วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

นครพนม จัดงานตลาดนัดข้าวเปลือก ปีการผลิต 2566/67 ครั้งที่ 1

  วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ที่สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. นครพนม จำกัด ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดงานตลาดนัดข้าวเปลือก ปีการผลิต 2566/67 ครั้งที่ 1 ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครพนม ร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม สำนักงานสหกรณ์จังหวัดนครพนม สำนักงาน ธ.ก.ส. จังหวัดนครพนม และสภาเกษตรกรจังหวัดนครพนม จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้รับความเป็นธรรมด้านการตลาดและการจำหน่ายข้าวเปลือก รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรมีความเข้าใจในระบบการซื้อขายและการพัฒนาคุณภาพข้าวเปลือก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในการรับซื้อข้าวเปลือกที่มีการแข่งขัน ทำให้เกษตรกรมีทางเลือกและมีอำนาจในการต่อรองเพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการเชื่อมโยงการซื้อขายข้าวเปลือกระหว่างเกษตรกรกับโรงสีในพื้นที่และนอกพื้นที่ ซึ่งจะก่อให้เกิดการแข่งขันในกระบวนการรับซื้อผลผลิตที่เป็นธรรมเกษตรกรได้รับผลประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็น ในเรื่องของการตรวจวัดคุณภาพข้าวเปลือก การกำหนดราคารับซื้อ ไปจนถึงมาตรฐานของการชั่งน้ำหนัก


        นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในแต่ละปีเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวจะมีผลผลิตข้าวเปลือกออกสู่ท้องตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก และเกษตรกรจะมีการนำไปจำหน่ายตามสถานที่รับซื้อต่าง ๆ แต่ด้วยปริมาณที่มาก ทำให้อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางได้ง่าย ทั้งในเรื่องของราคาข้าวเปลือก การชั่งน้ำหนัก การวัดความชื้น ไปจนถึงการหักสิ่งเจือปนต่าง ๆ ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนครพนมให้ได้รับความเป็นธรรม สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครพนมจึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายเปิดตลาดนัดข้าวเปลือกขึ้นมา โดยมีการจัดหาผู้ประกอบการรับซื้อข้าวเปลือกมาร่วมกันรับซื้อให้กับเกษตรกรในจุดเดียว ทำให้เกษตรกรสามารถตัดสินใจจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการรายใดก็ได้ที่ตนเองพึงพอใจ ทั้งเป็นการลดต้นทุนการขนย้ายข้าวเปลือกไปตามสถานที่จำหน่ายต่าง ๆ เหมือนก่อนหน้านี้ที่เมื่อเกษตรกรต่อรองราคาไม่ได้ก็ต้องไปหาสถานที่อื่นเพื่อจำหน่าย ขณะเดียวกันก็จะเกิดการแข่งขันของผู้ประกอบการในการรับซื้อข้าวเปลือก เพื่อให้ได้ผลผลิตข้าวตามจำนวนที่ต้องการ ซึ่งราคากลางในการซื้อขายข้าวเปลือกปีการผลิต 2566/67 ในวันนี้อยู่ที่ 13,330 บาท/ตัน สำหรับข้าวเปลือกหอมมะลิ (ต้นข้าว 36 กรัม) ความชื้นไม่เกิน 15 % ส่วนข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว (กข.6) ความชื้นไม่เกิน 15 % ราคาอยู่ที่ 11,500 บาท/ตัน และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดสั้น (คละ) ความชื้นไม่เกิน 15 % ราคาอยู่ที่ 10,200 บาท/ตัน 


      สำหรับการจัดตลาดนัดข้าวเปลือกของจังหวัดนครพนม จะมีด้วยกัน 2 ครั้ง ๆ ละ 3 วัน โดยครั้งต่อไปจะจัดที่ท่าข้าวชีวาพืชผล ตำบลโพนสวรรค์ อำเภอโพนสวรรค์ ระหว่างวันที่ 6-8 ธันวาคม 2566 จึงขอฝากบอกข่าวไปยังเกษตรกรในพื้นที่ ขอให้มาในวันดังกล่าวรับรองจะได้รับความเป็นธรรมในราคาที่สูงกว่าท้องตลาดอย่างแน่นอน นอกจากนี้ภายในงานยังมีการจัดนิทรรศการเครื่องจักรกลทางการเกษตร เพื่อให้ทุกคนได้เห็นและเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี เครื่องจักรกล เพื่อนำไปปรับใช้กับแปลงเกษตรของตนเองด้วย


วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ลอยกระทงนครพนมคึกคัก นักท่องเที่ยวแห่ชมกระทงสร้างสรรค์ประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติ

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศการสืบสานประเพณีลอยกระทง ยังคงเป็นไปด้วยความคึกคักของชาวนครพนมและนักท่องเที่ยว ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันนำกระทงมาลอย ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยมีทั้งที่เตรียมกระทงมาจากที่บ้าน มาหาซื้อก่อนเข้าบริเวณงาน หรือมาร่วมกิจกรรมประดิษฐ์กระทงก็จะได้กระทงไปลอยแบบไม่มีค่าใช้จ่าย โดยหลายคนเลือกที่จะมาลอยกระทงตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 17.30 น. เพื่อที่จะได้เก็บภาพสวย ๆ ของแสงพระอาทิตย์เวลาตกกระทบน้ำในแม่น้ำโขง ซึ่งจะให้แสงและสีที่สวยงามท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายมีทิวเขาหินปูน ฝั่ง สปป.ลาว เป็นพื้นหลังไม่มีที่ใดเหมือน ก่อนที่จะมาเยี่ยมชมความสวยงามของกระทงประดิษฐ์ที่แต่ละชุมชนได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำขึ้นมาจากวัสดุพื้นถิ่น ไม่ว่าจะเป็น ต้นกล้วย ใบตอง ถั่ว งา ดอกไม้นานา ๆ ชนิด รวมถึงพืชผลทางการเกษตรหรือแม้แต่เครื่องมือเครื่องใช้ภายในบ้านที่นำมาออกแบบดัดแปลงให้กลายเป็นส่วนประกอบของกระทงที่มีความสวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ่านจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ที่เน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติและดูแลสิ่งแวดล้อม ขณะที่อีกหลายคนก็เลือกที่จะมาร่วมกิจกรรมออเจ้า ที่ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ร่วมกับเทศบาลเมืองนครพนมได้มีการตกแต่งมุมสวย ๆ ย้อนยุคโบราณให้ทุกคนได้มาถ่ายภาพเก็บความประทับใจที่ให้บริการแบบฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ก่อนที่จะร่วมกันประกอบพิธีบวงสรวงขอขมาพระแม่คงคา และร่วมกันลอยกระทงกับ นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตลอดจนคณะผู้บริหารจังหวัดนครพนม จากนั้นจึงมาร่วมส่งแรงใจ ลุ้นและเชียร์นางนพมาศ ที่จัดให้แต่ละชุมชนส่งสาวงามเข้าประกวดแข่งขันเพื่อชิงเงินรางวัลและถ้วยรางวัล

โดยการลอยกระทง เป็นประเพณีสำคัญเก่าแก่ของไท

ย ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ซึ่งอยู่ในช่วงน้ำหลาก มีที่มาจากพิธีกรรมเกี่ยวกับน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในดำรงชีวิตของคนไทย แม้จุดมุ่งหมายหรือความเชื่อในการลอยกระทงจะมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ แต่สิ่งที่เหมือนกันของประเพณีนี้ก็คือ การแสดงถึงความกตัญญูรู้จักสำนึกถึงคุณของน้ำ โดยเชื่อว่าประเพณีลอยกระทงเป็นประเพณีโบราณของอินเดียที่ประเทศไทยรับเข้ามาปฏิบัติ ด้วยไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าทำกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะเดียวกันก็มีตำนานที่กล่าวไว้ว่าในสมัยพ่อขุนรามคำแหง มีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยเรียกว่าพิธีจองเปรียงที่เป็นการลอยเทียนประทีปและนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป โดยมีปรากฏในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่กล่าวถึงพระดำรัสของพระร่วงว่า "แต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน
แต่เท่าที่มีหลักฐานปรากฏในเอกสารของลาลูแบร์ ชาวฝรั่งเศส ที่มีการบันทึกพิธีกรรมชาวบ้านในกรุงศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จะมีเขียนไว้หลายตอน เกี่ยวกับพิธีกรรมทางน้ำ รวมถึงมีหลักฐานการตราเป็นกฎมณเฑียรบาลว่าพระเจ้าแผ่นดินต้องเสด็จไปประกอบพิธีกรรมทางน้ำเพื่อความมั่นคงและมั่งคั่งทางกสิกรรมของราษฎร และยังมีขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารคเพื่อประกอบพระราชพิธีโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นประเพณีหลวง แต่ไม่ได้ชี้ชัดว่าเป็นพิธีลอยกระทง แต่ในปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่าง ๆ ในสมัยรัชกาลที่ 1 จากนั้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้เปลี่ยนการทำจากดอกบัวเป็นต้นกล้วยเพราะดอกบัวหายากและมีน้อย โดยมีการพับใบตองตกแต่งให้เกิดความสวยงามและถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งหลายจังหวัดจะมีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่แต่จะมีความแตกต่างกันไปตามเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น เช่น ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่จะจัดงานยี่เป็ง จังหวัดลำปางงานล่องสะเปา ภาคกลาง จังหวัดตากจัดงานลอยกระทงสาย จังหวัดสุโขทัยจัดงานลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ ภาคอีสาน จังหวัดร้อยเอ็ดจัดงานสมมาน้ำคืนเพ็ง เส็งประทีป จังหวัดสกลนครจัดงานลอยพระประทีปพระราชทานสิบสองเพ็งไทสกล ขณะที่ภาคใต้ก็จะเป็นประเพณีลอยเรือ

