นที่รวม 90,610 ไร่ ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานถุงยังชีพเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ผ่านทางมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์พระราชูปถัมภก” ไม่ว่าจะเป็น อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย และภัยหนาว รวมถึงพระราชทานสิ่งของให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจป้องกันชายแดนในพื้นที่จังหวัดนครพนมและครอบครัว ขณะที่ด้านสาธารณสุขก็มีโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม ที่พระองค์ท่านทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดด้วยพระองค์เอง เพื่อให้การดูแลพสกนิกรในพื้นที่ตลอดจนประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารได้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาล ด้วยความเอาใจใส่ที่ดี และให้ปลอดภัยจากความเจ็บไข้โดยทั่วถึงเสมอหน้ากัน ส่วนด้านการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เมื่อถึงวันสำคัญและเทศกาลประจำปี เช่น วันสงกรานต์ พระองค์ท่านจะทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชสักการะเพื่อสรงน้ำองค์พระธาตุพนม สรงพระองค์แสนศาสดาพระประธานในพระอุโบสถและเปลี่ยนผ้าแพรแดงประจำกายใน เมื่อถึงวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาทรงพระราชทานเทียนพรรษาทอดถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้ใช้จุดเพิ่มแสงสว่างในการศึกษาพระธรรมวินัยและปฏิบัติกิจวัตรต่าง ๆ ตลอดระยะที่จำพรรษา และเมื่อถึงวันออกพรรษาจะทรงพระราชทานผ้าพระกฐินทอดถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษาครบถ้วยไตรมาสเป็นการสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทย นอกจากนี้เมื่อมีการจัดสอบบาลีสนามหลวงจะทรงถวายความอุปถัมภ์แด่พระภิกษุ สามเณร ที่เข้าทดสอบความรู้บาลีสนามหลวงทั้งในจังหวัดนครพนมและทั่วประเทศ


วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

ชาวนครพนม ส่งต่อโลหิตสำรองธนาคารเลือด ถวายเป็นพระราชกุศล ร.10 เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม

นางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า โลหิตหรือเลือด เป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิตเราทุกคนไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีเลือด หรือหากมีเลือดไม่เพียงพอเราจะอ่อนแอและตายในที่สุด และในปัจจุบันจากข้อมูลสภากาชาดไทยพบว่าเลือดทั่วประเทศมีการลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โรงพยาบาลหลายแห่งเกิดการขาดแคลนเลือดที่จะใช้ในการรักษาผู้บาดเจ็บ อีกทั้งในแต่ละปีพบว่าทั่วประเทศมีได้รับอุบัติเหตุจากการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันจำเป็นต้องใช้เลือดเป็นการด่วนหลายครั้ง ซึ่งในจังหวัดนครพนมเองก็เช่นเดียวกันโดยเฉพาะเลือดกรุ๊ปโอและบี ที่ขาดแคลนเป็นจำนวนมาก และที่ผ่านมาเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมได้มีการบูรณาการร่วมกับโรงพยาบาลในพื้นที่ ตลอดจนภาคีเครือข่าย ออกหน่วยรับบริจาคโลหิตมาอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งในวันนี้ (27 กรกฎาคม 2566) ก็ได้ออกหน่วยที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม เพื่อรับบริจาคเริ่มตั้งแต่เวลา 8.30 น.จนถึงเวลา 11.40 น. โดยตลอดระยะเวลามีประชาชนชาวจังหวัดนครพนมเดินทางมาบริจาคกันอย่างต่อเนื่องด้วยต้องการถวายเป็นพระราชกุศล แสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม ทำให้ในวันนี้เจ้าหน้าที่ได้รับบริจาคมากถึง 61,250 ซีซี อย่างไรก็ดีอยากฝากถึงผู้ที่มีจิตอันเป็นกุศลอยากส่งต่อเลือดให้กับผู้ป่วย ยังสามารถมาร่วมกันบริจาคได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ที่ธนาคารโลหิตโรงพยาบาลนครพนม ตั้งแต่เวลา 08.30 - 11.40 น.และ 13.00 -15.30 น. ซึ่งการบริจาคเลือดนั้นมีประโยชน์มากมายหลายอย่างทั้งได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน รวมถึงทำให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง หุ่นดี ผิวเปล่งปลั่ง ลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง และได้สิทธิพิเศษสำหรับการรักษาพยาบาลด้วย จึงอยากขอเชิญชวนผู้ที่มีจิตอันเป็นกุศลทุกท่าน ได้มาร่วมกันทำบุญบริจาคเลือดกันเยอะ ๆ เพราะนั่นหมายถึงการได้ช่วยชีวิตอีกหลาย ๆ คน เนื่องจากการบริจาคเลือด 1 ครั้ง สามารถช่วยผู้ป่วยได้อย่างน้อย 3 ชีวิต

จิตอาสานครพนม ร่วมใจทำนุบำรุงพระศาสนาสืบสานพระราชปณิธาน ร.10 ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในคล้ายวันพระราชสมภพ ประจำปี 2566

วันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ที่วัดนาเจริญ บ้านนาคอย ตำบลหนองย่างชิ้น อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักเรียนและประชาชนจิตอาสา ร่วมกันทำนุบำรุงพระศาสนา ด้วยการทำความสะอาดพื้นที่ภายในวัดและพื้นที่โดยรอบ โบสถ์ ศาลาการเปรียญ ห้องน้ำ สถานที่ปฏิบัติธรรมภายในวัด รวมถึงการปรับภูมิทัศน์ ตัดตกแต่งกิ่งไม้ และปลูกต้นไม้เพิ่มร่มเงาและความร่มเย็นให้วัด ภายใต้กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2566 ที่ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน จังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อปวงพสกนิกรชาวไทย ทั้งด้วยพระองค์เอง และทรงพระราชทานพระราชดำริ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการทรงงาน ที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด

โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตนเป็น “พุทธมามะกะ ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยพระราชศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา ทรงสืบทอดประเพณีทางพระพุทธศาสนา โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันสำคัญทางศาสนา เคารพยึดมั่นในพระรัตนตรัย พรั่งพร้อมด้วยพระปัญญาอันสามารถเข้าพระราชหฤทัยในพระสัทธรรม เพื่อน้อมนำไปปฏิบัติโดยทรงตั้งอยู่ในธรรม และทรงดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่พสกนิกรชาวไทย รวมถึงการที่ทรงเป็น“พุทธศาสนูปถัมภก” ทรงอุปถัมภ์ค้ำชู จรรโลงพระพุทธศาสนา และทรงอุปภัมภ์และส่งเสริมทุกศาสนาในประเทศไทย เช่นทุก ๆ ปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปในศาสนพิธีและโอกาสสำคัญของชาวไทยมุสลิมอย่างสม่ำเสมอ อาทิ งานเมาลิดกลางที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงศาสดามูฮัมหมัด พิธีพระราชทานรางวัลแก่กรรมการอิสลามประจำจังหวัด อิหม่าม และโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดภาคใต้ พิธีพระราชทานรางวัลการทดสอบการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ระดับภาคใต้ และระดับประเทศ

ขณะที่ในจังหวัดนครพนม เมื่อถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาหรือวันงานเทศกาลประจำปี เช่น วันสงกรานต์พระองค์ท่านจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชสักการะเพื่อสรงน้ำองค์พระธาตุพนม สรงพระองค์แสนศาสดาพระประธานในพระอุโบสถและเปลี่ยนผ้าแพรแดงประจำกายใน เมื่อถึงวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาทรงพระราชทานเทียนพรรษาทอดถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้ใช้จุดเพิ่มแสงสว่างในการศึกษาพระธรรมวินัยและปฏิบัติกิจวัตรต่าง ๆ ตลอดระยะที่จำพรรษา และเมื่อถึงวันออกพรรษาจะทรงพระราชทานผ้าพระกฐินทอดถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษาครบถ้วยไตรมาสเป็นการสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทย นอกจากนี้เมื่อมีการจัดสอบบาลีสนามหลวงจะทรงถวายความอุปถัมภ์แด่พระภิกษุ สามเณร ที่เข้าทดสอบความรู้บาลีสนามหลวงทั้งในจังหวัดนครพนมและทั่วประเทศ

วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

จิตอาสานครพนม จัดกิจกรรมเอามื้อสามัคคี ทำความดี ถวายในหลวง เฉลิมพระเกียรติ ร.10 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2566

