วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2566

คณะกรรมการรางวัลหม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร ลงพื้นที่บ้านหนองสังข์ นครพนม ประเมินให้คะแนนหมู่บ้านหัตถกรรม รางวัลสร้างเสริมคนดีมีคุณธรรม ประจำปี 2566

วันที่ 30 สิงหาคม 2566 ที่บ้านหนองสังข์ อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นางวิษา เจริญวัฒนานนท์ เป็นหัวหน้านำคณะกรรมการมูลนิธิศูนย์กลางประสานงานพัฒนาชนบท ลงพื้นที่เยี่ยมและตรวจประเมินให้คะแนนกลุ่มทอผ้าบ้านหนองสังข์ หมู่ที่ 1 เพื่อคัดเลือกเป็นหมู่บ้านหัตถกรรมเข้ารับรางวัล หม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร รางวัล สร้างเสริมคนดี มีคุณธรรม ประจำปี 2566 โดยมีนายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตลอดจนรักษาราชการแทนนายอำเภอนาแก ผู้แทนพัฒนาการจังหวัดนครพนม คณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะผู้บริหารโรงเรียนในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนสมาชิกกลุ่มทอผ้าบ้านหนองสังข์ ร่วมให้การ ต้อนรับและบรรยายสรุปผลการดำเนินการ

นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า วันนี้รู้สึกยินดีที่บ้านหนองสังข์ อำเภอนาแกได้เป็นตัวแทนจังหวัดนครพนมเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกเป็นหมู่บ้านหัตถกรรมเข้ารับรางวัล หม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร รางวัล สร้างเสริมคนดี มีคุณธรรม ประจำปี 2566 และขอต้อนรับคณะกรรมการมูลนิธิศูนย์กลางประสานงานพัฒนาชนบททุกท่านที่ได้เดินทางลงพื้นที่มาตรวจเยี่ยมและประเมินในครั้งนี้ ซึ่งกลุ่มทอผ้าบ้านหนองสังข์ได้รับรางวัลทั้งในระดับจังหวัดและระดับเขตอย่างมากมาย ที่สำคัญคือชาวบ้านได้มีการทอผ้าที่เป็นลายเอกลักษณ์เฉพาะของชาวไทกะเลิง ที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนที่อื่น โดยช่วงหลังมากระทรวงมหาดไทย กรมพัฒนาชุมชนได้เข้ามารณรงค์การสวมใส่ผ้าไทยและรณรงค์ในการรักษ์โลกส่งเสริมให้ทางกลุ่มได้ทอผ้าด้วยการย้อมสีจากธรรมชาติจากเปลือกไม้และเศษวัสดุที่อยู่ในพื้นที่ถิ่นทำให้คนที่ใช้และโลกของเรามีความยั่งยืน ซึ่งตอนนี้กลุ่มกำลังพัฒนาให้มีความหลากหลายแต่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ลายดั่งเดิมตั้งแต่บรรพบุรุษให้คงอยู่

ด้านนางนุชนาถ ปู่บุตรชา คณะกรรมการกลุ่มทอผ้าบ้านหนองสังข์ หมู่ที่ 1 กล่าวเพิ่มเติมว่า กลุ่มทอผ้าบ้านหนองสังข์เป็นหมู่บ้านวิถีชนเผ่าไทกะเลิง ที่นำอัตลักษณ์อันโดดเด่นมาพัฒนาชุมชน โดยมีการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวภายใต้สโลแกน ล่องเรือชมหนองสังข์ นั่งซาเล้งแยงวิถีไทกะเลิง เบิ่งผ้าโบราณจกหีแข้ ซี่งที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยกลุ่มทอผ้าบ้านหนองสังข์ หมู่ที่ 1 เกิดขึ้นมาจากเวทีประชาคมของหมู่บ้าน ที่ต้องการนำปัญหาที่มีในพื้นที่มาร่วมกันแก้ไข ซึ่งเป็นการนำเอาวิถีชีวิตการทอผ้าลายขิดโบราณที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติและไม้มงคล อายุลายผ้ามากกว่า 100 ปี ที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นมาสร้างเป็นอาชีพ โดยผ้าทุกชิ้นจะทอด้วยเทคนิคการทอผ้าขิด ผ้ายกดอก ผ้ามัดหมี่ ที่แทรกด้วยลายจกหีแข้ และลายอื่นๆ ที่เลียนแบบมาจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำให้กลายเป็นอัตลักษณ์พื้นถิ่นที่โดดเด่นสวยงามแปลกตาไม่เหมือนใคร เช่น ลายมุก ลายพันมหา ลายพญานาค ลายพระธาตุ ลายดอกผักแว่น ลายขอน้อย ลายหอนกลอง ลายดอกมะส้าน ลายดอกตุ้ม ลายเต๋า ลายขอกุญแจ และลายดอกบัว ทั้งยังมีการประยุกต์ลายพระราชทาน ผสมผสานลายอัตลักษณ์พื้นถิ่นและลายเอกลักษณ์ของจังหวัดนครพนม มีการส่งเสริมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นในการทอผ้าและออกแบบผ้าและเครื่องแต่งกายให้ทันสมัย สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกโอกาส และส่งเสริมการขายผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อให้มีช่องทางการตลาดที่เพิ่มมาก เป็นการสืบสานภูมิปัญญาผ้าไทย ที่พร้อมสร้างงาน สร้างรายได้ให้ครอบครัว และสร้างชุมชนที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืนจากการแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งมาสนับสนุนกิจกรรมชุมชน

นางวิษา เจริญวัฒนานนท์ เปิดเผยว่า มูลนิธิศูนย์กลางประสานงานพัฒนาชนบท ก่อตั้งขึ้นมาโดยหม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร ซึ่งได้รับพระราชทานทุนมาก่อตั้งจำนวนเงิน 1,000,000 บาท จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาหมู่บ้านให้มีความเข้มแข็ง ด้านหัตถกรรมเพื่อเสริมรายได้ให้แก่ราษฎร โดยเป็นหัตถกรรม 5 ประเภท ประกอบไปด้วย ผ้าและสิ่งทอ สิ่งประดิษฐ์ เครื่องปั้นดินเผา จักรสาน และเครื่องไม้ ซึ่งของบ้านหนองสังข์จะเป็นในประเภทผ้าและสิ่งทอ แต่พอได้เห็นแล้วพบว่าบ้านหนองสังข์ได้รับรางวัลเยอะมาก อีกทั้งฝีมือก็มีความสวยงามโดดเด่น ซึ่งหากได้รับรางวัลก็จะได้เข้าไปรับโล่รางวัลพระราชทานในวันที่ 18 ตุลาคม พร้อมทั้งทุนดำเนินการอีก 10,000 บาท รวมทั้งได้นำสินค้าไปจำหน่ายภายในงาน ก็หวังว่าเมื่อประเมินครบทั้ง 19 กลุ่มแล้วกลุ่มทอผ้าบ้านหนองสังข์จะได้เป็น 1 ใน 12 กลุ่มที่ได้เข้ารับรางวัลอันทรงคุณค่านี้


วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ชื่นชมแม่ค้าลอตเตอรี่เก็บกระเป๋าเงินได้ส่งคืนนักท่องเที่ยว

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่มีข่าวเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์เกี่ยวกับกรณีนางสาววลัยกร ศรีสอง ที่เป็นแม่ค้าลอตเตอรี่เก็บกระเป๋าเงินของนักท่องเที่ยวได้ที่ห้องน้ำสาธารณะบริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช แล้วมีการติดต่อและนำส่งคืนเจ้าของที่เป็นนักท่องเที่ยวจนสำเร็จ ซึ่งต้องขอชื่นชมและขอบคุณที่ทำชื่อเสียงให้กับจังหวัดนครพนม ทำให้นักท่องเที่ยวมีความประทับใจและอยากเดินทางมาท่องเที่ยวอีกครั้ง รวมทั้งถือเป็นแบบอย่างที่ดีต่อเยาวชนและประชาชนทั่วไป

ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้ นางกรรญา ศูนย์คำ วัฒนธรรมจังหวัดนครพนม ติดต่อประสานเชิญมาเข้าพบในการประชุมกรมการจังหวัดนครพนม พร้อมรับมอบเกียรติบัตรบุคคลที่มีพฤติกรรมควรค่าแก่การยกย่อง ด้านซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและเชิดชูการทำความดีในครั้งนี้ ซึ่งจากการสอบถามนางสาววัลยกร ทราบว่าเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความบังเอิญที่เดินไปเข้าห้องน้ำสาธารณะบริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช ฝั่งตรงข้ามโรงรับจำนำนครพนม ต่อจากนักท่องเที่ยวชาวกาฬสินธุ์ ซึ่งในตอนที่เดินเข้าไปสังเกตเห็นว่ามีกระเป๋าเงินสีน้ำตาลวางอยู่ แต่พอตรวจสอบกลับไม่พบว่ามีใครอยู่ในห้องน้ำ จึงได้มีการสอบถามบริเวณใกล้เคียงแถวนั้นว่ามีใครเข้าห้องน้ำแล้วลืมกระเป๋าเงินไว้หรือป่าวซึ่งก็ไม่มี จึงได้ทำการเปิดกระเป๋าดูเพื่อที่จะได้รู้ว่าเจ้าของเป็นใคร จากนั้นก็เอาชื่อตามบัตรประชาชนไปค้นหาในเฟสบุ๊คจนพบ และติดต่อให้มารับเก็บกระเป๋าคืนเพราะเดินทางออกจากนครพนมไปแล้ว โดยนางสาววลัยกรให้เหตุผลในการส่งคืนกระเป๋าเงินในครั้งนี้ว่า ตนเองเข้าใจหัวอกของคนที่ทำกระเป๋าหาย ยิ่งข้างในมีทั้งเงินและสิ่งของมีค่าอื่น ๆ อีก ยิ่งรู้ว่าตกใจและทำไรไม่ถูก ขนาดตนเองทำเงินหายไม่กี่บาทยังตกใจเพราะกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทก็ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและแรงกาย ที่สำคัญอีกอย่างคือไม่อยากได้ของคนอื่นเพราะกลัวบาป และรู้สึกดีใจและภูมิใจที่ได้ส่งมอบกระเป๋าเงินที่เก็บได้คืนให้กับเจ้าของสำเร็จ

