วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2566

นครพนม หารือแนวทางขับเคลื่อนนโยบาย ผู้ว่าฯ CEO

วันที่ 29 กันยายน 2566 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานประชุมหารือแลกแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายผู้ว่าฯ CEO ร่วมกับคณะหัวหน้าส่วนราชการส่วนภูมิภาค และผ่านระบบวิดีโอ Zoom Meeting ร่วมกับนายอำเภอทั้ง 12 อำเภอในพื้นที่จังหวัดนครพนม เพื่อรับฟังความเห็นในประเด็นการมอบอำนาจการบริหารในเรื่องใดให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วจะช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการให้ประสบความสำเร็จ และประเด็นปัญหา อุปสรรคในการปฏิบัติงานของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ และข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้การบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่ฝ่ายเลขาจะทำการรวบรวมข้อมูลที่ได้ทั้งหมดส่งต่อให้กระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน ก.พ.ร. ต่อไป
โดยจากการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้มีการหยิบยกประเด็นการขับเคลื่อนพัฒนาระบบบริหารราชการแผ่นดินในส่วนภูมิภาค ภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัดให้มีความเข้มแข็ง สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำการบูรณาการส่วนราชการ ตลอดจนภาคีเครือข่ายในพื้นที่ในการดูแลพี่น้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้เน้นย้ำให้กระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็ว เพื่อสนองตอบความต้องการของพี่น้องประชาชน โดยยึดหลัก ทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที ประกอบกับที่ผ่านมาทุกจังหวัดมีการขับเคลื่อนนโยบายผู้ว่าฯ CEO โดยใช้การบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ และสำนักงาน ก.พ.ร. ได้กำหนดการขับเคลื่อนการส่งเสริมพัฒนาในรูปแบบต่างๆ เช่น การประเมินจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง การประเมินรางวัลเลิศรัฐ ซึ่งในการประเมินงานทำให้พบว่าปัจจุบันผู้ว่าราชการจังหวัดประสบปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานในพื้นที่ที่แตกต่างกันไป เนื่องจากอำนาจบางเรื่องอยู่ที่ส่วนกลาง ทำให้การดูแลบริหารจัดการในพื้นที่เป็นไปด้วยความล่าช้าในการดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ดังนั้นจึงได้เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนร่วมกันเสนอความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ แลกเปลี่ยนแนวคิด เพื่อนำไปสู่การปรับปรุง เปลี่ยนแปลงที่มาเสริมสร้างความเข้มแข็งในการทำงานของกรมการจังหวัด ตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2566

พ่อเมืองนครพนม นำทีมชวนทดสอบความฟิตพิชิต ความงามสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 กับงานเดิน - วิ่ง ข้ามโขง 12 พฤศจิกายนนี้

วันที่ 28 กันยายน 2566 ที่โรงแรมฟอร์จูน ริเวอร์วิว จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นายภาสกร พุทธานุภากร ผู้อำนวยการสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดนครพนม นางสาวกนกวรรณ ดุงศรีแก้ว ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานนครพนม พันตำรวจเอก ลือศักดิ์ ดำเนินสวัสดิ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม นางสาวสุภาภรณ์ ณิรมาณการย์ ประธานมูลนิธิศรีโคตรบูร นายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายคมกฤช พงษ์พันธ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครพนม ร่วมกันแถลงข่าวพร้อมเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกคนได้มาทดสอบความฟิตพิชิตความสวยงามของสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 กับการจัดกิจกรรม งานเดิน – วิ่ง ข้ามโขง (นครพนม – คำมวน มาราธอน 2566 ) ครั้งที่ 5 ตามโครงการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวจังหวัดนครพนม ที่จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2566 ณ สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 นครพนม - คำมวน ซึ่งเป็นกิจกรรมการเดิน – วิ่ง ข้ามโขง บนสะพานที่สวยที่สุดแห่งสยาม ในเส้นทางการแข่งขันถนนเรียบริมแม่น้ำโขงที่ดีที่สุด โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำเข้ามูลนิธิศรีโคตรบูร เพื่อใช้เป็นการกุศลสำหรับช่วยเหลือผู้สูงอายุ คนพิการ และจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์และอื่น ๆ ที่จำเป็นที่ต้องใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรงพยาบาลนครพนม

โดยการจัดในครั้งนี้คณะทำงานได้มีการยีนยันถึงความพร้อมในการจัดงานที่มีอย่างเต็มที่ ทั้งการอำนวยความสะดวกในการแข่งขัน การวางแผนรองรับสำหรับนักกีฬาที่อาจจะได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขัน ไปจนถึงด้านการคมนาคม ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงการบริหารจัดการในภาพรวมทั้งหมด เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมกิจกรรมเกิดความประทับใจสูงสุดกับการแข่งขันในครั้งนี้ ที่ยังคงมีมาตรฐานในระดับสากลกับการแข่งขัน 4 ประเภท ได้แก่ ประเภท (FUN RUN) เดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพ ระยะทาง 5 กิโลเมตร ประเภทมินิมาราธอน 10 กิโลเมตร ประเภทฮาร์ฟมาราธอน 21.1 กิโลเมตร และประเภทมาราธอน 42.195 กิโลเมตร

ซึ่งกิจกรรมเดิน – วิ่งข้ามโขงเป็นกิจกรรมที่จังหวัดนครพนม ได้มีการผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมพัฒนาเพื่อให้ก้าวไปสู่ระดับนานาชาติ ด้วยหวังว่าประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติทุกคนจะได้มาเห็น มาสัมผัสกับมนต์เสน่ห์เมืองรองที่ ที่มีดินแดนติดริมฝั่งแม่น้ำโขง มีประวัติศาสตร์ เรื่องราว เรื่อเล่า และความศรัทธาในเรื่องต่าง ๆ ให้ได้มาเรียนรู้ อีกทั้งยังมีธรรมชาติอันโดดเด่น มีศิลปวัฒนธรรม เอกลักษณ์ อัตลักษณ์เฉพาะตัวของลูกหลานคนนครพนมที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษมากถึง 9 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ ซึ่งล้วนมีความแตกต่างแต่อยู่กันอย่างลงตัวในแบบวิถีชีวิต Slow Life ที่ก้าวทันโลกในยุคปัจจุบัน การเดินทางสะดวกสบายมาได้ทั้ง ทางสายการบิน หรือจะมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว รถโดยสารก็ได้ และในอนาคตก็ยังจะมีรถไฟรางคู่ด้วย โดยผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ 2 ทาง คือ ระบบออนไลน์ Page Facebook : เดิน วิ่งข้ามโขง นครพนม-คำม่วน มาราธอน หรือทาง WWW.Rundidi.com หรือ หรือสมัครโดยตรงที่มูลนิธิศรีโคตรบูร อาคารเจริญ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี จังหวัดนครพนม ก็ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร 062-3245245 คุณอังศนาง 089-6833457 คุณธนวัฒน์ และ 081-6675340 คุณเสมา

ม.นครพนม เสนอผลงานวิจัยพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ กะละแม

วันที่ 28 กันยายน 2566 ที่อาคารสารสนเทศเพื่อบริการ สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยนครนพม ศ.ดร. ธวัชชัย ศุภดิษฐ์ รักษาราชการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยนครพนม เป็นประธานการประชุมนำเสนอผลการวิจัย เพื่อขยายผลไปสู่การปฏิบัติเชิงพื้นที่ เรื่องการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการตลอดสายโซ่ผลิตภัณฑ์กะละแมโบราณนครพนม ด้วยกลไกขับเคลื่อนห่วงโซ่คุณค่าใหม่บนฐานทุนทรัพยากรพื้นถิ่น ภายใต้กรอบการวิจัยที่คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนครพนม ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัย ในปีงบประมาณ 2565โดยมี รศ.ดร.เชิดชัย โพธิ์ศรี รักษาราชการแทนรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนครพนม กล่าวรายงาน มีผู้เชียวชาญกรอบวิจัย Local Enterprises และภาคีเครือข่ายร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อพัฒนางานวิจัยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดย ดร.คมศักดิ์ หารไชย หัวหน้างานวิจัย ได้มีการนำเสนอผลการวิจัยว่า ในโบราณอีสานประเพณีฮีตสิบสองของอำเภอธาตุพนม จะมีการทำขนมไปถวายพระ และทำขนมเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน จึงเป็นที่มาของการทำกาละแมที่สืบทอดต่อกันมามากกว่า 70 ปี ซึ่งในการวิจัยได้มีการลงพื้นที่เก็บข้อมูล เพื่อศึกษา วิเคราะห์และประเมิน ร่วมกับชุมชน และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ทำให้พบว่าตลาดกะละแม มีโอกาสและสามารถยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้อีกมาก โดยเฉพาะในกระบวนการผลิตที่ใช้วัตถุดิบจากใบตองเป็นจำนวนมากและเดิมต้องมีการนำเข้าจากต่างจังหวัดถึง 90 % และเมื่อได้มาแล้วจะมีกระบวนการรีดใบตองที่มีเทคนิคเฉพาะ ให้ยังคงมีเอกลักษณ์กลิ่นหอมของใบตองเมื่อนำมาห่อกะละแม ส่วนการจำหน่ายก็มีเพียงลูกค้าในพื้นที่ และลูกค้าจากจังหวัดใกล้เคียง