วันที่ 26 กรกฎาคม 2566 ที่บ้านหนองหอยทุ่ง หมู่ที่ 5 ตำบลธาตุพนมเหนือ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พลเรือตรี สมาน ขันธพงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอธาตุพนม เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนนักเรียน และประชาชนจิตอาสา ร่วมกันทำกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2566 จิตอาสาพัฒนาชุมชนเอามื้อสามัคคี ทำความดี ถวายในหลวง จังหวัดนครพนม ที่ศูนย์ผู้นำจิตอาสาพัฒนาชุมชนอำเภอธาตุพนมจัดขึ้น เพื่อร่วมกันพัฒนาวัด และแปลงโคก หนอง นา ในพื้นที่อำเภอธาตุพนมเพื่อให้เป็นต้นแบบกับประชาชนในพื้นที่ได้นำไปทำตาม อันจะส่งผลให้ทุกคนมีความสุข มีความรัก ความสามัคคี โดยการร่วมกันทำความสะอาด ตัดตกแต่งกิ่งไม้ ปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่ให้มีความสะอาดสวยงาม ถูกสุขอนามัย นำมาซึ่งการมีสุขภาพที่ดี และปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร เป็นการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ในครัวเรือน

ทั้งเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และ 7 ภาคีเครือข่ายการพัฒนาในการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ท่านทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อปวงพสกนิกรชาวไทย ทั้งด้วยพระองค์เอง และทรงพระราชทานพระราชดำริ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการทรงงานที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด เช่น ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทรงตระหนักว่าสุขภาพพลานามัยของประชาชนเป็นปัจจัยและพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ จึงทรงสนพระราชหฤทัยในการประกอบพระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข โปรดให้สร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้การรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยในถิ่นทุรกันดาร ด้านการประมงทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินโครงการมากถึง 77 โครงการ ใน 4 กิจกรรม ทั้งด้านผลิตพันธุ์สัตว์น้ำ การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีด้านการประมง การสร้างกิจกรรมประมงโรงเรียน และการสร้างจุดเรียนรู้และสาธิตการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของพสกนิกร ทำให้ทุกคนได้รับการสนับสนุน การพัฒนาอาชีพ พัฒนาแหล่งน้ำ และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ นำมาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งเป็นการปลูกจิตสำนึกในการหวงแหน รักษา และการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ด้านสังคมสงเคราะห์ ทรงมีความห่วงใยต่อผู้ด้อยโอกาส และคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนแออัด พระองค์จึงได้เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ หลายแห่ง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องกีฬา เครื่องดับเพลิง พระราชทานพระราชทรัพย์สนับสนุนโครงการของชุมชน


จ. นครพนม ทดสอบเส้นทางการท่องเที่ยวในชุมชนเชิงประวัติศาสตร์ ท่าค้อ-เมืองเก่า แบบ Low Carbon Tourism

วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 ที่ชุมชนท่าค้อหนองจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายวราวิทย์ พิมพนิตย์ นายอำเภอเมืองนครพนม พร้อมด้วย ดร.ธาวิษ ถนอมจิตศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช ที่ปรึกษาโครงการ ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพบริการและสินค้าทางการท่องเที่ยวจังหวัดนครพนม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธราธิป ภู่ระหงษ์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนครพนม นายพิชญา โพชราษฎร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าค้อ นำคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยนครพนม ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตัวแทนภาคประชาชน และสื่อมวลชวน ร่วมทดสอบเส้นทางการท่องเที่ยวในชุมชนเชิงประวัติศาสตร์ รูปแบบ Low Carbon Tourism ท่าค้อ - เมืองเก่า ภายใต้กิจกรรมพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน “ต้องเที่ยว(Unseen)” จังหวัดนครพนม ที่วิทยาลัยการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมบริการ มหาวิทยาลัยนครพนม ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลท่าค้อและชุมชนท่าค้อ เมืองเก่า หนองจันทร์ จัดขึ้น เพื่อศึกษา ออกแบบ และพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถให้กับชุมชนในการแข่งขันทางการตลาดท่องเที่ยว ทั้งเป็นการสร้างการรับรู้การท่องเที่ยวคุณภาพสูงเชิงประวิศาสตร์ ที่คำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบทางลบต่อโลกตอบสนองการเปลี่ยนแปลงสู่ความปกติวิถีใหม่ (Next Normal) ภายใต้แนวคิด BCG Economy & Happy Model ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมของจังหวัดนครพนม

โดยกิจกรรมในครั้งนี้เป็นการพาท่องเที่ยวตามสถานที่สำคัญของ ชุมชนท่าค้อ เมืองเก่า หรือสมัยก่อนเรียกว่าบ้านห้วยน้ำแจ่ว ที่ในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นเมืองเก่า ก่อนที่จะมีการย้ายมาสร้างเมืองใหม่เป็นเมืองมรุกขนคร และจังหวัดนครพนม ตามลำดับ ดังนั้นจึงทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีประวัติศาสตร์ เรื่องราว เรื่องเล่า วิถีชีวิต ประพณีและวัฒนธรรมต่าง ๆ สืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ที่หลายคนอยากมาเห็นและสัมผัส โดยจุดรวมพลการเดินทางจะอยู่ที่สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่เป็นศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพรมากกว่า 50 ชนิด โดยในจุดนี้ทุกคนจะได้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของคนในชุมชนท้าค้อ เมืองเก่า ที่มีการนำชุดการแสดงออนซอนฟ้อนรำสาวท่าค้อมาจัดโชว์ให้ได้ชม ก่อนที่จะมีการประกอบพิธีผูกข้อมือต้อนรับผู้ที่มาทดสอบเส้นทางท่องเที่ยวในวันนี้เป็นการรับขวัญ แสดงออกถึงความยินดีในการต้อนรับ จากนั้นทุกคนได้เดินทางไปที่วัดเมืองเก่า หมู่ที่ 2 ด้วยรถอีแต๊กและรถสามล้อเครื่องในชุมชน ทำให้ได้พบกับโบสถ์อันสวยงามที่ชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาครอบทับโบสถ์หลังเดิม แต่ที่ทำให้ทุกคนต้องตะลึงคือพระประธานขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในโบสถ์มีจอมปลวกขึ้นมาปกคลุมจนแทบจะมองไม่เห็น จากนั้นไปไหว้เจ้าศาลอัญญาพระไซ ที่เป็นศาลเก่าแก่สร้างขึ้นสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรที่อยู่ด้านข้างโบสถ์ โดยศาลแห่งนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชุมชน เป็นตัวแทนของเจ้าหัวเมืองที่มีความกล้าหาญ มีความสามารถในการสู้รบปกป้องบ้านเมืองและปราบปรามศัตรู และสายมูเตลูเชื่อว่ามาขอพรเรื่องหน้าที่การงานแล้วจะประสบความสำเร็จ จากนั้นเดินทางไปที่ฐานปฏิบัติการ ตชด. บ้านเมืองเก่า ซึ่งด้านหลังฐานปฏิบัติการมีวัดแป้มร้าง (แต้มร้าง) ที่มีซากโบราณสถานเจดีย์และอูบมุงเก่าแก่ 400 กว่าปี ที่กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2511 เพียงแห่งเดียวในพื้นที่ และเดินทางไปที่วัดชลธารบุญญาวาส บ้านท่าค้อ หมู่ที่ 3 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวเพดินทางมากราบไหว้และขอพรในเรื่องการค้าขายและสุขภาพ เพราะสถานที่แห่งนี้มีพระทันใจ และรูปหล่อปู่ฤาษีอินปัน ที่ทุกคนเชื่อว่ามาไหว้ขอพรแล้วจะสมหวัง รวมถึงมีโรงอบสมุนไพรที่ให้ทุกคนได้มาศึกษาและใช้บริการ ก่อนที่ทุกคนจะมารับประทานอาหารกลางวันร่วมกันและจับจ่ายซื้อหาของฝากของที่ระลึกจากชุมชนที่ผ่านการอบรมกระบวนการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า


วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

จ. นครพนม ประชุมเตรียมความพร้อมรับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ในวโรกาสเสด็จติดตามผลการดำเนินงานโครงการ TO BE NUMBER ONE