โดยในโอกาสนี้ก็ได้กล่าวขอบคุณและชื่นชมในการทำความดีในครั้งนี้อย่างจริงใจ ขอให้เจริญรุ่งเรือง ค้าขายเจริญ ๆ รวมถึงได้มอบของที่ระลึกเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการทำความดีด้วย อีกทั้งยังได้ขอนำเอาเรื่องราวการทำความดีในครั้งนี้ไปขยายต่อยังเยาวชนคนรุ่นใหม่ เพื่อจะได้เป็นแบบอย่างในการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความดีให้กับเยาวชนจังหวัดนครพนมให้มีมากยิ่งขึ้น โดยได้มอบหมายให้คณะผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครพนมนำเรื่องราวดี ๆ ตัวอย่างดี ๆ ในครั้งนี้ ไปบอกเล่าและถ่ายทอดต่อยังเยาวชนในสถานศึกษา เพื่อสร้างการรับรู้ สร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้ทุกคนมีจิตสำนึกที่ดี มีคุณธรรม พฤติกรรมตนอยู่บนพื้นฐานของความพอเพียง มีวินัย ซื่อสัตย์สุจริต เป็นจิตอาสา กตัญญูต่อบิดา มารดา คนในครอบครัวและสังคม ซึ่งจะทำให้สังคมนครพนมเป็นสังคมที่น่าอยู่ เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวอยากมาสัมผัสเพิ่มเติมนอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยวที่มาความสวยงาม


วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2566

สกู๊ป รู้เท่าทันยุงลาย & ไข้เลือดออก

ดร.มารดี ศิริพัฒน์ (วิทยาดำรงชัย) รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม ด้านส่งเสริมพัฒนา เปิดเผยว่า ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝนโดยมักจะมีโรคตามมาคือโรคไข้เลือดออก ซึ่งมาจากแหล่งน้ำที่เราไม่ได้กำจัดทำให้เกิดมีลูกน้ำยุงลาย โดยสถานการณ์ของจังหวัดนครพนมตอนนี้มีผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออก 800 กว่าราย แต่ยังไม่มีผู้เสียชีวิต ผู้ป่วยจะกระจายอยู่ในพื้นที่อำเภอโพนสวรรค์ อำเภอนาหว้าและอำเภออื่น ๆ โดยเฉพาะอำเภอที่มีป่าจำนวนมาก เช่น ป่ายาง เพราะมีโอกาสสูงที่จะเกิดแหล่งน้ำขัง เนื่องมาจากกระบอกกรีดยางที่ไม่ได้ใช้แล้ว กลายมาเป็นขยะ จึงไม่อยากให้ทุกคนชะล่าใจและหันมาช่วยกันทำให้ไม่มีการเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออก เพราะเมื่อป่วยแล้วมีโอกาสที่จะเสียชีวิตค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ร่างกายอ่อนแอ กลุ่มเปราะบาง กลุ่มผู้สูงอายุและเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งในขณะนี้พบผู้ป่วยในกลุ่มนี้ค่อนข้างเยอะ

ซึ่งการป้องกันถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทำอย่างไรไม่ให้มีลูกน้ำยุงลาย โดยเพราะอย่างยิ่งแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายที่เราอาจจะมองข้าม ไม่ว่าจะเป็น เศษขยะ เศษสิ่งของที่เราไม่ได้ใช้แล้ว หรือแม้แต่แหล่งน้ำขังต่าง ๆ รวมถึงในโองน้ำที่ไม่ได้ปิดฝา แจกันดอกไม้ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดน้ำขังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ ซึ่งยุงลาย 1 ตัว สามารถวางไข่ได้ครั้งละมากกว่า 400 ฟองและสามารถวางไข่ได้ตลอดชีวิตของยุงลาย โดยไข่ยุงลายจะทนความแล้งได้นาน 1 ปี บางทีเราไม่รู้ได้เลยว่าในช่วงหน้าแล้งยุงลายมีการวางไขไว้ที่ไหนบ้าง แต่พอเข้าฤดูฝนที่มีฝนตกลงเกิดน้ำขังตัวโม่งก็จะเกิดขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็กลายมาเป็นยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกมาสู่เราได้

เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากเตือนประชาชนให้ระวังบุตรหลาน หรือทุกคนในครอบครัวให้ดีอย่าให้เป็นไข้เลือดออก โดยการป้องกันที่สำคัญคือ ต้องนอนกางมุ้งไม่นอนกลางแจ้ง แต่ถ้าจำเป็นต้องออกไปอยู่กลางแจ้งหรือสถานที่ที่มียุงเยอะๆ ต้องทายากันยุง ในการป้องกันที่สำคัญที่สุดคือการตัดวงจรลูกน้ำยุงลาย กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ขยะหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ วิธีที่ง่ายที่สุด คือการเปลี่ยนน้ำทุก ๆ 7 วัน หรือจะใส่ทรายอะเบท (Abate) ก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในส่วนตรงนี้จะสามารถขอได้ที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่ให้การสนับสนุนหรือหน่วยงานสาธารณสุข ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนมาช่วยกันรณรงค์ไม่ให้มีลูกน้ำยุงลาย และช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายให้หมดไปจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ส่วนถ้าบ้านไหนอยากจะมีอ่างน้ำไว้ประดับหรือไว้ใช้ก็สามารถทำได้ แต่อย่าลืมเลี้ยงปลาหางนกยูงก็จะช่วยได้เช่นเดียวกัน

ผู้ว่าราชการนครพนม นำทีมดูแลผู้สูงอายุยากไร้ อ.ท่าอุเทน ขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน

วันที่ 26 สิงหาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครนพม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ และให้ความช่วยเหลือนางคำทุ่น ทุมแต้ม อายุ 75 ปี ที่เป็นผู้สูงอายุยากไร้ มีความพิการหูตึง ตามองไม่ค่อยเห็น และเดินไม่สะดวก อีกทั้งมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ความดัน และโรคไต ที่อาศัยอยู่คนเดียวในบ้านเลขที่ 75/1 บ้านดงน้อย หมู่ที่ 11 ตำบลพนอม อำเภอท่าอุเทน ซึ่งเป็นบ้านไม้เก่าทรุดโทรม มีรายได้เลี้ยงชีวิตมาจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและคนในชุมชนช่วยกันดูแล ตามโครงการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง "นครพนม สร้างสังคมอุดมสุข ทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน" ประจำปี 2566


โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่จังหวัดนครพนม จัดขึ้นเพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของครัวเรือนเป้าหมาย ที่ประสบความเดือดร้อนและยากจน ประกอบด้วย ครัวเรือนไม่ผ่านเกณฑ์ จปฐ. ปี 2565 ด้านรายได้ ข้อ 22 (รายได้เฉลี่ย 40,000 บาท/คน/ปี) ครัวเรือนจากระบบการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) ปี 2565 ครัวเรือนเปราะบาง และครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเวทีประชาคม ทั้ง 5 มิติ ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านความเป็นอยู่ ด้านการศึกษา ด้านรายได้ และด้านการเข้าถึงบริการภาครัฐ โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งในวันนี้หน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการเข้าช่วยเหลือประกอบไปด้วย สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม มอบเครื่องอุปโภคบริโภค 2 ชุด และเงินสด จำนวน 2,000 บาท สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม และศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดนครพนม มอบเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย จำนวน 3,000 บาท สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครพนม มอบเครื่องอุปโภคบริโภค 1 ชุด สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดนครพนม มอบเครื่องอุปโภคบริโภค 1 ชุด สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนม มอบผ้าห่ม 1 ผืน และเครื่องอุปโภคบริโภค 1 ชุด สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม มอบเมล็ดพันธุ์ผักสวนครัว รวม 7 ชนิด และเครื่องอุปโภคบริโภค 1 ชุด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม มอบเครื่องอุปโภคบริโภค 1 ชุด สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอท่าอุเทน มอบเครื่องอุปโภคบริโภค 1 ชุดองค์การบริหารส่วนตำบลพนอม มอบถุงยังชีพ 1 ชุด บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) สาขานครพนม มอบเครื่องอุปโภคบริโภค 2 ตะกร้า และบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขานครพนม มอบเครื่องอุปโภคบริโภค 2 ตะกร้า

จ. นครพนม บูรณาการออกหน่วยเคลื่อนที่ดูแลประชาชนชาวท่าอุเทน

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า แม้ปัจจุบันจะเป็นยุคดิจิทัลที่มีการสื่อสารที่รวดเร็ว แต่ก็ยังคงมีพี่น้องประชาชนอีกจำนวนมาก ที่ยังเข้าไม่ถึงบริการของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งการลงพื้นที่อย่างใกล้ชิดถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะได้พบปะพูดคุยและนำสิ่งดี ๆ ไปให้ประชาชนแล้ว ยังเป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพ ลดระยะเวลาในการเดินทางมาติดต่อราชการให้กับประชาชน ขณะเดียวกันส่วนราชการต่าง ๆ ก็จะได้รับทราบถึงปัญหาและความต้องการของประชาชน ที่จะนำไปสู่การดำเนินการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ทันต่อเวลา และสถานการณ์ ดังนั้นในวันนี้ (26 สิงหาคม 2566) จึงได้บูรณาการความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และโครงการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างร้อยยิ้มให้ประชาชน จังหวัดนครพนม ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนชาวอำเภอท่าอุเทน ที่โรงเรียนบ้านดง ตำบลพนอม


ซึ่งกิจกรรมภายในงานจะเริ่มตั้งแต่การแนะนำส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงภารกิจ อำนาจ หน้าที่ของแต่ละหน่วยที่จะดำเนินการช่วยเหลือประชาชน จากนั้นเป็นการนำนโยบายของรัฐบาลและแผนงานโครงการของจังหวัดและส่วนของส่วนราชการที่จะดำเนินการไปชี้แจง อธิบาย ทำความเข้าใจกับประชาชน ก่อนที่จะให้แต่ละหน่วยมาตอบคำถาม ข้อสงสัย สิ่งที่ต้องการของประชาชน และมอบทุนอุปการะเด็กของกองทุน พช.เพื่อชุมชนอำเภอท่าอุเทน มอบทุนการศึกษาบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดนครพนม มอบปูนซีเมนต์ มอบเตาซุปเปอร์อั้งโล่ประหยัดพลังงานให้ผู้ยากไร้ มอบพันธุ์ปลาของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดนครพนมให้กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านได้นำไปปล่อยตามแหล่งน้ำของชุมชน มอบเงินสงเคราะห่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉินของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม และมอบถุงยังชีพของสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมให้กับผู้ยากไร้

จากนั้นทุกคนได้แยกย้ายกันไปใช้บริการตามบูธต่าง ๆ ประกอบไปด้วย จุดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม ที่คณะแพทย์ได้นำเครื่องมือและอุปกรณ์สาธารณสุขต่าง ๆ มาให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ทำทันตกรรม และให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ รวมถึงที่ส่วนราชการต่าง ๆ ได้นำองค์ความรู้มาถ่ายทอดให้ทุกคนได้ได้เห็น ได้ศึกษา ได้เรียนรู้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้ง ในเรื่องของข้อมูลทางวิชาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน การบริหารจัดการน้ำ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การให้คำแนะนำในเรื่องที่ดิน การเลือกใช้พลังงาน การทำบัตรประชาชน การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การเข้าถึงกองทุนยุติธรรม การทำประกันสังคม การวางแผนออมกับ กอช. การแจกพันธุ์ต้นไม้ การแจกแบบสำหรับสร้างบ้าน การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การให้บริการตัดผม การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ ซ่อมบำรุงเครื่องยนต์และเครื่องจักรทางการเกษตร นอกจากนี้ยังมีการฝึกอาชีพและกิจกรรมตลาดนัดชุมชน จำหน่ายสินค้าราคาประหยัด สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP

วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2566

นครพนม หารือผลการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์ยาสูบ

วันที่ 24 สิงหาคม 2566 ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม (หลังใหม่) นาย วิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดนครพนม ครั้งที่ 1/2566 เพื่อขับเคลื่อนกลไกการดำเนินงานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตาม พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ไปสู่การปฏิบัติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมี ประสิทธิภาพครอบคลุมทุกพื้นที่ และประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบจังหวัดนครพนม ครั้ง 1/2566 เพื่อขับเคลื่อนกลไกการดำเนินงานผลิตภัณฑ์ยาสูบ ตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ให้ ไปสู่การปฏิบัติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพครอบคลุมทุกพื้นที่
โดยแนวทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จังหวัดนครพนมได้ดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ ที่มีเป้าหมายเชิงนโยบาย 5 ประการ คือ ควบคุมและลดปริมาณ การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของสังคม ป้องกันนักดื่มหน้าใหม่และควบคุมความชุกของผู้บริโภค ลดความเสี่ยงจากการบริโภคทั้งมิติของปริมาณการบริโภค รูปแบบการบริโภค และพฤติกรรมหลังบริโภค มีการจำกัดและควบคุมความรุนแรงของปัญหาจากการบริโภค และการสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมีการขับเคลื่อนนโยบายและกฎหมายร่วมกับภาคีเครือข่ายในการเฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่รับผิดชอบอย่างเคร่งครัด พร้อมมีการรายงานผลการดำเนินงานในระบบ TAS อีกทั้งมีการ สร้างค่านิยมเพื่อลดการดื่มที่เริ่มตั้งแต่ระดับเยาวชนขยายสู่ประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาศักยภาพบุคลากรผู้ปฏิบัติหน้าที่ในทุกระดับให้มีความสามารถในการคัดกรองและบำบัดรักษาผู้มีปัญหาจากการดื่มสุราให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมาทำให้มีอัตราการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการตรวจคัดกรองผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของจังหวัดนครพนม ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2565 - 29 มิ.ย. 2566 สูงเป็นอันดับที่ 2 ของเขตสุขภาพที่ 8

ส่วนด้านการขับเคลื่อนการดำเนินงานควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ จังหวัดนครพนมมีการดำเนินการใน 5 มาตรการหลักที่ประกอบไปด้วย การขับเคลื่อนกลไกการดำเนินงานควบคุมยาสูบระดับจังหวัด ที่จะมีการพัฒนา ศักยภาพบุคลากรในด้านต่างๆ การบังคับใช้กฎหมายและการสร้างสิ่งแวดล้อมปลอดบุหรี่ การป้องกันนักสูบหน้าใหม่ใหม่ในสถานศึกษา การบำบัดรักษาและช่วยเลิกบุหรี่ และการสร้างมาตรการทำให้ชุมชนปลอดบุหรี่ ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมาจังหวัดนครพนมสามารถคัดกรองผู้บริโภคยาสูบในประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป สูงเป็นอันดับที่ 3 ของเขตสุขภาพที่ 8 และมีอัตราการบำบัดอยู่ที่ร้อยละ 63.87

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) บูรณาการร่วมนครพนม สร้างเกราะป้องกันภัยออนไลน์ให้ประชาชน

วันที่ 24 สิงหาคม 2566 ที่โรงแรมฟอร์จูน ริเวอร์วิว อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรม 1212 ETDA สร้างภูมิคนไทยรู้ทันปัญหาออนไลน์ ภายใต้ โครงการพัฒนาความร่วมมือของเครือข่ายด้านการป้องกันและจัดการปัญหาธุรกรรมทางออนไลน์ ครั้ง 2 ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) ร่วมกับจังหวัดนครพนม โดย สำนักงานสถิติจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจในการทำธุรกรรมออนไลน์อย่างปลอดภัย มี รูปแบบที่เข้าใจง่าย สร้างความตระหนักรู้ ให้กับ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจน ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายสื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปในพื้นที่รวมทั้งสิ้น 200 คน เพื่อนำไปขยายผลต่อยังประชาชนในพื้นที่ ทั้งยังเป็นการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรในระดับภูมิภาคเพื่อรับเรื่องร้องเรียน ยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมออนไลน์ ลดการเกิดปัญหาในวงกว้างให้ประชาชน

นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล ที่ทุกกิจกรรมขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและการทำธุรกรรมออนไลน์แทบทั้งสิ้น และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยอำนวยความสะดวกให้ทุกคนสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ตามมาคือภัยหรือปัญหาที่แฝงมากับโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น การฉ้อโกงและอาชญากรรมออนไลน์ แก๊ง Call Center บัญชีม้า การหลอกลวงลงทุน-ระดมทุนออนไลน์ การหลอกลวงทางการเงิน การพนันออนไลน์ การหลอกลวงซื้อขายสินค้าและเว็บไซต์ผิดกฎหมาย ซึ่งปัญหาเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจากขอมูลศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ 1212 ETDA พบว่าในปี 2565 (มกราคม - พฤศจิกายน 65) มีการรับเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์สูงถึง 59,794 ครั้งและสูงกว่าปี 2564 โดยปัญหาซื้อขายออนไลน์ยังคงครองแชมป์เป็นอันดับ 1 รองลงมาคือปัญหาเว็บไซต์ผิดกฎหมาย การสอบถามข้อสงสัยและแจ้งเบาะแส แก๊ง Call Center และ SMS หลอกลวง แม้จากการให้บริการช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ของ 1212 ETDA พร้อมกับพันธมิตรจะครอบคลุมทั่วประเทศในระดับชุมชน สามารถผลักดันให้ผู้ประสบปัญหาเข้าถึงการช่วยเหลือดูแลแล้วกว่า 95% จากผู้ร้องเรียนทั้งหมดแต่การทำให้ผู้ใช้งานตลอดจนเจ้าหน้าที่ ผู้นำในชุมชน เกิดความรู้ความเข้าใจและรู้เท่าทันภัยออนไลน์ ตลอดจนรู้วิธีการรับมือ การเข้าถึงกระบวนการการช่วยเหลือผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อนั้น จึงเป็นอีกประเด็นที่ทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญ เพราะเป็นการป้องกันปัญหาที่เกิดตั้งแต่ต้นน้ำ

ด้านนาวสาวประภารัตน์ ไชยยศ หัวหน้าศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ ETDA ได้ร่วมกับพันธมิตรจัดกิจกรรมขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนได้มีความรู้ที่เท่าทันมิจฉาชีพและภัยออนไลน์ มีความเอะใจก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน โดยจะมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมาถ่ายทอดความรู้ ประกอบไปด้วย การรู้เท่ารู้ทันการซื้อขายออนไลน์ การเก็บหลักฐานทั้งการแชทคุย การโอนเงิน ลักษณะหน้าร้าน วิธีการแจ้งเรื่องกับ สคบ. หลังมีการโอนเงินให้มิจฉาชีพ การอัปเดตเทรนด์ฮิตมิจฉาชีพ รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับการเสวนาเรื่องรู้ทันกลโกงซื้อขายออนไลน์รู้ไว้จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ เรื่องมาตรการป้องกันภัยหลอกลวงทางออนไลน์ และเรื่องหลงกลไปแล้วทำไงได้ ก่อนที่จะรับฟังการบรรยายในหัวข้อ We Think Digital ซึ่งเป็นการให้ความรู้เรื่องการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล

ทั้งนี้อยากฝากถึงประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกรณีที่โอนเงินให้มิจฉาชีพแล้ว ขอให้รีบไปแจ้งธนาคารเจ้าของบัญชีเพื่อให้ธนาคารอายัติบัญชี ภายใน 72 ชั่วโมง และรีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวน ส่วนผู้ที่อยากขอคำปรึกษาเรื่องการทำธุรกรรมออนไลน์ที่ถูกต้อง วิธีการป้องกันมิจฉาชีพ หรือร้องเรียนกรณีตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ สามารถติดต่อสายด่วนได้ที่ 1212 ETDA ตลอด 24 ชั่วโมง


วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ส่วนล่วงหน้าในพระองค์ลงพื้นที่นครพนม ติดตามการเตรียมพร้อมรับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ในวโรกาสเสด็จติดตามผลการดำเนินงานโครงการ TO BE NUMBER ONE

วันที่ 22 สิงหาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายสุนิติ พรายศรี ผู้แทนสำนักงานในพระองค์ฯ สำนักพระราชวัง เดินทางมาตรวจพื้นที่และประชุมเตรียมการรับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ในวโรกาสที่จะเสด็จเยี่ยมสมาชิกและติดตามผลการดำเนินงานโครงการ TO BE NUMBER ONE จังหวัดนครพนม และทรงเปิดศูนย์เพื่อนใจ TO BE NUMBER ONE โรงเรียนธาตุพนม ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 โดยมีนายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยคณะหัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ ผู้แทนบริษัทเซซูแป เอเจนซี่ จำกัด บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) คณะผู้บริหารสถานศึกษา ครู อาจารย์ ผู้รับผิดชอบโครงการ TO BE NUMBER ONE จากกรมสุขภาพจิต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สวยงาม สมพระเกียรติ และมีความปลอดภัยสูงสุด

โดยได้มีการทบทวนรายละเอียดและรูปแบบการจัดกิจกรรมทั้งหมด ที่ได้มีการมอบหมายให้แต่ละหน่วยงานได้ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้ากว่า 90 % แล้ว มีเพียงรายละเอียดที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยก็จะเสร็จสมบูรณ์ สำหรับโรงเรียนธาตุพนมได้มีการน้อมนำโครงการ TO BE NUMBER ONE ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี มาจัดตั้งขึ้นภายในโรงเรียนเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 มียุทธศาสตร์หลักคือการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตให้แก่เยาวชน การสร้างและพัฒนาเครือข่ายเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด มีคำขวัญว่า เป็นหนึ่งโดยไม่พึ่งยาเสพติด โดยทำงานพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนเก่ง ดี มีความสุข ควบคู่กับการแก้ไขปัญหายาเสพติด ให้โอกาสกับผู้หลงผิดติดยาเสพติด ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งปัจจุบันมีนายยอดชาย พ่อหลอน เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนธาตุพนมและเป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาอำนวยการ มีนางสาวชุติมา แสนครุท นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/10 เป็นประธานชมรม มีนายจักรภัทร โพธิ์ตะนัง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 เป็นผู้จัดการศูนย์เพื่อนใจ TO BE NUMBER ONE โดยมีคณะกรรมการดำเนินงานตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 รวม 50 คน และมีนักเรียน จำนวน 2,302 คน เป็นสมาชิก คิดเป็นร้อยละ 100 ของนักเรียนทั้งหมด และได้ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณ พระธรรมวชิรโสภณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร สนับสนุนงบประมาณในการจัดกิจกรรม ต่าง ๆ และด้วยผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทำให้ชมรม TO BE NUMBER ONE โรงเรียนธาตุพนม ได้รับรางวัลพระราชทานชนะเลิศระดับประเทศในการประกวดชมรม TO BE NUMBER ONE ประจำปี 2563 ประเภทสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และปัจจุบันสามารถรักษามาตรฐานได้รับรางวัลพระราชทาน พร้อมเป็นต้นแบบระดับเงินปีที่ 2 ระดับประเทศ
ขณะที่ในภาพรวมของจังหวัดนครพนม ตลอด 21 ปี มีการขับเคลื่อนโครงการ TO BE NUMBER ONE มาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันครบทั้ง 12 อำเภอ ทั้งยังได้ประกาศให้โครงการ TO BE NUMBER ONE เป็นวาระของจังหวัด โดยยึดหลัก รณรงค์ ป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษา และบูรณาการที่มีการประสานความร่วมมือทุกภาคีเครือข่าย ทำให้ปัจจุบันมีสมาชิก TO BE NUMBER ONE อายุ 6-24 ปี จำนวน 172,201 คน คิดเป็นร้อยละ 91.20 มีชมรม TO BE NUMBER ONE จำนวน 664 ชมรม และมีศูนย์เพื่อนใจ TO BE NUMBER ONE จำนวน 203 แห่ง และในปี 2566 ได้เป็นตัวแทนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าแข่งขันระดับประเทศ จำนวน 12 รางวัล ประกอบไปด้วย จังหวัด TO BE NUMBER ONE กลุ่มต้นแบบระดับทองปีที่ 2 , ชมรม TO BE NUMBER ONE ชุมชนบ้านนาสมดี กลุ่มต้นแบบระดับทอง ปีที่ 1, ชมรม TO BE NUMBER ONE สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัดนครพนม กลุ่มต้นแบบระดับเงิน , ชมรม TO BE NUMBER ONE โรงเรียนธาตุพนม กลุ่มต้นแบบระดับเงิน , ชมรม TO BE NUMBER ONE ชุมชนบ้านนาราชควาย กลุ่มต้นแบบแบบเงิน ปีที่ 2 , ชมรม TO BE NUMBER ONE โรงเรียนอุเทนพัฒนา กลุ่มต้นแบบเงินปีที่ 1 , ชมรม TO BE NUMBER ONE บริษัท สยาม แม็คโค จำกัด สาขานครพนม กลุ่มต้นแบบเงิน ปีที่ 1 , ชมรม TO BE NUMBER ONE มหาวิทยาลัยนครพนม กลุ่มต้นแบบเงินปีที่ 1 , ชมรม TO BE NUMBER ONE อำเภอเรณูนคร กลุ่มดีเด่น, ชมรม TO BE NUMBER ONE เรือนจำกลางจังหวัดนครพนม กลุ่มดีเด่น , ชมรม TO BE NUMBER ONE สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดนครพนม กลุ่มดีเด่น และ ชมรม TO BE NUMBER ONEชุมชนบ้านโคกหินแฮ่ กลุ่มดีเด่น

วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี โปรดให้ รองประธานฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ออกตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโครงการฝึกอบรมแบบบูรณาการเพื่อเผยแพร่ความรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการบริหารจัดการโรคพิษสุนัขบ้าสู่ชุมชน ในพื้นที่จังหวัดนครพนม

วันที่ 19 สิงหาคม 2566 เวลา 9.00 น. ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี โปรดให้ นายเปี่ยมศักดิ์ มิลินทจินดา เอกอัครราชทูต รองประธานฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ออกตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโครงการฝึกอบรมแบบบูรณาการเพื่อเผยแพร่ความรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยี ในการบริหารจัดการโรคพิษสุนัขบ้าสู่ชุมชน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การดำเนินโครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธานฯ ที่คณะสัตวแพทยศาสตร์และคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดขึ้นที่โรงแรมฟอร์จูน ริเวอร์วิว นครพนม อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม โดยมีนายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายประกิจ ศรีใสย์ ผู้แทนปศุสัตว์จังหวัดนครพนม นายดนัย เนวะมาตย์ ผู้แทนสาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายปิ่นทอง พจนา ผู้แทนท้องถิ่นจังหวัดนครพนม ผศ.ดร.ปัทมาวดี เล่ห์มงคล คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผศ.สพ.ญ.ดร.วราพร พิมพ์ประไพ ผู้แทนคณบดีคณะสัตว์แพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตลอดจน หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ

โดยโครงการดังกล่าวเป็นการฝึกอบรมแบบบูรณาการ เพื่อเผยแพร่ความรู้ ถ่ายเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องให้กับเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ครูผู้ฝึกสอนด้านสุขศึกษา อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และผู้แทนชุมชน รวมทั้งสิ้นประมาณ 180 คน ให้ได้เข้าใจเกี่ยวกับการจัดการโรคพิษสุนัขบ้า ทั้งภาคทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติ ประกอบไปด้วย การบรรยายทางวิชาการ ระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในการใช้ Application เพื่อป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าสู่โรงเรียนและชุมชน และการระดมความคิดเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน ก่อนที่ทุกคนจะนำความรู้ที่ได้รับไปขยายต่อยังนักเรียนในสถานศึกษาและคนในชุมชน เพื่อร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานพระปณิธานฯ ที่ต้องการให้โรคพิษสุนัขบ้าหมดไปจากประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงห่วงใยในสุขภาพของคนไทยตลอดจนสัตว์เลี้ยง โดยทรงริเริ่มให้จัดทำโครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า เพื่อขจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไปจากประเทศไทยมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2560 โดยเป็นการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ภายใต้หลักสุขภาพ หนึ่งเดียว (One Health) และมีเป้าประสงค์ไม่ให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทย โดยองค์การอนามัยโลกมีพันธสัญญาให้โรคพิษสุนัขบ้าหมดไปจากโลกในปี พ.ศ. 2573 และจังหวัดนครพนมเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายของโครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธานฯ ที่ได้ดำเนินการสนองพระปณิธานฯ และมุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนได้รู้จักและตระหนักถึงพิษภัยของโรคพิษสุนัขบ้า สามารถดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันกับสัตว์ได้อย่างปลอดภัย ห่างไกลจากโรคพิษสุนัขบ้า