จึงนำมาสู่การพัฒนาศักยภาพในการประกอบธุรกิจให้กับชุมชน ที่ก่อให้เกิดเครือข่ายการปลูกใบตองใน 3 ระดับ คือระดับครัวเรือน ระดับโคก หนอง นา และระดับแปลงเกษตรขนาดใหญ่ที่มีการเชื่อมโยงกันทั้งหมด ทำให้ลดการนำเข้าใบตองจากต่างจังหวัดเป็นมาใช้ใบตองในพื้นที่ นำมาซึ่งการกระจายรายได้ให้คนในชุมชน ขณะเดียวกันก็เกิดกลุ่มผู้ประกอบการรีดใบตอง ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน สามารถลดเครื่องมือที่นอกจากจะใช้เตารีดแบบถ่านแล้วยังมีเครื่องรีดใบตองเพิ่มขึ้นมา แต่ให้มาตรฐานเดียวกัน ทั้งมีการจ้างงานคนในชุมชนเกิดขึ้นตามมา กลายเป็นธุรกิจชุมชนที่มีหัวใจเดียวกัน เป็นการขับเคลื่อน Soft Power ที่มีการนำงานวิชาการมาพัฒนาต่อยอดจนเห็นเป็นรูปธรรม และในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญกรอบวิจัย Local Enterprises และภาคีเครือข่าย ทำให้มองเห็นถึงแนวทางการพัฒนาต่อยอดในด้านอื่น ๆ ได้อีกหลากหลายด้าน เพื่อพัฒนางานวิจัยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การออกแบบรูปลักษณ์รูปลักษณ์บรรจุภัณฑ์และรูปทรงกะละแมให้ตอบโจทย์ลูกค้าต่างประเทศ การทำให้กะละแมเก็บได้นานขึ้นเป็นปี การสร้างแบรนด์และการจดทะเบียน


จ.นครพนม ประกอบพิธีเคารพธงชาติน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและสร้างความภาคภูมิใจ เนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย

 วันที่ 28 กันยายน 2566 ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่ศาลากลางจังหวัดนครพนม ร่วมกันประกอบพิธีเคารพธงชาติ เนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย และสร้างความภาคภูมิใจของคนในชาติ

โดยประเทศไทยมีการใช้ธงชาติมานานนับหลายร้อยปี มีวิวัฒนาการเรื่อยมา ธงชาติไทยผืนแรกเป็นธงพื้นสีแดงเกลี้ยงใช้เป็นสัญลักษณ์ในการติดต่อค้าขายทางเรือกับต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ เริ่มใช้ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา กระทั่งถึงปี พ.ศ. 2398 ได้เปลี่ยนเป็นธงพื้นแดงมีรูปวงจักรสีขาวตรงกลาง เป็นธงพื้นแดงมีรูปช้างเผือกอยู่ข้างในวงจักรสีขาวตรงกลาง เป็นธงพื้นแดงมีรูปช้างเผือกหันหน้าเข้าหาเสาธงอยู่ตรงกลาง เป็นธงพื้นแดงมีรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนบนแท่นหันหน้าเข้าหาเสาธงอยู่ตรงกลาง เป็นธงแดงขาว 5 ริ้ว และเปลี่ยนเป็นธงไตรรงที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันกล่าวได้ว่า ธงชาติไทย ในแต่ละยุคสมัยมีบทบาทสำคัญต่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในยุคนั้น ๆ ที่คนรุ่นหลังควรศึกษาและเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงมีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ 28 กันยายน ของทุกปี เป็น วันพระราชทานธงชาติไทย (Thai National Flag Day) เพื่อระลึกถึงความเป็นมาของธงชาติไทย โดยเริ่มปีแรกในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560
ธงชาติไทย หรือธงไตรรงค์ ในปัจจุบัน เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 6 ส่วน ยาว 9 ส่วน แบ่งด้านยาวออกเป็น 5 แถบ แถบตรงกลางเป็นสีน้ำเงินแก่กว้าง 2 ส่วน ถัดจากแถบสีน้ำเงินแก่ทั้ง 2 ข้าง เป็นสีขาวกว้างข้างละ 1 ส่วน และต่อจากแถบสีขาวทั้ง 2 ข้างเป็นแถบสีแดงกว้างข้างละ 1 ส่วน โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงกำหนดความหมายของสีธงไตรรงค์แบบไม่เป็นทางการในพระราชนิพนธ์ เรื่องเครื่องหมายแห่งไตรรงค์ไว้ว่า สีแดงหมายถึงเลือดอันยอมพลีให้แก่ชาติ สีขาวหมายถึงความบริสุทธิ์แห่งธรรมะอันเป็นหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา สีน้ำเงินหมายถึงสีส่วนพระองค์ขององค์พระมหากษัตริย์ โดยต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้มีบันทึกเรื่องธงชาติ โดยให้ยึดเอาธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทยตั้งแต่นั้นมาเพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดความสับสนกับต่างประเทศ และจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงธงชาติบ่อย ๆ และได้กำหนดความหมายของธงไตรรงค์ให้ชัดเจนแต่ครอบคลุมอุดมการณ์เดิมของรัชกาลที่ 6 เอาไว้ คือ สีแดงหมายถึงชาติ (ประชาชน) สีขาวหมายถึงศาสนา (ไม่ได้เน้นศาสนาใดโดยเฉพาะ) และสีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งความหมายนี้ก็ใช้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน

วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2566

ผู้ทรงคุณวุฒิสภาเกษตรกรแห่งชาติ มอบข้าวเปลือก 1,000 กิโลกรัม ช่วยเหลือชาวนาที่ประสบภัยน้ำท่วมนครพนม

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากการที่มีปริมาณน้ำฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องในห้วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาแม้ปัจจุบันจะเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ในครั้งนั้นก็ทำให้พื้นที่ทั้ง 12 อำเภอของจังหวัดนครพนมเกิดน้ำท่วมขังเป็นเวลานานและพื้นที่การเกษตรของชาวนาเสียหายจำนวนมาก ซึ่งระหว่างการลงพื้นที่ดูแลให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการชดเชยเยียวยาตามระเบียบราชการต่าง ๆ ได้มีการสอบถามผู้ประสบภัยถึงความต้องการช่วยเหลือในรูปแบบต่าง ๆ และหนึ่งในนั้นคือชาวนาอยากได้พันธุ์ข้าวเปลือกมาใช้ปลูกทดแทนส่วนที่เสียไป จะได้มีข้าวไว้รับประทานในปีต่อ ๆ ไป จึงได้มีบอกข่าวและแจ้งไปยังภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อประสานขอการสนับสนุนจากผู้ใจบุญมาช่วยเหลือเพิ่มเติม

ซึ่งเมื่อนายศักดิ์ชาย พรหมโท ผู้ทรงคุณวุฒิสภาเกษตรแห่งชาติ ได้ทราบถึงความเดือดร้อนและความต้องการของพี่น้องประชาชน ก็ได้มีการประสานขอซื้อข้าวเปลือกสายพันธุ์ ชัยนาท 1 จำนวน 1,000 กิโลกรัม จากเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ จังหวัดอำนาจเจริญ และนำมาส่งมอบให้ถึงศาลากลางจังหวัดนครพนมในวันนี้ (27 กันยายน 2566) จึงขอเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยขอบพระคุณท่านและคณะที่ได้ให้ความกรุณามาช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับทุกคนในครั้งนี้ โดยหลังจากนี้ได้มอบหมายให้นางสาวกัญณฐา อภินนท์ธนา เกษตรจังหวัดนครพนม นำไปบริหารจัดการส่งต่อยังพี่น้องชาวนาในพื้นที่ให้ได้เร่งปลูกข้าวไว้รับประทานต่อไป
โดยข้าวเปลือกสายพันธุ์ ชัยนาท 1 เป็นพันธุ์ข้าวเจ้าที่ได้มาจากการผสมพันธุ์สามทาง เป็นข้าวไม่ไวต่อช่วงแสง ปลูกได้ทั้งนาปีและนาปรัง อายุเฉลี่ยประมาณ 119-130 วัน สูงประมาณ 113 เซนติเมตร ลำต้นแข็งแรงให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย 74-120 ถังต่อไร่ คอรวงสั้น เป็นข้าวที่มีปริมาณแป้งอมิโลสสูง 26-27% ทำให้เวลาหุงสุกแล้วจะมีลักษณะร่วนแข็งเหมือนข้าวเสาไห้ มีการตอบสนองต่อการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนดี จุดเด่นของข้าวพันธุ์นี้คือมีความต้านทานต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดดหลังขาว โรคใบหงิก และค่อนข้างต้านทานต่อโรคไหม้ที่เป็นปัญหาสำคัญสำหรับเกษตรกรที่ปลูกข้าวได้เป็นอย่างดี โดยได้รับการรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2535

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2566

เคาะแล้วงานประเพณีไหลเรือไฟนครพนมปีนี้ มีไหลโชว์ทุกวัน เยอะสุดวันออกพรรษา

วันที่ 26 กันยายน 2566 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดำเนินการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม ประจำปี 2566 เพื่อติดตามความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมของแต่ละฝ่ายที่มอบหมายให้ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องการจัดงาน ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก

โดยในวันนี้ที่ประชุมได้ข้อสรุปผลว่าในปี 2566 นี้ จะยังคงมีความยิ่งใหญ่ตระการตาทุกอย่างเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือการไหลเรือไฟโชว์ที่จะมีให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงดงามของเรือไฟขนาดใหญ่ ที่ศิลปินเรือไฟได้มีการออกแบบและตกแต่งให้เกิดเป็นลวดลายตามจิตนาการด้วยตะเกียงไฟนับหมื่นดวง โดยจะสื่อให้เห็นถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมถึงสถานที่สำคัญของจังหวัด และวิถีชีวิตของคนในแต่ละชุมชนหมู่บ้านให้ผู้ที่มาร่วมงานได้รับชมทุกวัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 – 30 ตุลาคม 2566 โดยวันที่ไหลมากที่สุดคือวันออกพรรษา ซึ่งตรงกับวันที่ 29 ตุลาคม 2566 เพื่อเป็นประทีปพุทธบูชาตามความเชื่อ ความศรัทธาของคนในลุ่มแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเรือไฟโบราณที่จะยังคงเปิดโอกาสให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว ได้มาประกอบพิธีสะเดาเคราะห์ ต่อชะตาตามปีเกิด เพื่อเสริมบุญบารมี ด้วยการทำกระทงเรือไฟจากกาบกล้วย ตัดเส้นผม เล็บ และเขียนกระดาษอธิฐานขอพร นำมาวางรวมกันในเรือไฟโบราณ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำไปลอยกลางแม่น้ำโขงให้เป็นการลอยความทุกข์ ความเศร้าออกไปจากชีวิต ตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ หรือถ้านักท่องเที่ยวที่สนใจอยากสัมผัสกับขั้นตอน ตลอดจนวิธีการสร้างเรือไฟ ก็สามารถมาเรียนรู้ได้ทุกวันกับนิทรรศการซุ้มวิถีคนทำเรือไฟ ที่จะทำให้ได้เห็นความเป็นตัวตนของศิลปินเรือไฟ เรื่องราวการใช้ชีวิตที่แต่ละคนต้องเดินทางมาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงนานนับเดือน เพื่อสร้างเรือไฟให้ได้รับชม
อีกทั้งยังจะมีการรำบูชาพระธาตุพนม การอัญเชิญไฟพระฤกษ์ ขบวนแห่ปราสาทผึ้ง การแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้านการแสดงโชว์เรือกีบหนีบกันพายที่เป็นการว่ายน้ำในแม่น้ำโขงเพื่อแปรขบวนเป็นรูปต่าง ๆ การแสดงยุทธวิธีทางน้ำ รวมถึงการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดัง การแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมถึงการบินโดรนแปลอักษร ที่เคยสร้างความฮือฮาในช่วงงานบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช ที่ในครั้งนี้ต้องมาลุ้นว่าจะมีการแปรอักษรเป็นรูปอะไร และการทำบุญตักบาตรเทโว ขณะเดียวกันผู้ที่มาร่วมงานก็สามารถทำบุญและร่วมสนุกไปกับกิจกรรมมัจฉากาชาดที่จะมาออกบู๊ททำกิจกรรมในระหว่างวันงานเพื่อหารายได้ไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ หรือจะเลือกจับจ่ายซื้อหาสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องแต่งกาย สินค้าอุปโภค บริโภค กับสินค้าพื้นถิ่นและผลิตภัณฑ์ชุมชน หรือถ้าใครอยากกระทบไหล่ดาราก็สามารถมาร่วมงานได้เช่นเดียวกัน โดยในวันที่ 19 ตุลาคม 2566 จะมี (กรีน) อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล และ (ญิ๋งญิ๋ง) ศรุชา เพชรโรจน์ ดารานักแสดงจากละครพนมนาคาที่ออกอากาศทางช่อง ONE มาร่วมรำบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2566

จ.นครพนม ร่วมกับ มูลนิธิกาญจนบารมี ออกหน่วยเคลื่อนที่ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมในสตรีกลุ่มเสี่ยง

วันที่ 25 กันยายน 2566 ที่ว่าการอำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านม โดยเครื่องเอกซเรย์เต้านม (Mammogram) ในสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาส 4 หน่วย 4 ภาค ทั่วประเทศ เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาสเจริญพระชนมพรรษา ครบ 70 พรรษา 28 กรกฎาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ร่วมกับมูลนิธิกาญจนบารมี จัดขึ้นเพื่อให้บริการสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาสในพื้นที่ ให้ได้มีโอกาสตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

นายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรคมะเร็งเต้านมเป็นสาเหตุการป่วยและเสียชีวิตอันดับ 1 ของสตรีไทยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี โดยในแต่ละปีจะพบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่ประมาณ 13,200 คน เสียชีวิตประมาณ 4,700 คน หรือทุก 2 ชั่วโมงจะพบว่ามีสตรีไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านม 1 คน โดยสาเหตุมาจากการที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มาพบแพทย์ช้าทำให้เมื่อตรวจพบมักมีอาการลุกลามและแพร่กระจายเชื้อไปแล้วถึงร้อยละ 56 ซึ่งในพื้นที่จังหวัดนครพนมก็มีแนวโน้มอัตราการป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมที่เพิ่มขึ้นทุกปีเช่นเดียวกัน ซึ่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเฝ้าระวัง และตรวจคัดกรองค้นหาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรก จึงได้ร่วมกับมูลนิธิกาญจนบารมี จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างความตระหนักรู้ให้กับกลุ่มสตรีในจังหวัดนครพนมเกี่ยวกับการตรวจเต้านมเพื่อค้นหามะเร็งในระยะแรกเริ่มด้วยตนเองได้อย่างถูกต้องแล้ว หากพบยังจะเป็นการช่วยลดความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านมได้ด้วย

ด้าน ดร.นายแพทย์อิทธิพล สูงแข็ง หัวหน้าหน่วยคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ (Mammogram) มูลนิธิกาญจนบารมี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกิจกรรมในโครงการนี้ จะเริ่มจากที่ผู้ที่มารับบริการลงทะเบียนยืนยันตัวตน จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงความดัน และซักประวัติ ช่วงเวลาการมีประจำเดือน การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร รวมถึงปัจจัยอื่นที่มีความเสี่ยง เช่น ประวัติของบุคคลในครอบครัวที่เคยเป็นมะเร็ง จากนั้นเป็นการสอนการคลำหามะเร็งเต้านมด้วยตนเอง พร้อมกับการชมนิทรรศการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งเต้านม วิธีการรักษามะเร็งเต้านม เมื่อทุกคนเข้าใจแล้ว จะให้ผู้รับบริการขึ้นตรวจบนรถกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะเป็นการคัดกรองเบื้องต้นด้วยการคลำก่อน หากพบว่ามีความเสี่ยงและพบก้อนหรือสิ่งผิดปกติ จะถูกส่งต่อให้ไปตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์เต้านม หรือ Mamogram และหากพบก้อนหรือมีความเสี่ยงสูง จะถูกส่งต่อเข้าสู่การวินิจฉัยและการรักษาตามลำดับ โดยการให้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมในครั้งนี้จะมีด้วยกัน 4 จุด ประกอบไปด้วย วันที่ 25 - 27 กันยายน 2566 ที่บริเวณที่ว่าการอำเภอศรีสงคราม ส่วนวันที่ 28 - 29 กันยายน 2566 ที่ว่าการอำเภอนาทม วันที่ 31 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2566 ที่ว่าการอำเภอปลากปาก และวันที่ 2 - 3 พฤศจิกายน 2566 ที่โรงเรียนนาแกสามัคคีวิทยา

พ่อเมืองนครพนม ผุดไอเดียกระดิ่งร้องทุกข์ เพิ่มช่องทางบำรุงสุขให้ประชาชน

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยที่มาของการแขวนกระดิ่งร้องทุกข์ว่า วันนี้เป็นวันประชุมกรมการจังหวัด ถือเป็นฤกษ์งามยามดีของจังหวัดนครพนม จึงได้เชิญชวนท่านทั้งหลายมาแขวนกระดิ่งบำบัดทุกข์ บำรุงสุข เพื่อที่จะได้ให้กระดิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ให้มีการทดลองแขวนกระดิ่งร้องทุกข์ที่อำเภอบ้านแพงเป็นอำเภอแรก โดยในการปฏิบัติงานงานของข้าราชการเราที่เป็นข้าของแผ่นดิน คือการดูแลพี่น้องประชาชนแก้ไขปัญหาให้ทุกคนมีความสุข ทำให้คิดถึงพ่อขุนรามคำแหงที่ท่านได้เขียนลงในหลักศิลาจารึก เกี่ยวกับใครที่มีความเดือดร้อนหรือมีปัญหาต่าง ๆ โดยในศิลาจารึกได้เขียนไว้ว่า


“...ในปากประตูมีกะดิ่งอันณึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจ มักจักกล่างเถิงเจ้าเถิงขุนบ่ไว้ ไปลั่นกะดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียกเมือถาม สวนความแก่มันด้วยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึ่งชม”
ทำให้ได้จำว่าพ่อขุนรามคำแหงแขวนกระดิ่งไว้ ใครมีความเดือดร้อนอะไรต่าง ๆ ก็จะมาสั่นกระดิ่ง จึงได้น้อมนำแนวความคิดพ่อขุนรามคำแหงมาปรับใช้กับการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้พี่น้องประชาชนจังหวัดนครพนม และจากการทดลองแขวนกระดิ่งร้องทุกข์ที่อำเภอบ้านแพงถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี จึงได้มีการรายงานให้ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยได้รับทราบ ซึ่งท่านก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี จึงมีการขยายผลไปยังทุกอำเภอ ทำให้ในตอนนี้ทั้ง 12 อำเภอมีการแขวนกระดิ่งครบหมดแล้ว ในส่วนของจังหวัดจริง ๆ แล้วดำเนินการเสร็จนานแล้ว แต่ด้วยติดในเรื่องของฝนที่ตกลงมาจึงยังไม่ได้มีการติดตั้ง และในวันนี้ที่อากาศปลอดโปร่งอีกทั้งเป็นการประชุมคณะกรมการจังหวัดที่ทุกภาคส่วนมาร่วมประชุมหารือข้อราชการร่วมกัน จึงได้ถือเอาฤกษ์ดีในวันนี้แขวนกระดิ่งร้องทุกข์ ทั้งที่บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม และที่หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นเครื่องหมายเชิงสัญลักษณ์ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการรับเรื่อง จึงถือโอกาสนี้ในการแจ้งบอกข่าวไปยังพี่น้องประชาชนที่มีเรื่องเดือดร้อน สามารถมาใช้บริการได้ โดยในส่วนของศาลากลางจังหวัดนครพนมได้มีการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครพนมมารับเรื่องร้องทุกข์ร้องเรียน ส่วนที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้มอบให้เจ้าหน้าที่กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดนครพนมที่เข้าเวรรับเรื่องร้องเรียน เพื่อรายงานปัญหาดังกล่าวให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และนำไปสู่การแก้ไขที่มีความรวดเร็วที่สุด