วันที่ 25 กรกฎาคม 2565 ที่โรงเรียนธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายทักขพล แต้มทอง ผู้แทนสำนักงานในพระองค์ฯ สำนักพระราชวัง นายวัฒนา ราชคำ ผู้แทนกองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ตลอดจนคณะหัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ ผู้แทนบริษัทเซซูแป เอเจนซี่ จำกัด บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) คณะผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ ผู้รับผิดชอบโครงการ TO BE NUMBER ONE จากกรมสุขภาพจิต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมหารือเพื่อร่วมกันพิจารณารายละเอียด รูปแบบการจัดกิจกรรม และความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานรับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ในวโรกาสที่จะเสด็จเยี่ยมสมาชิกและติดตามผลการดำเนินงานโครงการ TO BE NUMBER ONE จังหวัดนครพนม และทรงเปิดศูนย์เพื่อนใจ TO BE NUMBER ONE โรงเรียนธาตุพนม ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สวยงาม สมพระเกียรติ และมีความปลอดภัยสูงสุด

โดยโรงเรียนธาตุพนม ได้น้อมนำโครงการ TO BE NUMBER ONE ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี มาจัดตั้งขึ้นภายในโรงเรียนเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 โดยมียุทธศาสตร์หลักคือ การรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตให้แก่เยาวชน การสร้างและพัฒนาเครือข่ายเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด มีคำขวัญว่า เป็นหนึ่งโดยไม่พึ่งยาเสพติด โดยทำงานพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนเก่ง ดี มีความสุข ควบคู่กับการแก้ไขปัญหายาเสพติด ให้โอกาสกับผู้หลงผิดติดยาเสพติด ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งปัจจุบันมีนายยอดชาย พ่อหลอน เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนธาตุพนมและเป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาอำนวยการ มีนางสาวชุติมา แสนครุท นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/10 เป็นประธานชมรม มีนายจักรภัทร โพธิ์ตะนัง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 เป็นผู้จัดการศูนย์เพื่อนใจ TO BE NUMBER ONE โดยมีคณะกรรมการดำเนินงานตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 รวม 50 คน และมีนักเรียน จำนวน 2,302 คน เป็นสมาชิก คิดเป็นร้อยละ 100 ของนักเรียนทั้งหมด

และได้ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณ พระธรรมวชิรโสภณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร สนับสนุนงบประมาณในการจัดกิจกรรม เช่น กิจกรรมวงดนตรีพิณพาทย์อีสานล้านช้าง กิจกรรมวงดนตรีกลองยาว กิจกรรมแคนวงอุรังคศิลป์ กิจกรรมละครเวที การแสดงตำนานพระธาตุพนมในงานนมัสการองค์พระธาตุพนมประจำปี รวมถึงกิจกรรมใครติดยายกมือขึ้น เพื่อส่งต่อ บำบัด รักษา กิจกรรมค่ายพี่สอนน้องเบิ่งแญงความดี TO BE NUMBER ONE และด้วยผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทำให้ชมรม TO BE NUMBER ONE โรงเรียนธาตุพนม ได้รับรางวัลพระราชทาน ชนะเลิศ ระดับประเทศ จากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ในการประกวดชมรม TO BE NUMBER ONE ประจำปี 2563 ประเภทสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และปัจจุบันสามารถรักษามาตรฐานได้รับรางวัลพระราชทาน พร้อมเป็นต้นแบบระดับเงินปีที่ 2 ระดับประเทศ


วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

จ. นครพนม จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ปล่อยปลา 200,072 ตัว และปลูกต้นไม้ สืบสานพระราชปณิธาน ร.10

วันที่ 24 กรกฎาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอท่าอุเทน เจ้าหน้าที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักเรียน นักศึกษาและประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันปล่อยพันธุ์ปลาและปลูกต้นไม้ ภายใต้กิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่บริเวณสวนสาธารณะหนองขัว หมู่ที่ 5 ตำบลเวินพระบาท อำเภอท่าอุเทน ที่สำนักงานประมงจังหวัดนครพนม ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม และเทศบาลตำบลเวินพระบาทจัดขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ และถวายเป็นพระราชกุศล แสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ท่านทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านประมง ทั้งด้วยพระองค์เอง และทรงพระราชทานพระราชดำริ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการทรงงาน ที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด จำนวน 77 โครงการ ใน 4 กิจกรรม ทั้งด้านผลิตพันธุ์สัตว์น้ำ การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีด้านการประมง การสร้างกิจกรรมประมงโรงเรียน และการสร้างจุดเรียนรู้และสาธิตการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ นำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของพสกนิกร ทำให้ทุกคนได้รับการสนับสนุน การพัฒนาอาชีพ พัฒนาแหล่งน้ำ และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ นำมาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งเป็นการปลูกจิตสำนึกในการหวงแหน รักษา และการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ


โดยก่อนเริ่มกิจกรรมทุกคนได้พร้อมใจกันประกอบพิธีถวายความเคารพ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้นประธานกล่าวถวายคำกราบบังคมทูล และมอบเกียรติบัตรให้กับนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเวินพระบาทที่ได้ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรม ก่อนที่จะร่วมกันปล่อยพันธุ์ปลา จำนวน 200,072 ตัว ประกอบไปด้วย ปลาตะเพียนขาว 100,000 ตัว ปลาตะเพียนทอง 50,000 ตัว ปลากระแห 50,000 ตัว และปลาบึก 72 ตัว เพื่อการเปิดโอกาสให้พันธุ์ปลาไทยเหล่านี้ได้เจริญเติบโตแพร่ขยายพันธุ์ เกิดการฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ ทำให้ระบบนิเวศน์ของแหล่งน้ำมีความสมดุล เกิดความอุดมสมบูรณ์เหมือนในอดีต ทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์ในการประกอบอาชีพและเป็นแหล่งอาหารของคนชุมชน จากนั้นจึงได้ร่วมกันปลูกต้นยางนา บริเวณโดยรอบสวนสาธารณะหนองขัว เพื่อสร้างร่มเงาและความร่มรื่นให้กลับมาอีกครั้ง หลังก่อนหน้านี้มีการขุดลอกหนองขัวที่มีความตื้นเขินให้กลับมากักเก็บน้ำได้ ทั้งเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ ช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ช่วยลดภาวะโลกร้อน เป็นการสร้างและกระตุ้นจิตสำนึกให้กับคนในชุมชนในการร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการดูแล สถานที่สำคัญของชุมชน ที่ทุกคนได้ใช้ในการออกกำลังกาย เป็นแหล่งอาหาร เป็นการเสริมสร้างความรักความสามัคคีของคนในชุมชนในการจัดงานแข่งขันพายเรือประจำปี


วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

จ. นครพนม ออกหน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชนชาวปลาปาก

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า แม้ปัจจุบันจะเป็นยุคดิจิทัลที่มีการสื่อสารที่รวดเร็ว แต่ก็ยังคงมีพี่น้องประชาชนอีกจำนวนมาก ที่ยังเข้าไม่ถึงบริการของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งการลงพื้นที่อย่างใกล้ชิดถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะได้พบปะพูดคุยและนำสิ่งดี ๆ ไปให้ประชาชนแล้ว ยังเป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพ ลดระยะเวลาในการเดินทางมาติดต่อราชการให้กับประชาชน ขณะเดียวกันส่วนราชการต่าง ๆ ก็จะได้รับทราบถึงปัญหาและความต้องการของประชาชน ที่จะนำไปสู่การดำเนินการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ทันต่อเวลา และสถานการณ์

ดังนั้นในวันนี้ ( 21 กรกฎาคม 2566) จึงได้บูรณาการความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน จัดโครงการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างร้อยยิ้มให้ประชาชน จังหวัดนครพนม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ออกให้บริการประชาชนในพื้นที่ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก ที่โรงเรียนมหาชัยวิทยาคม ซึ่งกิจกรรมภายในงานจะเริ่มตั้งแต่การแนะนำส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงภารกิจ อำนาจ หน้าที่ของแต่ละหน่วยที่จะดำเนินการช่วยเหลือประชาชน จากนั้นเป็นการนำนโยบายของรัฐบาล ของจังหวัดเกี่ยวข้องกับแผนงาน โครงการของส่วนราชการ ที่จะดำเนินการเร่งด่วนไปชี้แจง อธิบาย เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน ก่อนที่จะให้แต่ละหน่วยตอบคำถามของประชาชนในข้อสงสัยและความต้องการ จากนั้นเป็นการมอบทุนอุปการะเด็ก อายุ 0-6 ปี ของกองทุน พช.เพื่อชุมชน อำเภอปลาปาก จำนวน 17 ราย ๆ ละ 500 บาท มอบโถสุขภัณฑ์ตามโครงการโถสุขภัณฑ์ปันสุข ลุกนั่งปลอดภัย ห่วงใยผู้สูงอายุ จำนวน 24 ราย มอบพันธุ์ปลา จำนวน 50,000 ตัว ของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดนครพนมให้กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านได้นำไปปล่อยตามแหล่งน้ำของชุมชน มอบเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและไร้ที่พึ่งของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม จำนวน 10 ราย ๆ ละ 3,000 บาท และมอบถุงยังชีพของสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมให้กับผู้ยากไร้ จำนวน 50 ชุด

ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปใช้บริการตามบูธต่าง ๆ ที่ส่วนราชการได้นำมาถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการ ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้ทุกคนได้เห็น ได้ศึกษาแบบไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน การบริหารจัดการน้ำ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การให้คำแนะนำในเรื่องที่ดิน การเลือกใช้พลังงาน การทำบัตรประชาชน การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การเข้าถึงกองทุนยุติธรรม การทำประกันสังคม การวางแผนออมกับ กอช. การแจกพันธุ์ต้นไม้ การแจกแบบสำหรับสร้างบ้าน การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การให้บริการตัดผม การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ นอกจากนี้ยังมีการออกบูธจำหน่ายจำหน่ายสินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP เพื่อให้ประชาชนได้เลือกซื้อไปใช้ในครัวเรือน เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ผลิต


จ. นครพนม จัดโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ ฯ สร้างองค์ความรู้แก่เกษตรกร เฉลิมพระเกียรติ ร.10 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม

วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 ที่โรงเรียนมหาชัยวิทยาคม ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน นำโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2566 ออกให้บริการเกษตรกรแบบครบวงจรในจุดเดียว สร้างโอกาสการเข้าถึงองค์ความรู้ทางด้านวิชาการ นวัตกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ด้านพืช ดิน น้ำ สัตว์ และประมง รวมถึงการส่งเสริมการเกษตรในด้านอื่นๆ เพื่อให้เกษตรกรได้นำไปปรับใช้กับแปลงเกษตรของตนเอง เป็นการลดต้นทุนการผลิต ก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร นำมาซึ่งรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนของเกษตรกร ทั้งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากการเชื่อมั่นของเกษตรกร

โดยโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ ฯ เป็นโครงการเนื่องในวโรกาสอันเป็นมิ่งมหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขณะทรงมีพระชนมายุครบ 50 พรรษา ในปีพุทธศักราช 2545 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโครงการไว้ในพระราชานุเคราะห์ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการทางการเกษตรแก่เกษตรกรตามความต้องการ และความเหมาะสมของพื้นที่ ทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ เป็นการเสริมสร้างความรู้ และการฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสมของพื้นที่ให้แก่เกษตรกร สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิชาการ ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานส่งเสริม ศูนย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล ตลอดจนหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพัฒนาและแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรให้สามารถทำการผลิตทางการเกษตร ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

สำหรับกิจกรรมภายในงานประกอบไปด้วย การถวายความเคารพเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การลงนามและกล่าวถวายพระพรชัยมงคล จากนั้นเป็นการเยี่ยมชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเข้ารับบริการตามงคลินิกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คลินิกพืชที่ให้บริการเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืช การเพาะปลูกและขยายพันธุ์พืช คลินิกข้าวถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องสายพันธุ์ข้าวและการปลูกข้าว คลินิกดินที่ให้ความรู้เรื่องดิน และการปรับปรุงบำรุงดินด้วยการผลิตและใช้ปุ๋ยอินทรีย์และวัสดุอินทรีย์ คลินิกปศุสัตว์ให้บริการฉีดวัคซีนและหมันสัตว์ คลินิกประมงให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงปลาดุกและกบต้นทุนต่ำด้วยกระชังบก คลินิกบัญชีสอนการทำบัญชีครัวเรือน คลินิกชลประทานให้คำปรึกษาด้านการจัดการแหล่งน้ำ คลินิกสหกรณ์ให้คำแนะนำในการรวมกลุ่มสหกรณ์การแปรรูปผลผลิต และแนะนำช่องทางการหาแหล่งเงินทุน คลินิก ส.ป.ก. ให้บริการเกี่ยวกับกฎหมายการจัดรูปที่ดิน คลินิกยางพาราให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกยางพารา คลินิกแก้จน ให้คำปรึกษาแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือน

จ. นครพนม ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ให้บริการประชาชนเทิดพระเกียรติฯ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นพระมิ่งขวัญและเป็นที่เคารพยิ่งของพสกนิกรชาวไทย ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งมูลนิธิแพทย์อาสา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2512 ด้วยทรงพบเห็นความยากลำบากของราษฎรในระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดน ตามจังหวัดชายแดน ซึ่งในอดีตราษฎรที่เจ็บไข้ได้ป่วยจะไม่ได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์เท่าที่ควร เนื่องจากการเดินทางยากลำบาก บางครั้งต้องรอจนอาการหนักจึงจะเดินทางมารักษาในโรงพยาบาลจังหวัด บางครั้งอาการก็หนักเกินกว่าจะรักษา หรือเป็นโรคที่ไม่ได้เจ็บป่วยมากมาย แต่กลับเรื้อรังจนต้องพิการ ทุพพลภาพ โดยพระองค์ท่านทรงเป็นองค์นายิกากิตติมศักดิ์

และจังหวัดนครพนมได้รับพระราชทานให้เป็นจังหวัด พอ.สว. ลำดับที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2512 เพื่อให้บริการประชาชน ซึ่งจะเป็นการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ร่วมกับ โครงการจังหวัดเคลื่อนที่ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน ใน 12 อำเภอ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเป็นประจำ รวมระยะเวลา 54 ปีแล้วที่ดำเนินการเพื่อสืบสานพระปณิธาน และในวันนี้ 21 กรกฎาคม 2566 จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม จึงได้มีการบูรณาการทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข และ อสม. ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ที่โรงมหาชัยวิทยาคม ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก เพื่อให้บริการประชาชน ในเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 18 กรกฎาคม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และสดุดีเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน

โดยก่อนการให้บริการตรวจรักษาโรคเบื้องต้นและการแพทย์แผนไทย การทำทันตกรรม การฉีดวัคซีนโควิด – 19 การตรวจคัดกรองและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต ทุกคนได้พร้อมใจกันประกอบพิธีถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จากนั้นกล่าวเทิดพระเกียรติฯ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ ด้วยพระราชหฤทัยที่แน่วแน่ในการช่วยเหลือราษฎรให้พ้นทุกข์และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อความผาสุกของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทั้งยังก่อบังเกิดคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ไพศาลแก่ประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการแพทย์ การสาธารณสุข รวมทั้งการศึกษา วรรณคดี การสังคมสงเคราะห์ สิ่งแวดล้อม และการยกระดับคุณภาพชีวิตของราษฎรในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ โดยเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2543 องค์การวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหชาติหรือยูเนสโก ได้เฉลิมพระเกียรติยกย่องให้พระองค์ท่านทรงเป็นบุคคลสำคัญโลกด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ประยุกต์ การพัฒนามนุษย์ สังคมและสิ่งแวดล้อม ขณะที่ชาวไทยภูเขาก็ได้ถวายพระสมัญญานามพระองค์ท่านว่า “แม่ฟ้าหลวง” ซึ่งหมายถึงผู้เสด็จมาจากฟากฟ้าเพื่อมาปัดเป่าทุกข์แก่ราษฎร


วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเขต 1 ส่งมอบโครงการชุมชนปลอดภัยใช้ไฟ PEA ให้ประชาชนชาวนครพนม

นายวิจารณ์ คลังบุญครอง ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเขต 1 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า โครงการชุมชนปลอดภัยใช้ไฟ PEA ของ กฟฉ.1 ประจำปี 2566 เป็นแผนปฏิบัติการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA เกี่ยวกับการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นให้สังคมได้รับประโยชน์สูงสุด ตลอดจนคำนึงถึงการปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม และการต่อต้านการทุจริตในเด็กและเยาวชน เพื่อสร้างรากฐานในการเติบโตเป็นบุคคลที่มีคุณภาพต่อไป โดยโครงการนี้มีด้วยกัน 2 พื้นที่ คือ ในพื้นที่จังหวัดเลย ที่โรงเรียนบ้านนานกปีด อ.ปากชม เป็นกิจกรรม PEA ปันยิ้มอิ่มบุญคืนความสุขสู่สังคม เป็นการตรวจสอบ ปรับปรุง และซ่อมแชมระบบฟฟ้าภายในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับระบบไฟฟ้าแก่บุคคลากรในโรงเรียน และนักเรียน