ซึ่งในเขตพื้นที่จังหวัดนครพนม มีข้อมูลประชากรสุนัขและแมว รวมทั้งสิ้น 125,187 ตัว ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าไปแล้ว 119,223 ตัว และได้ดำเนินการผ่าตัดทำหมันไปแล้ว จำนวน 894 ตัว นอกจากนี้ได้มีการอบรมอาสาปศุสัตว์ด้านโรคพิษสุนัขบ้า และเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า รวมจำนวนทั้งสิ้น 165 ราย จึงนับเป็นความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการฯ ที่มุ่งสู่เป้าหมายที่ต้องการให้โรคพิษสุนัขบ้าหมดไปจากประเทศไทยอย่างยั่งยืน

วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2566

สว. พบประชาชน ลงพื้นที่นครพนม รับฟังความคิดเห็น สะท้อนปัญหาท้องถิ่น

วันที่ 18 สิงหาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม พลโท จเรศักดิ์ อานุภาพ เป็นประธานนำคณะสมาชิกวุฒิสภาลงพื้นที่ตำบลหนองแวง อำเภอบ้านแพง ตามโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) เพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับ การพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทาน ท่อส่งน้ำ ระบบประปา และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน รวมถึงการรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ในประเด็นอื่น ๆ ที่อยากให้สมาชิกวุฒิสภาช่วยสนับสนุนในการเสนอแนะ และเร่งรัดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาจังหวัดนครพนมให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ ตามอำนาจหน้าที่ในการติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้อง รวมถึงการนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการประกอบการพิจารณากลั่นกรองกฎหมาย และผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่ประกาศใช้บังคับแล้ว จากนั้นเป็นการลงพื้นที่ติดตามดูการประดิษฐ์ หมวกต้นกก กระเป๋าเสื่อกก กระเป๋าจากวัสดุเหลือใช้ และไม้กวาดดอกหญ้า ที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอเสื่อกกบ้านหนองแวงผลิตเพื่อจำหน่าย ตามด้วยการลงพื้นที่ตรวจดูถนนและสะพาน ที่ชาวบ้านในพื้นที่ได้มีข้อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงเนื่องจากมีการชำรุด จากนั้นได้เดินทางไปที่บ้านโพน ตำบลโนนตาล อำเภอท่าอุเทน เพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทาน สถานีสูบน้ำ การขุดลอกแหล่งน้ำ และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน ไฟฟ้า รวมถึงการรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมในประเด็นอื่น ๆ

โดยในโอกาสนี้ พลโท จเรศักดิ์ อานุภาพ ได้กล่าวในระหว่างการรับฟังความคิดเห็นว่า วันนี้เป็นวันที่ 2 แล้วที่สมาชิกวุฒิสภาได้ลงมาในพื้นที่จังหวัดนครพนม ซึ่งก็ยังคงมีพี่น้องประชาชนให้ความสนใจเข้ามาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมากเช่นเดิม โดยพื้นที่ทั้ง 2 อำเภอเป็นพื้นที่เดิมที่เคยมาแล้วเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2565 ซึ่งวันนี้ได้มีการพูดทั้งในเรื่องเดิมที่เคยเสนอมาแล้วทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบและเข้าใจในขั้นตอนการปฏิบัติรวมทั้งเห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หรือปัญหาบางส่วนได้ดำเนินการแก้สำเร็จไปแล้ว ส่วนเรื่องใหม่ที่เสนอเข้ามาเกี่ยวกับถนน ไฟฟ้า ประปา ที่ดิน สะพาน เอกสารสิทธิ์ ที่สาธารณประโยชน์ เขื่อนป้องกันตลิ่งพัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้มีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการยกระดับแหล่งท่องเที่ยวซึ่งเป็นยุทธศาสตร์จังหวัดนครพนม ก็จะได้มีการติดตามเรื่องดังกล่าวให้ เพราะเป็นการยกระดับความสามารถให้พี่น้องประชาชน ทำให้ทุกคนมีขีดความสามารถที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้แต่ละครอบครัวสอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศ ส่วนการสะท้อนปัญหาเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ในการก่อสร้างถนนทุกเส้นที่อยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนตำบลที่ต้องมีการขออนุญาตป่าไม้ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 เกี่ยวกับการทำประโยชน์ในที่สาธารณะทำให้บางครั้งเกิดความล่าช้าในการพัฒนาพื้นที่ จะมีการสอบถามให้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เพราะตามหลักความเป็นจริงเป็นถนนเดิมที่ทุกคนใช้กันอยู่

วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2566

นครพนม ซุ่มเงียบตรวจปั๊มน้ำมันในพื้นที่อำเภอเมือง สร้างมาตราฐานและความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่าจะไม่เอาเปรียบ

วันที่ 17 สิงหาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม นางสาวมัณฑนา ฟูกุล พลังงานจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางจุฑารัตน์ ศรีโมรา พาณิชย์จังหวัดนครพนม และนายธวัชชัย ตูมน้อย หัวหน้าสำนักงานสาขาชั่งตวงวัด เขต 2-3 สกลนคร นำกำลังเจ้าหน้าที่ซุ่มเงียบลงพื้นที่ตรวจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตอำเภอเมืองนครพนม ตามนโยบายของนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เพื่อให้การประกอบกิจการเป็นไปด้วยความถูกต้อง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 พ.ร.บ.ควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 และ พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 เป็นการสร้างความมั่นใจและความประทับใจให้กับผู้บริโภค ว่าจะได้รับน้ำมันที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ประกอบด้วย สถานีบริการน้ำมันรวมกิจเอนเนอร์ยี่ จำกัด สถานีบริการน้ำมัน หจก.โพนแก้วค้าน้ำมัน สถานีบริการน้ำมัน หจก.ปริญญ์นครพนม และ บริษัท บีทีดี ปิโตรเลียม (นครพนม) จำกัด รวมทั้งสิ้น 4 แห่ง

โดยในการตรวจตั้งแต่การปิดป้ายแสดงราคา ซึ่งจะดูตั้งแต่ป้ายใหญ่ว่ามีราคาถูกต้องครบถ้วนตรงกันกับหัวจ่ายในแต่ละชนิดหรือไม่ มีระบบและเครื่องมือดูแลความปลอดภัยหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน จากนั้นเป็นการตรวจสอบหัวจ่ายน้ำมัน ทั้งระบบมาตรวัดและระบบแสดงผล ว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานหรือไม่ หากพบว่ามีข้อผิดพลาด จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และปรับไม่เกิน 20,000 บาท จากนั้นเป็นการเปิดฝาครอบเพื่อตรวจสอบภายใน หากพบว่าตัวล็อคที่ทางราชการออกให้ที่ติดตั้งอยู่ภายในตู้ขาด จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ตามด้วยการตรวจวัดปริมาณน้ำมันว่าได้จำนวนจริงในระดับ 5 ลิตร และ 20 ลิตร ทุกหัวจ่ายหรือไม่ หากทดสอบพบว่าน้ำมันเต็มลิตรหรือมากกว่าถือว่าปกติ แต่หากน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานมากกว่า 50 ซีซี/ 5 ลิตร จะให้มีการแก้ไขทันที หรือผู้ประกอบการสามารถยื่นอุทธรณ์เพื่อทำการตรวจแก้ได้ภายใน 7 วัน โดยในช่วงของการปรับแก้ เจ้าหน้าที่จะทำการติดป้ายห้ามใช้งานทันที ซึ่งผลปรากฏว่าสถานีบริการน้ำมันทั้ง 4 แห่งที่เข้าตรวจสอบ น้ำมันและหัวจ่ายได้มาตรฐาน ปริมาณที่เที่ยงตรง ทั้งมีระบบบริการที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด จึงได้มอบสติกเกอร์เครื่องหมาย สถานีบริการน้ำมันเต็มลิตร เพื่อเป็นการยืนยันว่าผู้บริโภคจะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบในด้านปริมาณและราคาเมื่อมาใช้บริการสถานีน้ำมันทั้ง 4 แห่งนี้


ทั้งนี้เพื่อเป็นการควบคุมมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมัน สำนักงานพลังงานจังหวัดนครพนม สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครพนม และสำนักงานสาขาชั่งตวงวัด เขต 2-3 สกลนคร จะดำเนินการตรวจตรา ตรวจสอบ สถานีบริการน้ำมันในเขตจังหวัดนครพนมเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง


สว. พบประชาชน ลงพื้นที่นครพนม ติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน พร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม

วันที่ 17 สิงหาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม พลโท จเรศักดิ์ อานุภาพ เป็นประธานนำคณะสมาชิกวุฒิสภาลงพื้นที่ตำบลพระซอง อำเภอนาแก และตำบลนางงาม อำเภอเรณูนคร เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นการพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทานและสถานีสูบน้ำ โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา และการสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจ ตามโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากลั่นกรองกฎหมาย และผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่ประกาศใช้บังคับแล้ว ให้สอดคล้องกับหลักตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 77 รวมทั้งปฏิบัติภารกิจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 ที่บัญญัติให้วุฒิสภามีหน้าที่และอำนาจในการติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนเสนอแนะและเร่งรัดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 16 การปฏิรูปประเทศและตามที่กำหนดในยุทธศาสตร์ชาติ

พลโท จเรศักดิ์ อานุภาพ เปิดเผยว่า วันนี้สมาชิกวุฒิสภาได้ลงมาในพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่อำเภอนาแก และอำเภอเรณูนคร โดยวันพรุ่งนี้จะไปที่อำเภอบ้านแพงและอำเภอท่าอุเทน ซึ่งพี่น้องประชาชนได้มาเข้าร่วมกิจกรรมเป็นอย่างมาก รวมถึงได้รับความอนุเคราะห์จากท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ปลัดจังหวัดนครพนม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ซึ่งพื้นที่ตรงนี้สมาชิกวุฒิสภาเคยมาแล้วเมื่อเดือนวันที่ 6 สิงหาคม 2563 ในครั้งนั้นมีการทำบันทึกเรื่องหลายเรื่องที่พี่น้องประชาชนได้เสนอประเด็นปัญหาเพื่อไปดำเนินการ ตั้งแต่เรื่องของการขอความอนุเคราะห์สถานีสูบน้ำ ท่อส่งน้ำ ผนังกั้นน้ำหรือคันดินกั้นน้ำล้นเข้าท่วมนาไร่ เรื่องการขยายทางลอดน้ำคลองชลประทาน และการขออนุเคราะห์ยกระดับถนนเลียบลำน้ำ ซึ่งวันนี้ครบ 3 ปี ก็ได้รับการชี้แจงในที่ประชุมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าได้ดำเนินการในส่วนไหนบ้าง เช่น ชลประทานได้มีการชี้แจงว่าได้นำเข้าแผนงานโครงการปี 2568 และ 2569 แล้ว นั่นหมายความว่าโครงการที่ประชาชนได้เสนอปัญหา หน่วยงานได้มีการรับปัญหาไปจัดการเข้าแผนงานโครงการต่าง ๆ แล้ว ซึ่งกว่าจะเข้าแผนงานโครงการได้ ต้องมีการศึกษา วิเคราะห์ และการเตรียมแผนงานต่าง ๆ โดยหลังจากนี้สมาชิกวุฒิสภาจะไปติดตามอีกครั้งว่ามีการนำเข้าแผนงานโครงการจริงหรือไม่อย่างไร ในส่วนประเด็นปัญหาที่เสนอเพิ่มเติมเข้ามาในครั้งนี้ ก็ยังคงมีปัญหาเดิมซ้ำอยู่บ้างบางส่วน เพราะประชาชนต้องการเพิ่มมากยิ่งขึ้น เช่น การขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ก็ได้มีการหารือร่วมกันว่าควรจะใช้งบประมาณส่วนไหนดำเนินการ เพราะมีตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ จังหวัด หน่วยงานท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีของกองทุนพลังงาน หรืองบของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ซึ่งในเรื่องนี้ได้มีการบันทึกไว้แล้ว และทางจังหวัดนครพนมจะเป็นเจ้าภาพในการนำปัญหานี้ไปดำเนินการบูรณาการภาคส่วนต่าง ๆ ส่วนการขอสนับสนุนเพิ่มเติมในเรื่องของการขยายคันกั้นน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์เนื่องจากเดิมมีระยะทางสั้นไป ทางชลประทานจะรับไปดำเนินการ
นอกจากนี้ยังมีการเสนอขอให้มีการพัฒนาเส้นทางระหว่างอำเภอนาแกกับอำเภอเรณูนคร และอำเภอเมือง ซึ่งทางสมาชิกที่สภาจะรับเรื่องดังกล่าวไปแจ้งให้ผู้บริหารหน่วยงานที่รับผิดชอบได้รับทราบ เพราะมองว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวที่จะมาส่งเสริมการเดินทางและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยในวันนี้ถือเป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกันในทุกภาคส่วน ทั้งในระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รู้ว่าภาครัฐได้รับรู้ปัญหาแล้ว และจะไปดำเนินการแก้ไข ตรงไหน อย่างไร ต่อไป ส่วนปัญหาอะไรใหม่ที่เสนอ ก็จะรับเรื่องเพื่อเตรียมนำไปปรับปรุงเพิ่มเติม เพราะปัญหาทุกปัญหามีแนวทางการแก้ไข ซึ่งสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชน มาด้วยมิตรไมตรี และปฏิบัติกับทุกท่านอย่างเป็นกัลยาณมิตร สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาทุกคนที่ได้มาเสนอแนะข้อคิดเห็นในวันนี้

วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2566

สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ฯ ร่วมกับ จังหวัดนครพนม จัดกิจกรรมโครงการน้ำพระทัยพระราชทานส่วนภูมิภาค เฉลิมพระเกียรติ เลี้ยงอาหารกลางวันนักเรียนอำเภอนาหว้า

วันที่ 16 สิงหาคม 2566 ที่โรงเรียนดอนเสียวแดงพิทยาคม ตำบลบ้านเสียว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม นายนพดล พลซื่อ นายอำเภอนาหว้า เป็นประธานเปิดงานโครงการน้ำพระทัยพระราชทานส่วนภูมิภาค สมาคมสังคมสงเคราะห์ฯ จังหวัดนครพนม ประจำปี 2566 ที่สมาคมสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ฯร่วมกับ จังหวัดนครพนม จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2566 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 28 กรกฎาคม 2566 ซึ่งเป็นการจัดเลี้ยงอาหารกลางวันนักเรียนจำนวน 201 คน โดยมีนางอาภา รัตนพิทักษ์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม กล่าวรายงาน มีคณะหัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ตลอดจนคณะกรรมการแม่ดีเด่นแห่งชาติประจำจังหวัดนครพนม ภาคเอกชนและเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกิจกรรม

สำหรับโครงการน้ำพระทัยพระราชทานฯ เกิดขึ้นจากน้ำพระทัยอันเปี่ยมล้นไปด้วยพระเมตตาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อครั้งในปี พ.ศ. 2541 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศาสตราจารย์ประภาศน์ อวยชัย ประธานสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ในขณะนั้นนำคณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์ฯ เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเงินรายได้จากการจำหน่ายดอกมะลิ งานวันแม่แห่งชาติ จำนวน 2 ล้านบาท และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้สภาสังคมสงเคราะห์ฯ พร้อมทั้งได้มีพระราชเสาวนีย์ ให้จัดตั้งกองทุนอาหารกลางวันเลี้ยงผู้ตกงาน ผู้ประสบทุกข์ยากเดือดร้อน รวมทั้งครอบครัวในภาวะวิกฤต โดยสภาสังคมสงเคราะห์ได้น้อมเกล้าฯ รับพระราชเสาวนีย์มาดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อน ทั้งเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้ทุกคนได้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ จนปัจจุบันเป็นปีที่ 25 แล้ว

นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินส่วนพระองค์ จำนวนกว่า 15 ล้านบาท สนับสนุนโครงการและทรงพระกรุณาให้ราชเลขานุการในพระองค์ฯ เยี่ยมเยียนโครงการอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ยังได้พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคให้โครงการตลอดมาเช่นกัน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนอย่างหาที่สุดมิได้


นครพนม บูรณาการขับเคลื่อนยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพการศึกษาให้เยาวชนในพื้นที่

นางแสงมณีจรรณ์ เพชรสังหาร ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่จังหวัดนครพนม ที่นำโดยนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้มีแนวนโยบายที่จะขับเคลื่อนยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพการศึกษาให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้น เพื่อสร้างเยาวชนที่พร้อมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติต่อไปในอนาคต ดังนั้นจึงได้มีการบูรณาการความร่วมมือคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) นครพนม ลงพื้นที่เยี่ยมและติดตามแต่ละสถานศึกษาในพื้นที่ ใน 15 ประเด็นหลัก โดยในวันที่ 16 สิงหาคม 2566 นี้ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้นำคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดนครพนม กระจายกันลงพื้นที่โรงเรียนต่าง ๆ ในพื้นที่อำเภอธาตุพนม ก่อนที่ทุกคนจะมารวมกันที่โรงเรียนธาตุพนม เพื่อสรุปสิ่งที่ได้พบเห็น สิ่งที่โรงเรียนต้องการ และสิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมของแต่ละโรงเรียน เพื่อหาแนวทางร่วมกันและแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้รับทราบนำไปสู่การแก้ไขต้นตอของปัญหาที่แท้จริง

ซึ่งในส่วนของสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนมได้รับผิดชอบโรงเรียนบ้านน้ำก่ำ (สิทธิผลนุกูล) ที่ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 10 บ้านน้ำก่ำ ตำบลน้ำก่ำ มีการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 2 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยปัจจุบันมีนักเรียนทั้งสิ้น 166 คน เป้นชาย 76 คน หญิง 90 คน มีบุคลากรทางการศึกษารวมทั้งสิ้น 14 คน มีนายวิไลศิลป์ แสงสุวรรณเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน โดยโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนเก่าแก่ในพื้นที่ ที่ได้รับการยอมรับของชุมชน มีลูกศิษย์มาแล้วอย่างมากมาย ด้วยมีการเรียนการสอนมาแล้ว 100 กว่าปี ที่สำคัญคือไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาทางการศึกษา ปัจจุบันมีการเรียนการสอนแบบ Active Learning ทั้งหมด เน้นให้นักเรียนมาเรียนแล้วเหมือนอยู่บ้านหลังที่ 2 โดยยังคงหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ด้วยการนำนวัตกรรมจิตศึกษา มาบูรณาการร่วมกับ PBL (Problem Based Learning) และ PLC (Professional Learning Community) เพื่อสร้างสนามพลังบวกให้กับนักเรียนทุกคน มีครูทำหน้าที่เป็นโค้ช คอยให้คำแนะนำ ช่วยกระตุ้นและสร้างการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่งจากความต้องการและจินตาการของนักเรียน ที่ทุกวันก่อนเริ่มเรียนและระหว่างวัน จะมีกิจกรรมเตรียมสภาวะจิตนักเรียน บริหารสมองและให้ประสบการณ์ที่ทำให้เกิดการ reflection จากนั้นครูจะเสริมพลังบวกให้ทุกคนได้คิด วิเคราะห์ และต่อยอดจินตนาการ พร้อมพาลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง รวมทั้งส่งเสริมให้เด็กทุกคนรู้สึกได้รับเกียรติและตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง จึงส่งผลให้กลายเป็นคนที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกในทางที่ถูกต้อง สนุกกับการเรียนที่ไม่หยุดนิ่งในสิ่งใหม่ๆ ที่มาจากความต้องการและจินตนาการของแต่ละคนพร้อมเติมเต็มความรู้ซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครูและลูกศิษย์