นครพนม ทำกิจกรรมหน้าเสาธง ปลูกจิตสำนึกการเป็นข้าราชการที่ดี สร้างองค์กรแห่งความจงรักภักดี

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือนเนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ประจำปี พ.ศ.2566 ใจความว่า “การเป็นข้าราชการนั้น สำคัญที่สุดคือต้องมีความสุจริต กล่าวคือต้องทำแต่สิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง พูดแต่สิ่งที่ดีที่เหมาะสม และคิดแต่สิ่งที่ดีที่เป็นธรรม จึงขอให้ข้าราชการทุกคน ปลูกฝังอบรมคุณธรรมข้อนี้ให้เจริญงอกงาม” ซึ่งในการปฏิบัติราชการนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ระดับใดก็ล้วนมีความสำคัญ และถ้าทุกคนตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังสุดความความสามารถ ด้วยใจที่เสียสละ มีความถูกต้อง ระมัดระวัง เที่ยงตรง โปร่งใส และเป็นธรรม ก็จะส่งผลต่องานทำให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน


และการทำกิจกรรมหน้าเสาธง เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เป็นการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีความเข็มแข็ง ก่อเกิดความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งเป็นการย้ำเตือนใจให้ทุกคนได้รำลึกถึงการเสียสละของบรรพบุรุษเพื่อรักษาไว้ซึ่งแผ่นดิน เสริมสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ และเรียนรู้การเสียสละความมีระเบียบวินัย และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเริ่มต้นการปฏิบัติงาน ที่เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของการเป็นข้าราชการที่ดี ซึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมาจังหวัดนครพนมได้มีการเชิญชวนข้าราชการ เจ้าหน้าที่ พนักงานราชการ ตลอดจนบุคลากรของส่วนราชการต่าง ๆ มาร่วมกันทำกิจกรรมและได้มีการรายงานไปที่กระทรวงมหาดไทย ก็ได้รับคำชมว่าเป็นจังหวัดแรก ๆ ที่มีการดำเนินการในลักษณะนี้อย่างเป็นรูปธรรม และได้มีการนำภาพบรรยากาศไปเผยแพร่ในส่วนต่าง ๆ โดยในวันนี้ ( 27 พฤศจิกายน 2566 ) ได้มีการเพิ่มกิจกรรมสวดมนต์ เพิ่มเติมขึ้นมาอีก นอกจากการเคารพธงชาติและการฝึกความเป็นระเบียบวินัย ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกคนสามารถปฏิบัติได้ดีขึ้น คล่องตัวขึ้น กว่าครั้งแรกที่มีการฝึก จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาตัวเองในการเป็นข้าราชการที่ดี และในวันนี้ที่มีการประชุมประจำเดือนของจังหวัดนครพนม ที่ส่วนราชการต่าง ๆ จะเดินทางมาประชุมพร้อมกันที่ศาลากลางจังหวัด ก็จะได้มีการเชิญชวนให้ทุกหน่วย ทั้งในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ ได้นำไปปฏิบัติ ในทุก ๆ เช้าวันจันทร์ของแต่ละสัปดาห์

วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ม.นครพนม ถอดบทเรียนงานวิจัยผู้พิการทางสติปัญญา พร้อมมอบชุดสื่อเรียนรู้สำหรับการประกอบอาชีพแก่ภาคีเครือข่าย 3 จังหวัดชายแดนริมโขง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขจิต ณ กาฬสินธุ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยนครพนม กล่าวว่า มหาวิทยาลัยนครพนม นอกจากการผลิตบัณฑิตที่มีทักษะความสามารถป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงานแล้ว มหาวิทยาลัยยังมีพันธกิจในด้านการวิจัย การบริการวิชาการ เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ไปสู่ชุมชนและสังคม โดยการนำผลสำเร็จจากงานวิจัยที่เป็นนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ไปช่วยสนับสนุนให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพในชุมชนและสังคมทั่วไป ทั้งในกลุ่มคนปกติ และกลุ่มคนที่เป็นผู้พิการ โดยเฉพาะการให้ส่งเสริมสวัสดิการต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความเท่าเทียมทางสังคม ตลอดจนการสร้างการรับรู้ และสร้างเจตคติที่ดีสำหรับผู้พิการ โดยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยนครพนม ได้มีการจัดเวทีถอดบทเรียนโครงการวิจัยและผลิตสื่อสร้างการเรียนรู้สำหรับประกอบอาชีพแก่คนพิการทางสติปัญญาและครอบครัว ภายใต้วิถีปกติใหม่ ที่มี ดร.คณิน เชื้อดวงผุย เป็นหัวหน้าโครงการ ร่วมกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เบญจยามาศ พิลายนต์ เด็กและครอบครัวของผู้พิการทางสติปัญญา และหน่วยงานภาคีเครือข่ายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนริมแม่น้ำโขง คือ จังหวัดบึงกาฬ มุกดาหารและนครพนม เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้มาศึกษา แลกเปลี่ยนความรู้ แนวความคิด ประสบการณ์ ร่วมกันหาทางพัฒนาต่อยอดงานวิจัยนี้ให้ลงสู่ชุมชนและครอบครัวคนพิการทางสติปัญญามากยิ่งขึ้น เพราะโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ศึกษาเกี่ยวกับ ปัญหาความต้องการของเด็กและครอบครัวผู้พิการทางสติปัญญาในเรื่องการพัฒนาทักษะอาชีพ การออกแบบสื่อที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสรรถนะของผู้พิการทางสติปัญญา และการนำสื่อที่ได้จากการทดลองงานวิจัยไปใช้ในการพัฒนาทักษะอาชีพให้กับเด็กและครอบครัวของผู้พิการทางสติปัญญา โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์


ซึ่งจากข้อมูลพบว่าทั่วโลกมีคนพิการมากกว่า 1,000 ล้านคน คิดเป็น 15 % ของประชากรทั้งหมด และในจำนวนนี้มีคนพิการทางสติปัญญามากถึง 200 ล้านคน ขณะที่ในประเทศไทยมีคนพิการกว่า 2 ล้านคน คิดเป็น 3.08 % ของประชากรทั่วประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้มีคนพิการทางสติปัญญาประมาณ 140,000 คน ขณะที่ 3 จังหวัดชายแดนริมแม่น้ำโขงที่เป็นพื้นที่เป้าหมายของงานวิจัย พบว่ามีผู้พิการทางสติปัญญามากถึง 2,958 คน ประกอบไปด้วย จังหวัดนครพนม 1,814 คน บึงกาฬ 835 คน และมุกดาหาร 759 คน โดยในช่วงที่ผ่านมาที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่าครอบครัวของผู้พิการทางสติปัญญาในพื้นที่เป้าหมายมีรายได้ลดลง บางครอบครัวแทบไม่มีรายได้จากการจ้างงานเลย ดังนั้นจึงเป็นที่มาของโครงการที่จะเข้ามาส่งเสริม สนับสนุน และเติมเต็มองค์ความรู้เพื่อพัฒนาเด็กและผู้พิการทางสติปัญญา ให้ได้มีทักษะ มีความสามารถในการประกอบอาชีพ และกลายเป็นอีหนึ่งกำลังเสริมในการหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในชุมชนให้มีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น


ซึ่งภายในงานนอกจากจะจัดเวทีเสวนาแล้วยังมีการส่งมอบชุดสื่อเรียนรู้สำหรับการประกอบอาชีพแก่คนพิการทางสติปัญญาที่ผ่านการประเมินจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ใน 4 อาชีพ ได้แก่ การทำความสะอาด การปลูกผักบุ้ง การเลี้ยงปลาดุก และการทอดกล้วยกรอบ ให้แก่ผู้ปกครองและผู้แทนหน่วยงานที่มาร่วมกิจกรรม เพื่อนำไปใช้ฝึกทักษะให้กับกลุ่มผู้พิการทางสติปัญญา เช่น เทศบาลเมืองนครพนม ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบลต่าง ๆ และสมาคมเพื่อคนพิการทางสติปัญญาจังหวัดนครพนม

จ.นครพนม ประกอบพิธีทำบุญตักบาตร วางพวงมาลา ถวายราชสดุดี ร.6 เนื่องในวันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 ที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ คณะลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาดจังหวัดนครพนม ร่วมกันประกอบพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ สามเณร จำนวน 45 รูป ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เนื่องในวันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ท่าน
จากนั้นได้เดินทางไปร่วมกันประกอบพิธีวางพวงมาลาและถวายราชสดุดี ณ สนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในหลากหลายสาขาเพื่อปวงชนชาวไทยและประเทศชาติ ทั้งด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ การคมนาคม ศิลปวัฒนธรรม ด้านวรรณกรรม รวมทั้งทรงตั้งกองเสือป่าขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกหัดให้ข้าราชการและพลเรือนได้เรียนรู้วิชาทหาร ซึ่งประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ 3 ของโลกที่มีการสถาปนากองลูกเสือขึ้นต่อจากประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา อีกทั้งได้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย ด้วยมีพระราชปรารภว่า เมื่อฝึกผู้ใหญ่เป็นเสือป่าเพื่อเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือชาติบ้านเมืองแล้ว เห็นควรที่จะมีการฝึกเด็กชายปฐมวัยให้มีความรู้ทางเสือป่าด้วย เมื่อเติบโตขึ้นจะได้รู้จักหน้าที่และประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง จากนั้นทรงตั้งกองลูกเสือกองแรกขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง และจัดตั้งกองลูกเสือตามโรงเรียนต่าง ๆ รวมถึงกำหนดข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือขึ้น และพระราชทานคำขวัญแก่ลูกเสือว่า “เสียชีพอย่าเสียสัตย์” ซึ่งในปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นประมุขคณะลูกเสือแห่งชาติในฐานะพระมหากษัตริย์ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2551

นอกจากนี้ยังทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยแก้วร้อยกรองไว้มากถึง 1,236 เรื่อง มีทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะร้อยกรองนั้นทรงพระราชนิพนธ์ได้ทั้งกาพย์ กลอน โคลง และฉันท์ชนิดต่างๆ อย่างที่ยากจะหากวีผู้ใดเสมอเหมือน แม้ว่าจะเป็นฉันทลักษณ์ที่ยากแก่การประพันธ์ก็ทรงพระราชนิพนธ์ออกมาได้ไพเราะงดงามทั้งความ คำ และลีลาการประพันธ์ รวมถึงไม่ทรงพระราชนิพนธ์ผิดกฎข้อบังคับของฉันทลักษณ์ โดยพระราชนิพนธ์เรื่องแรกที่ค้นพบ คือเรื่องสั้นแฝงคติ เรื่อง ไม่กลัวผี ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ราชกุมาร เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2436 ขณะพระชนมพรรษาเพียง 12 พรรษา อีกทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้คำนำหน้านามว่า นาย นาง นางสาว เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยนธงชาติรูปช้างเผือกเป็นธง 5 แถบ ให้ปวงพสกนิกรชาวไทยได้มีความภาคภูมิใจเหมือนกับอารยประเทศ โดยพระราชทานนามว่าธงไตรรงค์
ซึ่งเมื่อพระองค์ท่านทรงเสด็จสวรรคตปวงชนชาวไทย จึงได้รวมใจกันน้อมถวายพระราชสมัญญาว่า พระมหาธีรราชเจ้าอันหมายถึง มหาราชผู้ทรงเป็นจอมปราชญ์ โดยทางราชการได้กำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันวชิราวุธ เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ แม้ภายหลังจะมีการค้นพบหลักฐานว่าช่วงเวลาที่สวรรคตตรงกับช่วงตี 1 ของวันที่ 26 พฤศจิกายน แต่ยังคงให้ถือวันที่ 25 พฤศจิกายนเป็นวันวชิราวุธเช่นเดิม

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

จ.นครพนม ทอดผ้าป่าสมทบกองทุนแม่ของแผ่นดิน ปี 2566

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ที่วัดสว่างสุวรรณาราม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ คณะกรรมการเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดินจังหวัดนครพนม ประกอบกิจกรรมทอดผ้าป่าสมทบกองทุนแม่ของแผ่นดิน เพื่อระดมทุนต่อยอดเงินกองทุนของหมู่บ้าน/ชุมชน กองทุนแม่ของแผ่นดินจังหวัดนครพนม จำนวน 371 กองทุน ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกทั้งสิ้น 18,550 คน มีเงินกองทุนรวม 12,661,000 บาท ให้สามารถขับเคลื่อนงานกองทุนแม่ของแผ่นดินในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงห่วงใยในปัญหายาเสพติด ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ ผู้มีจิตอันเป็นกุศลร่วมสมทบทุนทอดผ้าป่ากองทุนแม่ของแผ่นดิน เป็นเงินทั้งสิ้น 308,435 บาท

โดยกองทุนแม่ของแผ่นดิน มีจุดเริ่มต้นจากการที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 และได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ผ่านเลขาธิการ ป.ป.ส. โดยมีพระราชประสงค์ให้นำไปใช้สนับสนุนกิจกรรมของราษฎรที่ร่วมกันป้องกันยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชนของตนเอง และสำนักงาน ป.ป.ส. ได้นำพระราชทรัพย์ดังกล่าวมาสมทบกับงบประมาณของสำนักงานจัดตั้งเป็นกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประกอบพิธีพระราชทานเงินกองทุนแม่ของแผ่นดิน ครั้งแรกในปี 2547 เป็นเงินประเดิมเริ่มต้นกองทุนละ 8,000 บาท และได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในปี 2566 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเสด็จพระราชดำเนินไปในงาน มหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2566 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ บอลรูม ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยทรงเป็นองค์ประธานในพิธีพระราชทานเงินพระราชทานขวัญถุง กองทุนแม่ของแผ่นดินให้แก่หมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดินใหม่ ประจำปี 2566 จำนวน 1,053 แห่ง มีผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้แทนเข้ารับพระราชทาน และผู้แทนภาคประชาชนกองทุนแม่ของแผ่นดินเข้าร่วมงาน รวมทั้งสิ้น 2,400 คน

ต่อมาในวันที่ 18 กันยายน 2566 จังหวัดนครพนมได้ประกอบพิธีมอบเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดินให้แก่ตัวแทนหมู่บ้านต้นกล้ากองทุนแม่ของแผ่นดินใหม่ จำนวน 12 หมู่บ้าน ในพื้นที่ 12 อำเภอที่มีความเข้มแข็ง สามัคคี และได้ร่วมกันป้องกันยาเสพติดให้หมดไปจากชุมชนของตนเองอย่างต่อเนื่อง นำมาซึ่งความสงบสุข ความปลอดภัย และร่มเย็นในหมู่บ้านชุมชน ณ หอประชุมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม เพื่อน้อมนำไปเป็นทุนตั้งต้นแห่งความดีงาม สานต่อพระราชปณิธาน ตามปรัชญากองทุนแม่ของแผ่นดินต่อไป

จิตอาสานครพนม บำเพ็ญสาธารณประโยชน์อำเภอนาทม เนื่องในวันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายสมลักษ์ ยกน้อยวงษ์ ปลัดจังหวัดนครพนม ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนจิตอาสา ร่วมกันบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ด้วยการทำความสะอาด ตัดตกแต่งกิ่งไม้ และปรับปรุงภูมิทัศน์ บริเวณโดยรอบที่ว่าการอำเภอนาทมให้มีความสะอาด สวยงาม มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับประชาชนผู้มารับบริการ เนื่องในวันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในหลากหลายสาขาเพื่อปวงชนชาวไทยและประเทศชาติ ทั้งด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ การคมนาคม ศิลปวัฒนธรรม ด้านวรรณกรรม และทรงตั้งกองเสือป่าเพื่อสร้างความมั่นคงให้ประเทศชาติ โดยนำเยาวชนมาฝึกอบรมตามหลักวิชาการทหาร เพื่อเป็นกำลังสำรองในการป้องกันประเทศ ทั้งยังทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยแก้วร้อยกรอง ไว้จำนวน 1,236 เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้คำนำหน้านามว่า นาย นาง นางสาว เป็นครั้งแรกของประเทศไทย อีกทั้งทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยนธงชาติ รูปช้างเผือกเป็นธง 5 แถบ ให้เหมือนกับอารยประเทศ โดยพระราชทานนามว่าธงไตรรงค์ที่ปวงพสกนิกรชาวไทยมีความภาคภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้

ซึ่งเมื่อพระองค์ทรงเสด็จสวรรคตปวงชนชาวไทย จึงได้รวมใจกันน้อมถวายพระราชสมัญญาว่า พระมหาธีรราชเจ้า อันหมายถึงมหาราชผู้ทรงเป็นจอมปราชญ์ และทางการได้กำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันวชิราวุธ เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ แม้ภายหลังจะมีการค้นพบหลักฐานว่าช่วงเวลาที่เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธสวรรคตตรงกับช่วงตี 1 ของวันที่ 26 พฤศจิกายน แต่ทางราชการยังคงให้ถือวันที่ 25 พฤศจิกายนเป็นวันวชิราวุธเช่นเดิม

โดยอำเภอนาทมเป็นอำเภอลำดับที่ 11 ของจังหวัดนครพนม เดิมเป็นท้องที่ของตำบลนาทม ตั้งขึ้นในราว พ.ศ. 2440 และมีการประกาศจัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอนาทมในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2535 และยกฐานะเป็นอำเภอในวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2540 มีการแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 3 ตำบล 38 หมู่บ้าน ประกอบไปด้วย ตำบลนาทม ตำบลหนองซน และตำบลดอนเตย มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น สิมโบราณวัดศรีบุญเรือง พระพุทธมิ่งเมืองนาทม น้ำตกห้วยทรายทอง พลาญหินวัดป่าศิลาราม พระอุโบสถกลางน้ำวัดป่ากินรี นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางไปเที่ยวจังหวัดข้างเคียงได้ด้วยระยะทางที่ใกล้ คือ วังนาคินทร์และอ่างมโนราห์ อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

จังหวัดนครพนม เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นการออกแบบก่อสร้าง 6 โครงการริมโขงพัฒนา 4 อำเภอ ระยะที่ 2

วันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการประชุมเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการงานจ้างออกแบบค่าใช้จ่ายในการออกแบบรายละเอียดโครงการพัฒนาพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ระยะที่ 2 พื้นที่ศึกษาจังหวัดนครพนม ที่กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดขึ้น โดยมีคณะหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้แทนภาคประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ร่วมรับฟัง เสนอความคิดเห็น เสนอแนะแนวทางการปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่ให้มีความเหมาะสม สามารถนำไปปฏิบัติงานจริงสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และความต้องการของท้องถิ่น โดยครอบคลุมการพัฒนาด้านกายภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม


โดยโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่จังหวัดนครพนม มีด้วยกันทั้งสิ้น 6 โครงการ เป็นโครงการระยะเร่งด่วน 1 โครงการ คือโครงการออกแบบปรับปรุงพื้นที่สาธารณะริมโขงพื้นที่ชุมชนเมืองนครพนม อำเภอเมืองนครพนม ซึ่งเดิมมีองค์พญาศรีสัตตนาคราช มีเส้นทางจักรยานและถนนสวรรค์ชายโขงแต่จุดเหล่านี้ไม่เชื่องโยงกัน ก็จะมีการพัฒนาทำแลนด์ดิ้งยื่นลงไปในแม่น้ำโขงและเชื่องโยงเส้นทางทั้ง 3 จุดเข้าด้วยกัน โดยนักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ด้านบน ซึ่งในส่วนตรงนี้ทุกคนจะสามารถเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน รวมถึงไปไหว้องค์พญาศรีสัตตนาคราช และถ่ายภาพบรรยากาศสวย ๆ ในอีกมุมที่แลนด์ดิ้งแห่งนี้ได้โดยสะดวก และโครงการระยะกลางอีก 5 โครงการ ได้แก่ โครงการออกแบบปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่สวนชมโขงและพื้นที่ต่อเนื่อง อำเภอเมืองนครพนม ที่จะมีการสร้างหอชมเมือง บริเวณสวนชมโขง ซึ่งจะสร้างด้วยขนาดความสูง 128 เมตร ด้วยเป็นขนาดที่เหมาะสมที่สุดกับการที่เมื่อขึ้นไปอยู่ในระดับนั้นแล้วสามารถมองเห็นเมืองนครพนมได้อย่างชัดเจน สวยงาม รอบด้าน โครงการต่อมาคือโครงการออกแบบพื้นที่ลานวัฒนธรรมริมโขงพื้นที่ชุมชนธาตุพนม อำเภอธาตุพนม ที่จะมีการสร้างลานวัฒนธรรมเพื่อเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจ จุดชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากราบไหว้องค์พระธาตุพนมแล้วสามารถมุ่งตรงตามถนนสู่แม่น้ำโขง ก็จะพบกับลานวัฒนธรรมแห่งนี้ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์คริมฝั่งแม่น้ำโขงของชาวธาตุพนม โครงการออกแบบปรับปรุงภูมิทัศน์สวนสาธารณะศรีโคตรบูรและพื้นที่ต่อเนื่อง อำเภอธาตุพนม ที่จะเป็นการพัฒนาเพิ่มเติมจากที่เป็นอยู่ให้มีตลาดน้ำชุมชน ลานพระพุทธรูป ลานกีฬา ทางเดิน วิ่ง และปั่นจักรยาน โครงการออกแบบพื้นที่สาธารณะริมโขงพื้นที่ชุมชนท่าอุเทนระยะที่ 1 อำเภอท่าอุเทน ซึ่งจะมีการพัฒนาพื้นที่ปรับปรุงภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อม พื้นที่ริมตลิ่งบริเวณด้านหน้าขององค์พระธาตุท่าอุเทนเชื่อมโยงจนถึงตลาดเทศบาลตำบลท่าอุเทนเพื่อพัฒนาให้กลายเป็นจุดพักผ่อน จุดชมวิว เสริมกับการที่นักท่องเที่ยวมากราบไหว้องค์พระธาตุท่าอุเทนแล้วสามารถไปเยี่ยมชมส่วนอื่น ๆ ของอำเภอได้ และโครงการออกแบบปรับปรุงภูมิทัศน์หนองเครือเขาและพื้นที่ต่อเนื่อง อำเภอบ้านแพง ซึ่งจะมีการพัฒนาหนองเครือเขาที่เป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ให้กลายเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งเพิ่มเติม เพื่อเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่ที่มีอยู่แล้วอย่างน้ำตกตาดโพธิ์ น้ำตกตาดขาม และถ้ำนาคี


ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะลงพื้นที่ตรวจสอบ กรณีพบรอยร้าวพระธาตุโนนตาล อ.ท่าอุเทน

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าวว่าพบรอยร้าวที่องค์พระธาตุโนนตาล พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอำเภอท่าอุเทน เป็นโบราณสถาน มีอายุเก่าแก่กว่า 120 ปี ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และวัตถุโบราณไว้มากมาย โดยองค์พระธาตุมีขนาดความสูง 36 เมตร ฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละประมาณ 7.50 เมตร ตั้งอยู่ภายในวัดพระธาตุ หมู่ 9 ตำบลโนนตาล อำเภอท่าอุเทน วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2566) จึงได้นำคณะ ซึ่งประกอบไปด้วย วัฒนธรรมจังหวัดนครพนม นายอำเภอท่าอุเทน และส่วนราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง

โดยพบว่าองค์พระธาตุโนนตาลมีรอยร้าวจริง คาดว่าเสื่อมสภาพตามกาลเวลา ซึ่งจากการประสานกับผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี ทำให้ทราบว่าเบื้องต้นได้ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาสำรวจและดำเนินการติดตั้งเหล็กแบนไว้รอบองค์พระธาตุโดยใช้ลวดสะลิงรัดรอบองค์พระธาตุ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 แล้ว เพื่อเป็นการป้องกันรอยร้าวที่อาจจะมีเพิ่มเติม เนื่องจากกังวลว่าหากมีฝนตกลงมาแล้วน้ำจะไหลซึมเข้าไปตามรอยร้าวสู่ด้านในของตัวองค์พระธาตุ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น พระธาตุโนนตาลก็จะมีการยุบตัวลงมาได้ ส่วนการตรวจสอบลักษณะทางกายภาพด้านนอกองค์พระธาตุโนนตาลไม่มีความเอียงยังคงตั้งตรงปกติ แต่กายภาพด้านในไม่สามารถประเมินได้ แต่ก็ได้มีการประสานไปยังกรมศิลปากร เพื่อขอการสนับสนุนวิศวกรผู้เชี่ยวชาญนำเครื่องมือเฉพาะทางมาตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง โดยทางวิศกรจะมีการออกแบบและประเมินค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบูรณะให้กลับมามีความสมบูรณ์เช่นดังเดิม ซึ่งเบื้องต้นได้มีการทำเรื่องของบประมาณในปี 2568 มาใช้ในการซ่อมบำรุงเบื้องต้นตามสถานการณ์ปัจจุบันไว้แล้วเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดีเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นก็ได้มอบหมายให้นายอำเภอท่าอุเทนได้ประกาศแจ้งเตือนชาวบ้าน พุทธศาสนิกชน ห้ามเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงอันตราย
สำหรับลักษณะทางสถาปัตยกรรมของพระธาตุโนนตาล เป็นเจดีย์ทรงมณฑป ยอดบัวเหลี่ยม คล้ายพระธาตุพนม ระยะก่อนที่จะมีการบูรณะในปี 2483 สร้างก่ออิฐถือปูนในผนังสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประกอบด้วยห้องมณฑปซ้อนกัน 2 ชั้น ในตอนกลางแต่ละด้านของแต่ละชั้นเป็นซุ้มประตูเลียนแบบพระธาตุพนม บริเวณมุมสวนมณฑปประดับปูนปั้นรูปบุคคลขี่พาหนะที่เป็นสัตว์ เหนือมณฑปเป็นฐานบัวทองไม้ลูกฟักในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ที่แต่งลายปูนปั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเรียงกัน ตอนกลางแต่ละด่านจะเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป ด้านหน้าปิดไว้ด้วยกระจกใสเหนือขึ้นไปเป็นชั้นบัวสี่เหลี่ยม ตกแต่งด้วยปูนปั้นลายดอก รอยสลับกับการประดับกระจกสีเหลี่ยม ปลียอดเป็นบัวสี่เหลี่ยมประดับยอดฉัตร นอกจากนี้ด้านทิศเหนือองค์พระธาตุโนนตาลยังมีโบสถ์ หรือที่ชาวอีสานเรียก สิม ตั้งอยู่ ภายในมีพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนทาสีทอง ประทับนั่งปางมารวิชัย จำนวน 3 องค์ ประดิษฐาน ไว้ให้ทุกคนได้มากราบไหว้บูชา สำหรับเอกลักษณ์ของวัดพระธาตุโนนตาล คือพระธาตุเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลทางรูปแบบจากพระธาตุพนม และสิมทรงพื้นถิ่นอีสานในระยะปลายพุทธะศตวรรษที่ 25 ได้รับการบูรณะซ่อมแซมครั้งล่าสุดเมื่อปี 2561 จากกรมศิลปากร

สกู๊ปข่าว นครพนมเดินหน้าสร้างโอกาสให้เด็กนักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบภาคบังคับ

ปัญหานักเรียนไม่ได้เรียนต่อหลังจบภาคบังคับ เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่จังหวัดนครพนม โดยหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพยายามแก้ไข เพื่อให้นักเรียนเหล่านี้ได้มีโอกาส มีรายได้ มีอาชีพที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้

นส.วรานิษฐ์ กีรติพงษ์เวคิน นักวิชาการแรงงานชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนจัดหางานจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า โครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ เป็นโครงการที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน เพื่อช่วยผู้ปกครองและนักเรียนที่มีฐานะยากจน เนื่องจากหลังจบภาคบังคับแล้วไม่ได้เรียนต่อ ทำให้ต้องไปใช้แรงงาน ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป รายได้ก็จะไม่เท่ากับผู้ที่ผ่านการฝึกทักษะหรือฝึกอาชีพ โดยการฝึกอาชีพก็จะฝึกประมาณ 3-6 เดือนแล้วแต่สาขาที่เลือกเรียน โดยการประชุมในวันนี้เป็นการชี้แจงผู้อำนวยการโรงเรียนและครูแนะแนว เพื่อนำไปแนะนำนักเรียนที่ขาดโอกาส ให้ได้รับรู้และเข้ามาเรียนมาฝึกอบรมในโครงการนี้ ซึ่งจะมีอาชีพให้เลือกตามความสนใจเพราะจะยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจ ว่าอยากฝึกอาชีพไหน ประกอบอาชีพอะไร โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 41 นครพนม มีอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญสอนอยู่แล้ว ในส่วนของความร่วมมือก็เป็นความร่วมมือในหลาย ๆ ภาคส่วน เช่น จากครูแนะแนวที่เป็นผู้นำเรื่องราวการอบรมนี้ไปบอกต่อยังลูกศิษย์ แล้วก็หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานก็จะเกี่ยวกับค่าจ้าง การจัดหางาน ทางพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนมก็จะมาสนับสนุนช่วยเหลือในระหว่างการฝึกอบรมเนื่องจากขาดรายได้

ด้านนายบุญรุ่ง โนใจ ผู้อำนวยการกลุ่มงานพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 41 นครพนม จะมีการฝึกอบรมในหลักสูตรเตรียมเข้าทำงานสาขา ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ สาขาช่างซ่อมบำรุงรถยนต์ สาขาช่างเดินสายไฟฟ้าในอาคาร สาขาช่างเชื่อมและอาร์คโลหะด้วยมือ และสาขาช่างแต่งผมสตรี ระยะเวลาการฝึก 3 เดือน โดยฝึกอยู่ในสถาบัน 2 เดือน จากนั้นไปฝึกในสถานประกอบการอีก 1 เดือน ซึ่งระหว่างการฝึกก็จะมีค่าอาหารกลางวันให้วันละ 120 บาท และมีหอพักให้ฟรี สำหรับการฝึกนั้น จะฝึกตั้งแต่เวลา 9.00 – 16.00 น. โดยจะเน้นการปฏิบัติ 80-90 % ส่วนที่เหลือจะเป็นทฤษฎี ก็จะมีครูคอนสอนคอยประกบอยู่ตลอดเวลาที่ฝึกอบรมให้จบไปแล้วมีทักษะและฝีมืออย่างแน่นอน สำหรับนักเรียนหรือเยาวชนคนไหนที่จบการศึกษาไปแล้ว อายุตั้งแต่ 15 – 25 ปี สามารถติดต่อได้ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 41 นครพนม ได้โดยตรงหรือ เข้าไปที่เว็บไซต์ www.dsd.go.th/nakhomphanom หรือเฟสบุ๊คสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 41 นครพนม หรือสมัครผ่านทางเขตพื้นที่การศึกษา และศึกษาธิการจังหวัดนครพนม

เราจะเห็นว่าการขับเคลื่อนงานในโครงการนี้เป็นการบูรณาการหลาย ๆ ภาคส่วน เพื่อช่วยให้นักเรียนกลุ่มเป้าหมายได้กลายเป็นแรงงานที่มีทักษะ มีมาตรฐาน ซึ่งเมื่อจบไปแล้วมีสถานประกอบการรองรับ หรือจะประกอบอาชีพด้วยตนเองก็ได้

วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนนครพนม รวมพลังสร้างความปลอดภัยให้เด็กนักเรียน

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ประชาชนจิตอาสา และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันทำกิจกรรมรณรงค์สร้างการรับรู้ กระตุ้นเตือนและปลูกจิตสำนึก ให้เด็กนักเรียน เยาวชนและประชาชนได้ตระหนักเข้าใจถึงความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนและการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย ภายใต้การเคารพและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด โดยการร่วมกันทาสีทางม้าลาย สร้างความปลอดภัยให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองญาติ ตำบลหนองญาติ อำเภอเมืองนครพนม ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ได้ใช้ทางข้ามบริเวณด้านข้างโรงเรียนอย่างปลอดภัย

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ปัญหาการสูญเสียจากอุบัติเหตทางถนน เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้ไขอย่างจริงจัง โดยอุบัติเหตุส่วนใหญ่ร้อยละ 95 เกิดจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่ที่ขาดวินัย ฝ่าฝืนสัญญาณจราจร ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เมาแล้วขับ ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ไม่สวมหมวกนิรภัยและอื่น ๆ โดยในปี 2566 จังหวัดนครพนมมีสถิติผู้เสียชีวิตมากถึง 155 ราย เป็นอำเภอเมืองมากที่สุดคือ 34 ราย คิดเป็นร้อยละ 21.93 ซึ่งทุก ๆ วันที่ 21 ของเดือน จังหวัดนครพนมโดยศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนครพนม จะมีกิจกรรมรณรงค์สร้างการรับรู้ สร้างการตระหนักรู้ ถึงความปลอดภัยทางถนนให้กับประชาชนในพื้นที่ทั้ง 12 อำเภอสลับผลัดเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ รวมถึงการร่วมกัน ตีเส้นชะลอความเร็ว ทำทางข้ามทางม้าลาย การทำเครื่องหมายจราจร ป้ายเตือน ป้ายสัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ขับขี่ตลอดจนผู้ข้ามถนนได้เห็นอย่างชัดเจน เพื่อจะได้ปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งมีการปลูกจิตสำนึกให้ผู้ใหญ่ที่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ หลาน ๆ ได้เห็นถึงการมีระเบียบวินัย รวมถึงเจ้าหน้าที่มีการใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้ที่กระทำความผิด
สำหรับกิจกรรมการทาสีทางม้าลายในวันนี้ เป็น 1 ในมาตรการเสริม ที่จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการสร้างความปลอดภัยทางถนน เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ ที่มากระตุ้นเตือนให้ผู้ใช้ถนน ผู้ขับขี่ยานพาหนะเกิดจิตสำนึกในเรื่องความปลอดภัยที่พร้อมปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพราะตามกฎหมาย ผู้ขับขี่รถจะต้องชะลอและหยุดรถห่างจากทางม้าลายอย่างน้อย 3 เมตร เพื่อให้ผู้ใช้ทางเท้าข้ามถนนให้หมดก่อนจึงจะสามารถขับต่อไปได้ แต่ถ้าหากผู้ใช้ทางเท้าไม่ได้ข้ามถนนบนทางม้าลาย ภายในระยะ 100 เมตรนับจากทางข้าม หากถูกรถชนผู้ที่ข้ามถนนก็จะมีความผิดร่วมด้วย โดยในโอกาสนี้ยังได้ร่วมกันติดตามการขับเคลื่อนงานยกระดับคุณภาพการศึกษา และประสิทธิภาพทางการศึกษาของโรงเรียนบ้านหนองญาติ ตามที่เคยได้มอบนโยบาย 15 ข้อ ให้สถานศึกษาไปดำเนินการด้วย

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

นรข. ประกอบพิธีบวงสรวงพระอนุสาวรีย์บิดาของทหารเรือไทย และบำเพ็ญกุศลให้กับวีรชนผู้ล่วงลับ เนื่องในวันกองทัพเรือและวันสถาปนาหน่วย

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ที่กองบัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม พลเรือตรี นรินทร์ ขาวเจริญ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เป็นประธานในการประกอบพิธีทำบุญตักบาตร ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ พิธีบวงสรวงพระอนุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์บิดาของทหารเรือไทย พิธีฟังสาร ผู้บัญชาการทหารเรือไทย และมอบทุนการศึกษา เนื่องในวันกองทัพเรือและวันสถาปนาหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง และพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่วีรชนผู้ล่วงลับของหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง ที่ได้สละชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตลอดจนคณะหัวหน้าส่วนราชการ อดีตข้าราชการทหารเรือ และประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นเกียรติในงาน

โดยกองทัพเรือ มีจุดกำเนิดควบคู่มากับการสร้างอาณาจักรไทยตั้งแต่กรุงสุโขทัย โดยกองทัพไทยในสมัยนั้นไม่ได้แบ่งกองทัพออกเป็นกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ กระทั่งถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงแบ่งการรบออกจากกัน และโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งกรมทหารเรือขึ้น แต่ด้วยในสมัยนั้นยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะ จึงจำเป็นต้องจ้างชาวต่างชาติเข้ามารับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ ซึ่งพระองค์ทรงห่วงว่าทหารจากต่างประเทศ อาจจะมีกำลังไม่มากพอที่จะรักษาอธิปไตยของชาติได้ และอาจจะรักษาอธิปไตยได้ไม่ดีเท่าคนไทยด้วยกันเอง จึงประสงค์ให้จัดการศึกษาแก่ทหารเรือไทย เพื่อให้มีความรู้ความสามารถมากพอที่จะทำหน้าที่ต่าง ๆ แทนชาวต่างชาติได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระราชโอรส เสด็จไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือยังประเทศอังกฤษ เมื่อทรงสำเร็จการศึกษา จึงทรงกลับมารับราชการในกรมทหารเรือ และจัดฝึกสอนวิชาการทหารเรือ ซึ่งในเวลาต่อมาได้ตั้งโรงเรียนนายเรือขึ้น และทรงเสร็จมาเปิดโรงเรียนและพระราชทานลายพระราชหัตถเลขา ไว้ในสมุดเยี่ยมของโรงเรียน มีความว่า..."วันที่ 20 พฤศจิกายน ร.ศ. 125 เราจุฬาลงกรณ์ ปร. ได้มาเปิดโรงเรียนนี้ มีความปลื้มใจ ซึ่งได้เห็นการทหารเรือ มีรากหยั่งลงแล้ว จะเป็นที่มั่นสืบต่อไปในภายหน้า" ทางราชการทหารเรือจึงได้ถือเอาวันที่ 20 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันกองทัพเรือ มาตราบจนถึงปัจจุบัน
ขณะที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง หรือ นรข. เดิมชื่อ หน่วยปฏิบัติการตามลำแม่น้ำโขง หรือ นปข. ได้รับการจัดตั้งขึ้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2513 แรกเริ่มมีฐานะเป็นหน่วยงานต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ สนับสนุนงานการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ อยู่ในความควบคุมบังคับบัญชาของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ต่อมาสถานการณ์การก่อการร้ายภายในประเทศได้ลดน้อยลง และภัยคุกคามที่จะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ได้เปลี่ยนไปเป็นภัยคุกคามที่มาจากภายนอกประเทศ จึงได้ปรับให้เป็นหน่วยงานอยู่ในแผนป้องกันประเทศ มีฐานะเป็นหน่วยเฉพาะกิจของกองทัพเรือ และมีการปรับบทบาทตามภารกิจมาเรื่อย กระทั่งปัจจุบันมีภารกิจและบทบาทในด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง และตลอดแนวชายฝั่งแม่น้ำโขงในพื้นที่รับผิดชอบเป็นหลัก โดยมุ่งเน้นและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย และการกระทำอื่น ๆ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คุ้มครองและช่วยเหลือประชาชนจากภัยพิบัติต่าง ๆ ด้วยหลักมนุษยธรรม รวมทั้งการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อประเทศเพื่อนบ้าน

มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทานมอบช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบอัคคีภัย

วันนี้ 20 พฤศจิกายน 2566 ที่จังหวัดนครพนม นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นผู้แทนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เชิญถุงยังชีพพระราชทาน ไปมอบให้กับนางสมบูรณ์ โพธิ์สุ และครอบครัว เพื่อให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นขวัญกำลังใจ ภายหลังบ้านที่เลขที่ 105 หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านเสียว อำเภอนาหว้า เกิดเหตุไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 เวลา 16.00 น. ซึ่งระหว่างเกิดเหตุไม่มีผู้อยู่อาศัยในบ้าน โดยมีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและผู้มีจิตอันเป็นกุศลร่วมบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ในครัวเรือนและเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนให้ครอบครัวผู้ประสบภัย

นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ท่าน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติต่างๆ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำสิ่งของพระราชทานมาให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติตามหลักเกณฑ์ การพิจารณาการจ่ายเงินสำรองจ่ายมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ขึ้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2506 เพื่อดำเนินการเพื่อดำเนินงานด้านการสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยทั่วประเทศ โดยตลอดระยะเวลา 60 ปี มูลนิธิฯ ได้น้อมนำแนวทางตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาใช้เป็นรากฐานในการดำเนินงาน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง ทรงมีพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด การดำเนินงานของมูลนิธิฯ เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบสาธารณภัยให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยทรงห่วงใยอาณาประชาราษฎรเป็นสำคัญ จึงขอให้ครอบครัวผู้ประสบภัยในครั้งนี้ได้น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ในครั้งนี้ และมีกำลังใจที่เข็มแข็งในการดำเนินชีวิตต่อไป

โดยตลอดระยะเวลาตั้งแต่เกิดเหตุมา ทุกฝ่ายต่างพยายามให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนกับครอบครัวผู้ประสบภัยมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการช่วยกันดับไฟ การจัดตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยเพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับบริจาคความช่วยเหลือจากภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเสียวได้พิจารณาอนุมัติเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 ตามหลักเกณฑ์มาช่วยซื้อวัสดุ สำหรับสร้างบ้านให้ใหม่ วงเงินไม่เกิน 49,500 บาท โดยปัจจุบันทางกองช่างได้มีการออกแบบบ้านหลังใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว โดยในวันนี้สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมก็ได้เดินทางมอบความช่วยเหลือเป็นเงิน 8,000 บาทพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนมมอบเงินสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน 3,000 บาท สโมสรไลออนส์จังหวัดนครพนม มอบเงินช่วยเหลือ 1,000 บาท ธกส. มอบผ้าห่ม และเครื่องอุปโภคบริโภค

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำทีมลงพื้นที่สอบและแก้ปัญหาสายสื่อสารเกิดเพลิงไหม้

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดเพลิงลุกไหม้สายสื่อสารบริเวณถนนเฟื่องนคร เขตเทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา แม้จะไม่จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงทีแต่ก็ส่งผลให้ประชาชนหลายคนตกใจ ดังนั้นในวันนี้จึงได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบไปด้วย เทศบาลเมืองนครพนม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครพนม สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ เขต 25 ( กสทช. เขต 25 นครพนม) บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT นครพนม ลงพื้นที่สอบและดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

โดยเบื้องต้นจากการสอบถามถึงที่มาในการเกิดเพลิงไหม้คาดว่าน่าจะมาจาก การที่มีไฟฟ้ารั่วจากสายที่มีการกดทับมานาน หรือ เกิดจากจุดเชื่อมต่อสายเสื่อมสภาพทำให้บริเวณรอยต่อเกิดความร้อน เมื่อนานขึ้นจึงเกิดการลุกไหม้ ประกอบกับช่วงนี้ที่สภาพอากาศแห้ง จึงเป็นปัจจัยเสริมทำให้เกิดการติดไฟได้ง่ายมากยิ่งขึ้น สำหรับการแก้ไขนั้น เบื้องต้นก็ได้ให้เจ้าหน้าที่บูรณาการกำลังทำการเรื้อถอนสายสื่อสารที่ชำรุดเสียหายทั้งหมดออก รวมถึงจัดระเบียบสายสื่อสารใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สามารถกับมาใช้งานได้โดยมีความปลอดภัยสำหรับประชาชน พร้อมกันนี้ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครพนม ยังได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าถนนเส้นนี้อยู่ในโครงการนำสายไฟฟ้าลงดินในอนาคตซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ก็หมายความว่าในอนาคตถนนเส้นนี้จะไม่มีเสาไฟฟ้าให้ได้เห็น รวมถึงสายสื่อสารต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน ในส่วนของถนนเส้นอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นที่ถนนเฟื่องนครพนม ก็ได้มอบหมายให้ทาง กสทช. เขต 25 นครพนม ดำเนินการตรวจเช็คว่าเป็นสายสื่อสารของหน่วยงานไหน เพื่อแจ้งให้ดำเนินการปรับปรุง และถ้าสายสื่อสารไม่มีการใช้งานหรือไม่มีหน่วยงานไหนรับผิดชอบก็ขอให้บูรณาการเจ้าหน้าที่ดำเนินการรื้อถอนออกจากเสาไฟฟ้าเป็นการลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดเหตุขึ้น

อย่างไรก็ดีก็อยากฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกคน ในการเพิ่มความระมัดระวังเรื่องของการใช้ฟืนหรือไฟด้วย โดยเฉพาะบ้านที่มีการใช้สายไฟฟ้ามานาน หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด ก็อยากให้รีบทำการแก้ไขในทันที อย่าชะล่าใจปล่อยทิ้งไว้เพราะหากเกิดเหตุขึ้นมาจะไม่คุ้มกับสิ่งที่สูญเสียไป หรือถ้าไม่อยู่บ้านก็ควรตรวจเช็คทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง

ซึ่งทุกวันนี้จังหวัดนครพนมจะมีช่างไฟฟ้าประจำหมู่บ้านคอยช่วยเหลือในการเปลี่ยนหรือซ่อมบำรุงในส่วนนี้ให้กับทุกคนอยู่แล้ว ตามนโยบาย หน้าบ้านน่ามอง นครพนมน่าอยู่ ที่เป็นโครงการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย และส่งเสริมภาพลักษณ์เมืองแห่งการท่องเที่ยว ที่มีทัศนียภาพที่สวยงามภายในตัวเมืองที่น่าชม น่าท่องเที่ยว ซึ่งช่างทุกคนจะผ่านการฝึกอบรมจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครพนม และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 41 นครพนม ทำให้มั่นใจได้ว่าเป็นช่างที่มีมาตรฐาน ขณะเดียวกันในโอกาสนี้ก็ได้มอบนโยบายเพิ่มเติมให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครพนม ในเรื่องของการพิจารณาให้อนุญาตติดตั้งสายสื่อสารและสายสัญญาณอื่นๆ ขอให้ดำเนินการอย่างเคร่งครัด คือผู้ที่จะมาขออนุญาตต้องทำการยื่นคำขออนุญาตก่อนดำเนินการติดตั้ง รวมถึงเมื่อผู้ขออนุญาตติดตั้งเสร็จแล้ว ต้องมีการลงพื้นที่ตรวจสอบว่าการติดตั้งดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด


ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำบุคลากรทำกิจกรรมหน้าเสาธง เสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรและความจงรักภัคดีต่อสถาบัน

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ข้าราชการไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่แห่งใด ตำแหน่งไหน ระดับใด ก็ล้วนมีความสำคัญอยู่ในงานของแผนดิน โดยปัจจุบันข้าราชการยังคงเป็นแกนหลักในการสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศ ซึ่งถ้าข้าราชการมีค่านิยมสร้างสรรค์เป็นหลักสูงสุดในการปฏิบัติงานแล้ว จะทำให้เกิดวัฒนธรรมในการทำงานใหม่ ๆ ตามแผนปฏิรูประบบการบริหารราชการ ด้วยทุกคนตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ เต็มกำลัง ความสามารถ ด้วยความเสียสละ และระมัดระวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามหน้าที่อย่างถูกต้อง เที่ยงตรง โปร่งใส และเป็นธรรม ส่งผลให้งานที่ได้มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

ซึ่งการทำกิจกรรมหน้าเสาธง เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีความเข็มแข็งและก่อเกิดความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นการย้ำเตือนใจให้ทุกคนได้รำลึกถึงการเสียสละเลือดเนื้อของบรรพบุรุษ เพื่อรักษาไว้ซึ่งแผ่นดิน และร้อยดวงใจคนทั้งชาติให้เป็นหนึ่ง หล่อหลอมความรัก ความสามัคคี เสริมสร้างความภูมิใจในความเป็นชาติที่ก่อให้เกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในการพัฒนาประเทศ ทั้งยังก่อให้เกิดการแสดงออกถึงภาวะการเป็นผู้นำ การตรงต่อเวลา การรู้จักการเสียสละ ความมีระเบียบวินัย และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเริ่มต้นการปฏิบัติงาน ดังนั้นในวันนี้ ( 20 พฤศจิกายน 2566 ) จึงได้นำข้าราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่ ลูกจ้างประจำ และบุคลากรหน่วยงานภาครัฐที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ศาลากลางจังหวัดนครพนม ร่วมกันทำกิจกรรมหน้าเสาธง เคารพธงชาติ และร้องเพลงชาติไทยประจำสัปดาห์

โดยในโอกาสนี้ยังได้ให้ทุกคนฝึกระเบียบวินัย ในการแสดงออกถึงความสง่างามในการเป็นข้าราชการ และเรียนรู้ถึงที่มาของธงชาติไทย หรือธงไตรรงค์ที่ประเทศไทยมีการใช้มานานนับหลายร้อยปี ซึ่งมีวิวัฒนาการเรื่อยมาจากธงชาติไทยผืนแรกที่เป็นธงพื้นสีแดงเกลี้ยงใช้เป็นสัญลักษณ์ในการติดต่อค้าขายทางเรือกับต่างประเทศ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สู่ธงไตรรงค์ในปัจจุบัน โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงกำหนดความหมายของสีธงไตรรงค์แบบไม่เป็นทางการในพระราชนิพนธ์ เรื่องเครื่องหมายแห่งไตรรงค์ไว้ว่า สีแดงหมายถึงเลือดอันยอมพลีให้แก่ชาติ สีขาวหมายถึงความบริสุทธิ์แห่งธรรมะอันเป็นหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา สีน้ำเงินหมายถึงสีส่วนพระองค์ขององค์พระมหากษัตริย์ และต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้มีบันทึกเรื่องธงชาติ โดยให้ยึดเอาธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทยตั้งแต่นั้นมาเพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดความสับสนกับต่างประเทศ และจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงธงชาติบ่อย ๆ ทั้งยังได้กำหนดความหมายของธงไตรรงค์ให้ชัดเจนแต่ครอบคลุมอุดมการณ์เดิมของรัชกาลที่ 6 เอาไว้ คือ สีแดงหมายถึงชาติ (ประชาชน) สีขาวหมายถึงศาสนา (ไม่ได้เน้นศาสนาใดโดยเฉพาะ) และสีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งความหมายนี้ก็ใช้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน และรัฐบาลได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ 28 กันยายนของทุกปี เป็นวันพระราชทานธงชาติไทย (Thai National Flag Day) เพื่อระลึกถึงความเป็นมาของธงชาติไทย โดยเริ่มปีแรกในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

นครพนม จัดกิจกรรมวันส้วมโลก สร้างเสริมสุขอนามัยที่ดีให้ผู้ใช้บริการ

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า วันที่ 19 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันส้วมโลก (World Toilet Day) ซึ่งองค์การส้วมโลก หรือ World Toilet Organization ได้กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการรณรงค์ให้ประชาชนทั่วโลก ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการทำความสะอาดห้องน้ำห้องส้วมให้มากขึ้น ทั้งเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกให้ผู้คนที่ยังต้องทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากสุขอนามัยได้พยายามปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตในด้านการขับถ่ายที่มีอนามัยมากขึ้น เนื่องจากห้องน้ำไม่ใช่เพียงแต่เป็นพื้นที่ที่เราใช้ทำความสะอาดร่างกาย ล้างหน้า แปรงฟัน ขับถ่าย หรืออาจรวมถึงการซักล้างเสื้อผ้า แต่ยังเป็นศูนย์รวมของเชื้อโรคมากมายหลายชนิดด้วย เนื่องจากบางทีเราไม่อาจเลี่ยงต่อการใช้ห้องน้ำสกปรก มีกลิ่นเหม็น อับชื้น มีคราบดำฝังแน่นบนผนัง สุขภัณฑ์และพื้นได้ ซึ่งเชื้อโรคต่าง ๆ เหล่านี้อาจก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการอักเสบของช่องคลอดจากการใช้น้ำชำระล้างหลังขับถ่าย เชื้อโรคจากสุขภัณฑ์จากคราบเศษอุจจาระ ปัสสาวะ ที่มากับฝอยละอองน้ำซึ่งฟุ้งกระจายขึ้นมาเมื่อทำการกดชักโครก รวมถึงการหยิบจับ แตะ สัมผัสอุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องน้ำอีกด้วย โดยจากการสำรวจพบว่าในทุก ๆ วัน จะมีเด็กในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จำนวนกว่า 4,000 ราย เสียชีวิตจากความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการขาดสุขอนามัยที่ดี จึงเป็นหลักฐานที่สำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าเราควรหันมาใส่ใจสุขอนามัยของห้องน้ำห้องส้วมมากขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากโรคภัยต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

ดังนั้นเนื่องในวันส้วมโลกปี 2566 นี้ จึงได้มีการเชิญชวนส่วนราชการต่าง ๆ ทำความสะอาดห้องน้ำห้องส้วมของสำนักงานเพื่อเป็นการสร้างเสริมสุขอนามัยที่ดี ลดโรคไม่พึงประสงค์สำหรับผู้มาใช้บริการ โดยในส่วนของศาลากลางจังหวัดนครพนมก็ได้นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ บุคคลากรหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันทำความสะอาดห้องน้ำห้องส้วมในทุก ๆ ชั้นที่มี ด้วยหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับส่วนราชการ อีกทั้งยังเป็นต้นแบบให้ประชาชนได้นำไปทำตามเพิ่มเติมนอกเหนือจากห้องน้ำสาธารณะทั่วไป ที่ปัจจุบันส่วนใหญ่ผู้รับผิดชอบมีการพัฒนาให้มีความสะอาดอยู่แล้ว รวมถึงอยากฝากไปยังประชาชนที่มาใช้บริการห้องน้ำสาธารณะในการร่วมกันรักษาความสะอาดช่วยกัน ที่สำคัญคือต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ให้มีความถูกต้อง ซึ่งจะช่วยลดภาวะความเสี่ยงของโรค โดยเราต้องใส่ใจในการชำระล้างพื้นห้องน้ำ เครื่องสุขภัณฑ์ และอุปกรณ์ใช้สอยภายในห้องน้ำให้สะอาด และอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้อยู่เสมอ ไม่ทิ้งวัสดุอื่นใดนอกจากกระดาษชำระลงในโถส้วม ราดน้ำหรือกดชักโครกทุกครั้งหลังการใช้ส้วม ไม่ขึ้นไปเหยียบบนโถส้วมแบบนั่งราบ และควรล้างมือทุกครั้งหลังการใช้ส้วม


วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

เคาะแล้ว Nakhonphanom Winter Festival ตอน หนาวลม ชมโขง วางแผนรอเลย เริ่ม 23 ธ.ค.จนถึงปีใหม่

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 ที่ห้องประชุมพระธาตุนคร ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการจัดกิจกรรมส่งเสริมเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ Nakhonphanom Winter Festival ประจำปี 2567 ที่จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครพนม ร่วมกับเทศบาลเมืองนครพนม องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม หน่วยงานราชการ และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ตอน หนาวลม ชมโขง เพื่อเป็นการยกระดับกิจกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนม กระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในพื้นที่มากยิ่งขึ้นในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ อันจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่

ซึ่งในปีนี้จะยังคงมีความยิ่งใหญ่ที่สวยงามเช่นเหมือนปีก่อน ๆ ที่ผ่านมาแต่จะเพิ่มสีสัตน์ให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง โดยเบื้องต้นได้กำหนดวันการจัดงานที่ยาวนานขึ้นกว่าทุกครั้ง โดยในครั้งนี้จะจัดระหว่างวันที่ 23 ธันวาคม 2566 เรื่อยไปจนถึงวันที่ 1 มกราคม 2567 โดยไฮไลต์ยังคงเป็นอุโมงไฟที่ทอดยาวตามริมฝั่งแม่น้ำโขงที่ประชาชนสามารถมาชมและถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ซึ่งในครั้งนี้จะมีความยาวกว่าเดิมเพิ่มเติมในส่วนของลานพนมนาคาเรื่อยยาวไปจนถึงบริเวณด้านหลังองค์พญาศรีสัตตนาคคราช นอกจากนี้ยังมีการประดับไฟแสงสีตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น โบสถ์นักบุญอันนา -หนองแสง หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ นครพนม ขณะเดียวกันก็มีกิจกรรมแห่ดาวที่ขบวนรถจะแห่ไปรอบเมืองเพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เห็นความสวยงามของแสงดาวตามความเชื่อของชาวคริสต์ที่มีการจัดสร้างขึ้นมา โดยวันถัดมาจะเป็นการทำกิจกรรมคริสต์มาสของชาวนครพนม ซึ่งในส่วนนี้ทุกคนจะเห็นได้ที่บริเวณโบสถ์นักบุญอันนา - หนองแสง ขณะเดียวกันหากอยากชมการแสดงต่าง ๆ ก็จะมีให้ชมใน 2 เวทีใหญ่ คือที่บริเวณลานพนมนาคาที่จะเป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรมแบบพื้นบ้าน และการแสดงวงออร์เคสตรา และเวทีบริเวณหอนาฬิกาเวียดนาอนุสรณ์ ซึ่งจะเป็นการแสดงในอีกหนึ่งรูปแบบ โดยในคืนวันที่ 31 ธันวาคมจะมีการมาร่วมกันเคาท์ดาวน์ที่เวทีหอนาฬิกาเวียดนาอนุสรณ์ เพียงเวทีเดียวเพื่อร่วมกันนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ หรือหลายคนอยากเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตก็สามารถไปร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นยังมีการวางแผนที่จะให้มีการแสดงของศิลปินชื่อดัง มีการจำหน่ายของฝากของที่ระลึก สินค้าดี สินค้าเด่น สินค้า OTOP ของชาวจังหวัดนครพนมด้วย


ผวจ.นครพนม นำทีมตรวจถนนเสี่ยง หาวิธีแก้ไขสร้างความปลอดภัย พร้อมแนะประชาชนที่ใช้จักยานยนต์ไฟฟ้าปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายให้ดี

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 ที่ห้องประชุมพระธาตุนคร ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนครพนม เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงาน 5 เสาหลักและภาคีเครือข่าย ในการบริหารจัดการความปลอดภัยทางถนน การดำเนินการด้านถนนและสิ่งแวดล้อม ด้านยานพาหนะปลอดภัย ด้านผู้ใช้รถใช้ถนนปลอดภัย และด้านการตอบสนองหลังเกิดอุบัติเหตุทางถนน โดยในที่ประชุมได้มีการพูดถึงการใช้รถใช้ถนนในพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่พบว่ามีการสัญจรไปมาเพิ่มมากขึ้นตามปริมาณการเจริญเติบโตของการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายที่สูงถึง 217 % ซึ่งในการสัญจรไปมาระหว่างเดือนมากราคม - ตุลาคม 2566 มีการเกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นทั้งสิ้น 329 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 224 ราย และเสียชีวิต 115 ราย ดังนั้นเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน อีกทั้งเป็นการเตรียมความรองรับเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง จึงได้ร่วมกันหารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนงานไปสู่เป้าหมาย

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในที่ประชุมได้มีการหารือในหลาย ๆ เรื่องที่จะก่อให้เกิดความปลอดภัยทางถนนสำหรับประชาชน เช่นในเรื่องของรถจักยานยนต์ไฟฟ้า ที่ปัจจุบันพบว่าพี่น้องประชาชนมีการซื้อหามาใช้มากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้จะมีทั้งรถที่สามารถจดทะเบียนได้ซึ่งในตัวนี้จะไม่น่าห่วงเพราะจะต้องปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายจราจรเช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์ทั่วไป และส่วนที่จดทะเบียนไม่ได้ซึ่งจะกลายเป็นรถจักรยานธรรมดา ทำให้ไม่อยู่ในการควบคุมหากจะมีการขับขี่จะต้องชิดซ้ายโดยให้ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และก็น่าเป็นห่วงเนื่องจากที่ผ่านมาพบว่ามีผุ้ที่นำไปใช้บนถนนหลักแล้วเกิดอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้ทางอำเภอร่วมกับทางตำรวจ และทางสถานศึกษา สำรวจและจัดการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้กับประชาชนและนักเรียน นักศึกษาได้เข้าใจและสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ขณะเดียวกันก็ได้มีการพูดถึงจุดเสี่ยงจุดอันตรายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงการลงพื้นที่สอบสวนอุบัติใหญ่หรือที่สำคัญ เพื่อหาแนวทางให้ลดการเกิดอุบัติเหตุในจุดดังกล่าวให้ได้มากที่สุด

นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงจุดเสี่ยงที่ควรมีการปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุดสำหรับประชาชนที่สัญจรไปมา ซึ่งในที่ประชุมได้พูดถึงถนนมหาสิทธิโชคที่ตัดกับถนนสารภาณนุสรณ์ บริเวณโรงลาบนคร ที่มีความเสี่ยงเนื่องจากไม่มีไฟสัญญาณจราจรแต่มีประชาชนสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นได้ร่วมกับคณะกรรมการลงพื้นที่จริงเพื่อตรวจสอบและร่วมหาแนวทางในการแก้ไข ซึ่งก็พบว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ในพื้นที่ มีประชาชนใช้ถนนเส้นดังกล่าวตลอดเวลาและมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจริง แม้ปัจจุบันทางเทศบาลเมืองนครพนม จะมีการแก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยการติดตั้งป้ายเตือนพร้อมสัญญาณไฟเพื่อชะลอความเร็วรถ ซึ่งก็ได้มีการหารือเพิ่มเติมกับทางรองนายกเทศมนตรีเมืองนครพนมที่ร่วมลงพื้นที่ด้วย โดยได้ขอให้ติดตั้งไฟจารจรเพิ่มเติมในจุดดังกล่าว รวมถึงมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะที่ไกลมากยิ่งขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น รวมถึงอยากฝากถึงพี่น้องประชาชนที่ใช้ถนนดังกล่าวในช่วงนี้ก็ขอให้ชะลอความเร็วลงเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้


วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

จ.นครพนม พิจารณาการขอใช้พื้นที่บริเวณศาลากลางจังหวัด (หลังเก่า)

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดนครพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม (หลังใหม่) นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการขอใช้พื้นที่บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม เพื่อร่วมกันหารือในการพิจารณาความเหมาะสมสำหรับการใช้พื้นที่ เนื่องจากมีส่วนราชการและหน่วยงานแจ้งความประสงค์ขอใช้พื้นที่ว่างศาลากลางจังหวัดนครพนม (หลังเก่า) ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยเกิดประโยชน์สูงสุด ได้แก่ สภาวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดนครพนม สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สาขา 4 และสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดนครพนม

โดยในการประชุมได้มีการแจ้งให้ผู้ที่เข้าร่วมประชุม ได้รับทราบถึงระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามการอนุญาตใช้พื้นที่ตามความเห็นชอบของจังหวัดนครพนม และการอนุญาตจากปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ตัวแทนส่วนราชการ หน่วยงานที่จะขออนุญาตได้เข้าใจ สามารถปฏิบัติตามระเบียบได้อย่างถูกต้อง ก่อนที่จะมีการสอบถามความคิดเห็นของส่วนราชการ หน่วยงานที่ใช้พื้นที่เดิมที่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและเหมาะสมในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่สูงสุด โดยบางหน่วยได้มีการขอให้ดำเนินการของบประมาณมาปรับปรุงพื้นที่เพิ่มเติมจากส่วนเดิมที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่แทนการให้ใช้พื้นที่ว่างอื่นเพิ่มเติม ขณะที่บางหน่วยที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์พื้นที่บางสวนก็ขอพื้นที่ดังกล่าวให้หน่วยอื่นเข้าใช้ประโยชน์แทน โดยมีการพิจารณาจะเน้น ในเรื่องความเหมาะสมของพื้นที่ใช้งาน การอำนวยความสะดวกสำหรับการให้บริการประชาชน ไปจนถึงความปลอดภัยของตัวอาคาร และความจำเป็นเร่งด่วนในการใช้พื้นที่ ซึ่งบางหน่วยไม่เร่งด่วนก็ขอให้ชะลอการอนุญาตเพื่อรอพื้นที่จากส่วนรหน่วยที่กำลังก่อสร้างอาคารสำนักงานของตนเองที่กำลังจะแล้วเสร็จและย้ายออก โดยในโอกาสนี้รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมยังได้มีการแจ้งถึงความคืบหน้าสำหรับการปรับปรุงซ่อมแซมศาลากลางจังหวัดนครพนม (หลังใหม่) ที่ก่อนหน้านี้ได้มีการสำรวจและประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับการซ่อมบำรุงตัวอาคารที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการของบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อมาดำเนินการแก้ใขจำนวน 10 รายการใหญ่