ส่วนพื้นที่จังหวัดนครพนม ประกอบไปด้วย กิจกรรมห้องสมุดสีเขียว (Green Library) ที่เป็นการตรวจสอบปรับปรุงระบบไฟฟ้า ปรับปรุงสภาพแวดล้อมของห้องสมุด สนับสนุนหนังสือ สื่อการเรียน และมอบเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมติดตั้งระบบสารสนเทศการเข้าห้องสมุด จำนวน 2 เครื่อง ที่ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2566 ที่โรงเรียนราษฎร์สามัคคี ต.ท่าเรือ อ.นาหว้า ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจึงได้เดินทางมาส่งมอบในวันนี้ (20 กรกฎาคม 2566) พร้อมทั้งมีการจัดประกวดภาพวาด และบรรยายพิเศษหัวข้อ "เด็กไทยร่วมใจต่อต้านการทุจริต " โดยศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานกรรมการมูลนิธิต่อต้านการทุจริต ผ่านทางคลิปวีดิโอเพื่อให้กับเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 จำนวน 220 คน จากโรงเรียนราษฎร์สามัคคี โรงเรียนบ่านนาพระโนนห่วยแคน และโรงเรียนบ่านตาลราษฎรอุทิศได้เรียนรู้และตระหนักถึงการต่อต้านการทุจริต โดยเริ่มจากตนเองแล้วขยายวงกว้างสู่ครอบครัวและชุมชนต่อไป

กิจกรรมที่ PEA ประชาร่วมใจระบบไฟมั่นคง ที่เป็นการจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้าของ PEA แก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างเครือข่ายในการแจ้งเหตุไฟตก ไฟดับ หรือความไม่ปลอดภัยจากการใช้ไฟฟ้าที่ หอประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลนางัว อ.นาหว้า และการระดมทีมตัดแต่งกิ่งไม้ใกล้แนวสายไฟฟ้าตามหลักรุกขกรรมเพื่อความปลอดภัยในพื้นที่บ้านนาคอยน้อย ต.นางัว อ.นาหว้า กิจกรรมต่อมาคือกิจกรรมให้ความรู้นักศึกษาอาชีวศึกษา ระดับชั้น ปวช. และ ปวส. วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรมศรีสงคราม มหาวิทยาลัยนครพนม พร้อมนำนักศึกษาที่ได้รับการอบรมลงพื้นที่เพื่อเรียนรู้และปฏิบัติงานจริงร่วมกับพนักงานการไฟฟ้า ลูกจ้างของ PEA และช่างไฟฟ้าจากโครงการ 1 ตำบล 1 ช่างไฟฟ้า ในการตรวจสอบ ปรับปรุง และซ่อมแชมระบบไฟฟ้าขั้นพื้นฐานในชุมชนที่มีระบบไฟฟ้าชำรุดไม่ปลอดภัย ตามชุมชน วัด และโรงเรียนในพื้นที่ อ.ศรีสงคราม และกิจกรรมบันทึกนักประหยัดตัวน้อย ที่เป็นการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและปลอดภัย เพื่อปลูกจิตสำนึกเด็กและเยาวชนให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าอย่างรู้คุณค่า


วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

คณะทำงานด้านกิจการพลเรือน ทบ. ลงพื้นที่นครพนม ตรวจประเมินผลการปรับปรุงหน่วยบรรเทาสาธารณภัย มทบ. 210 และภาคีเครือข่าย

วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ค่ายพระยอดเมืองขวาง มณฑลทหารบกที่ 210 อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม  พล.ต.อานนท์ เพชรคำ หัวหน้าคณะทำงานด้านกิจการพลเรือน   เป็นประธานการลงพื้นที่เยี่ยม ตรวจสอบประเมินผลในการปรับปรุงหน่วยบรรเทาสาธารณภัยของกองทัพบกให้มีความพร้อม ทั้งสำรวจความต้องการยุทโธปกรณ์ การจัดทำบัญชีรายละเอียดในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้ถูกต้อง เพื่อนำข้อมูลไปประกอบรายงานต่อผู้บังคับบัญชา  และพิจารณาให้การสนับสนุนยุทโธปกรณ์ที่หน่วยยังขาดแคลน เพื่อให้มั่นใจว่ากองทัพบก และหน่วยงานต่างๆในด้านการบรรเทาสาธารณภัย จะมีความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เมื่อมีเหตุสาธารณภัยต่าง ๆ ขึ้นในพื้นที่  โดยมี พล.ต.สถาพร บุญชู  ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210  ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 210 คณะผู้บังคับบัญชา คณะหัวหน้าส่วนราชการ และกำลังพลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบไปด้วย ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 210 (ศบภ.มทบ.210)  หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง(นรข.) สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนม หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 22  (นพค.22) กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 (ร.3 พัน.3) องค์การบริหารส่วนตำบลกุรุคุ และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้ง ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายสรุป



โดยในโอกาสนี้ยังได้กล่าวให้โอวาท และให้กำลังใจแก่กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านงานสาธารณภัย  ขอให้ทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง รอบครอบ และมีความปลอดภัย ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างสุดความสามารถ  ซึ่งทุกวันนี้สภาพภูมิอากาศของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดสาธารณภัยต่างๆขึ้นอย่างมากมาย ทั้งมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย ดังจะเห็นได้จากข่าวทั้งในและต่างประเทศ โดยการลงพื้นที่ในวันนี้  เป็นความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนที่อาจจะต้องประสบกับภัยพิบัติต่างๆ ภายในประเทศ ผู้บัญชาการทหารบก จึงได้มีดำริให้คณะทำงานด้านกิจการพลเรือน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม และติดตามประเมินผลการเตรียมความพร้อมของหน่วยบรรเทาสาธารณภัยของกองทัพบก ตลอดจนหน่วยงานภาคีเครือข่ายอื่น ๆ ที่จะร่วมกันปฏิบัติงานหากเกิดเหตุ


วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

นครพนม หารือความคืบหน้าการขอขึ้นทะเบียนพระธาตุพนมเป็นมรดกโลก

วันที่ 17 กรกฎาคม 2566 ที่ห้องประชุมพระสุนทรธรรมากร(หลวงปู่คำพันธุ์ โฆสปญโญ) สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อขอขึ้นทะเบียนพระธาตุพนมเป็นมรดกโลก ครั้งที่ 1/2566 เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของแต่ละฝ่ายที่ได้รับมอบหมายให้ไปดำเนินการ และประชุมหารือแนวทางการขับเคลื่อนในส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรม เป็นไปตามกระบวนการและขั้นตอนการขอขึ้นทะเบียนพระธาตุพนมเป็นมรดกโลก

โดย 5 ประเด็นใหญ่ในการขับเคลื่อนพระธาตุพนมเป็นมรดกโลก มีการดำเนินการที่เสร็จแล้ว 2 ประเด็นคือ ประเด็นการกำหนดขอบเขตพื้นที่มรดกโลก ที่ต้องเกิดการรับรู้ร่วมกัน มีเอกสารหรือการประกาศกำหนดขอบเขตพื้นที่มรดกโลก ซึ่งในประเด็นนี้มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซน คือพื้นที่ Core Zone จำนวน 85.03 ไร่ เป็นพื้นที่วัด พื้นที่ Buffer Zone 1 จำนวน 421.33 ไร่ เป็นพื้นที่ควบคุมความสูงอาคารก่อสร้างที่ต้องไม่เกิน 15 เมตร ซึ่งได้มีการกำหนดมาตั้งแต่ปี 2549 แล้ว และพื้นที่ Buffer Zone 2 จำนวน 1,395.37 ไร่ เป็นพื้นที่รัศมีโดยรอบองค์พระธาตุพนม และประเด็นแผนบริหารจัดการวัดพระธาตุพนมจากจังหวัดนครพนม ส่วนประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการคือ ประเด็นแผนการพัฒนาในระดับจังหวัด อำเภอ และพื้นที่ ที่ปัจจุบันยังไม่เป็นนโยบายที่อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ให้เห็นเด่นชัดเกี่ยวกับการผลักดันพื้นที่พระธาตุพนมสู่มรดกโลก ดังนั้นในส่วนนี้รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจะได้มีการนำเข้าที่ประชุมระดับจังหวัดเพื่อเสนอจัดทำแผนให้แล้วเสร็จและให้เป็นไปตามขั้นตอนการขอขึ้นทะเบียนพระธาตุพนมเป็นมรดกโลกต่อไป

