วันที่ 7 สิงหาคม 2566 ที่ห้องประชุมพระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปญโญ) สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศาสนิกสัมพันธ์จังหวัดนครพนม ประจำปี 2566 เพื่อหารือแนวทางการดำเนินงานและการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของเครือข่าย และขับเคลื่อนความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของศาสนาต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม ตามที่รัฐบาลมุ่งเน้นที่จะสร้างสังคมเข้มแข็งให้คนในชาติมีความสมานฉันท์ และอยู่อย่างเป็นสุขร่วมกันบนพื้นฐานของคุณธรรมอันดีงาม โดยส่งเสริมให้คนในชาติ ทุกศาสนาและทุกพื้นที่มีความรักความสามัคคีต่อกัน ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมให้เป็นสังคมที่มีสันติสุขอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการศาสนิกสัมพันธ์จังหวัด ที่กรมการศาสนาจัดขึ้น เพื่อนำพลังศาสนามาเป็นพลังขับเคลื่อนไปสู่ความร่วมมือในการสร้างความเข้าใจอันดี และความสมานฉันท์แก่คนในชาติอย่างยั่งยืน โดยการปฏิบัติตามหลักคำสอนที่ตนนับถือ น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และวิถีวัฒนธรรมไทย มาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ทำให้ประเทศมีความสงบร่มเย็น
โดยจังหวัดนครพนมเตรียมจัดกิจกรรมในวันที่ 12 สิงหาคม 2566 ร่วมกันระหว่างศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ในการร่วมกันถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ส่วนวันที่ 13 สิงหาคม 2566 คณะกรรมการศาสนิกสัมพันธ์จังหวัดนครพนม ประจำปี 2566 จะไปศึกษาเรียนรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางศาสนา กับการประกอบศาสนพิธีของชาวนครพนมผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก ณ รองอาสนวิหารนักบุญอันนา หนองแสง ซึ่งภายหลังเสร็จพิธีจะมีการบรรยายพิเศษให้ความรู้เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก ที่ชาวนครพนมส่วนหนึ่งนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาตามหลักคำสอน 79 เล่ม โดยมีศีลศักดิ์สิทธิ์ 7 ศีล คือ ศีลล้างบาป ศีลกำลัง ศีลมหาสนิท ศีลอนุกรม ศีลสมรส ศีลอภัยบาป และศีลเจิมผู้ป่วย นอกจากนี้ในอนาคตยังมีการวางแผนการจัดกิจกรรมส่งเสริมสร้างการรับรู้ถึงข้อคิดเห็นตามหลักคำสอนของแต่ละศาสนา ผ่านกิจกรรมเสวนาทางศาสนาสัญจร เพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ทุกคนมีสิทธิ์เสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข บนพื้นฐานของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และค่านิยมหลัก 12 ประการ ตลอดจนคุณธรรมจริยธรรม ความรักความสามัคคี เพื่อให้สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม ตามวิถีวัฒนธรรมไทย ที่มีสถาบันครอบครัว ศาสนสถาน สถาบันการศึกษา เป็นพลังในการขับเคลื่อนและเป็นการ ส่งเสริมให้ศาสนิกชนศาสนาต่าง ๆ ได้ร่วมเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ร่วมกัน อันจะก่อให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนต่างศาสนา.jpg)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น