ขณะที่ครูก็จะมีการตื่นรู้ในสิ่งที่ทำ มีความพยายามเปลี่ยนวิธีการสอนที่เข้าใจเด็กมากขึ้น มีการนำประสบการณ์สอนมาถอดบทเรียนร่วมกันสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และวางแผนพัฒนาเด็กนักเรียนในแต่ละระดับชั้นให้เกิดการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องทุกระดับชั้น ร่วมกันพัฒนาศักยภาพในด้านอื่น ๆ ของโรงเรียน ให้มีความสะอาด ร่มรื่น ปลอดภัย ซึ่งใครที่เข้ามาในโรงเรียนนี้ จะเห็นว่าเป็นโรงเรียนที่ไม่มีเสียงออด ไม่มีการบังคับเด็ก แต่เป็นวิถีการเรียนการสอนแนวใหม่ ที่ให้เด็กได้กำกับตัวเอง ว่าเวลาไหนควรทำหรือไม่ควรทำอะไร ไม่มีการเปรียบเทียบ เต็มใจร่วมกิจกรรม และจดจ่อกับสิ่งที่ได้เรียน และกลายเป็นต้นแบบของโรงเรียนอื่น ๆ ได้มาศึกษาเรียนรู้และนำไปต่อยอดขยายผล เพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต


วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2566

มูลนิธิผึ้งหลวงอัศวิน ร่วมกับ จังหวัดนครพนม ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา

วันที่ 15 สิงหาคม 2566 ที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ดร.หม่อมหลวงสราลี กิติยากร พระขนิษฐาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ที่มูลนิธิผึ้งหลวงอัศวิน ร่วมกับจังหวัดนครพนม และคณะสงฆ์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-22 สิงหาคม 2566 ซึ่งเป็นการประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ 7 วัน 7 คืน ตลอด 24 ชั่วโมง รวม 168 ชั่วโมงต่อเนื่อง เพื่อเป็นการรวมใจของทุกฝ่ายในการแสดงความจงรักภักดี และร่วมบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายพระพรแด่พระองค์ท่าน ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า โดยหลอมรวมดวงใจ เจริญจิตตภาวนา และตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว โดยมีสมเด็จพระพุทธพจนวชิรมุนี สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย รองประธานกรรมการคณะธรรมยุต กรรมการมหาเถรสมาคม ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 รองแม่กองธรรมสนามหลวง และเจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหารเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีนายวันชัยจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตลอดจนคณะหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนจังหวัดนครพนมร่วมประกอบพิธี

และในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตร จำนวน 2ไตร เชิญมาถวายแด่พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ในพิธี ในวันที่ 15 สิงหาคม 2566 (วันแรกของพิธี) และในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 (วันสุดท้ายของพิธี ) โดยในวันนี้ ดร.หม่อมหลวงสราลี กิติยากร ประธานฝ่ายฆราวาส ได้เชิญไปถวายแด่สมเด็จพระพุทธพจนวชิรมุนี ประธานฝ่ายสงฆ์ 1 ไตร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงประทาน ผ้าไตร จำนวน 2 ไตร ร่วมประกอบพิธี ในวันที่ 15 สิงหาคม 2566 (วันแรกของพิธี) และในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 (วันสุดท้ายของพิธี ) โดยในวันนี้ ดร.หม่อมหลวงสราลี กิติยากร ประธานฝ่ายฆราวาส ได้เชิญไปถวายแด่ พระธรรมวชิรโสภณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร 1 ไตร และคณะผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ศาล ทหาร ตำรวจ หัวหน้าส่วนราชการ ถวายผ้าไตร แด่พระสงฆ์ที่ร่วมเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา รวมทั้งสิ้น 45 รูป

ทั้งนี้พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถือเป็นการปฏิบัติบูชาที่นอกจากจะเป็นพุทธานุสติแล้ว ยังช่วยในการป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น เป็นการเสริมสิริมงคลชะตาชีวิตให้ยืนยาว โดยเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศลังการาว พ.ศ. 500 ด้วยชาวลังกาที่นับถือพุทธศาสนาในขณะนั้น ประสงค์ให้พระสงฆ์ช่วยเหลือตนให้เกิดสิริมงคลและป้องกันภยันตรายต่างๆ ด้วยการสวดมนต์และคาถาตามแบบอย่างพราหมณ์ ซึ่งมีความเชื่อว่าผู้ทรงเวทจะทำให้เกิดสิริมงคล และป้องกันภยันตรายแก่มหาชนได้ และด้วยเหตุนี้พระสงฆ์ลังกา จึงได้คิดวิธีสวดพระปริตรขึ้น โดยเลือกเอาพระสูตรหรือคาถาที่สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย อันเกิดขึ้นเนื่องด้วยเหตุการณ์ต่างๆ มาสวดเป็นมนต์ ครั้นคนนิยมมากขึ้น ก็ได้เพิ่มบทสวดเป็นพระปริตร ต่อมาพระเจ้าแผ่นดินประเทศลังกาได้รับสั่งให้คณะสงฆ์ปรับปรุงพระสูตร และคาถาที่ใช้สวดพระปริตรขึ้นใหม่ให้เหมาะกับเหตุการณ์เพื่อใช้ในพระราชพิธีหลวง โดยได้เพิ่มพระสูตรและคาถาให้มากขึ้น เรียกว่าราชปริตร เป็นมนต์คุ้มครองพระเจ้าแผ่นดิน ประชาชนยิ่งนิยมมากขึ้นจึงกลายเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยบทสวดจะประกอบไปด้วย มงคลสูตร ว่าด้วยเหตุที่จะทำให้เกิดสิริมงคล รัตนสูตร ว่าด้วยรัตนทั้ง 3 คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นการสวดเพื่อปัดเป่าอุปัทวันตรายให้หมดไป กรณียเมตตสูตร ว่าด้วยการเจริญเมตตาไปไหนมาไหนให้คนและเทวดารักใคร่ เมตตา ขันธปริตร ว่าด้วยพระพุทธมนต์สำหรับป้องกันสัตว์ร้ายพวกอสรพิษ ธชัคคสูตร ว่าด้วยการเคารพธงและการรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยทำให้หายหวาดกลัว อาฏานาฏิยปริตร ว่าด้วยพระพุทธมนต์ที่สามารถป้องกันอุปัทวันตรายทั้งปวง และอังคุลิมาลปริตร ว่าด้วยมนต์ขององคุลีมาล


วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2566

มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ฯ เชิญถุงยังชีพและสิ่งของพระราชทานช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยอำเภอท่าอุเทน

วันที่ 13 สิงหาคม 2566 ที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม ได้เชิญถุงยังชีพพระราชทานไปมอบให้กับครอบครัวของนางทัศนีย์ ประพัศรางค์ ที่มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 7 คน เป็นชาย 5 คน หญิง 2 คน โดยในจำนวนนี้มีเด็ก 2 คน ที่อาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านเลขที่ 7 หมู่ที่ 12 ตำบลโนนตาล และบ้านซึ่งมีลักษณะเป็นบ้าน 2 ชั้น ชั้นบนเป็นไม้ ชั้นล่างเป็นอิฐก่อปูน ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้เสียหายทั้งหลัง เนื่องจากไฟฟ้าลัดวงจร เมื่อเวลา 21.20 น. ของวันที่ 10 สิงหาคม 2566 เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เกิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยทรงห่วงใยต่อพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ และต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ ให้ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว อันจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และผ่อนคลายความทุกข์ร้อนของประชาราษฎร์ทุกหนแห่ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2506 เป็นต้นมา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด การดำเนินงานของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทานมามอบให้กับครอบครัวผู้ประสบภัยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน จึงขอให้ครอบครัวผู้ประสบภัยทั้ง 7 คน ได้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่าน ที่ทรงมีพระเมตตา
โดยตั้งแต่เกิดเหตุขึ้นมาทุกภาคส่วนต่างระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ทั้งการเข้าระงับเหตุของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงองค์การบริหารส่วนตำบลโนนตาล เทศบาลท่าอุเทน และเทศบาลเวินพระบาท จนเมื่อเพลิงสงบ จากนั้นก็มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นในบริเวณสถานที่เกิดเหตุ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับบริจาคสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมามีผู้นำเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสาร อาหารแห้ง ผ้าห่ม เครื่องนอน และของใช้ที่จำเป็นมามอบให้อย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของจังหวัดนครพนมก็ได้มีการบอกกล่าวไปยังผู้มีจิตอันเป็นกุศลและหน่วยงานต่าง ๆ จนนำมาสู่การมอบเงินบริจาครวมเบื้องต้น 54,700 บาท และสิ่งของเพิ่มเติมจากถุงยังชีพพระราชทานในวันนี้ด้วย
ประกอบไปด้วย จากมูลนิธิ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม บริษัท SCG มอบปูนซีเมนต์ สมาคมพ่อค้าจังหวัดนครพนม พระครูธงชัยจากจังหวัดอุดรธานี โรงสีเทียมศักดิ์พาณิชย์ สมาคมไทย-เวียดนาม บริษัทกรุงไทยแอกซ่า-ประกันชีวิต องค์การบริหารส่วนตำบลโนนตาล สำนักงานเกษตรอำเภอท่าอุเทน สำนักงานสาธารณสุขอำเภอท่าอุเทน ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอท่าอุเทน กองร้อย ตชด.237 สัสดีอำเภอท่าอุเทน ตลอดจนผู้ในบุญในพื้นที่อีกจำนวนมาก โดยหลังจากนี้จะมีการรื้อถอนและสร้างบ้านให้ใหม่ ด้วยพลังจิตอาสาพระราชทานในพื้นที่ที่จะร่วมกันดำเนินการจากงบประมาณที่ทางองค์การบริหารส่วนตำบลโนนตาล จะมีการพิจารณาอนุมัติเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 มาเป็นค่าวัสดุก่อสร้าง จำนวน 49,500 บาท ร่วมกับเงินที่ได้รับบริจาคเพื่อให้ทั้ง 7 คนได้กลับมามีบ้านอยู่อาศัยอีกครั้ง

วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2566

วันที่ 12 สิงหาคม 2566 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำข้าราชการพลเรือน ตุลาการ ศาล ทหาร ตำรวจ สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม พ่อค้าคหบดี และประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะ วางพานพุ่มทอง - พุ่มเงิน และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2566


โดยก่อนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมประธานในพิธีจะเดินทางมาถึง เหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดนครพนม ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์การต่าง ๆ ได้ประกอบพิธีวางพานพุ่มทอง พุ่มเงินถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ จากนั้นเวลา 19.00 น.ประธานในพิธีได้ประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ ประกอบพิธีจุดเทียนมหามงคล ถวายความเคารพเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ กล่าวกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นประธานในพิธีต่อเทียนให้กับผู้ที่มาร่วมงาน เมื่อทุกคนต่อเทียนจนครบหมดแล้ว ได้ยืนสงบนิ่งโดยพร้อมเพียงกัน และร่วมกันร้องเพลงสดุดีพระแม่ไทย ซึ่งเมื่อสิ้นเสียงเพลงทุกคนได้พร้อมใจกันเปล่งเสียงคำว่า ทรงพระเจริญ จำนวน 3 ครั้ง เป็นเสร็จพิธี

สำหรับเพลง สดุดีพระแม่ไทย ดำเนินการผลิตโดยกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดจนเพื่อถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา และเพื่อเทิดพระเกียรติในโอกาสสำคัญต่าง ๆ มีเนื้อร้องว่า โลกสดุดีพระปรีชาชาญ ราษฎร์สุขสราญเพราะพระบารมี สิริกิติ์เกริกฟ้าสุดแดนแผ่นดินนี้ พระพันปีหลวงมิ่งขวัญไทย ใต้ฝ่าละอองฯ ผองไทยบูชา ใต้ร่มบุญญาพร้อมเพรียงภูมิใจ จุดเทียนแซ่ซ้องส่องเมืองสว่างไสว ไทยเทิดไท้ถวายพระพร ศูนย์รวมใจปวงประชา ศิลปาชีพอมร พสกนิกรภักดี พระเมตตาเติมใจคุ้มครองไทยสุขศรี สดุดีพระแม่ไทย ทรงพระเจริญ
ส่วนพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล มีจุดเริ่มต้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2520 ที่หน่วยอาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน ( อส.) ศูนย์สาธิตที่ 1 หุบกะพง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งได้มีการจัดงานเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเป็นการจัดพิธีถวายพระพรในตอนกลางคืน เนื่องจากในช่วงกลางวันชาวบ้านมีความจำเป็นต้องไปทำงานในเรือกสวนไร่นา ประกอบสถานที่จัดงานในเวลากลางคืนมืดสนิทเพราะไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ทุกคนจึงได้นำเทียนไขมาคนละเล่ม โดยมีการจุดเทียนชัยไว้ที่แท่นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านเพื่อให้เกิดแสงสว่างไสวกับสถานที่ก่อน กระทั่งเวลา 20.00 น. ก็ได้พร้อมใจกันจุดเทียนที่นำและกล่าวคำถวายพระพร จากนั้นได้พร้อมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี 1 จบ และพากันเวียนเทียนประทักษิณรอบพระบรมฉายาลักษณ์ จำนวน 3 รอบ ซึ่งในกิจกรรมครั้งนั้น อส.ได้วิทยุรายงานแจ้งเรื่องการจุดเทียนชัยถวายพระพรเข้าสู่สำนักพระราชวัง ณ พระราชวังไกลกังวล เพื่อรายงานให้พระองค์ได้ทรงรับทราบเป็นระยะๆ จวบจนจบพิธี ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 ทางราชการได้มีการประกาศจัดพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกที่ท้องสนามหลวง และจากนั้นก็ได้ถือปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้

จังหวัดนครพนม จัดกิจกรรมรำลึกพระคุณแม่ พร้อมสืบสานพระราชปณิธาน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

วันที่ 12 สิงหาคม 2566 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสมาคม ชมรม พ่อค้า คหบดีในพื้นที่ทำกิจกรรม รำลึกพระคุณแม่ ด้วยการร่วมกันขับร้องเพลงค่าน้ำนม ซึ่งเป็นเพลงอมตะที่อยู่ในความทรงจำของชาวไทยทุกรุ่น เพราะมีเนื้อหาที่กินใจ บอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกถึงแม่ได้เป็นอย่างดี ที่เมื่อหลายคนได้ร้องและฟังถึงกับน้ำตาไหล ทำให้ย้อนนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ในความทรงจำที่มีต่อแม่ เนื่องจากเนื้อหาที่ครูไพบูลย์ บุตรขัน คีตกวีลูกทุ่งประพันธ์ขึ้นมา เป็นช่วงที่ตนเองกำลังเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย และมีแม่คอยดูแลไม่ห่างกายและไม่เคยรังเกียจใด ๆ จึงกลายเป็นเพลงที่ทุกคนได้นำมาแสดงความรู้สึกที่มีต่อแม่ที่จังหวัดนครพนมได้เชิญแม่ผู้สูงอายุในพื้นที่ที่มีอายุ 80 ปี มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ทั้งเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม ตามด้วยการขับร้องเพลงอิ่มอุ่น ที่ ศุ บุญเลี้ยง แต่งขึ้นมาเพื่อใช้ในโครงการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ที่สื่อให้เห็นว่า ในการให้นมลูก แม่ต้องตระกองกอดแล้วช้อนตัวลูกขึ้นมา จึงไม่ได้ทำให้เพียงแค่อิ่มอย่างเดียว แต่ยังเป็นการมอบความรักความอบอุ่นให้ลูกด้วย โดยก่อนที่ทุกคนจะร้องเพลงได้มอบพวงมาลัยดอกมะลิ เพื่อแสดงความรักต่อตัวแทนแม่ผู้สูงอายุพร้อมกับการกล่าวความรู้สึกและความรักที่มีต่อแม่ทุกคน

จากนั้นเป็นการทำกิจกรรมรำบูชาพระคุณแม่ของชมรมผุ้สูงอายุบ้านใต้ และการเต้นบาสโลบ เป็นการย่อยอาหารก่อนที่จะมาร่วมกันรับประทานอาหารกับกิจกรรม สวมผ้าไทย ใส่ผ้าซิ่น กินข้าวปิ่นโต ที่เป็นการสืบสานพระราชปณิธาน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญาในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย ที่ต้องการส่งเสริม สนับสนุนและเผยแพร่ภูมิปัญญาผ้าพื้นถิ่นของนครพนมที่มีอยู่อย่างหลากหลายให้เป้นที่รู้จักและคงอยู่ตลอดไป ทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนให้มีความคึกคัก จากการจับจ่ายซื้อหาผ้าไทยมาสวมใส่ ที่สำคัญคือเป็นการรณรงค์ส่งเสริมให้มีการใช้ปิ่นโตเป็นภาชนะทดแทนการใช้พลาสติกและโฟมเป็นการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังให้ทุกคนได้เรียนรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน โดยทุกคนที่นำอาหารมาในวันนี้จะได้แลกเปลี่ยนกันลิ้มลองอาหารของแต่ละคนที่มาร่วมรับประทานด้วย เพราะเป็นการเอาอาหารที่นำมาวางไว้ที่ส่วนกลาง จากนั้นใครที่อยากรับประทานอะไรก็ไปตักมานั่งรับประทานพร้อมกับการพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวความคิด การใช้ชีวิตและการทำงาน เป็นเสริมความรักความสามัคคีของคนที่มาร่วมงานได้เป็นอย่างดี ทำให้มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดเวลา

โดยในโอกาสนี้คุณแม่บุญญาวี บริบูณ์สมบัติ ได้เป็นตัวแทนแม่ ๆ ทุกคน กล่าวแสดงความรู้สึก ที่ไม่คาดคิดว่าในวันนี้ จะมีการจัดงานอย่างนี้ขึ้นมา ซึ่งตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเดินทางมารับตำแหน่งบ้านเมืองเจริญขึ้นมาก พอมาเจอกิจกรรมในวันนี้ ทำให้ตนเองน้ำตาจะไหล โดยเฉพาะเพลงค่าน้ำนมที่ทำให้นึกถึงเรื่องเก่า ๆ แต่ก็ชอบเพราะมีความสุขและเป็นกำลังใจที่ดีให้กับแม่ ๆ ทุกคน จึงขอขอบพระคุณทุกท่านที่ทำให้เกิดสิ่งดี ๆ ในวันนี้ขึ้น