ส่วนที่กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ มี 2 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นเขตบริเวณประกอบพิธีแห่พระอุปคุต ที่ต้องกำหนดบริเวณให้ชัดเจน โดยให้ทางวัดประกาศเขตอภัยทานหรือจังหวัดมีเอกสารประกาศอย่างเป็นทางการ หรือเป็นเทศบัญญัติ และประเด็นการจัดทำเอกสารนำเสนอเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก (Nomination Dossier) ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะกรรมการฝ่ายวิชาการ/ศึกษาธิการจังหวัดนครพนมดำเนินการจัดทำ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เพื่อทำเอกสารฉบับเบื้องต้น (Normintion File) ฉบับภาษาอังกฤษ ให้ทันการเข้าร่วมประชุมสัมมนาทางวิชาการเพื่อนำเสนอพระธาตุพนมสู่มรดกโลก ที่จะมีขึ้นในวันที่ 9-13 ธันวาคม 2566 ที่จะมีขึ้นที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์นครพนม ซึ่งจะมีนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิจาก 15 ประเทศมาร่วมกันวิเคราะห์และให้ความเห็น ก่อนที่จะมีการสรุปรวมข้อมูล จัดทำเอกสารทั้งหมดนำเสนอตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งหากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญอนุมัติ พระธาตุพนมจะเป็นมรดกโลกในปี 2568


วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

รองอธิบดีกรมประมง ลงพื้นที่นครพนมนำชุด Mobile hatchery คืนความอุดมสมบูรณ์ให้แหล่งน้ำ อาสาพาปลากลับบ้านจากน้ำโขงสู่หนองหาร

วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ที่บริเวณบ้านแก่งโพธิ์ ตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง เป็นประธานเปิดโครงการฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรประมงในแหล่งน้ำสำคัญ(ประมงร่วมอาสาพาปลากลับบ้านจากน้ำโขงสู่หนองหาร) ที่สำนักงานประมงจังหวัดนครพนม ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดสกลนคร หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงน้ำจืดเขื่อนน้ำอูนสกลนคร จัดขึ้น เพื่อร่วมกันดำเนินการเพาะขยายพันธุ์ปลาด้วยชุดเพาะฟักไข่ปลาเคลื่อนที่ Mobile hatchery ร่วมกันขนย้ายลูกปลาระยะแรกฟัก อายุ 2 วัน นำไปปล่อยในพื้นที่เป้าหมายแหล่งต้นน้ำในพื้นที่หนองหาร จังหวัดสกลนคร และลำน้ำก่ำ จังหวัดนครพนม ร่วมทั้งการประชาสัมพันธ์ ถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียน นักศึกษา และประชาชนในชุมชน โดยมีนายกฤษณุพันธ์ โกเมนไปรรินทร์ ประมงจังหวัดนครพนม กล่าวรายงาน มีนายอำเภอธาตุพนม ตลอดจนคณะผู้บริหาร กอง/ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด นายกเทศมนตรีตำบลน้ำก่ำ กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรประมงในพื้นที่จังหวัดนครพนม นักเรียน นักศึกษาร่วมกิจกรรม

นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ในการดำเนินการเพื่อเพิ่มผลผลิตในแหล่งน้ำให้กับพี่น้องชาวประมงและเกษตรกรในจังหวัดนครพนมและจังหวัดสกลนคร เกี่ยวกับโครงการประมงร่วมอาสาพาปลากลับบ้านจากน้ำโขงสู่หนองหาร มีที่มาจากเดิมที่ธรรมชาติเมื่อถึงฤดูวางไข่ ช่วงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - สิงหาคมของทุกปี ปลาจะมีการเคลื่อนที่ไปวางไข่ตามจุดต่าง ๆ ที่เหมาะสมของแหล่งน้ำ แต่ด้วยการพัฒนาเมืองของเราทำให้ส่วนหนึ่งกลายเป็นการกรีดขวางการเดินทางไปวางไข่ของปลา ดังนั้นกรมประมงจึงได้ร่วมกับชุมชนประมง มีการตั้งกฎกติกาเพื่อร่วมกันอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำให้คงอยู่อย่างยั่งยืน โดยกรมประมงได้คิดหาวิธียกสถานีประมงหรือศูนย์ประมงเอามาไว้ในชุมชน เพื่อที่จะนำพ่อแม่พันธุ์ปลามาฉีดกระตุ้นฮอร์โมนทำให้เกิดการวางไข่ จากนั้นอนุบาลให้เป็นลูกปลาแล้วนำไปปล่อยให้เจริญเติบโตตามจุดเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งนวัตกรรมที่ว่าคือชุดเพาะฟักไข่ปลาเคลื่อนที่ Mobile hatchery ที่เป็นการปฏิบัติอิงธรรมชาติโดยนำหลักวิชาการเข้ามาเสริม

ซึ่งปัจจุบันแต่ละศูนย์วิจัยจะมีชุด Mobile hatchery ประจำศูนย์อยู่ประมาณ 1-2 ชุด พอถึงฤดูปลาวางไข่ กรมประมง ก็จะส่งนักวิชาการ เจ้าหน้าที่ มาออกตั้งแคมป์ประจำจุดต่าง ๆ เพื่อสำรวจร่วมกับผู้นำชุมชน องค์กรประมงชุมชน ตลอดจนกลุ่มอนุรักษ์ต่าง ๆ ว่าจุดไหนมีพ่อแม่พันธุ์ปลาอยู่เป็นจำนวนมาก จากนั้นช่วยกันรวบรวมพันธุ์ปลาจากแหล่งน้ำมาขยายพันธุ์ด้วยชุด Mobile hatchery แล้วนำลูกปลาที่ได้ไปปล่อยตามแหล่งน้ำเป้าหมายตั้งแต่หนองหาร เรื่อยลงมาตามป่าบุ่งป่าทาม และลำน้ำก่ำ โดยในอนาคตมีแนวคิดที่จะให้มีชุด Mobile hatchery ประจำอำเภอ เพราะมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าลงทุนน้อยแต่ได้มาก เนื่องจากราคาไม่กี่หมื่นบาทแต่สามารถเสริมพันธุ์ปลาได้เป็นจำนวนมาก โดยแม่พันธุ์ปลา 1 ตัว สามารถเพาะพันธุ์ลูกปลาได้ถึงแสนตัว อย่างปีที่แล้วที่ดำเนินการในลุ่มน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนมจนถึงหนองหาร จังหวัดสกลนคร สามารถเพาะพันธุ์ปลาได้ถึง 30 กว่าล้านตัว


วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

จ.นครพนม ประกอบรัฐพิธีวางพวงมาลา เนื่องในวันพระนารายณ์มหาราช ประจำปี 2566

วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ข้าราชการหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจังหวัดนครพนม ประกอบรัฐพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ จุดธูปเทียน เครื่องทองน้อย และกล่าวถวายราชสดุดี เบื้องหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ และรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงมีต่อแผ่นดินไทย เนื่องในพระนารายณ์มหาราช ประจำปี 2566

โดยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 หรือสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสรรเพชรญ์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 27 แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 4 และพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ปราสาททอง ทรงเป็น 1 ใน 8 สมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศไทย ที่ทรงได้รับพระสมัญญานามว่าเป็น “มหาราช” ทรงเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ เดือนยี่ ปีวอก พ.ศ. 2175 (นับแบบปัจจุบัน พ.ศ. 2176) เป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าปราสาททอง พระมหากษัตริย์ผู้ครองกรุงศรีอยุธยา กับพระราชธิดาของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เหตุที่มีพระนามว่า “นารายณ์” มีที่มาน่าสนใจคือ มีพระญาติวงศ์เหลือบเห็นเป็น 4 กร โดยทรงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2199 มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 ขณะทรงมีพระชนมายุ 25 พรรษา

พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ทรงสร้างความรุ่งเรือง และความยิ่งใหญ่ให้แก่กรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก ทรงขยายพระราชอาณาจักร ทำศึกกับพม่าเพื่อชิงเมืองเชียงใหม่ ทำสงครามเพื่อชิงเมืองทวายและเมืองเมาะตะมะกลับมาเป็นของกรุงศรีอยุธยา ทรงส่งเสริมด้านการค้าขายกับนานาชาติ อาทิ จีน อินเดีย ฮอลันดา อังกฤษ และอิหร่าน จนทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางแลกเปลี่ยนการค้าระดับนานาชาติ ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการทูต โดยส่งคณะราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างชาติ อาทิ อิหร่าน และฝรั่งเศส พร้อมทั้งนำวิทยาการและเทคโนโลยีจากต่างชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่อาณาจักร ทั้งการสร้างป้อมปืน ระบบน้ำประปา ดาราศาสตร์ และการแพทย์แบบตะวันตก และทรงสร้างพระราชวังเมืองละโว้ หรือลพบุรี เมื่อ พ.ศ. 2209 เพื่อใช้สำหรับว่าราชการ ต้อนรับแขกเมือง และทรงประทับอยู่ที่เมืองลพบุรี 8-9 เดือนต่อปี

โดยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศ เมืองลพบุรี หลังจากประชวรหนัก เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2231 พระชมมายุ 56 พรรษา ดังนั้น คณะรัฐมนตรี จึงมีมติให้ วันที่ 11 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

มูลนิธิบำรุงโรงเรียนวัดบึงเหล็กที่กำเนิดจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ร.9 มอบทุนการศึกษาเด็กเรียนดี ยากจนจังหวัดนครพนม

วันที่ 10 กรกฎาคม 2566 ที่หอประชุมโรงเรียนวัดบึงเหล็ก ในพระบรมราชานุเคราะห์ นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษาโครงการทุนพ่อหลวง มูลนิธิบำรุงโรงเรียนวัดบึงเหล็ก ประจำปี 2565 ให้กับนักเรียนที่มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี มีฐานะยากจน จำนวน 124 คน เนื่องจากคณะกรรมการมูลนิธิบำรุงโรงเรียนวัดบึงเหล็กได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษาของเยาวชนผู้ด้อยโอกาสและยากจนในชนบท โดยได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินดอกเบี้ยมูลนิธิฯ เพื่อจ่ายเป็นทุนการศึกษาตามโครงการทุนพ่อหลวง แบ่งเป็น 6 ประเภททุนได้แก่ ทุนเรียนดีพ่อหลวง มอบให้กับนักเรียนที่มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี ผลการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-5 เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00 เฉพาะ 3 อันดับสูงสุดของในแต่ระดับชั้นทุนละ 1,000 บาท ทุนนักเรียนดีพ่อหลวง มอบให้นักเรียนที่มีความประพฤติดี เป็นแบบอย่างที่ดีด้านใดด้านหนึ่ง มีผลการเรียนไม่ต่ำกว่า 2.0 ทุนละ 1,000 บาท ทุนศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์พ่อหลวง มอบให้นักเรียนที่มีผลงานด้านศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ เป็นที่ยอมรับของโรงเรียนและมีความประพฤติดี ทุนละ 1,000 บาท ทันกีฬาพ่อหลวง มอบให้นักเรียนที่มีผลงานทางด้านกีฬาเป็นที่ยอมรับของโรงเรียนและมีความประพฤติดี ทุนละ 1,000 บาท ทุนศึกษาต่อพ่อหลวง มอบให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และปีที่ 4 ที่มีฐานะยากจนให้ได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อทุนละ 500 บาท และทุนศึกษาต่อพ่อหลวงระดับปริญญาตรี ทุนละ 2,000 บาท เพื่อเป็นทุนการศึกษาที่ช่วยเหลือนักเรียนที่เข้าเรียนในระดับชั้นปริญญาตรี นอกจากนี้ยังมีทุนการศึกษาจากผู้มีจิตอันเป็นกุศลมอบให้เพิ่มเติมอีกจำนวน 17 ทุน

โดยโรงเรียนวัดบึงเหล็ก ในพระบรมราชานุเคราะห์ เป็นโรงเรียนสงเคราะห์เด็กยากจน กำพร้า อนาถา ขาดที่พึ่ง ไม่มีทุนทรัพย์ที่จะศึกษาต่อตลอดจนเด็กที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาในถิ่นทุรกันดาร และถิ่นที่มีผู้ก่อการร้ายตามแนวชายแดน ตามพระราชประสงค์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2518 ตามใบอนุญาตเลขที่ 2/2518 เป็นโรงเรียนอันดับของสำนักพระราชวัง ประเภทโรงเรียนเอกชน โดยมีศาสตราจารย์ดอกเตอร์กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา เป็นผู้รับใบอนุญาตและเจ้าของโรงเรียน ปัจจุบันมีนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ ทั้งสิ้น 219 คน แบ่งเป็น ชาย 114 คน หญิง 105 คน มีบุคลากรทางการศึกษารวมทั้งสิ้น 21 ราย

ทั้งนี้มูลนิธิบำรุงโรงเรียนวัดบึงเหล็ก ได้จัดตั้งขึ้นโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้จัดตั้งขึ้น และให้นำดอกผลมาใช้ในการช่วยเหลือนักเรียนและบำรุงโรงเรียนวัดบึงเหล็ก ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นผู้กำกับดูแลทุนการศึกษาทุนพ่อหลวง ที่จะมอบให้แก่นักเรียน เป็นการสนองพระราชดำริของพระองค์ท่าน และเป็นการสงเคราะห์ช่วยเหลือนักเรียนที่ยากจนให้ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน เป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในแต่ละครอบครัว


สกู๊ปข่าว ตามรอยพญานาค 5 จังหวัดภาคอีสาน

พระครูกิตติสุตานุยุต เจ้าคณะอำเภอเมืองนครพนม เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ จ.นครพนม เทศนาธรรมว่า ประชาชนในจังหวัดลุ่มแม่น้ำโขงนี้ มีความเชื่อความศรัทธาในพญานาค ซึ่งพญานาคนั้นก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังที่ปรากฏในพุทธประวัติอยู่หลายเรื่องหลายตอน ในคราวหนึ่งนั้นในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ทรงเสด็จประทับเสวยวิมุตติสุขที่ใต้ร่มต้นมุจรินทร์หรือที่คนอีสานเรียกต้นจิก พญามุจรินทร์นาคราชก็ได้มาขมวดลำตัวถึงเจ็ดชั้นและแผ่พังพานป้องกันฝนให้แก่พระพุทธองค์ จึงเป็นที่มาของพระพุทธรูปปางนาคปรกที่เราท่านทั้งหลายได้เห็นในวัดวาอารามต่าง ๆ

และถ้าอาศัยความเชื่อดังกล่าวนั้น ชุมชน ผู้คนที่อาศัยอยู่ในลุ่มแม่น้ำโขง จึงนำความเชื่อมาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี เช่น การบวชพระ ก็จะมีการบวชนาค ทำขวัญนาค เพราะฉะนั้นในจังหวัดลุ่มแม่น้ำโขงจึงมีนิทาน ตำนาน เรื่องเล่าเกี่ยวกับพญานาคทั้งในชุมชนหรือวัดต่าง ๆ ตลอดจนธรรมชาติที่ปรากฎขึ้นให้เห็น ที่ใหม่ ๆ ก็เช่นที่จังหวัดบึงกาฬ ภูลังกา ถ้ำนาคี นาคา จังหวัดมุกดาหารก็พญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช พญาอนันตนาคราช จังหวัดนครพนมก็มีพญาศรีสัตตนาคราชที่ปกปักรักษาองค์พระธาตุพนม ส่วนจังหวัดหนองคายที่รู้จักกันดีก็บั้งไฟพญานาค ในจังหวัดอุดรธานีก็มีคำชะโนด โดยในแต่ละชุมชนก็จะมีความเชื่อ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพญานาคให้ได้รับรู้ได้เห็นเป็นอันมาก ทำให้มีวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับพญานาค

ดังนั้นอาตมาภาพในนามของคณะสงฆ์ในจังหวัดลุ่มแม่น้ำโขง ก็ขออนุโมทนา ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ท่านปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตลอดจนท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่ได้มาร่วมกันทำพิธีทำบุญตักบาตร ในการเปิดเส้นทางการท่องเที่ยว ตามความเชื่อความศรัทธา ตามรอยพญานาค ซึ่งท่านทั้งหลายก็จะได้เห็นในโอกาสที่เดินทางไปตามเส้นทาง และขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย คุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ และความเชื่อความศรัทธาของท่านทั้งหลายที่มีต่อพญานาค รวมถึงอานิสงค์ของการทำบุญตักบาตรของท่านทั้งหลายในวันนี้ของจงมารวมกันเป็นตะบะเดชะ เป็นพลวปัจจัย อำนวยอวยชัย ส่งผลดลบันดาล อภิบาลประทานพร ให้ทุกท่านเป็นผู้มีแต่ความสุข ความเจริญ มีความสุขกายสุขใจ สุขภาพพลานามัย สมบูรณ์แข็งแรง มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ ลาภยศ สรรเสริญ นึกคิดปรารถนาสิ่งใดก็ดี กิจการหน้าที่การงานใด ๆ ก็ดี ขอให้สิ่งที่นึกคิดปรารถนา ตลอดจนหน้าที่การงานที่ทำนั้น ขอจงประสบความสำเร็จสมดังที่มุ่งมาตรปรารถนา โดยทั่วกันทุกท่านเทอญ


วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

นครพนมม่วนซื่นโฮแซว พ่อเมืองควงแขนแม่บ้านนำทีมลงแขกช่วยชาวนากลุ่มเปราะบาง ลดต้นทุนการผลิต สร้างความสามัคคี สืบสานประเพณีอีสาน

วันที่ 8 กรกฎาคม 2566 ที่หมู่ที่ 1 ตำบลหนองฮี อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ภาคเอกชน ประชาชน และนักเรียนนักศึกษาในพื้นที่ กว่า 200 คน ร่วมกันทำกิจกรรมลงแขกดำนาในรูปแบบการเอามื้อสามัคคี ที่สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนมจัดขึ้น ภายใต้โครงการ ผู้ว่าคลายทุกข์ ช่วยเหลือราษฎรกลุ่มเปราะบาง อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีการช่วยเหลือเจือจุลเกษตรกรผู้สูงอายุและด้อยโอกาส โดยการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ชุมชนห่างไกลและดำเนินการให้ความช่วยเหลือสนับสนุน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น Change for good และขยายผลไปสู่การดำเนินการช่วยเหลือดูแลซึ่งและกันของคนในชุมชน ส่งเสริมความรักความสามัคคี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินโครงการหมู่บ้านยั่งยืน Sustainable Village ทั้งเป็นการอนุรักษ์ประเพณีวิถีชีวิตพื้นบ้าน และสืบสานวัฒนธรรมไทย ในสมัยอดีตที่นับวันจะเลือนหายไป ให้กลับมาคงอยู่คู่ชุมชน


นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ประเพณีการลงแขกดำนา นับวันจะหาดูได้ยาก เพราะปัจจุบันชาวนาส่วนใหญ่จะชอบทำนานาหว่าน แถมมีการนำเอาเทคโนโลยีและเครื่องจักรกลต่าง ๆ มาช่วยในกระบวนการผลิต ซึ่งจากสถิติการเก็บข้อมูลวิจัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเปรียบเทียบการทำนาแบบต่างๆ พบว่า การทำนาดำให้ผลผลิตมากที่สุด รองลงมาคือนาหยอด ส่วนนาหว่านให้ผลผลิตน้อยที่สุด เพราะต้นข้าวขึ้นไม่เป็นระเบียบทำให้บริหารจัดการแปลงนาได้ยาก ต้น รวงและเมล็ดข้าวจึงไม่สม่ำเสมอ เพราะต้องแย่งอาหารและแข่งกันโต สุดท้ายกลายเป็นชาวนาได้ข้าวคุณภาพไม่สม่ำเสมอ ขณะเดียวกันการทำนาดำก็ต้องใช้ต้นทุนในการผลิตที่สูง เพราะมีต้นทุนในเรื่องของแรงงานที่จ้างมาดำในแต่ละวัน ในสมัยอดีตบรรพบุรุษจะใช้วิธีลงแขก ไม่ว่าจะเป็น ดำนา เกี่ยวข้าว หรือตีข้าว ถือเป็นประเพณีไทยที่แสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นการสร้างความรักความสามัคคีของคนภายในหมู่บ้าน โดยในระหว่างการลงแขกก็จะมีการขับร้องเพลงเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน และเพลิดเพลิน รวมถึงเมื่อถึงเวลาพักก็จะมีการรับประทานอาหารร่วมกัน ดังนั้นในวันนี้จึงได้นำทุกคนมาลงแขกดำนาช่วยนางขันตี สังข์ประเสริฐ ที่เป็นเกษตรผู้สูงอายุและด้อยโอกาส
ด้านนางสาวกัญณฐา อภินนท์ธนา เกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ข้าว ถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของจังหวัดนครพนม ในภาพรวมปี 2564/65 มีมูลค่าทางเศรษฐกิจของข้าวนาปี ทั้งข้าวเจ้านาปี และข้าวเหนียวนาปี รวม 6,800 ล้านบาท มีพื้นที่ปลูก 12 อำเภอ รวม 1.5 ล้านไร่ มีผลผลิต 578,000 ตัน โดยกิจกรรมลงแขกดำนาในวันนี้จัดขึ้น เพราะต้องการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับกลุ่มเป้าหมาย เป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงาน ทั้งเป็นการส่งเสริมให้ชาวนาได้มีผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ สามารถจำหน่ายได้ในราคาสูง จากการถ่ายทอดความรู้ให้ทุกคนได้เห็นและเข้าใจ เพื่อนำไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำนาให้สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ตั้งแต่กระบวนการแรกของการทำนา เพราะก่อนลงแขกจะมีการสอนการเตรียมและปรับปรุงบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ ด้วยปุ๋ยหมักและปุ๋ยอินทรีย์ แทนการใช้สารเคมีที่จะเป็นบ่อนตัวทำลายสุขภาพของชาวนา โดยกิจกรรมดังกล่าวจะมีการขยายผลไปทั้ง 12 อำเภอของจังหวัดนครพนม

วธ. เปิดเส้นทางตามรอยพญานาค เชื่อม 5 จังหวัดภาคอีสาน ชูอัตลักษณ์และวิถีชีวิตท้องถิ่นผ่านความเชื่อและความศรัทธาแห่งลุ่มแม่น้ำโขง

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ครม. ได้เห็นชอบให้นาค เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติประเภทสัตว์ในตำนาน ซึ่งเป็นการประกาศในเชิงสัญลักษณ์ เพื่อสร้างให้เกิดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และวัฒนธรรมของชาติ ที่เป็นการนำ Soft Power ทุนทางวัฒนธรรมมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้เข้าประเทศ ดังนั้นกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้ดำเนินการจัดกิจกรรม เส้นทางความเชื่อความศรัทธาแห่งลุ่มแม่น้ำโขงขึ้น โดยเป็นการบูรณาการงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค ท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในการนำอัตลักษณ์และวิถีชีวิตท้องถิ่นของคนลุ่มแม่น้ำโขง ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค มาเป็น Soft Power ดึงดูดนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ ผ่านเส้นทางการท่องเที่ยวที่เรียกว่าตามรอยพญานาค

ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวในมิติทางศาสนาและมิติทางวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องราว ตำนาน ความเชื่อ ความศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณี วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับพญานาคที่มีความคล้ายคลึงกัน ใน 5 จังหวัดภาคอีสาน คือ จังหวัดนครพนม มุกดาหาร บึงกาฬ หนองคาย และจังหวัดอุดรธานี เพื่อสร้างกระแสการรับรู้ กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเกิดความสนใจและเดินทางมาท่องเที่ยวตามรอยเส้นทางความเชื่อความศรัทธาแห่งลุ่มแม่น้ำโขงนี้ โดยเส้นทางดังกล่าวจะเริ่มต้นตั้งแต่ทางทิศเหนือของแม่น้ำโขง วัดโพธิ์ชัย พระธาตุหล้าหนอง พระธาตุบังพวน จังหวัดหนองคาย เรื่อยลงมาที่จังหวัดอุดรธานี วังนาคินทร์ คำชะโนด จังหวัดบึงกาฬ ถ้ำนาคา เจ้าปู่อือลือนาคราช จังหวัดนครพนม วัดมหาธาตุ ลานพญาศรีสัตตนาคราช วัดพระธาตุพนม และจังหวัดมุกดาหาร ลานพญาศรีภุชงค์มุกดานาคราช พญาอนันตนาคราช วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์ ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นการต่อยอดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักแก่นานาชาติ นำมาสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากจากสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม ผ่านการท่องเที่ยวที่ควบคู่ไปกับส่งเสริมให้วัดและศาสนสถาน เป็นแหล่งเรียนรู้คู่คุณธรรมที่มีคุณภาพ มีการพัฒนาศักยภาพของพื้นที่และผู้ที่เกี่ยวข้องรองรับสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม ที่สอดคล้องกับบริบทความต้องการของประชาชนและนักท่องเที่ยวผู้มารับบริการ โดยเฉพาะศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะและเรียนรู้ด้านศาสนา สำหรับเด็ก เยาวชน และประชาชนในพื้นที่


โดยวันนี้ 8 กรกฎาคม 2566 ได้มาเปิดกิจกรรมตามรอยพญานาคที่จังหวัดนครพนม พร้อมกับนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นางแสงมณีจรรณ์ เพชรสังหาร ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนม ผู้แทนรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านการตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกท่านได้มาลองสัมผัสกับกลิ่นอาย มนต์เสน่ห์ของคนลุ่มแม่น้ำโขงกับความเชื่อเรื่อง “พญานาค” ที่เมื่อได้เห็นและเรียนรู้รับรองว่าต้องตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน