วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563

โรงเรียนบ้านกุรุคุ ร่วมกับ มทบ.210 สร้างความพร้อมรับตอนรับเปิดเทอม


วันที่ 30 มิถุนายน 2563  ที่บริเวณโรงเรียนบ้านกุรุคุ ต.กุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของคณะครู อาจารย์ ผู้ปกครองนักเรียนในพื้นที่ ตลอดจนกำลังทหารจากมณฑลทหารบกที่ 210 ที่นำโดยพลตรี สามารถ จินตสมิทธิ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 และนักศึกษาที่ผ่านการอบรมค่ายเยาวชนส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และโครงการกตัญญูคลับ ที่ได้ร่วมกันเตรียมความพร้อมของโรงเรียนต้อนรับการเปิดเทอมใหม่ที่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้

โดยการเตรียมความพร้อมในครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้าที่มีการจัดทีมช่างตัดผม ตามโครงการ Army Barber ออกให้บริการตัดผมฟรีให้แก่น้องๆ นักเรียนทุกคนแบบไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้กับผู้ปกครองที่ต้องประสบกับผลกระทบในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ปกครองสามารถนำเงินในส่วนนี้ไปใช้จ่ายในเรื่องอื่น ๆ ที่จำเป็นได้ ซึ่งปกติถ้าผู้ปกครองนำบุตรหลานไปตัดผมตามร้านตัดผมจะต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 50 บาทขึ้นไป นอกจากทุกคนยังได้พัฒนาปรับปรุงทัศนียภาพ จัดสถานที่เรียนและสอนให้มีการเว้นระยะห่างที่เหมาะสมในห้องเรียน ร่วมกันทำความสะอาดฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อตามอุปกรณ์การเรียนการสอน อาคารเรียน ห้องน้ำและพื้นที่โดยรอบของโรงเรียน รวมถึงยังได้มอบมอบผลิตภัณฑ์ป้องกันและฆ่าเชื้อให้แก่โรงเรียนบ้านกุรุคุ เพื่อให้เด็กนักเรียนทุกคนได้ใช้ทำความสะอาดและล้างมือในระหว่างที่อยู่ในโรงเรียนเป็นการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด -19 ทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ปกครองว่าบุตรหลานที่มาเรียนมีเครื่องมือป้องกัน มีมาตรการป้องกันตามมาตรฐานสากลที่พร้อมสร้างให้ทุกคนมีความปลอดภัยและห่างไกลจากเชื้อไวรัสโควิด -19

ชมรม TO BE NUMBER ONE นครพนม ซักซ้อมความพร้อมก่อนคณะกรรมการระดับประเทศลงพื้นที่ตรวจประเมิน


วันที่ 30 มิถุนายน 2563  ที่ห้องประชุมพระธาตุนคร ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายแพทย์จิณณพิภัทร ชูปัญญา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโครงการ TO BE NUMBER ONE จังหวัดนครพนม ครั้งที่ 2/2563 เพื่อชี้แจงซักซ้อมแนวทางปฏิบัติ ในการเตรียมความพร้อมการนำเสนอผลการดำเนินงานโครงการ TO BE NUMBER ONE ของจังหวัดและชมรมต่าง ๆ ที่ชนะการแข่งขันในระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อต้อนรับคณะตรวจประเมินที่จะมีการลงพื้นที่จังหวัดนครพนมเก็บคะแนนระดับประเทศ(รอบที่ 1 ) ระหว่างวันที่ 15-16 กรกฎาคม 2563

นายแพทย์จิณณพิภัทร ชูปัญญา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม  เปิดเผยว่า จากที่จังหวัดนครพนมได้น้อมนำแนวทางการดำเนินงานโครงการ TO BE NUMBER ONE ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี มาเป็นเครื่องมือในการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2545 โดยยึดหลัก 2 ป. 2บ. คือ ป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษา และบูรณาการ พร้อมขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติในระดับอำเภอ ระดับตำบล และเน้นย้ำให้มีการพัฒนาเยาวชนในจังหวัดนครพนมไปข้างหน้าเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ที่ว่า “ชาวนครพนมมีสุขด้วยวิถี TO BE NUMBER ONE ทุกภาคส่วนร่วมบูรณาการกัน สร้างสรรค์เยาวชนให้เก่งดี” โดยปัจจุบันจังหวัดนครพนมมีสมาชิก TO BE NUMBER ONE มากกว่า 172,201 คน มีชมรม TO BE NUMBER ONE 1,418 ชมรม และศูนย์เพื่อนใจ TO BE NUMBER ONE 327 แห่ง โดยเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้นำคณะทำงานที่เป็นตัวแทนชมรมต่าง ๆ ของจังหวัดนครพนม จำนวน 12 ชมรม เข้านำเสนอผลงานเพื่อประกวดเป็นตัวแทนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าแข่งขันในระดับประเทศ ปรากฎว่าสามารถผ่านเข้ารอบเป็นตัวแทนได้ 7 ชมรม ใน 2 กลุ่มประเภท คือ กลุ่มต้นแบบ ประกอบไปด้วย จังหวัด TO BE NUMBER ONE จังหวัดนครพนม ต้นแบบระดับเงิน , ชมรม TO BE NUMBER ONE ชุมชนบ้านนาสมดี ระดับเงินปี 2 และชมรม TO BE NUMBER ONE สถานพินิจฯ จังหวัดนครพนม ระดับเงินปี 1  ขณะที่กลุ่มดีเด่น ประกอบไปด้วย ชมรม TO BE NUMBER ONE สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดนครพนม, ชมรม TO BE NUMBER ONE ชุมชนบ้านนาราชควาย, ชมรม TO BE NUMBER ONE โรงเรียนธาตุพนม และชมรม TO BE NUMBER ONE โรงเรียนอุเทนพัฒนา ดังนั้นเพื่อให้ชมรม TO BE NUMBER ONE ที่ได้เป็นตัวแทนได้เข้าใจในหลักการตรวจประเมินของคณะกรรมที่จะเดินทางมา จึงได้มีการจัดการประชุมชี้แจงในวันนี้

ศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดนครพนม ติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาที่ดินของรัฐหลังประชาชนร้องเรียน


วันที่ 30 มิถุนายน 2563  ที่บริเวณชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดนครพนม โดยมีนายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายชาตรี จันทร์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนนายอำเภอ ผู้นำท้องถิ่นที่ใช้ระบบ Video Conference เข้าร่วมประชุมทางไกลด้วย  

โดยการประชุมในครั้งนี้เป็นการติดตามความคืบหน้าในเรื่องของการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาที่ดินของรัฐในพื้นที่จังหวัดนครพนมที่ประชาชนมีการสอบถามและร้องเรียนเข้ามา ประกอบไปด้วย ที่สาธารณะประโยชน์บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงในพื้นที่อำเภอเมืองนครพนม ซึ่งที่ดินดังกล่าวจังหวัดนครพนมได้ร่วมกับที่ดินจังหวัดนครพนม อำเภอเมืองนครพนม และเทศบาลเมืองนครพนม ให้เอกชนเข้ามาถมที่เพื่อทำเป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนได้มาพักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกาย แต่เนื่องจากทางรัฐไม่มีงบประมาณจึงได้มีการร่วมมือกับภาคเอกชน โดยที่ดินจังหวัดนครพนมได้มีการเข้าไปรังวัดเพื่อกำนดเขตที่ชัดเจนแล้วและทางราชการไม่ได้ให้เอกชนเข้ามาใช้พื้นที่เพื่อดำเนินการอื่นใด แต่ภาคเอกชนที่มาดำเนินการให้จะได้เพียงทัศนียภาพที่สวมงามใกล้เคียงกับพื้นที่ของตนเองเท่านั้น ขณะเดียวกันในเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับผู้ประกอบการที่ดำเนินการขออนุญาตแบบแพเพื่อบรรทุกคนโดยสารที่แม่น้ำโขงแล้วมีการดัดแปลงเป็นที่พักบนแพแบบค้างคืน ทำให้ผิดวัตถุประสงค์การใช้งานรวมถึงมีผลกระทบในหลาย ๆ ส่วน ทั้งในเรื่องของความมั่นคง วิถีชีวิตของคนในชุมชน ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความปลอดภัย ดังนั้นในที่ประชุมจึงได้มีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเข้าไปตรวจสอบเป็นการด่วน หากสามารถปิดได้ให้ปิดทันทีหรือไม่ก็ต้องเป็นไปตามระเบียบกฎหมาย โดยการพิจารณาให้ยึดการออกแบบผังเมืองรวมจังหวัดนครพนมเป็นหลัก และต้องพิจารณาให้ครอบคลุมหลากหลายด้าน มีความเหมาะสมที่ชัดเจน จากนั้นเป็นการติดตามความคืบหน้าที่ดินเกาะดอนแพง ตำบลบ้านแพง อำเภอบ้านแพง ที่เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน โดยความคืบหน้าภายหลังได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบผู้ที่บุกรุกและป้องกันการบุกรุกเพิ่มเติม ได้แบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือพื้นที่แรกที่มีการเข้ามาใช้ประโยชน์ในที่ทำกินนานแล้ว มีเอกสารเช่าที่กับทางราชการ ในส่วนนี้คณะทำงานได้เข้าตรวจสอบและรังวัดพื้นที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว พื้นที่ส่วนที่ 2 จะเป็นในส่วนเพิ่มเติมจากส่วนแรก ซึ่งในส่วนนี้คณะทำงานกำลังปรึกษาหารือเพื่อเตรียมขออนุมัติให้หน่วยงานราชการสามารถใช้พื้นที่กับกรมป่าไม้ได้ และพื้นที่ส่วนที่ 3 จะให้ประชาชนที่บุกรุกเก็บเกี่ยวผลผลิตให้แล้วเสร็จจากนั้นให้หยุดทันที ถ้ากระทำต่อให้ถือว่าทำผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ยังมีที่สาธารณะประโยชน์ ดงคัดเค้าหรือโคกคัดเค้า เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอธาตุพนมและอำเภอนาแก ซึ่งจากการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าพื้นที่ดังกล่าวเคยมีการร้องเรียนจนศาลตัดสินให้ดำเนินคดีกับผู้บุกรุกแล้ว จำนวน 11 ราย และมีการยื่นขออนุญาตฎีกาต่อ

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563

คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ลงพื้นที่ศึกษาดูงานโรงเรียนปริยัติธรรมนครพนม

วันที่ 26 มิถุนายน 2563 ที่บริเวณวัดมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายสุชาติ อุสาหะ ประธานคณะกรรมาธิการ พร้อมด้วย พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จันทสาโร) นำคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ลงพื้นที่ศึกษาดูงาน เรื่องการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม โดยมีนายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พระราชสิริวัฒน์ รองเจ้าคณะจังหวัดนครพนม เจ้าอาวาสวัดสว่างสุวรรณาราม ตลอดจนคณะสงฆ์ และเจ้าหน้าที่ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายการดำเนินงานของโรงเรียนปริยัติธรรม ทั้ง 10 แห่ง ตามพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ.2562 ที่กระจายอยู่ตามอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดนครพนม

โดยโรงเรียนปริยัติธรรม ทั้ง 10 แห่งในจังหวัดนครพนม มีพระภิกษุสามเณรที่มาศึกษารวมทั้ง 718 รูป มีครูพระรวมทั้งสิ้น 39 รูป ครูฆราวาส 46 คน ซึ่งการจัดการศึกษานั้นเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของเจ้าอาวาสและคณะกรรมการการศึกษา เริ่มตั้งแต่การบริหารจัดการรถรับส่งพระภิกษุสามเณรที่อยู่รอบนอกวัดเพื่อให้เดินทางมาเรียนโดยสะดวก การจัดหาผ้าไตรจีวร วัสดุอุปกรณ์ในการเรียนการสอน การจัดภัตตาหารของพระภิกษุสามเณรที่มาเรียน การจ้างครูพิเศษเพิ่มเติม การจัดหาอาคารสถานที่และการบริหารจัดการอื่น ๆ  ซึ่งในปัจจุบันยังมีความเลื่อมล้ำกันอยู่ระหว่างวัดขนาดใหญ่และขนาดเล็กเนื่องมียอดการบริจาคที่แตกต่างกัน ประกอบกับในรอบปีที่ผ่านมามีพระภิกษุสามเณรเข้าเรียนลดลงเป็นเหตุให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณลดลงด้วยเช่นเดียวกัน และในโอกาสนี้ทางคณะผู้บริหารโรงเรียนปริยัติธรรมทั้ง 10 แห่งของจังหวัดนครพนม ได้ฝากปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการโรงเรียนปริยัติธรรมผ่านคณะกรรมมาธิการไปยังรัฐบาล เพื่อขอรับการสนับสนุน สร้างกำลังใจและแรงจูงใจ ในการขับเคลื่อนโรงเรียนปริยัติธรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนด้วย

นายสุชาติ อุสาหะ ประธานคณะกรรมาธิการ เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ได้มีการลงพื้นที่ไปตามจังหวัดต่าง ๆ เช่น จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเชียงใหม่ และอีกหลายๆจังหวัด เพื่อรับฟังปัญหาเรื่องทุกข์ร้องเรียนต่าง ๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ ซี่งทุกเรื่องทุกปัญหาที่ได้รับฟังจะมีการนำเสนอต่อรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลและหาทางแก้ไขร่วมกัน เช่นปัจจุบันที่พระภิกษุสงฆ์ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลก็ได้มีการเสนอให้การดูแลพระภิกษุเป็นระยะเวลา 60 วัน วันละ 60 บาท ซึ่งคณะกรรมาธิการมองว่าน้อยเกินไป ก็เลยได้ที่มีการทำหนังสือเสนอผ่านทางรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ โดยขอการช่วยเหลือขั้นต่ำเป็นเงิน 100 บาทต่อรูป เป็นระยะเวลา 90 วันแทน ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะสามารถใช้งบเงินกู้ 1 ล้านล้านได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ยังมีในส่วนของเงินงบประมาณเหลือจ่าย หรืองบกลางของสำนักนายกอยู่ และถ้าเรื่องที่เสนอไปผ่านการพิจารณาอนุมัติเมื่อไหร่ จะมีการจ่ายตรงเข้าบัญชีของพระภิกษุที่มีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 2 แสนกว่ารูปทันที  

จ.นครพนม ใช้ฤกษ์วันยาเสพติดโลกเผาทำลายกัญชาของกลาง 5,322 กิโลกรัม รณรงค์สร้างจิตสำนึก


วันที่ 26 มิถุนายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันเผาทำลายของกลางจากการตรวจยึดและดำเนินคดีสิ้นสุดแล้วในพื้นที่จังหวัดนครพนม ประกอบไปด้วย กัญชาแห้ง 5,322 กิโลกรัม กัญชาสด 816 กรัม และพืชกระท่อม 206 กิโลกรัม เพื่อเป็นการรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และกระตุ้นเตือนให้ทุกคนได้เห็นถึงโทษและพิษภัยของยาเสพติดและมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติดให้หมดไปจากจังหวัดนครพนมและประเทศไทย เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลก ประจำปี 2563 โดยในรอบปีงบประมาณ 2562 ที่ผ่านมา จังหวัดนครพนมมีผลการจับกุม รวมทั้งสิ้น 2,480 คดี ได้ผู้ต้องหา 2,536 คน พร้อมของกลางยาบ้า  7,925,635.5 เม็ด ยาไอซ์ 1,820.92 กรัม กัญชาแห้ง 6,634.408 กิโลกรัม กัญชาสด 816.8 กรัม พืชกระท่อม 206.736 กิโลกรัมและสารระเหย (กาว) 11 กระป๋อง

นอกจากนี้จังหวัดนครพนม โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดนครพนม ได้ร่วมกับสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครพนม และหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน จัดกิจกรรมแสดงออกถึงพลังความสามัคคีของประชาชนชาวจังหวัดนครพนม ที่จะร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ด้วยการร่วมกันกล่าวปฏิญาณตนและลงนามประกาศเจตนารมณ์ ภายใต้แนวคิด จังหวัดนครพนมพื้นที่ปลอดภัย ไม่มีคนหน้าใหม่ เพราะคนรุ่นใหม่ ไม่ใช้ยาเสพติด ( Save Zone, No New Face) รวมไปถึงการเปิดเวทีแรกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบการ การจัดนิทรรศการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับโครงการ TO BE NUMBER ONE ในสถานประกอบการและการปล่อยขบวนรถจักรยานยนต์ไปรษณีย์ไทยต้านภัยยาเสพติด เพื่อออกรณรงค์ปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนในพื้นที่ได้ความตระหนักถึงภัยของยาเสพติด และรู้เท่าทันห่างไกลจากยาเสพติด

โดยวันยาเสพติดโลก “International Day against Drug Abuse and Illicit Trafficking” หรือ “World Drug Day” มีจุดเริ่มต้นจากการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการใช้ยาในทางที่ผิด และการลักลอบใช้ยาเสพติด ที่กรุงเวียนนาประเทศออสเตรเลีย ในปี 2530 โดยที่ประชุมได้มีมติให้เสนอสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ กำหนดให้วันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันต่อต้านยาเสพติดโลก และเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ผู้ว่าฯนครพนม นำคณะทำงานลงพื้นที่ตรวจติดตามการเตรียมความพร้อมของโรงเรียนทุกแห่งก่อนเปิดเทอม


วันที่ 25 มิถุนายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะทำงานลงพื้นที่ตรวจติดตามมาตรการในการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนของโรงเรียนต่าง ๆ ในพื้นที่ ภายหลังที่รัฐบาลได้มีการประกาศให้เปิดเทอมในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 โดยในลงพื้นที่ในครั้งนี้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจังหวัดนครพนม ได้มีการแบ่งคณะตรวจติดตามออกเป็น 4 คณะด้วยกัน ประกอบไปด้วย คณะของผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม คณะของรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม 2 คณะ และคณะของ กอ.รมน.จังหวัดนครพนม

ซึ่งทุกคณะที่ลงพื้นที่ในครั้งนี้จะมีการแยกย้ายไปตามอำเภอต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายเพื่อตรวจติดตามเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดนครพนม ในการวางมาตรการตรวจคัดกรองเด็กนักเรียนก่อนเข้าสถานศึกษา การเตรียมความพร้อมในการทำให้เด็กนักเรียนมีการเว้นระยะห่างในห้องเรียน นอกห้องเรียน และโรงอาหาร ซึ่งเดิมแต่ละห้องจะมีเด็กนักเรียนประมาณ 40 คน เมื่อจัดระเบียบการเว้นระยะห่างแล้ว จะทำให้เหลือเด็กนักเรียนประมาณ 20-25 คน ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งไม่สามารถใช้ห้องเรียนในเวลาเดียวกันกับเพื่อนได้ ดังนั้นทางโรงเรียนจึงจำเป็นต้องมีการจัดรูปแบบการเรียนการสอนใหม่ โดยสามารถเลือกรูปแบบการสอนเป็นแบบทำพื้นที่ชั่วคราวในโรงเรียนเพื่อให้เกิดการเรียนแบบคู่ขนานกัน หรือให้นักเรียนอีกจำนวนหนึ่งเรียนแบบออนไลน์อยู่ที่บ้าน หรือจะใช้วิธีผลัดกันมาเรียน ส่วนโรงอาหารก็ต้องจัดโต๊ะเว้นระยะห่างให้เด็กสลับเปลี่ยนกันเข้าโรงอาหาร ทั้งนี้แต่ละโรงเรียนสามารถออกแบบได้ตามความเหมาะสมแต่ต้องยึดหลักการเว้นระยะห่างให้ดี รวมถึงมาตรการทำให้ทุกคนสวมหน้ากากตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรียน การจัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์และการจัดระบบการล้างมือสำหรับทุกคน ตามมาด้วยการทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสที่มีการใช้ร่วมกันบ่อยๆ การลดความแออัดของสถานที่เวลาจัดกิจกรรม ซึ่งโรงเรียนอาจจะต้องยกเลิกกิจกรรมบางอย่าง หรือถ้าจะจัดก็ต้องไม่ให้มีการแออัดมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีการตรวจความพร้อมเกี่ยวกับมาตรการรองรับหากเด็กนักเรียนเกิดอาการเจ็บป่วย โดยเฉพาะการป่วยโควิด-19 และระบบช่วยเหลือนักเรียนหากไม่มีหน้ากากใช้เพื่อให้เด็กนักเรียนทุกคนได้มีโอกาสมาโรงเรียนได้ตามปกติเช่นคนอื่น ๆ

PEA มอบเงิน 10 ล้านบาทสนับสนุนครุภัณฑ์ทางการแพทย์โรงพยาบาลนครพนม


วันที่ 25 มิถุนายน 2563 ที่บริเวณห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นการประชุมประจำเดือนมิถุนายนของจังหวัดนครพนม นายพิพจน์เดช เลิศพสุโชค ผู้จัดการการไฟฟ้าจังหวัดนครพนม ได้เป็นตัวแทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ในการมอบเงิน จำนวน 10 ล้านบาทให้แก่โรงพยาบาลนครพนม ตามโครงการ PEA สนับสนุนครุภัณฑ์ทางการแพทย์โรงพยาบาลจังหวัด 77 แห่งเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยมีนายแพทย์ยุทธชัย ตริสกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนมเป็นตัวแทนรับมอบ มีนายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายชาตรี จันท์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตลอดจนคณะหัวหน้าส่วนราชการ และบุคลากรทางการแพทย์ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายพิพจน์เดช เลิศพสุโชค ผู้จัดการการไฟฟ้าจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า การส่งมอบเงินในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ยังเป็นการต่อยอดภารกิจของ PEA ที่ไม่เพียงให้บริการด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ แต่ยังดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างให้ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการสนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่มีความจำเป็นแก่โรงพยาบาล ผ่านทางกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 77 แห่งทั่วประเทศ โดยในปี 2562 ที่ผ่านมาได้มีการสนับสนุนงบประมาณให้โรงพยาบาลไปแล้วจำนวน 30 แห่ง และในปีนี้รวมอีก 47 แห่ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 770 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวถือเป็นกลไกความร่วมมือในการพัฒนาและดำเนินการเพื่อสร้างมาตรฐานและยกระดับในการให้บริการ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนเกี่ยวกับการบริการด้านสุขภาพอนามัยและเพิ่มขีดความสามารถของโรงพยาบาล เพิ่มโอกาสในการช่วยชีวิตผู้ป่วย และเป็นที่พึ่งของประชาชนในยามที่เจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี

ด้านนายแพทย์ยุทธชัย ตริสกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม เปิดเผยว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ได้มีการสนับสนุนงบประมาณจำนวน 10 ล้านบาทในครั้งนี้ ซึ่งโรงพยาบาลนครพนมเป็นโรงพยาบาลเก่าแก่ของจังหวัด ที่เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2480 บนเนื้อที่ 49 ไร่ 2 งาน 64.7 ตารางวา โดยเป็นโรงพยาบาลขนาด 60 เตียง ซึ่งได้ดูแลรักษาผู้ป่วยในพื้นที่ตลอดจนประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้าน และได้มีการพัฒนาโรงพยาบาลมาอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันกลายเป็นโรงพยาบาลระบบทุติยภูมิ ขนาด 345 เตียง ซึ่งโรงพยาบาลมีงบประมาณค่อนข้างจำกัด เพราะฉะนั้นการสนับสนุนในครั้งนี้เป็นการเข้ามาเติมเต็มและถือว่าเป็นพระคุณอย่างยิ่งสำหรับประชาชนในจังหวัดนครพนมที่จะได้รับการบริการที่ดีขึ้น โดยขอยืนยันว่าจะนำเงินทั้งหมดที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามจุดประสงค์ของโครงการ

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2563

นรข.นครพนม ตรวจยึดยาบ้า 29,368 เม็ด หลังสืบทราบว่ามีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน


วันที่ 24 มิถุนายน 2563 ที่บริเวณสโมสรสัญญาบัตรหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม พลเรือตรี สมพงษ์ ศรอากาศ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงมอบหมายให้ นาวาเอก โชคชัย เรืองแจ่ม รองผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง พร้อมด้วย นาวาโท นันทฤทธิ์  ฤทธิวงศ์ ผู้ช่วยหัวหน้ายุทธการและการข่าวหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง นาวาโท ชุติพงศ์  ธัญญโชต ผู้ช่วยหัวหน้าส่งกำลังบำรุงหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง แถลงข่าวการตรวจยึดยาบ้า จำนวน 29,368 เม็ด ได้ที่บริเวณบ้านแก้งส้มโฮง หมู่ที่ 1 ตำบลพะทาย อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

โดยภายหลังจากที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการข่าว ฯ เข้าทำการตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายดังกล่าว กระทั่งเวลาประมาณ 19.30 น เจ้าหน้าที่ได้ใช้กล้องตรวจการณ์กลางคืนตรวจพบเรือกีบเพลายาว จำนวน 1 ลำ แล่นเข้ามายังฝั่งไทยห่างจากจุดที่ดักซุ่มอยู่ประมาณ 100 เมตร โดยเรือดังกล่าวได้เข้าจอดบริเวณหลังป่าช้าบ้านแก้งส้มโฮง จากนั้นชายฉกรรจ์ 2 คนได้ช่วยกันโยนวัตถุบางอย่างลงมาจากเรือแล้วก็หันหัวเรือแล่นกลับออกไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านทันที เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการได้เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ประมาณ 5 นาที ก็พบมีคนขับรถจักรยานยนต์วิ่งออกมาจากหมู่บ้านมุ่งหน้ามายังจุดที่เรือลำดังกล่าวโยนวัตถุต้องสงสัยไว้โดยที่ไม่ดับเครื่องยนต์ โดยบุคคลดังกล่าวท่าทางมีพิรุธเป็นที่ผิดสังเกตเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจสอบ เมื่อคนขับรถจักรยานยนต์เห็นเจ้าหน้าที่ก็เรียบวิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ขับหนีไปในความมืดทางป่าช้าด้วยความเร็วทัน เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวโดยละเอียด พบกระสอบปุ๋ยขนาดใหญ่ จำนวน 1 กระสอบวางอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง เมื่อตรวจสอบภายในพบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) จำนวน 29,368 เม็ด จึงได้ทำบันทึกตรวจยึดพร้อมนำของกลางส่งเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรท่าอุเทน เพื่อติดตามสืบสวนสอบสวนหาผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สภาสตรีแห่งชาติฯ ร่วมกับ กรมการพัฒนาชุมชน มอบถุงยังชีพเติมความสุข บรรเทาความทุกข์ ด้วยการแบ่งปัน ถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี


วันที่ 24 มิถุนายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน  กระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และคณะกรรมการบริหารสภาสตรีแห่งชาติฯ ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด- 19 ในอำเภอธาตุพนม จำนวน 300 ชุด และอำเภอนาหว้า 200 ชุด รวมทั้งสิ้น 500 ชุด ตามโครงการ เติมความสุข บรรเทาความทุกข์ ด้วยการแบ่งปัน ถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน  โดยมีนายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายอำเภอ ตลอดจนคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ

โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้นอกจากมีการมอบถุงยังชีพแล้วอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนยังได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวความคิดและให้ข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ เกี่ยวกับการปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อเป็นแหล่งอาหารไว้รับประทานภายในครัวเรือน ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชนได้น้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาสู่แผนปฏิบัติการ 90 วัน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประชาชน โดยที่ผ่านมาประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครพนมมีการปลูกพืชสวนครัวไปแล้วกว่าร้อยละ 96 ของครัวเรือนทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการแนะนำเกี่ยวกับการใช้ถุงยังชีพซึ่งเป็นถุงผ้าให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพกพาไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อที่จะใช้ในการใส่สิ่งของที่จำเป็น เช่น การใส่สินค้าเวลาที่ไปจับจ่ายตลาดซึ่งนอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะแล้วยังเป็นการช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมด้วย รวมถึงการแบ่งสิ่งของที่ได้รับในวันนี้ไปทำบุญตักบาตรเป็นการทำบุญร่วมกัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพด้วย
จากนั้นคณะได้มีการเยี่ยมชมนิทรรศการร้อยหลากพรรณราย ผ้าไทยนครพนม ที่ทางสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนมได้ร่วมกับอำเภอต่าง ๆ จัดขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ที่เป็นรากเหง้าจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ที่สะท้อนให้เห็นบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของจังหวัดนครพนม ผ่านการทอผ้าจากรุ่นสู่รุ่น และสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละสองวัน ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ศอญ.จอส.พระราชทาน ลงพื้นที่นครพนม ตรวจประเมินโครงการฟาร์มตัวอย่างต้านภัยโควิด-19


วันที่ 23 มิถุนายน 2563 ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ได้มอบหมายให้ พันเอก ชัยรัฐ เตระวิชชนันท์ เป็นหัวหน้าชุดประเมินผลฟาร์มตัวอย่างฯ ที่ 1 นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการฟาร์มตัวอย่างตามแนวทางพระราชดำริฯ บ้านทางหลวง ตำบลบ้านแก้ง อำเภอนาแก ที่จังหวัดนครพนมได้ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ในพื้นที่ดำเนินโครงการตามพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชินี ที่ทรงมุ่งหวังให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้างงานและขาดรายได้จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ให้มีรายได้และสามารถพึ่งพาตนเองได้ ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ ในรัชกาลที่ 9 มาสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ด้วยการสร้างแหล่งอาหารที่มีความปลอดภัย มั่นคงถาวรและยั่งยืน ให้กับตนเองและครอบครัว รวมถึงเพื่อให้ฟาร์มตัวอย่างมีการพัฒนาผลิตผลทางการเกษตร เป็นสถานที่ศึกษาดูงานและให้ความรู้ด้านการเกษตร ด้านประมง ปศุสัตว์ที่ถูกต้องแก่ประชาชน

โดยโครงการดังกล่าวได้เปิดรับประชาชน จำนวน 50 ราย ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) เข้ามาทำงานไปพร้อมกับการเรียนรู้เกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่ รวมไปถึงการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การถนอมอาหาร (กล้วยตาก) การผลิตถ่านไบโอชาร์ การเพาะเห็ดฟาง การทำปศุสัตว์ และการวางแผนจัดตั้งบริษัทวิสาหกิจชุมชน ก่อนที่จะนำไปปรับใช้กับพื้นที่เกษตรของตนเองเพื่อสร้างเป็นอาชีพและรายได้เพื่อเลี้ยงครอบครัวต่อไปในอนาคต ซึ่งตั้งแต่เริ่มดำเนินการในวันที่ 4 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ทำให้ ณ ปัจจุบันมีกิจกรรมหลายอย่างที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อนำมาจำหน่ายได้แล้ว เช่น พืชผักสวนครัว เห็ดฟาง และผลิตภัณฑ์กล้วยตาก

นางครสวรรค์ เพชรดีคาย หนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมโครงการเปิดเผยว่า ตนเองรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้มาเรียนรู้กิจกรรมดี ๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น การปลูกหญ้าแฝก การทำหลุมพอเพียง การทำกล้วยตาก การเพาะเห็ด การทำปุ๋ยหมักชีวภาพ การปรับสภาพดินให้เรียบร้อยก่อนที่จะเราจะปลูกพืชลงแปลง และก็เรียนรู้เกี่ยวกับการทำสวนพอเพียง ถ้าจบจากตรงนี้ไปแล้วก็จะนำเอาความรู้ทั้งหมดกลับไปทำต่อที่บ้าน เป็นการต่อยอดให้ตนเองและครอบครัวมีรายได้ รวมถึงสามารถนำผลผลิตที่ได้ไปแบ่งปันให้เพื่อนบ้านได้ด้วย ทั้งนี้ตนเองรู้สึกน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ช่วยให้มีโครงการดี ๆ แบบนี้แก่ตนเอง ทำให้ได้มีงานทำ มีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว มีพออยู่พอกิน พอใช้และอยู่อย่างร่มเย็น

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2563

สกู๊ป การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ภายใต้งบเร่งด่วนในอำนาจรองนายกรัฐมนตรี


งบประมาณในอำนาจของรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค เป็นอีกหนึ่งงบประมาณที่เข้ามาเติมเต็มการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนแบบเร่งด่วน วันนี้เรามาดูว่าที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณในส่วนนี้เมื่อปี 2562 ได้นำมาแก้ปัญหาในส่วนใด

นายสุพจน์ ผิวดำ ปลัดอำเภอธาตุพนม กล่าวว่า ถนนเส้นนี้ได้รับงบประมาณจากงบประมาณรองนายกรัฐมนตรี ได้รับงบประมาณมาทั้งหมด 1,200,000 บาท จัดซื้อจัดจ้างได้ในราคา 1,190,000 บาท เป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 5 เมตร ยาว 410 เมตร โครงการตัวนี้ไม่ถือว่าเป็นโครงการที่ซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ และเป็นความต้องการของชาวบ้าน ซึ่งได้มีการขอไปในหลายๆ ช่องทาง ช่องทางไหนได้มาก่อนก็มาช่วยชาวบ้านก่อน ซึ่งจริง ๆ ตรงนี้ของบประมาณไปทั้งเส้นแต่ด้วยเป็นงบประมาณที่เยอะมาก ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้หมด ดังนั้นพอได้งบประมาณมาจึงเลือกช่วงที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สุด เสียหายมากที่สุด ทั้งยังต้องสามารถเชื่อมต่อระหว่างซอยได้ด้วย ในส่วนที่เหลือก็ยังพอไปมาได้อยู่แม้จะลำบากสักเล็กน้อย

ด้านนางสาวอุทุมพร สมอุดม รองปลัดเทศบาลตำบลน้ำก่ำ และนางปรียาภรณ์  ฤกษ์ยาม ชาวบ้านนาคำเจริญ เปิดเผยว่า ถ้าจะย้อนไปทางต้นสายหรือปลายสายจะยังเห็นสภาพก่อนดำเนินการ เราจะสัมผัสได้ว่าเป็นถนนขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ มีฝุ่นและในช่วงหน้าฝนก็มีน้ำท่วมขัง เป็นถนนลูกรัง เป็นดินแดง รถรับส่งนักเรียนก็ไม่ค่อยยากมารับนักเรียนถ้ารถคันไหนเข้ามารับก็จะต้องเพิ่มค่าน้ำมันขึ้นไปอีก ซึ่งพอถนนช่วงบ้านน้ำก่ำใหม่พัฒนา หมู่ที่ 18 – บ้านนาคำเจริญ หมู่ที่ 13 แล้วเสร็จเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านอย่างมาก เพราะนอกจากจะใช้ในการสัญจรเวลาปกติทั่วไปแล้ว ในช่วงฤดูกาลหรือช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หาดแห่ ประชาชนจะใช้ถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางเลี่ยงจากอำเภอธาตุพนม ไปหว้านใหญ่ แก่งกะเบาต่อด้วยจังหวัดมุกดาหารแทนการใช้ถนนหลัก ในส่วนของหน่วยงานราชการเองแม้จะไม่มีมาตรการเคอร์ฟิว ไม่มีการแพร่ระบาดของไวรัส covid แล้ว ฝ่ายความมั่นคงของอำเภอธาตุพนม ร่วมกับ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชุด ชรบ.) ที่มีการเข้าเวรยามก็ยังคงต้องใช้ถนนเส้นนี้ในการลาดตระเวนเฝ้าระวังตามชายแดนอยู่เป็นประจำเช่นเดียวกัน
เราจะเห็นว่าถนนเส้นนี้นอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนแล้ว ก็ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับหน่วยงานราชการในการรักษาความมั่นคงภายในให้กับประเทศอีกด้วย

ตร.นครพนม ตั้งตู้ปันสุข แบ่งปันน้ำใจคืนสู่ข้าราชการตำรวจและประชาชนหลังโควิด-19


วันที่ 22 มิถุนายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของผู้ให้และผู้รับ ภายหลังจากที่ทราบข่าวว่าทางกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมจะมีการตั้งตู้ปันสุขเพื่อข้าราชการตำรวจขึ้นในวันนี้ที่บริเวณใต้ถุนอาคารกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีกำลังทรัพย์ได้นำสิ่งของมาแบ่งปันเป็นการตอบแทนข้าราชการตำรวจทุกนายที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนในพื้นที่ด้วยความเข้มแข็งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ทำให้ตลอดเวลาพื้นที่บริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงขอบคุณ และความสุขของผู้ให้และผู้รับที่เดินทางมาแบ่งปันน้ำใจในครั้งนี้ โดยตู้ดังกล่าวได้เริ่มเปิดให้มีการแบ่งปันได้ในเวลา 9.30 น. มีการประเดิมตู้โดยนายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตามมาด้วยนายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม จากนั้นพลตำรวจตรี ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม จึงได้นำรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ตลอดจนผู้มีจิตเป็นกุศลและผู้ประกอบการร้านค้าต่าง ๆ นำสิ่งของต่าง ๆ มาวางไว้ให้ข้าราชการตำรวจที่ได้รับความเดือดร้อนตลอดจนประชาชนทั่วไปได้หยิบไปใช้ในชีวิตประจำวัน

 พลตำรวจตรี ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ก่อนอื่นขอเป็นตัวแทนข้าราชการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมทุกนาย กล่าวคำขอบคุณทุกท่านที่ได้นำสิ่งของมาแบ่งปันในครั้งนี้ สืบเนื่องจากที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในห้วงที่ผ่านมา ทำให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นวงกว้าง ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลได้มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ประเทศไทยสามารถผ่านพ้นวิกฤติไปได้โดยเร็ว และพลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ได้ตระหนักถึงนโยบายสำคัญดังกล่าวของรัฐบาล จึงได้กำชับให้ข้าราชการตำรวจทั่วประเทศปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มข้น โดยให้เน้นการตั้งจุดตรวจคัดกรองโควิด จุดตรวจเคอร์ฟิว ชุดสายตรวจร่วม ชุดเคลื่อนที่เร็วในการออกตรวจพื้นที่สำคัญๆ และติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อกวดขันหาผู้กระทำผิดที่เป็นการซ้ำเติมประชาชนและสร้างผลกระทบต่อความสงบสุขของสังคมโดยรวม ทำให้ที่ผ่านมาข้าราชการตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีเวลาดูแลครอบครัวน้อยลงและได้ผลกระทบในการดำรงชีวิตประจำวันเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ดังนั้นจึงได้มีแนวนโยบายในการจัดตั้งตู้ปันสุขขึ้นมาเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีกำลังทรัพย์หรือสิ่งของที่สามารถแบ่งปันได้โดยไม่เดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็น ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม เครื่องอุปโภค บริโภค เครื่องใช้ในครัวเรือน ได้นำสิ่งที่มีเหล่านี้มาวางไว้ที่ตู้ปันสุข เพื่อให้ข้าราชการตำรวจที่มีความเดือดร้อน ที่เวลาออกเวรยามไปแล้วสามารถมาหยิบจับสิ่งของที่จำเป็นเหล่านี้กลับไปรับประทานพร้อมกับครอบครัวที่บ้าน หรือนำไปใช้ในครัวเรือนได้ตามสะดวก ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถมานำสิ่งที่ต้องการไปใช้ได้เช่นเดียวกัน

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ชาวนครพนมพร้อมใจใส่ชุดขาว ประกอบพิธีบุญซำฮะเมืองไล่เสนียดจัญไรเสริมสิริมงคลตามประเพณีฮีตสิบสองคองสิบสี่


วันที่ 19 มิถุนายน 2563 ที่บริเวณวัดโอกาส(ศรีบัวบาน) เทศบาลเมืองนครพนม ประชาชนชาวจังหวัดนครพนมพร้อมใจใส่ชุดขาวร่วมประกอบพิธีประเพณีบุญเดือนเจ็ด หรือบุญซำฮะเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในงานประเพณีฮิตสิบสองคองสิบสี่ ที่ชาวอีสานทุกคนได้ยึดถือปฏิบัติเป็นขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดมาช้านาน โดยในปี้นี้เทศบาลเมืองนครพนมได้มีการสมมติบุคคลเป็นเจ้าเมืองต่างๆ เพื่อประกอบพิธีบุญซำฮะเมือง ประกอบไปด้วย  พระราชสิริวัฒน์ รองเจ้าคณะจังหวัดนครพนม เป็นราชครู นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นอุปฮาด นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นเมืองขวา นายนรวัฒน์ สวยงาม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนมเป็นเมืองซ้าย นายณรงค์ชัย อรุณแสงศิลป์ อัยการจังหวัดนครพนมเป็นราชวงศ์ นายนิวัฒน์ เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนมเป็นตาเมือง นายสมลักษ์ ยกน้อยวงษ์ นายอำเภอเมืองเป็นหูเมือง พลตำรวจตรี ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมเป็นทะแกล้ว พันเอก สุระ สินโสภา รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 เป็นทหาร และนายสุเทพ อติวรรณกุล นายกสมาคมพ่อค้าจังหวัดนครพนมเป็นกวนขุน

โดยแต่ละท่านจะเป็นตัวแทนประกอบพิธีจุดเทียนหลักเมืองตามยศและตำแหน่งทักษิณาของเมืองที่สมมติขึ้นมาเป็นกำแพงเมืองนครพนม จากนั้นจึงประกอบพิธีปักธงและโปรยเหรียญตามลำดับ ก่อนที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่มาร่วมงานนำธงที่เตรียมมาไปปักยังหลักเมืองรอบกำแพงเมืองที่สมมติและโปรยเหรียญจนแล้วเสร็จ จากนั้นทุกคนได้ร่วมกันไหว้พระ สมาทานศีล พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ก่อนที่จะร่วมกันรับฟังพระธรรมเทศนา เทศน์ชำระเพื่อขับส่งเสนียดจัญไรออกจากเมือง และนำน้ำมนต์ที่ได้จากการประกอบพิธีไปประพรมตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข

สำหรับบุญซำฮะเมือง หรือบุญชำระเมืองนั้น เกิดขึ้นตามความเชื่อที่ว่าเมื่อถึงเดือน 7 ต้องทำบุญชำระจิตใจให้สะอาด เพื่อปัดเป่ารังควาญสิ่งที่ไม่เป็นมงคลออกไปจากชีวิตและหมู่บ้าน โดยบางท้องถิ่นเรียกประเพณีนี้ว่าบุญเบิกบ้านทั้งนี้บุญซำฮะเมืองมีเรื่องเล่าในพระธรรมบทว่า เมื่อครั้งเมืองไพสาลีเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพงเพราะฝนแล้ง ทำให้มีสัตว์เลี้ยงและผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ด้วยความหิวโหยและเกิดโรคระบาด ดังนั้นชาวเมืองจึงพากันไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามาขจัดปัดเป่าให้ โดยพระองค์และพระสงฆ์ จำนวน 500 รูป ได้เดินทางด้วยเรือมาตามแม่น้ำใช้ระยะเวลา 7 วัน จึงถึงเมืองไพสาลี และเมื่อเสด็จมาถึงก็เกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้น้ำท่วมแผ่นดินสูงจนถึงหัวเข่า และได้พัดเอาสิ่งสกปรก ซากศพของคนและสัตว์ต่างๆ ที่ล้มตายหายไปจนหมดสิ้น จากนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้นำน้ำมนต์ใส่บาตร ให้พระอานนท์นำไปประพรมทั่วทั้งพระนคร ทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หายไปสิ้น จึงเป็นเหตุให้เมื่อถึงเดือน 7 ครั้งใด คนไทยอีสานและคนลาวโบราณพากันนำเอาดอกไม้ธูปเทียน ขันน้ำ ขันใส่ขวดทรายและฝ้ายผูกแขนมารวมกันที่วัด จากนั้นก็นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ จนกระทั่งรุ่งเช้าอีกวัน ก่อนที่จะร่วมกันทำบุญตักบาตร รับศีลรับพรและประพรมน้ำมนต์ จากนั้นทุกคนจะนำน้ำมนต์ที่เหลือกลับไปยังบ้านตนเอง เพื่อประพรมให้คนในครอบครัว บ้านเรือนและสัตว์เลี้ยงของตนเอง ส่วนฝ้ายผูกแขนก็นำไปให้บุตรหลาน เพื่อใช้เป็นเครื่องรางคอยปกป้องคุ้มครองให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข ขณะที่กรวดทรายก็นำไปวางรอบๆ บริเวณบ้านและที่นา เพื่อขับไล่เสนียดจัญไรและสิ่งอัปมงคลให้หมดไปจากชีวิต

รองผู้ว่าราชการนครพนม นำทีมช่วยเหลือผู้ประสบภัยบ้านถูกเพลิงไหม้ อำเภอนาหว้า


วันที่ 19 มิถุนายน 2563 ที่ตำบลเหล่าพัฒนา อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม นายชาตรี จันทร์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยงานเกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบเยี่ยมให้กำลังใจ และให้การช่วยเหลือครอบครัวนายประเสริฐ นามเสาร์ ที่บ้านถูกเพลิงไหม้เสียหายเกือบทั้งหลัง และครอบครัวนายวิเชียร เหง้าน้อย ที่บ้านถูกเพลิงไหม้เสียหายบางส่วน เมื่อเวลา 11.00 น. ของวันที่ 17 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมาเนื่องจากไฟฟ้าลัดวงจร โดยเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และต้นเพลิงได้เกิดขึ้นที่บ้านนายประเสริฐจากนั้นได้ลุกลามไปที่บ้านนายวิเชียรซึ่งตั้งอยู่ติดกันทำให้ได้รับความเสียหายทั้ง 2 หลัง

สำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวที่บ้านเสียหายเกือบทั้งหลัง เป็นเงิน 4,000 บาท ถุงยังชีพ จำนวน  2 ชุด  หม้อหุงข้าว จำนวน 1 ใบ และผ้าห่มจำนวน 2 ผืน ส่วนบ้านหลังที่ 2 ที่เสียหายบางส่วนมอบเงินช่วยเหลือ 1,000 บาท ถุงยังชีพ จำนวน 2 ชุด  และผ้าห่ม จำนวน 2 ผืน นอกจากนี้รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมยังได้มอบหมายให้นายอำเภอนาหว้าพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจความเสียหายเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามระเบียบราชการ ทั้งนี้ในเบื้องต้นทางอำเภอนาหว้าได้มีการตั้งศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยเพื่อให้ผู้มีจิตเป็นกุศลมาร่วมกันบริจาค ซึ่งตลอดเวลาจะมีเพื่อนบ้านนำเงิน สิ่งของและเครื่องอุปโภค บริโภคต่าง ๆ มามอบให้เพื่อเป็นกำลังใจ

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ส.ปชส.นครพนม นำสื่อมวลชนสัญจรดูโครงการในอำนาจรองนายกรัฐมนตรี ขยายผลสร้างการรับรู้สู่ประชาชน


ส.ปชส.นครพนม นำสื่อมวลชนสัญจรดูโครงการในอำนาจรองนายกรัฐมนตรี ขยายผลสร้างการรับรู้สู่ประชาชน
วันที่ 18 มิถุนายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายวิรพ  จันทฤทธิ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่รัฐบาลได้มีการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยได้มีการจัดสรรงบประมาณให้กับส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อดำเนินการตามแผนงานโครงการ นอกจากนี้ยังมีงบประมาณในอำนาจของรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคเพิ่มเติมอีก โดยในปีงบประมาณ 2562 ที่ผ่านมาจังหวัดนครพนมได้รับการจัดสรรงบประมาณในอำนาจของรองนายกรัฐมนตรี จำนวน 3 โครงการ เป็นโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก จำนวน 2 โครงการ และโครงการขุดลอกห้วยน้ำบ่ออีก 1 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 2,877,100 บาท และเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้เข้าใจถึงแนวทางการดำเนินงานในการให้ความช่วยเหลือและการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ตามยุทธศาสตร์โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีการบูรณาการที่รองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยทุกพื้นที่มีเจ้าภาพรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่เป็นกรณีเร่งด่วน จึงได้มอบหมายให้ นายธนกรณ์  ยิ้มสงวน นักประชาสัมพันธ์ปฏิบัติการ นำคณะสื่อมวลชน จำนวน  20 คน ประกอบไปด้วย สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อโซเชียล สัญจรลงพื้นที่ดูโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก บ้านน้ำก่ำใหม่พัฒนา หมู่ที่ 18 – บ้านนาคำเจริญ หมู่ที่ 13 ตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปขยายผลสร้างการรับรู้สู่ประชาชนในพื้นที่ให้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

นายสุพจน์ ผิวดำ ปลัดอำเภอธาตุพนม กล่าวว่า ถนนเส้นนี้ในความเป็นจริงมีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร โดยในปี 2562 ที่ผ่านมาได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 1,200,000 บาท ของรองนายกรัฐมนตรีมาแก้ปัญหาความเดือดร้อน ด้วยการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 410 เมตร ทั้งนี้หน่วยงานสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ในราคา 1,190,000 บาท และได้เลือกช่วงถนนที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดดำเนินการก่อน ในส่วนที่เหลือกำลังเร่งดำเนินการของบประมาณเพิ่มเติมในส่วนอื่น ๆ มาแก้ไขอยู่ สำหรับถนนเส้นนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นถนนที่เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของตำบลน้ำก่ำคือหาดแห่ ที่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีคนเดินทางมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทำให้ถนนสายหลักรถสัญจรไม่สะดวก พอถนนเส้นนี้ได้รับการพัฒนาจึงเป็นอีกหนึ่งเส้นทางในการระบายรถได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ฝ่ายความมั่นคงเองก็ได้ใช้ถนนเส้นนี้ในการลาดตระเวนเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดและปัญหาอื่น ๆ ด้วย

ด้านนางสาวอุทุมพร สมอุดม รองปลัดเทศบาลตำบลน้ำก่ำ กล่าวว่า เดิมถนนแห่งนี้เป็นถนนลูกรัง มีผิวจราจรขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ ฤดูแล้งก็จะมีฝุ่นละอองจำนวนมาก พอเข้าหน้าฝนก็มีน้ำท่วมขัง ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน สัญจรไปมาลำบาก ผู้ขนส่งสินค้าทางการเกษตรก็เช่นเดียวกัน ซึ่งพอได้รับงบประมาณมาพัฒนาตรงนี้ ก็ทำให้ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างมาก ทุกคนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เกษตรนครพนม นำเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ฟาร์มตัวอย่าง แลกเปลี่ยนประสบการณ์เตรียมขยายผลในพื้นที่


วันที่ 17 มิถุนายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายร่มไม้ นวลตา เกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด – 19 เราจะเห็นว่าแหล่งอาหารถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญยิ่ง ถ้าทุกคนมีอยู่ที่บ้านก็จะเป็นทางออกที่ดีแม้ไม่ใช่ในยามที่เดือดร้อน โดยหลายคนอาจจะไม่มีองค์ความรู้ในด้านนี้และพยายามหาแหล่งเรียนรู้เพื่อนำไปปฏิบัติ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ของชุมชน ที่เป็นศูนย์กลางการบริการและการแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูลข่าวสารด้านการเกษตร ทั้งจากตัวเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร ตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ดังนั้นเพื่อเป็นการขับเคลื่อนศูนย์ดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นจึงได้นำเกษตรอำเภอต่าง ๆ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ และข้าราชการใหม่ในสังกัดสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนมลงพื้นที่บ้านโพนทา ตำบลกุตาไก้ อำเภอปลาปาก เพื่อเปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับอำเภอ (DW) กับกลุ่มเกษตรกรที่ฟาร์มตัวอย่างหนองปลาค้อเฒ่า ทำให้ทุกคนได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ แนวคิดใหม่ๆ ที่ได้มีการพัฒนา ต่อยอด ปรับปรุงจนประสบความสำเร็จและนำไปขยายผลต่อยังประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของตนเองผ่านทางศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ที่ต้องการขับเคลื่อนระบบส่งเสริมการเกษตรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน ทำให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน

สำหรับฟาร์มตัวอย่างหนองปลาค้อเฒ่าแห่งนี้นั้น เป็นฟาร์มแบบเกษตรอินทรีย์ ที่ถือเป็นต้นแบบการทำการเกษตรแบบพึ่งพาตนเองที่ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้มาเรียนรู้และนำไปปรับใช้ได้เป็นอย่างดี โดยภายในฟาร์มมีกิจกรรมมากมายหลายรูปแบบทั้ง การทำก้อนเชื้อเห็ดและการเพาะเห็ดเพื่อจำหน่าย การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การเลี้ยงไส้เดือนเพื่อผลิตปุ๋ยหมักที่นอกจากจะช่วยในการย่อยสลายขยะอินทรีย์และเศษอาหารจากบ้านเรือนแล้วยังช่วยลดต้นทุนในการซื้อปุ๋ย การผลิตถ่านไบโอชาร์จากวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรเพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงบำรุงดิน เพิ่มปริมาณคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรและลดระยะเวลาในการเพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการปลูกพืชผักสวนครัวแบบอินทรีย์เพื่อการจำหน่าย การปลูกมันเทศ ปลูกเมล่อน ปลูกไม้ยืนต้น เช่น ลิ้นจี่พันธุ์ นพ.1 ซึ่งเป็นลิ้นจี่ที่ได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ด้วยมีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว คือผลมีขนาดใหญ่ เปลือกสีแดงอมชมพู รูปทรงเหมือนไข่ เนื้อผลแห้งสีขาวขุ่น เมื่อปลอกออกมารับประทานจะให้รสหวานอมเปรียว ไม่มีรสฝาดเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกิจกรรมการแปรรูปสินค้าเกษตรภายในฟาร์มเพื่อการจำหน่าย

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ผู้ใจบุญร่วมมอบเครื่องเขย่าโลหิตให้โรงพยาบาลนครพนม แก้ปัญหาคลังเลือดไม่เพียงพอ


วันที่ 16 มิถุนายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในฐานะนายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา นางอรัญญา แสงสิงแก้ว นายชาตรี จันทร์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นางสาวจินตนา ชิ้นปิ่นเกลียว รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม และผู้มีจิตศรัทธา ร่วมมอบเครื่องเขย่าโลหิตให้กับโรงพยาบาลนครพนมจำนวน 10 เครื่อง เพื่อใช้ในการออกหน่วยรับบริจาคโลหิตเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานทำให้ได้โลหิตที่มีความสมบูรณ์ที่สุดแก้ปัญหาคลังโลหิตของโรงพยาบาลไม่เพียงพอ โดยมีนายแพทย์ยุทธชัย ตริสุกล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม นายแพทย์จิณณพิภัทร ชูปัญญา สาธารณสุขจังหวัดนครพนม และบุคลากรทางการแพทย์ ร่วมรับมอบ

           สำหรับเครื่องเขย่าโลหิต เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับหน่วยรับบริจาคโลหิต เพราะโลหิตที่ไหลออกจากร่างกายเมื่อเข้าสู่ถุงกักเก็บโลหิตแล้วจะเกิดการแข็งตัว ทำให้เวลาบริจาคโลหิตทุกครั้งต้องมีการเขย่าถุงโลหิตอยู่ตลอดเวลา โดยเครื่องเขย่าโลหิตจะทำงาน โดยการนำเอาเทคโนโลยีไมโครคอนโทรลเลอร์มาเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องชั่งน้ำหนัก ใช้เป็นตัวประมวลผลและสั่งการควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้าทำให้ถุงโลหิตเขย่าไปมาด้วยความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ทำให้ตัวยาที่อยู่ในถุงจะผสมกับโลหิตที่ได้รับบริจาคได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีเสียงเตือนเมื่อเลือดไหลช้ากว่าปกติ ทำให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วต่อบุคลากรที่รับบริจาคโลหิต และที่สำคัญคือเมื่อผู้บริจาคโลหิตมีความรู้สึกผิดปกติจะสามารถกดปุ่มเรียกฉุกเฉินได้จากตัวเครื่อง เป็นการสร้างความมั่นใจอีกระดับให้กับผู้ที่มาบริจาคโลหิตว่ามีความปลอดภัย

สสจ.นครพนม ชวนออกกำลังกายวิถีใหม่ต้านภัยโควิด-19 กับกิจกรรม “ก้าวท้าใจ Season 2”


วันที่ 16 มิถุนายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายแพทย์จิณณพิภัทร ชูปัญญา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายสำคัญในการสร้างให้ประชาชนมีสุขภาวะที่ดี ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนออกกำลังกายโดยมีชุมชนเป็นฐาน และกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้นำหลักในการดำเนินงานด้านการส่งเสริมสุขภาพ ก็ได้มีการขับเคลื่อนนโยบายในการส่งเสริมสุขภาพให้กับประชาชน โดยได้จัดกิจกรรม ก้าวท้าใจ Season 1 ขึ้นมา ซึ่งเป็นการออกกำลังกายร่วมกับการใช้เทคโนโลยีที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ที่ทุกคนสามารถทำได้ง่ายๆ ทุกที่ ทุกเวลา มีความสนุกสนานและท้าทาย ซึ่งในครั้งนั้นมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 4.8 แสนคน ระยะทางสะสมรวมกว่า 20 ล้านกิโลเมตร และในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) เช่นนี้การออกกำลังกายในลักษณะนี้ถือเป็นกิจกรรมที่ดีวิถีใหม่ (New Normal) ที่จะทำให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและห่างไกลจากไวรัสโควิด – 19  กระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดกิจกรรมก้าวท้าใจ Season 2 ขึ้นมาอีกครั้ง

จึงขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมโครงการไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้มีทั้ง การเดิน - วิ่ง การปั่นจักรยาน การเต้นแอร์โรบิก โยคะ คีตะมวยไทย เวทเทรนนิ่ง ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนผ่านทางแอปพิเคชั่น LINE โดยเพิ่ม ID : @THNVR หรือสแกน QR CODE ลงทะเบียนได้พร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ส่วนการสะสมระยะทางจะเริ่มพร้อมกันในวันที่ 1 กรกฎาคมไปจนถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2563 โดยกิจกรรมในครั้งนี้นอกจากทุกคนจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการเป็นผู้พิชิต 6,000 Kcal. 60 วันแล้ว ยังจะได้รู้ถึงดัชนีมวลกาย (BMI) ของตนเอง รวมถึงได้รับคำแนะนำดีๆในการดูแลร่างกายแบบรายบุคคล ใบประกาศ  E- CERTIFICATE และอาจได้รับของรางวัลอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2563

นครพนม หารือเตรียมจัดงานบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เน้นสร้างความปลอดภัยห่างไกลโควิด – 19

วันที่ 15 มิถุนายน 2563 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม   นายชาตรี จันทร์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดำเนินการจัดงานบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช ประจําปี 2563 ที่จังหวัดนครพนมจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 - 13 กรกฎาคม 2563 ณ บริเวณลาน พญาศรีสัตตนาคราช ถนนสุนทรวิจิตร ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ภายหลังที่รัฐบาลได้มีมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 ออกมา โดยให้จัดงานประเพณีตามวิถีท้องถิ่นได้ แต่ต้องปฏิบัติตามาตรการป้องกันโรคตามมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด

สำหรับการประชุมในครั้งนี้ได้มีการลงลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับการพิธีการต่าง ๆ ที่สำคัญและจะต้องมีในประเพณี ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมการเจริญพระพุทธมนต์ การแห่เครื่องบวงสรวง การบวงสรวง การรำถวาย ซึ่งเมื่อกิจกรรมลงตัวแล้วก็ได้มีการลงรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดสถานที่ การกำหนดจำนวนนางรำ การกำหนดจุดรำ การคาดการณ์จำนวนผู้เข้าชม การวางตำแหน่งผู้เข้าชม ไปจนถึงภายหลังกิจกรรมแล้วเสร็จซึ่งคาดว่าจะยังคงมีผู้ที่เข้าไปไหว้องค์พญาศรีสัตนาคราชเช่นทุกปี ซึ่งในปีนี้จะมีความแตกต่างจากทุกครั้งที่จัดมาเนื่องจากต้องการให้ผู้ที่มาร่วมงานมีความปลอดภัยตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 จึงมีการออกแบบการจัดงานที่แตกต่างออกไปแต่ให้คงประเพณีที่สำคัญไว้อย่างครบถ้วนเช่นเดิม

โดยในที่ประชุมได้เน้นการวางแผนการควบคุมพื้นที่เพื่อสร้างความปลอดภัย ซึ่งผู้ที่จะมาร่วมงานนั้นสามารถเข้างานได้ 4 ทาง และต้องปฏิบัติตามกฎ ระเบียบที่กำหนดอย่างเคร่งครัด คือ ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่อถึงจุดคัดกรองต้องมีการล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่เจ้าหน้าที่จัดหามาไว้ให้ รวมถึงผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิร่ายกาย เมื่อเข้าไปอยู่ในพื้นที่แล้วต้องมีการเว้นระยะห่าง ไม่ว่าจะเป็นการยืนหรือนั่งต้องที่ต้องมีระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร ทั้งนี้จะมีการจัดเจ้าหน้าที่คอยสังเกตการณ์ ตรวจตรา ควบคุม ให้คำแนะนำให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เบื้องต้นในส่วนของการรำนั้นวันแรกยังคงรำที่บริเวณถนนนิตโยเช่นดังเดิม แต่จำนวนนางรำให้ลดลงจาก 1,700 คน เป็น 500 คน โดยแต่ละคนจะมีระยะห่างในการร่ายรำ 2 เมตร ส่วนวันถัดมานางรำจะลงลงเหลือวันละ 100 คน พร้อมเปลี่ยนสถานที่รำเป็นลาน ภาพ 3 มิติ ด้านข้างองค์พญาศรีสัตตนาคราช ในส่วนของผู้ชมก็จะมีการควบคุมด้วยการจัดเก้าอี้ไว้ให้นั่งโดยมีระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร เมื่อเต็มจำนวนแล้วจะไม่ให้เข้าไปในบริเวณนั้น ขณะเดียวกันด้านการจำหน่ายสินค้าในงานนั้นจะไม่มีการตั้งบูธจัดจำหน่ายเหมือนทุกปี แต่ให้ทุกร้านอยู่ในพื้นที่ตั้งของตนเองทั้งหมดแต่จะมีการจัดโปรโมชั่นลดราคา 7 - 7.7 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงานได้จับจ่ายซื้อหาของที่ถูกใจกลับไปฝากคนทางบ้าน โดยร้านไหนที่เข้าร่วมกิจกรรมจะมีตราสัญลักษณ์ที่จัดทำขึ้นมาเฉพาะ แสดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนให้ลูกค้าได้เห็น 

สกู๊ป การมีส่วนร่วมของประชาชนกับการเลือกตั้งท้องถิ่น


การมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารและปกครอง ได้มีการกำหนดเป็นแนวนโยบายของรัฐอย่างชัดเจนและต่อเนื่องนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ที่บัญญัติให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ร่วมให้ข้อมูลตัดสินใจ ติดตามตรวจสอบถอดถอนผู้ทุจริต เพราะต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ดังนั้นการเลือกตั้งท้องถิ่น จึงเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่มีความสำคัญต่อประชาชนโดยตรง เพราะต้องเลือกตัวแทนของตนเองเข้าไปทำหน้าที่ในสภาท้องถิ่น เรามาลองฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีสิทธิ์ในการเลือกตั้งดูว่า เขามีแนวความคิดอย่างไร กับการหาตัวแทนของตนเองเข้าไปทำหน้าที่

นางพวง สีหนาท ชาวบ้านน้อยใต้ อ.เมือง จ.นครพพนม เปิดเผยว่า ในการเลือกตั้งแม่มีความคิดเห็นว่า ส่วนมากคนเราก็ต้องการเลือกคนที่ดี มีคุณธรรม เอื้อเฟื่อเผื่อแผ่แล้วก็ไม่โกงไม่กิน ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีอาชีพ แล้วก็เป็นนักพัฒนา ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาท้องถิ่นในเขตในเมืองหรือนอกเขตที่เขาลำบาก ชาวบ้านที่อยู่ในชนบทเขาไม่พูดไม่จา แต่เขาก็ยังต้องการให้พัฒนาในเรื่องต่างๆ พัฒนาอนามัยและสิ่งแวดล้อม เรื่องอาชีพ แล้วก็ต้องการคนที่ไม่ใช่ว่าพัฒนาแบบนั่งเก้าอี้พัฒนาอย่างเดียว ต้องลงมาดูแล ไม่ใช่ส่งคนมาดูแลให้คนที่เป็นเจ้าหน้าที่มาดูแลแทน พอได้ขึ้นไปแล้วต้องมาดูแลว่ามีน้ำ มีไฟ มีถนนหนทาง ตรงไหนเป็นป่าก็มียุง บางทีชาวบ้านเขาก็ไม่มีปัญญาที่จะทำเพราะไม่มีกำลังทรัพย์ ซึ่งเวลาที่ผู้สมัครได้รับเลือกไปแล้วก็ดูผลงานเขาไป แต่พอเขาหมดหน้าที่ หมดวาระ 4 ปี สมัยหน้าเลือกใหม่ เราก็ดูอีกต้องดูที่ผลงานไม่ใช่ดูที่การพูด

นี่เป็นเพียงหนึ่งเสียงสะท้อน ที่ต้องการเห็นผู้ที่เป็นตัวแทนตนเองเข้าไปทำหน้าที่ ในการดูแลทุกข์สุขของคนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการแก้ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ภัยพิบัติ โรคภัยไข้เจ็บและความเดือดร้อนต่าง ๆ  แต่ยังมีในเรื่องการพัฒนาท้องถิ่นให้มีความเจริญมากยิ่งขึ้น ดังนั้นทุกเสียงจึงเป็นพลังที่จะร่วมสร้างสรรค์สังคมไทยให้ก้าวไปทัดเทียมอารยประเทศ  

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ผู้ปกครองเด็กแรกเกิดนครพนมเฮ มูลนิธิยุวพัฒน์บริจาคเครื่องส่องไฟรักษาภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิด 9 โรงพยาบาล 14 เครื่อง


วันที่ 12 มิถุนายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายแพทย์ จิณณพิภัทร ชูปัญญา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ปัญหาภาวะเด็กตัวเหลืองหรือดีซ่าน พบได้ทั้งในเด็กที่คลอดครบกำหนดและคลอดก่อนกำหนด ซึ่งหากไม่รีบแก้ไขอาจทำให้สมองเด็กพิการหรือปัญญาอ่อนได้ หรือบางรายมีอาการอ่อนแรง ซึม หรือหยุดหายใจและเสียชีวิตได้ โดยภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิดนั้น เกิดจากการที่ร่างกายเด็กมีสารบิลิรูบินซึ่งเป็นสารสีเหลืองสูงขึ้นมากกว่า พบได้ประมาณร้อยละ 25-50 ของทารกแรกเกิด และพบมากขึ้นในเด็กที่คลอดก่อนกำหนด โดยอาการตัวเหลืองจะปรากฏในช่วง 1 – 2 สัปดาห์หลังคลอด ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดได้หลายปัจจัย เช่น เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นกว่าปกติ เอนไซม์บางตัวในตับน้อยหรือขาดเอนไซม์บางอย่าง  ส่วนการรักษานั้นมี 3 วิธี คือ การถ่ายเปลี่ยนเลือด การใช้ยา และการใช้แสงบำบัด ซึ่งวิธีใช้แสงบำบัดเป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลาย

โดยในจังวัดนครพนมยังคงมีโรงพยาบาลหลายแห่งที่มีเครื่องส่องไฟสำหรับรักษาภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิดไม่เพียงพอ บางแห่งเครื่องมือก็ชำรุดไม่สามารถใช้งานได้ ดังนั้นจึงได้ขอการสนับสนุนไปยังมูลนิธิยุวพัฒน์  ผ่านทาง พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา และเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 นายชัย อินทนุรังสีพร้อมครอบครัวที่ได้บริจาคเงินผ่านมูลนิธิยุวพัฒน์เพื่อจัดซื้อเครื่องส่องไฟสำหรับรักษาภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิดได้เดินทางมามอบให้กับจังหวัดนครพนม จำนวน 14 เครื่อง ในราคาเครื่องละ 100,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,400,000 บาท เพื่อมอบให้กับโรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ประกอบด้วย โรงพยาบาลนาแก 2 เครื่อง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม 2 เครื่อง โรงพยาบาลปลาปาก 1 เครื่อง โรงพยาบาลวังยาง 1 เครื่อง โรงพยาบาลบ้านแพง 2 เครื่อง โรงพยาบาลนาทม 1 เครื่อง โรงพยาบาลนาหว้า 2 เครื่อง โรงพยาบาลโพนสวรรค์ 2 เครื่อง และโรงพยาบาลท่าอุเทน 1 เครื่อง ในโอกาสนี้จึงขอเป็นตัวแทนบุคคลากรทางการแพทย์จังหวัดนครพนมตลอดจนชาวจังหวัดนครพนม ขอขอบคุณผู้ที่ให้การสนับสนุนทุกท่านที่ได้ร่วมกันจัดหาเครื่องส่องไฟสำหรับรักษาภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิดมามอบให้หน่วยงานในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนมในครั้งนี้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการดูแลประชาชนให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงต่อไป