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2566

จ..นครพนม ประกอบพิธีวางพวงมาลารำลึกถึง พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย

วันที่ 24 กันยายน 2566 ที่บริเวณโรงพยาบาลนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม วันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ ตลอดจนคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานด้านการสาธารณสุขของจังหวัดนครพนม นักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนม ภาคเอกชน และประชาชนจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีวางพวงมาลาถวายบังคมพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย เนื่องในวันมหิดล ประจำปี 2566 พร้อมมอบเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติแก่ผู้ที่ให้การสนับสนุนด้านการแพทย์โรงพยาบาล มอบโล่เชิดชูเกียรติแก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีผลงานดีเด่นด้านพัฒนาวิชาการทางด้านการแพทย์ การพยาบาล การสาธารณสุข และการปฏิบัติงานบริการประชาชนดีเด่น ก่อนที่ทุกคนจะร่วมกันทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อนำเงินรายได้ไปจัดซื้อวัสดุ ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ไว้ช่วยเหลือผู้ป่วย

โดยสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีที่ประสูติร่วมพระราชมารดา 7 พระองค์ พระองค์มีคุณูปการแก่กิจการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของประเทศไทย ประชาชนทั่วไปจะคุ้นเคยกับพระนามว่า กรมหลวงสงขลานครินทร์ หรือ พระราชบิดา บางครั้งก็ปรากฏพระนามว่า เจ้าฟ้าทหารเรือ และ พระประทีปแห่งการอนุรักษ์สัตว์น้ำของไทย ส่วนชาวต่างประเทศเรียกพระนามว่า เจ้าฟ้ามหิดล โดยพระองค์ทรงสนพระทัยการแพทย์และการสาธารณสุข ตั้งแต่ครั้งยังดำรงตำแหน่งนายทหารแห่งกองทัพเรือสยาม ทรงเห็นว่าการแพทย์และการสาธารณสุขของไทยยังล้าสมัยอยู่มาก และทรงตระหนักว่าการสาธารณสุขมีส่วนสำคัญในการพัฒนาของประเทศ หากจะได้ผลดีต้องมีแพทย์ที่มีคุณภาพสูง และมีการศึกษาแพทย์ที่เหมาะสม จึงทรงพระอุตสาหะเสด็จไปศึกษาวิชาการสาธารณสุขและวิชาแพทย์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทรงสอบได้ประกาศนียบัตรการสาธารณสุขและปริญญาแพทยศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตเกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ซึ่งภายหลังทรงสำเร็จการศึกษา พระองค์ได้ทรงประกอบพระกรณียกิจทางด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไว้มากมายจนเป็นที่ประจักษ์ และทรงได้รับการยกย่องเป็นองค์บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย โดยวันที่ 24 กันยายน เป็นวันคล้ายวันเสด็จทิวงคตของพระองค์ท่าน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จึงได้ขนานนามวันอันเป็นที่ระลึกสำคัญนี้ว่า วันมหิดล เพื่อเป็นการถวายสักการะและแสดงกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ท่าน ที่ทรงพระราชกรณียกิจแก่วงการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศไทยตลอดระยะเวลา 12 ปี เพื่อเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่โรงเรียนแพทย์และพัฒนาการเรียนการสอน ตลอดจนการผลิตแพทย์ให้มีประสิทธิภาพ เป็นการวางรากฐานแก่การแพทย์และการสาธารณสุขให้เจริญพัฒนาก้าวหน้าทัดเทียมอารยะประเทศ

วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2566

ผู้ว่าราชการนครพนม นำชาวนครพนม ลุ้นและเชียร์ทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยคัดโอลิมปิก 2024

วันที่ 23 กันยายน 2566 ที่ลานหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำประชาชนชาวจังหวัดนครพนม ร่วมลุ้นและส่งแรงใจเชียร์ทีมวอลเลย์บอลไทยคัดโอลิมปิก 2024 รอบคัดเลือก (Volleyball Olympic Qualification) ที่ในวันนี้เป็นการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ทีมชาติไทย พบกับ ทีมชาติเกาหลีใต้ โดยทีมชาติไทยอยู่ในกลุ่ม C ที่ประกอบไปด้วย โปแลนด์ (เจ้าภาพ), อิตาลี, สหรัฐอเมริกา, เยอรมนี, โคลอมเบีย, เกาหลีใต้, สโลวีเนีย และไทย ซึ่งในรอบคัดเลือกครั้งนี้แบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 8 ทีม คือ A,B,C เพื่อจัดการแข่งขันแบบพบกันหมด จากนั้นจะคัดเอาทีมอันดับ 1 และ 2 ที่มีผลงานดีที่สุดเข้าไปเล่นในโอลิมปิกเกมส์ รอบสุดท้าย ที่ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 27 ก.ค. - 11 ส.ค. 2567

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า วอลเลย์บอลเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬา ที่ชาวนครพนมมีความชื่นชอบและมีการส่งเสริมลูกหลานคนนครพนมให้ได้เล่นและออกกำลังกาย โดยในทีมชาติชุดนี้ก็มีลูกหลานคนนครพนม ชาวอำเภอปลาปากติดทีมชาติ คือ นางสาวพรพรรณ เกิดปราชญ์ หรือ กัปตันชมพู่ เจ้าของฉายา มือเซตสายบู๊ เพราะมีจังหวะการจ่ายบอลที่เฉียบขาด มีสกิลการบุกแบบบอลเร็วและเฉียบคมทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญของทัพนักตบสาวไทย โดยเกมนัดนี้เป็นเกมที่ทีมชาติไทยต้องพบกับทีมเกาหลีใต้ ที่เป็นคู่แข่งประจำ รู้ศักยภาพผู้เล่นและแผนการเล่นอย่างดี จึงเชื่อว่าทีมนักตบสาวไทยจะคว้าชัยมาได้อย่างแน่นอน สำหรับการส่งแรงใจและแรงเชียร์ในครั้งนี้ ด้วยต้องการให้ทุกคนได้มีจุดรวมตัวกัน เพราะตามปกติแล้วแต่ละคนจะมีการลุ้นและเชียร์อยู่ที่บ้านเท่านั้น แต่เพื่อให้ทุกคนได้เปลี่ยนบรรยากาศและได้ร่วมลุ้นและเชียร์ไปพร้อมกันจึงมีการนัดหมายกันออกมาที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการจัดเก้าอี้ไว้รองรับถึง 200 ตัว และพอใกล้เวลานัดหมายทุกคนที่ทราบข่าว ต่างก็ทยอยมาร่วมลุ้นและเชียร์กันอย่างคึกคัก บางคนถึงขั้นนำอาหารมานั่งรับประทานเพื่อรอชมการแข่งขันพร้อมกับคนอื่นเลยทีเดียว ที่สำคัญที่นอกจากทุกคนจะเป็นการร่วมกันส่งแรงใจแรงเชียร์แล้ว ยังเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกให้ลูกหลานเยาวชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปได้เห็นถึงความสำคัญในการออกกำลังกาย เพราะไม่ว่าจะเป็นกีฬาชนิดใดก็ล้วนแต่ให้ประโยชน์ และยิ่งทุกวันนี้กีฬาไม่ใช่แค่การเสริมสร้างสุขภาพร่างกายเท่านั้นแต่ยังสามารถพัฒนาเป็นอาชีพได้ด้วย โดยในวันพรุ่งนี้ 24 กันยายน 2566 เวลา 19.30 น. ทีมชาติไทยจะพบทีมโคลอมเบีย ก็ขอเชิญชวนทุกคนได้ส่งกำลังใจให้ทีมวอลเลย์บอลไทยคว้าชัยและได้เป็นตัวแทนเข้าแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ รอบสุดท้าย ที่ประเทศฝรั่งเศส

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2566

นครพนม จัดกิจกรรมสืบสานภูมิปัญญา ส่งเสริมการท่องเที่ยว โชว์เมนูเด็ดอาหารปรุงจากต่อหัวเสือ

วันที่ 22 กันยายน 2566 ที่ลานหน้าที่ว่าการอำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดงานของดีอำเภอปลาปากและงานประเพณีเทศกาลกินต่อหัวเสือโลก ประจำปี 2566 ที่นายสมศักดิ์ บุญจันทร์ นายอำเภอปลาปากร่วมกับ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ และชาวอำเภอปลาปากจัดขึ้น เพื่อสืบสาน ส่งเสริม และอนุรักษ์ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น เกี่ยวกับการเลี้ยงต่อหัวเสือ และนำต่อหัวเสือมาประกอบอาหารเป็นเมนูต่าง ๆ รวมถึงการนำของดีจากโครงการปลาปาก แซส ซิตี้ (Plapak SEDZ city) รักษ์ปลาปาก จากโคก หนอง นา สู่เขตเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้โครงการอำเภอบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ในแต่ละชุมชนมาจัดแสดง ให้ผู้ที่มาร่วมงานตลอดจนนักท่องเที่ยวได้รับรู้และจับจ่ายซื้อหาไปใช้ ไปรับประทาน เป็นการสร้างการรับรู้ เพิ่มช่องทางการตลาด ส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่

ซึ่งในวันนี้มีกิจกรรมต่าง ๆ อย่างมากมาย ให้ผู้ที่มาร่วมงานได้สนุกสนานที่มีทั้งการแสดง ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน การฟ้อนรำ โดยที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้น การรอชิมเมนูอาหารที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมลงมือปรุงด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก กับเมนูที่นำต่อหัวเสือมาเป็นวัตถุดิบหลัก โดยมีการโชว์การปรุงถึง 3 เมนู ประกอบไปด้วยเมนู ลาบต่อหัวเสือ อ่อมต่อหัวเสือ และปิดท้ายด้วยยำลูกต่อหัวเสือ ซึ่งเมื่อแต่ละเมนูเมื่อแล้วเสร็จใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีอาหารก็หมด เพราะล้วนมีความอร่อยที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีความแตกต่างจากวัตถุดิบชนิดอื่นที่นำมาปรุงเป็นอาหารอย่างมาก ที่สำคัญไม่ได้หาทานได้บ่อย ๆ เพราะราคาตัวอ่อนต่อหัวเสือที่นำมาปรุงอาหารสูงถึงกิโลกรัมละประมาณ 800 - 1,000 บาท

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการแข่งขันการประกวดรังต่อหัวเสือ ที่แต่ละชุมชนจะนำมาแข่งขันกันว่ารังต่อของชุมชนไหนจะมีขนาดใหญ่ที่สุด มีความสมบูรณ์มากที่สุด ซึ่งปรากฏว่าในปีนี้ตำบลโคกสว่างคว้ารางวัลอันดับ 1 ไปครองพร้อมเงินรางวัล 2,000 บาท ส่วนการแข่งขันประกอบเมนูอาหารต่อหัวเสือที่แต่ละชุมชนส่งเข้าแข่งขัน โดยมีการนำต่อหัวเสือมาดัดแปลงเป็นเมนูอาหาร ที่มีทั้งที่เป็นอาหารอีสานพื้นบ้านทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น แกงตัวต่อ ต้มยำต่อหัวเสือ นึ่ง ทอด หมก น้ำยาขนมจีนต่อหัวเสือ ไปจนถึงเมนูพิซซ่าต่อหัวเสือ โดยตำบลหนองเทาใหญ่สามารถคว้ารางวัลอันดับ 1 ไปครองพร้อมเงินรางวัล 2,000 บาท การจัดประกวดซุ่มนิทรรศการการกินต่อหัวเสือ การจำหน่ายสินค้า OTOP/ธิดาต่อในซุ้ม ซึ่งแต่ละชุมชนมีการรังสรรค์ออกมาให้มีความแตกต่างที่สวยงามพร้อมบอกเล่าเรื่องราวในการสืบสานภูมิปัญญาในการเลี้ยงต่อหัวเสือที่เป็นอาชีพสุดเสี่ยง แต่สร้างรายได้หลักแสนต่อปีให้คนในชุมชนได้เป็นอย่างดี ยิ่งช่วงไหนหายากจะส่งผลให้ราคาขยับตัวสูงถึงกิโลกรัมละ 2,000 บาท โดยการเลี้ยงจะใช้วิธีปล่อยตามธรรมชาติประมาณ 3-4 เดือนก่อนเก็บผลผลิตสู่ท้องตลาด ทั้งนี้ในชุมชนได้มีการพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาในการเก็บผลผลิตจากเดิมที่ใช้วิธีการเผารังต่อทำให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ มาประดิษฐ์ชุดล้วงรังต่อที่นอกจากจะทำให้ผู้เลี้ยงมีความปลอดภัยสูงขึ้นในการล้วงรังต่อ ทั้งยังช่วยลดการสูญพันธุ์ที่เกิดจาการเผาหรือรมควัน ที่สำคัญคือทำให้สามารถเก็บผลผลิตเพิ่มขึ้นได้รังละ 2-3 รอบ และมีการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ตำบลเพื่อวางจำหน่าย

คณะกรรมการงานไหลเรือไฟนครพนม หารือวางแผนเสริมสถานที่พักชั่วคราวสำหรับนักท่องเที่ยว

วันที่ 22 กันยายน 2566 ที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครพนม ได้มีการประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดสถานที่พักชั่วคราวสำหรับนักท่องเที่ยว งานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม ประจำปี 2566 เพื่อหารือเตรียมสถานที่รองรับนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเดินทางมาร่วมงานประเพณีไหลเรือไฟ ในระหว่างวันที่ 20-30 ตุลาคม 2566 เป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันสถานที่พักอาศัยในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม รีสอร์ท บ้านเช่า บางแห่งเริ่มเต็มแล้วเนื่องจากมีการจองล่วงหน้าจากนักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

โดยทางคณะกรรมการได้มองว่าวัดและโรงเรียนต่าง ๆ ในพื้นที่อำเภอเมืองนครพนมที่ใกล้กับบริเวณจัดงาน สามารถใช้อาคารและสถานที่บางส่วนจัดพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาพักอาศัยนอนได้ จึงได้มีการประสานขอความร่วมมือไป ซึ่งเบื้องต้นพบว่าวัดที่อยู่ใกล้บริเวณจัดงานได้จัดสถานที่ให้เป็นที่พักสำหรับศิลปินเรือไฟที่เดินทางมาสร้างเรือไฟให้ทุกคนได้ชม ส่วนโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย และโรงเรียนนครพนมวิทยาคม มีการเปิดทำการเรียนการสอนตามปกติในห้วงเวลาที่มีการจัดงาน จึงไม่สะดวกสำหรับการให้บริการเข้าพัก แต่จะให้การสนับสนุนสถานที่ส่วนหนึ่งสำหรับการจอดรถของนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงาน ในส่วนของโรงเรียนเซนต์ยอเซฟนครพนมก็เช่นเดียวกัน ที่จะจัดสถานที่จอดรถให้บริเวณสนามฟุตบอลรวมถึงบริเวณวัดนักบุญอันนา - หนองแสง ขณะที่โรงเรียนสุนทรวิจิตรที่ในห้วงดังกล่าวไม่มีการเรียนการสอน ได้แบ่งอาคารและสถานที่ส่วนหนึ่งให้สำหรับพ่อค้าแม่ค้าได้เช่าพักแล้ว โดยตลอดเวลาที่จัดงานจะมีการให้บริการห้องน้ำในราคา 5 บาท เพื่อนำเงินรายได้ส่วนนี้มาใช้ในการจ้างคนงานดูแลบำรุงรักษาความสะอาด และใช้ในการบำรุงรักษาส่วนอื่น ๆ ของทางโรงเรียน ส่วนโรงเรียนในสังกัดของเทศบาลเมืองนครพนม ได้มีการจัดสถานที่พักให้สำหรับนักกีฬาแข่งขันเรือพายชิงถ้วยพระราชทาน และการแข่งขันเรือพายประเภทอื่น ๆ ซึ่งจะมีทั้งที่มาจาก สปป.ลาว และจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทำให้ไม่สามารถจัดสถานที่เพิ่มเติมได้อีก

ขณะที่สถานที่พักชั่วคราวที่คาดว่าจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เพิ่มเติม คือ คณะเกษตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนครพนม ซึ่งจะมีห้องพักรวมไว้คอยบริการ รองรับได้ 30 คน คิดค่าบริการคนละ 100 บาท/คน/คืน ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเต้นท์นอนสามารถมาใช้บริการสถานที่ได้ฟรี โดยพื้นที่ส่วนนี้สามารถรองรับการกางเต้นท์นอนได้มากกว่า 50 หลัง นอกจากนี้ยังมีสถานที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลอาจสามารถที่จะมีการจัดเต้นท์หมู่บ้านให้เช่าพักบริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 ในราคา 50 บาท จำนวน 20 หลัง รวมถึงนักท่องเที่ยวยังสามารถมาใช้บริการห้องประชุมของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม สำหรับการพักนอนได้จำนวน 10 คน แต่ต้องเตรียมที่นอนมาเอง ทั้งนี้ยังอยู่ระหว่างการประสานสถานที่อื่น ๆ เพิ่มเติม และเตรียมแจ้งให้คณะกรรมการอำนวยการงานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม ประจำปี 2566 ทราบในวันที่ 26 กันยายน 2566 ที่จะมีการประชุมสรุปรวมการเตรียมความพร้อมของแต่ละหน่วย ก่อนที่จะมีการประชาสัมพันธ์แจ้งให้นักท่องเที่ยวได้รับทราบเพื่อประสานเข้าใช้บริการตามที่แต่ละคนสะดวก

วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2566

มูลนิธิคุณพุ่ม มอบทุนการศึกษาเด็กออทิสติกและเด็กพิการ จังหวัดนครพนม ประจำปี 2566

วันที่ 21 กันยายน 2566 ที่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานประกอบพิธีมอบทุนการศึกษาในมูลนิธิคุณพุ่ม ประจำปี 2566 ให้แก่เด็กออทิสติกและเด็กพิการในพื้นที่จังหวัดนครพนม โดยมีคณะผู้บริหาร ครู เจ้าหน้าที่ ผู้ปกครองและนักเรียนศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดนครพนมร่วมพิธี มีว่าที่ร้อยตรี ณรงค์รัชช์ โชคธนาประสิทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดนครพนม กล่าวรายงานถึงการจัดงาน ที่สืบเนื่องมาจากที่ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงงานตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ในการพัฒนาสังคมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของพสกนิกรชาวไทย ควบคู่ไปกับพระปรีชาสามารถและความเข้าใจในฐานะพระมารดาที่ดูแลเอาใจใส่พัฒนาการเรียนรู้ของพระโอรสอย่างใกล้ชิด ทรงเล็งเห็นว่าเด็กและเยาวชน คนพิการ ยังไม่ได้รับโอกาสในด้านต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ทั้งยังทรงห่วงใยเด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาสและผู้ยากไร้ทางสังคม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าประทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นเงินทุนแรกเริ่ม สำหรับจดทะเบียนก่อตั้งเป็นมูลนิธิคุณพุ่ม เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงคุณพุ่มพระโอรส โดยทรงดำรงตำแหน่งองค์ประธานกรรมการมูลนิธิ และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเด็กออทิสติกและเด็กพิการในจังหวัดนครพนม มูลนิธิคุณพุ่มจึงได้พิจารณาจัดสรรทุนการศึกษา จำนวน 111 ทุน ๆ ละ 5,000 บาท มามอบให้ในครั้งนี้

โดยในโอกาสนี้ นางขวัญฤดี ศรีเพ็ญรัตน์ ได้เป็นตัวแทนผู้ปกครองเด็กออทิสติกและเด็กพิการจังหวัดนครพนมที่เข้ารับทุน กล่าวสำนึกในพระกรุณาธิคุณ ใจความว่า ในนามผู้รับประทานทุนการศึกษาจากมูลนิธิคุณพุ่ม มีความซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นอย่างยิ่ง ที่ทรงเล็งเห็นความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษาที่มีต่อการดำรงชีวิตของคนพิการ ซึ่งต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ ให้สามารถอยู่ร่วมกับคนปกติในสังคมอย่างมีความสุข ซึ่งการพัฒนาศักยภาพผู้พิการแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายมากกว่าคนปกติหลายเท่า ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องมีภาระเพิ่มขึ้น ซึ่งการได้รับประทานทุนในครั้งนี้จะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระต่าง ๆ ที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องดูแลได้ระดับหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้า สำนึกในพระกรุณาธิคุณ และสัญญาว่าจะนำทุนการศึกษาที่ได้รับในครั้งนี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าสูงสุด เพื่อให้ผู้พิการได้รับการพัฒนา ตามศักยภาพของตนเอง ตามพระประสงค์ของทูลกระหม่อมฯ และวัตถุประสงค์ของมูลนิธิคุณพุ่มต่อไป
ขณะเดียวกันผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ก็ได้ให้โอวาทว่า ทุนการศึกษาที่ทุกท่านได้รับในครั้งนี้ ควรตระหนักถึงวัตถุประสงค์ของเงินทุนการศึกษาที่ได้รับให้ดี เนื่องจากเด็กและเยาวชนผู้พิการยังไม่ได้รับโอกาสในด้านต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ขอให้ผู้ปกครองได้นำทุนการศึกษาที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับบุตรหลานของท่าน เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้รับการพัฒนาศักยภาพและสามารถช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น ซึ่งการพัฒนาต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นประจำ ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครอง ชุมชน และคนรอบข้างอย่างใกล้ชิด จึงขอเป็นกำลังใจให้ผู้ปกครองทุกท่าน ให้มีความอดทน มุ่งมั่น อย่าได้ย่อท้อในการพัฒนาบุตรหลาน เพื่อช่วยให้เขาสามารถอยู่ในสังคมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และถ้ามีความเดือดร้อนก็ขอให้แจ้งมาทาง จังหวัดนครพนมตลอดจนเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมและภาคีเครือข่าย พร้อมและยินดีให้ความช่วยเหลือเสมอ

วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2566

การขับเคลื่อนเกษตรแปลงใหญ่สู่ BCG Model

นางสาวกัญณฐา อภินนท์ธนา เกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า สำหรับการขับเคลื่อน BCG Model ของจังหวัดนครพนมนั้น จะใช้ระบบเกษตรแปลงใหญ่ที่ใช้ระบบส่งเสริมการเกษตร ที่ประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบ คือ การถ่ายทอดความรู้ การเยี่ยมเยียน การสนับสนุน การนิเทศงาน และการจัดการข้อมูล และด้วยพื้นที่อำเภอโพนสวรรค์ มีการปลูกมันสำปะหลังจำนวนมากที่สุดในจังหวัดนครพนม คือปลูกทั้งสิ้นประมาณ 9,000 กว่าไร่ ดังนั้นเราจึงต้องการพื้นที่นี้มาเป็นโมเดลในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ BCG Model โดยจะมุ่งเน้นให้เกษตรกรนำวัสดุต่าง ๆ ทุกอย่างของต้นมันสำปะหลัง ไม่ว่าจะเป็น ใบ ลำต้น เหง้า และ หัวมันสำปะหลัง กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด ที่สำคัญคือมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดการต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มของการผลิตในพื้นที่ กลายเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้กับชุมชน ทั้งยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นด้วย

ด้านนายศรีรัตน์ ยางทิสาร สมาชิกแปลงใหญ่กลุ่มมันสำปะหลัง อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม กล่าวเพิ่มเติมว่า หลายคนอาจสงสัยว่าการเข้าเกษตรแปลงใหญ่แล้วได้อะไร ก็ขอบอกว่าได้ความรู้ อย่างเช่นมันสำปะหลังที่ปลูกนั้นไม่ใช่ว่าจะขายแต่หัวมันได้เพียงอย่างเดียวเราสามารถแปรสภาพเป็นอย่างอื่นได้ แล้วก็ได้ความเป็นพี่เป็นน้อง ความสมัครสมานสามัคคี มีการตั้งกลุ่มรวมกันคิดร่วมกันทำ ใครมีปัญหาอะไรก็สามารถปรึกษาซึ่งกันและกันได้ คนที่ทำไม่สำเร็จทุกคนก็จะช่วยกันพยุงไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งตนเองมีความภูมิใจ ดีใจและชอบการทำแบบนี้ บอกตรง ๆ เลยว่าเงินทองนั้นหาง่ายแต่น้ำใจในทุกวันนี้หายากขึ้นที สำหรับรายได้นั้นถ้าเราสามารถผลิตได้อย่างที่วางไว้ เฉลี่ยอยู่ที่ 5 – 6 ตันต่อไร่ในรูปแบบการปลูกต่อปีที่ไม่ใช่แบบน้ำหยดถือว่าดีที่สุดแล้ว เพราะถ้าจำหน่ายได้ในราคากิโลกรัมละ 2 บาท จะมีรายได้ตกอยู่ที่ไร่ละประมาณ 10,000 บาท อย่างแปลงสาธิตที่ปลูกอยู่ 4 ไร่นี้ ก็จะมีเงินอยู่ประมาณ 40,000 บาท เราก็ต้องมาวางแผนการเก็บเงินให้ดีเพราะเราต้องซื้อกากอ้อยมาทำปุ๋ยอยู่ประมาณ 12,000 บาท ดังนั้นถ้าคิดง่าย ๆ เราเก็บเงิน 10,000 บาทไว้เป็นต้นทุนค่าปุ๋ย เราจะไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน เพราะกากอ้อยที่ใช้จะบำรุงได้ 3 ปีต่อการใช้ 1 ครั้ง นั้นหมายถึงเราจะลดต้นทุนลง ยิ่งถ้าเราทำการเกษตรให้มีต้นทุนน้อยได้มากเท่าไหร่เราจะยิ่งมีกำไรเยอะขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องปลูกให้ได้จำนวนมาก แต่เราจะต้องรู้จักหาวิธีว่าจะทำยังไงให้ได้ผลผลิตสูงที่สุด ส่วนเงินที่เหลือ 30,000 บาท เราก็จะต้องไปบริหารจัดการว่าจะทำอะไรต่อไป อีกอย่างที่ต้องเข้าใจคือแปลงที่ทำนี้เป็นแปลงสาธิต เป็นแปลงนำร่อง ยังไม่ได้ทำเต็มตัว เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นว่าประสบผลสำเร็จมีกำไรอย่างที่เห็นในตอนนี้ ก็จะต้องมีการลงทุนต่อและขยายเพิ่มขึ้น

สำหรับตนเองมองว่าโครงการนี้ถือว่าดีมาก ขอยกนิ้วให้ เพราหน่วยงานได้ลงมาสนับสนุนในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง พอเราทำได้ตามขั้นตอนที่วางไว้ได้ทั้งหมดก็เห็นว่าแปลงเกษตรที่ทำมีผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญคือโครงการนี้ ทำให้เกษตรกรอย่างเราไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของใคร เพราะเราปลูกเอง ผลิตเอง ขายเอง สามารถตั้งราคาได้


ผู้ใจบุญร่วมส่งมอบชุดเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารี ให้นักเรียนที่ขาดแคลนของจังหวัดนครพนม

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่ได้มีนโยบายที่จะขับเคลื่อนยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพการศึกษาในพื้นที่จังหวัดนครพนมให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้น เพื่อสร้างเยาวชนที่พร้อมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติต่อไปในอนาคต ดังนั้นเป็นที่มาของความร่วมมือคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) นครพนมในการติดตามลงพื้นที่เยี่ยมและประเมินสถานศึกษาใน 15 ประเด็นหลัก ทำให้ได้พบว่ายังมีนักเรียนหลายคนที่ขาดแคลนเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารี ประกอบกับกระทรวงมหาดไทย โดยปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้การสนับสนุนช่วยเหลือเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารีให้แก่นักเรียนที่ผู้ปกครองมีฐานะยากจน ขัดสน ไม่สามารถจัดหาชุดดลูกเสือ เนตรนารีให้แก่บุตรได้ จึงได้มีการบอกบุญไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน มูลนิธิ สมาคม ชมรม ตลอดจนผู้ใจบุญ ในการขอการสนับสนุนเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารีมาให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้ใส่เรียนเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ เป็นการสืบสานพระราชปนิธานพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงพระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2454 ด้วยมีพระราชปรารภว่า เมื่อฝึกผู้ใหญ่เป็นเสือป่าเพื่อเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือชาติบ้านเมืองแล้ว เห็นควรที่จะมีการฝึกเด็กชายปฐมวัยให้มีความรู้ทางเสือป่าด้วย เมื่อเติบโตขึ้นจะได้รู้จักหน้าที่และประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งในการเรียนการสอนทุกโรงเรียนจะมีการฝึกปฏิบัติ พาลูกเสือ เนตรนารี ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดการเสริมสร้างทักษะชีวิต ทำให้ทุกคนรู้จักหน้าที่ของตนเอง อยู่ในระเบียบวินัย และประพฤติปฏิบัติตนเป็นบุคคลที่มีจิตอาสา พร้อมบำเพ็ญตนที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

และภายหลังที่ได้มีการบอกกล่าวไป ผู้ใจบุญได้มีการส่งมอบเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารี ตลอดจนทุนทรัพย์มาให้จัดซื้ออย่างต่อเนื่อง รวมถึงรุ่นพี่ก็มีการส่งต่อชุดลูกเสือ เนตรนารีให้กับรุ่นน้อง โดยในส่วนที่ทางจังหวัดนครพนมได้รับมาได้มอบหมายให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครพนมดำเนินการจัดสรรเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารี กระจายไปตามโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนที่ขาดแคลนได้สวมใส่เรียน ซึ่งในวันนี้ 20 กันยายน 2566 ทางมูลนิธิพญาศรีสัตตนาคราชได้จัดสรรเงินมาให้จัดซื้อเครื่องแบบ จำนวน 50,000 บาท จึงได้จัดพิธีส่งมอบให้กับนักเรียน ประกอบไปด้วย นักเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1 จำนวน 5 โรงเรียน รวม 81 คน คือ ลูกเสือสามัญ 24 คน เนตรนารี 23 คน ลูกเสือสำรอง 34 คน นักเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่กาศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จำนวน 3 โรงเรียน รวม 84 คน คือ ลูกเสือสามัญ 26 คน เนตรนารี 29 คน ลูกเสือสำรอง 29 คน ทั้งนี้ยังได้มีการประสานไปยังมูลนิธิกระจกเงาเพื่อขอการสนับสนุนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหลังจากนี้เมื่อรถของหน่วยงานราชการที่ไปประสานงานกับส่วนกลางจะมีการเข้าไปรับและนำมาแจกจ่ายให้กับนักเรียนที่ยังขาดแคลนต่อไป และในโอกาสนี้ก็ขอขอบพระคุณทุกท่าน ทุกหน่วยงานที่ได้ให้การสนับสนุนเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารี เพื่อให้ลูก ๆ นักเรียนได้สวมใส่เรียนรู้เพื่อที่จะได้เติบใหญ่เป็นคนดี มีวินัย เสียสละเพื่อสังคม กลายเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2566

นรข. ร่วมกับ สมาคมภริยาทหารเรือ ปูพื้นกระเบื้องสร้างสถานที่ทำกิจกรรมให้โรงเรียนบ้านนาหัวบ่อ นครพนม

พลเรือตรีสมาน ขันธพงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เปิดเผยว่า จากที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ได้มีการลงพื้นที่ทำกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมแบบ บวร ประจำปี 2566 (ครั้งที่ 1) เพื่อรณรงค์สร้างการรับรู้ให้แก่เด็ก เยาวชน ประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักรู้ถึงพิษภัยของอบายมุขและยาเสพติด พร้อมกับการอบรมธรรมะสอดแทรก รวมถึงการเสียสละเพื่อส่วนรวมด้วยการทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ทำให้ได้ทราบว่าโรงเรียนบ้านนาหัวบ่อ หมู่ที่ 7 ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งมีนักเรียนทั้งสิ้น 70 คน เป็นชาย 42 คน หญิง 28 คน มีบุคลากรทางการศึกษารวม 9 คน มีนายจำรัส มูลสาร เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน มีความประสงค์อยากได้สถานที่ทำกิจกรรมที่มีความปลอดภัยให้เด็กนักเรียน เนื่องจากสภาพปัญหาพื้นอาคารอเนกประสงค์ไม่เรียบร้อย เวลาที่ครูและนักเรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การเรียนการสอน การออกกำลังกาย และกิจกรรมอื่น ๆ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุและอันตรายได้ง่าย จึงอยากปรับปรุงพื้นอาคารอเนกประสงค์ใหม่ให้มีความปลอดภัยให้มากกว่านี้

ดังนั้น นรข. จึงได้เข้าสำรวจพื้นที่ทั้งหมดที่จะดำเนินการและประมาณราคา พร้อมประสานแจ้งเรื่องไปยังสมาคมภริยาทหารเรือขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เป็นเงิน 85,200 บาท สำหรับการปูกระเบื้องจำนวนเนื้อที่รวม 320 ตารางเมตร โดยในส่วนของการปรับปรุงจะใช้กำลังพลของ นรข. เข้าดำเนินการในทุกขั้นตอน ซึ่งเมื่อทางสมาคมภริยาทหารเรือทราบเรื่องก็ได้มีการพิจารณาและอนุมัติงบให้ทันที เพราะเล็งเห็นว่าจะเป็นการสร้างความปลอดภัยให้กับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กนักเรียนที่จะได้มีสถานที่วิ่งเล่น สถานที่ออกกำลังกาย รวมถึงสถานที่ทำกิจกรรมทำให้เติบใหญ่ขึ้นมาเป็นบุคคลที่มีคุณภาพมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและกลายเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต โดยได้เดินทางมามอบเงินสนับสนุนเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 จากนั้นจึงได้ร่วมกับผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านนาหัวบ่อและคณะกรรมการสถานศึกษาดำเนินการจัดซื้อวัสดุต่าง ๆ มาปรับปรุงพื้นอาคารอเนกประสงค์จนแล้วเสร็จ และในวันนี้ (18 กันยายน 2566) จึงได้มีการส่งมอบพื้นที่ให้กับทางโรงเรียนบ้านนาหัวบ่อได้ใช้งานตามปกติ

โดยในโอกาสนี้ยังได้มีการติดตั้งระฆัง ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการส่งสัญญาณเสียงในการทำกิจกรรมภายในโรงเรียนให้ใหม่ด้วย เนื่องจากระฆังอันเดิมมีการชำรุดเสียหายเพราะใช้งานมาอย่างยาวนาน โดยระฆังใหม่นี้ได้มีการประสานขอให้กรมอู่ทหารเรือที่มีหน้าที่ซ่อมสร้างเรือช่วยหล่อขึ้นมาให้ใหม่

จ.นครพนม ประกอบพิธีรับมอบเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2566

วันที่ 18 กันยายน 2566 ที่หอประชุมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานอัญเชิญเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2566 อัญเชิญพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มามอบให้แก่ตัวแทนหมู่บ้านต้นกล้ากองทุนแม่ของแผ่นดินใหม่จำนวน 12 หมู่บ้าน ในพื้นที่ 12 อำเภอของจังหวัดนครพนมที่มีความเข้มแข็ง สามัคคี และได้ร่วมกันป้องกันยาเสพติดให้หมดไปจากชุมชนของตนเองอย่างต่อเนื่อง นำมาซึ่งความสงบสุข ความปลอดภัย และร่มเย็นในหมู่บ้านชุมชน

โดยกองทุนแม่ของแผ่นดินเกิดขึ้นจากพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงห่วงใยปัญหายาเสพติดในประเทศไทย จึงได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ แก่เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 ด้วยมีพระราชประสงค์ให้ราษฎรในหมู่บ้านและในชุมชน ได้ใช้ประโยชน์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จัดตั้งเป็นกองทุนแม่ของแผ่นดินขึ้นตั้งแต่ปี 2547 จนมาถึงปัจจุบันมีหมู่บ้านและชุมชนที่เข้าร่วมเป็นกองทุนแม่ของแผ่นดินรวมทั้งสิ้น 26,507 แห่งทั่วประเทศ และในทุก ๆ ปี จะมีการจัดพิธีพระราชทานเงินขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดินให้แก่หมู่บ้านชุมชน เพื่อเป็นทุนศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์รวมจิตใจและพลังศรัทธาของทุกคนกับเงินทุนพระราชทานประเดิมเริ่มต้นกองทุนละ 8,000 บาท ให้ได้นำไปใช้ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้านในชุมชนของตนเอง อันจะก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขของทุกคนอย่างยั่งยืนสืบไป
ซึ่งในปี 2566 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเสด็จพระราชดำเนินไปในงาน มหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2566 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ บอลรูม ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรีโดยทรงเป็นองค์ประธานในพิธีพระราชทานเงินพระราชทานขวัญถุง กองทุนแม่ของแผ่นดินให้แก่หมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดินใหม่ ประจำปี 2566 จำนวน 1,053 แห่ง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้แทนเข้ารับพระราชทาน และผู้แทนภาคประชาชนกองทุนแม่ของแผ่นดินเข้าร่วมงาน รวมทั้งสิ้น 2,400 คน

และในวันนี้จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนม และคณะกรรมการเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดินจังหวัดนครพนม จึงได้จัดพิธีรับมอบเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดินประจำปี 2566 ขึ้น ภายใต้แนวคิด รวมศรัทธา สืบสานพัฒนา ประชาร่มเย็น เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงห่วงใยในปัญหายาเสพติดของประชาชน ทั้งเป็นการกระตุ้นให้แกนนำหมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดิน เกิดความภาคภูมิใจ เกิดอุดมการณ์อันหนักแน่น ในการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินเพื่อสนองพระราชปณิธานแม่ของแผ่นดิน
โดยในโอกาสนี้สำนักงาน ป.ป.ส. ยังได้มีการส่งมอบชุดตรวจสารเสพติดในปัสสาวะสำหรับยาบ้าและยาไอซ์ให้กับพัฒนาการอำเภอ เพื่อนำไปใช้ในการ Re X-ray คณะกรรมการและสมาชิกครัวเรือนปลอดภัยกองทุนแม่ของแผ่นดิน 46 หมู่บ้านในพื้นที่ 9 อำเภอ ยกเว้น อำเภอศรีสงคราม อำเภอนาหว้า และอำเภอบ้านแพง ที่ไม่มีในรายงานการแพร่ระบายของยาเสพติดในหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน ของสำนักงาน ป.ป.ส. โดยจะมีการประสานความร่วมมือกับที่ทำการปกครองอำเภอ ตำรวจ ทหาร หน่วยงานความมั่นคง สาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมตำบล เพื่อร่วมกันตรวจเช็คกลุ่มเป้าหมายอย่างน้อยหมู่บ้านละ 50 คน

วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2566

นรข.แถลงผลงานรอบปี 2566 ได้ของกลางมูลค่ารวมกว่า 6,800 ล้านบาท พร้อมแนะเฝ้าระวัง Happy Water ยาเสพติดตัวใหม่

พลเรือตรี สมาน ขันธพงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เปิดเผยว่า ในรอบปีงบประมาณ 2566 หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ที่ประกอบไปด้วย นรข.เขตเชียงราย นรข.เขตหนองคาย นรข.เขตนครพนม นรข.เขตอุบลราชธานี และสถานีเรือต่าง ๆ ถือเป็นด่านหน้าตามแนวชายแดนเรื่อยยาวตามแม่น้ำโขง ตั้งจังหวัดเชียงรายจนถึงจังหวัดอุบลราชธานี ได้มีการปฏิบัติหน้าที่สกัดกั้น จับกุมไม่ให้ยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรไทยรวมถึงมีการผลักดันให้กลับออกไป ด้วยความมุมานะ เข้มข้นและเข้มแข็งในทุก ๆ วัน และจะยังคงปฏิบัติเช่นนี้ต่อเนื่องตลอดไปไม่มีวันหยุด ทั้งการประสานงานข่าวกรอง การตรวจยึด จับกุม การบูรณางานร่วมกับหน่วยความมั่นคงต่าง ๆ ทำให้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาพี่น้องประชาชน โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 15 กันยายน 2566 สามารถดำเนินการตรวจยึด จับกุมของกลางได้มูลค่ารวมทั้งสิ้น 6,776,739,810 บาท แบ่งเป็น ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด 6,699,679,390 บาท พ.ร.บ.ศุลกากร 67,412,160 บาท พ.ร.บ.คนเข้าเมือง 6,462,000 บาท และ พ.ร.บ.ป่าไม้ 1,701,460 บาท

และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับกำลังพล จึงได้มีการจัดพิธีมอบโล่เกียรติยศให้กับหน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติงานยอดเยี่ยม ตาม พ.ร.บ. ต่าง ๆ รวม 5 รางวัล ประกอบไปด้วย พ.ร.บ.ยาเสพติด ประเภทสถิติการจับกุมสูงสุด 1 รางวัล ได้แก่ หน่วยเรือโพนพิสัย พ.ร.บ.ยาเสพติด ประเภทมูลค่ารวมการจับกุมสูงสุด 1 รางวัล ได้แก่ สถานีเรือบ้านแพง พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.ศุลกากร ประเภทสถิติการจับกุมสูงสุด 1 รางวัล ได้แก่ สถานีเรือเขมราฐ พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.ศุลกากร ประเภทมูลค่ารวมการจับกุมสูงสุด 1 รางวัล ได้แก่ สถานีเรือบึงกาฬ และ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ประเภทสถิติการจับกุมสูงสุด 1 รางวัล ได้แก่ สถานีเรือเชียงแสน

โดยในโอกาสนี้ก็อยากฝากถึงพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับภัยของยาเสพติดที่เป็นภัยร้ายแรง ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้มีการปรับเปลี่ยนให้มียาเสพติดตัวใหม่ ๆ ออกมา ซึ่งในช่วงนี้มีการตรวบพบ ตรวจจับได้ หรือจากการได้รับข้อมูลข่าวสารของประเทศเพื่อนบ้านและในพื้นที่ต่าง ๆ ของไทย พบมีการระบาดของยาเสพติดตัวใหม่ ที่เรียกว่า Happy Water ซึ่งจะมีรูปลักษณ์เป็นผงคล้ายคอลลาเจน ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ทำให้ง่ายต่อการนำไปผสมในน้ำหรือเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เหล้า เบียร์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งเครื่องดื่มชูกำลัง มักพบในกลุ่มนักเที่ยวกลางคืนตามงานปาร์ตี้และสถานบันเทิงต่าง ๆ โดยยาเสพติดตัวนี้จะทำให้ผู้เสพมีอาการเคลิ้มและมีความสุขในช่วงเวลานั้น แต่จะมีผลร้ายแรงต่อสุขภาพตามมา หากเสพในปริมาณที่มากไปอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้เสพเป็นเหยื่อที่ถูกลอบวางยาเพื่อเจตนาร้ายอย่างอื่นยิ่งมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ง่าย จึงอยากให้ทุกคนได้ระมัดระวังให้ดี เพราะเป็นยาเสพติดที่มีการทำบรรจุภัณฑ์ภายนอกให้มีความคล้ายคลึงหรือเลียนแบบบรรจุภัณฑ์ของสินค้าที่ใช้อุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีความน่าเป็นห่วงที่เราทุกคนจะต้องทำให้บุตรหลานของเราได้เข้าใจ และห่างไกลจากยาเสพติด

จังหวัดนครพนม รวมใจคืนความอุดมสมบูรณ์ให้ธรรมชาติ สร้างแหล่งอาหารปล่อยปลา 400,000 ตัว เนื่องในวันประมงแห่งชาติ 2566

วันที่ 15 กันยายน 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ นักเรียน นักศึกษาและประชาชนในพื้นที่ร่วมกันปล่อยพันธุ์ปลา เพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับอ่างเก็บน้ำห้วยแล้งใหญ่ หมู่ที่ 8 และแหล่งน้ำประจำชุมชน จำนวน 23 หมู่บ้านในตำบลบ้านผึ้ง อำเภอเมืองนครพนม ที่สำนักงานประมงจังหวัดนครพนม ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้ง ตลอดจนภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่จัดขึ้น เพื่อรณรงค์ให้ทุกคนได้ตระหนักและเห็นถึงคุณค่าความสำคัญของแหล่งน้ำรวมถึงทรัพยากรสัตว์น้ำที่ ที่จะก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ บริหารจัดการและฟื้นฟูให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ บนพื้นฐานของความพอเพียงและยั่งยืน ทั้งเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่มีพระราชโองการตั้งกรมรักษาพันธุ์สัตว์น้ำขึ้นเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2469 ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นกรมการประมงและกรมประมงตามลำดับและเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้วันที่ 21 กันยายนของทุกปี เป็นวันประมงแห่งชาติ

นายกฤษณุพันธ์ โกเมนไปรรินทร์ ประมงจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า เดิมมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2527 กำหนดให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปี เป็นวันประมงแห่งชาติ แต่เนื่องจากกรมประมงเห็นว่า ประเทศไทยโดยรวม ในช่วงเดือนเมษายนมีสภาพภูมิอากาศแล้งในทุกจังหวัด แหล่งน้ำธรรมชาติต่างๆ มีปริมาณน้ำค่อนข้างน้อย อุณหภูมิสูง พันธุ์สัตว์น้ำที่เตรียมมาให้ประชาชนปล่อยมีอัตราการตายสูง เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน แหล่งน้ำต่างๆมีปริมาณมาก เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำวัยอ่อน กอปรกับวันที่ 21 กันยายน เป็นวันสถาปนากรมประมง และเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

กรมประมงจึงได้กำหนดให้มีกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำในทุกจังหวัดในห้วงเดือนกันยายนของทุกปี ซึ่งในปี 2566 นี้ จังหวัดนครพนมได้รับการสนับสนุนพันธุ์ปลาเพื่อจัดปล่อยโดยไม่คิดมูลค่า จากศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม จำนวน 200,000 ตัว ชัยขจรฟาร์ม 100,000 ตัว ประกรวิชาฟาร์ม 50,000 ตัว และกัญญาพัชรพันธุ์ปลานครพนม 50,000 ตัว รวมทั้งสิ้น 400,000 ตัว ซึ่งอ่างเก็บน้ำห้วยแล้งใหญ่ หมู่ที่ 8 แห่งนี้เป็นบริเวณต้นน้ำของลำห้วยมีเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ เชื่อมต่อยาวไปยังห้วยบังกอก่อนที่จะไหลลงสู่แม่น้ำโขง โดยประชาชนตลอด 2 ฝั่งลำห้วยต่างก็ใช้น้ำเพื่อการเกษตรและใช้เป็นแหล่งหาอาหารสำหรับนำมาเลี้ยงครอบครัว และทางองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้งมีการวางแผนที่จะพัฒนาอ่างเก็บน้ำห้วยแล้งใหญ่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่พักผ่อนหย่อนใจและทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันของชุมชน