วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ยุวกาชาดนครพนม ประกอบพิธีปฏิญาณตนและสวนสนามเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา 99 ปี ยุวกาชาดไทย

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่สนามกีฬาโรงเรียนนครพนมวิทยาคม อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายพรต ภูภักดิ์ ปลัดจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะผู้บังคับบัญชายุวกาชาด สมาชิกยุวกาชาด เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องงานยุวกาชาดจากโรงเรียนต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดนครพนมร่วมกันประกอบพิธีกล่าวคำปฏิญาณตนและสวนสนาม เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนายุวกาชาดไทย (99 ปี ยุวกาชาดไทย)ประจำปี 2564 เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต อุปนายกผู้อำนวยการสภากาชาดสยาม ผู้ให้กำเนิดกิจการยุวกาชาดไทย เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2465 ในชื่อ กองอนุสภากาชาดสยาม ด้วยทรงเห็นว่าสภากาชาดบางประเทศในสมัยนั้นได้จัดตั้งกาชาดสำหรับเด็กขึ้นบ้างแล้ว และทรงรับหลักการจากมติที่ประชุมสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ เมื่อ พ.ศ.2462 ที่เสนอแนะให้กาชาดประเทศต่างๆ จัดตั้งกาชาดสำหรับเด็กขึ้น จึงเห็นควรที่สภากาชาดสยามจะจัดตั้งขึ้นบ้าง เพื่อเป็นการฝึกอบรมเยาวชนให้รู้จักการกินดี อยู่ดี รักษาอนามัยของตนเอง และส่งเสริมอนามัยของผู้อื่น มีความเมตตาสงสารต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตลอดจนการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมให้บังเกิดขึ้นในใจของทุกคน รู้จักบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล อันจะนำมาพัฒนาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ

โดยกิจการยุวกาชาด จะมีสำนักงานยุวกาชาดเป็นหน่วยงานหลักที่มาสร้างและพัฒนาเยาวชนให้เป็นอาสาสมัครที่พึ่งพาได้ของประชาชนและสภากาชาดไทย ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมและดำเนินการที่สอดคล้องกับระบบการศึกษาของประเทศ เพื่อสร้างให้เยาวชนกลายเป็นพลังใหม่ที่มาหลอมรวมกับพลังเดิมที่มีอยู่ ด้วยการนำพลังแนวความคิด ความสร้างสรรค์ ความรู้สมัยใหม่ ความสามารถทางด้านเทคโนโลยี การปรับตัวและการเปิดรับความเป็นสากล มาทำให้เกิดการขับเคลื่อนที่สอดประสานกับการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก กลายเป็นการรักษาและสืบทอดความเป็นจิตอาสาที่เข้มแข็งที่สอดรับกับนโยบายอาสาสมัครสภากาชาดไทย ยุทธศาสตร์สภากาชาดไทย ด้านการพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมหลัก 12 ประการและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) ด้านการพัฒนาและเสริมเสร้างศักยภาพคน ได้แก่ การปลูกฝังระเบียบวินัย คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่พึงประสงค์ การสร้างเสริมให้คนมีสุขภาวะที่ดี เพื่อความอยู่ดีมีสุขของครอบครัวไทย และด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาพและเท่าเทียมกันทางสังคม

สมาชิกสหกรณ์นครพนม พร้อมใจประกอบพิธีวางพานพุ่มและทำบุญตักบาตร เนื่องในวันสหกรณ์แห่งชาติ

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่สำนักงานสหกรณ์จังหวัดนครพนม นายธวัชชัย รอดงาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ เครือข่ายสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ร่วมประกอบพิธีวางพานพุ่มถวายสักการะ กล่าวสดุดี และทำบุญตักบาตรถวายภัตรหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์เพื่อเป็นพระราชกุศลแด่พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย เป็นการน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณพระองค์ท่าน ที่ทรงริเริ่มทดลองจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นเป็นแห่งแรกและเผยแพร่ระบบสหกรณ์ให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศ ทำให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่บุคคลในขบวนการสหกรณ์ไทยที่ล่วงลับไปแล้ว ทั้งเพื่อให้สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสหกรณ์ ที่นำมาซึ่งความรัก ความสามัคคี ความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของขบวนการสหกรณ์ไทย ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ระบบสหกรณ์ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น

ว่าที่ร้อยตรี ประสิทธิ์ชัย บุระเนตร สหกรณ์จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ระบบสหกรณ์เป็นการพัฒนาขบวนการสหกรณ์ด้วยการส่งเสริมให้ความรู้ประชาชนได้เข้าใจในหลักการ วิธีการสหกรณ์ และสามารถนำไปใช้ในการดำรงชีวิตได้อย่างถูกต้อง โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2527 กำหนดให้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันสหกรณ์แห่งชาติ เนื่องจากเป็นวันที่มีสหกรณ์แห่งแรกในประเทศไทย คือ สหกรณ์วัดจันทร์ไม่จำกัดสินใช้ โดยสหกรณ์ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ขณะนั้นประชาชนมีอาชีพหลักคือการทำนา และเมื่อมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น ทำให้มีความต้องการเงินทุนเพื่อมาขยายการผลิตเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังอยู่ในฐานะยากจน ขาดแคลนเงินทุน จึงจำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสินจากพ่อค้านายทุน "คหบดี" ซึ่งมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ให้กู้ยืมทุกวิถีทาง ด้วยเหตุนี้การสหกรณ์ในประเทศไทยจึงเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2459 และมีการพัฒนามาเรื่อยจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ ซึ่งจากความสำคัญและประโยชน์ของระบบสหกรณ์ รัฐบาลจึงได้ให้ความสำคัญกับระบบสหกรณ์ในฐานะที่เป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพราะมีส่วนสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่สมาชิกสหกรณ์และคนในชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในท้องถิ่น ที่มีการประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับการผลิต การค้าและการให้บริการ นำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้กับคนในท้องถิ่น ด้วยการต่อยอดและสร้างคุณค่าแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ชุมชน สังคมและประเทศชาติ ทั้งยังมีการสร้างและส่งเสริมผู้นำรุ่นใหม่ เพื่อก้าวสู่การเป็น Smart Coop ซึ่งจะทำให้สมาชิกสหกรณ์มีความมั่นคงในชีวิต มีความเข้มแข็งและยั่งยืนของชุมชน

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

พช.นครพนม นำเครือข่ายองค์ความรู้ KBO จังหวัด พัฒนาขีดความสามารถผู้ผลิต สินค้า OTOP ในพื้นที่

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ห้องประชุมหนองบึก 3 สหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพเครือข่ายองค์ความรู้ KBO จังหวัด  ที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตผู้ประกอบการ OTOP สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนภาค และประชาชนในพื้นที่ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการผลิต การพัฒนามาตรฐาน คุณภาพ บรรจุภัณฑ์ของสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค การบริหารจัดการด้านการตลาด เพื่อรวบรวมเป็นองค์ความรู้และนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศได้ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้มีการส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนให้มีส่วนสนับสนุนในการสร้างความเข้มแข็งแก่ภาคประชาชน และการส่งเสริมบทบาทของสถาบันการศึกษาในพื้นที่ให้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP เป็นการผนึกกำลังของทุกภาคส่วนในชุมชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อน OTOP สู่ความเข้มแข็งและยั่งยืน ในรูปแบบของเครือข่ายองค์ความรู้ หรือ knowledge -Based OTOP : KBO

โดยก่อนหน้านี้จังหวัดนครพนม ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมา และมีการลงพื้นที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ทั้ง 12 อำเภอ และในวันนี้ได้มีการเชิญตัวแทนผู้ผลิตผู้ประกอบการ OTOP ในพื้นที่ จำนวน 20 ผลิตภัณฑ์ ประกอบไปด้วย ย่ามไทแสก กุ๊บ ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าขาวม้า ผ้าพันคอ กระเป๋าเอนกประสงค์ เกลือสปา มะเขือเทศแช่อิ่ม กระปุกออมสินไม้ไผ่ กาละแมโบราณ กระติบข้าว/ถาด/ตะกร้าและกระเป๋าจากไม้ไผ่  ผ้าคลุมไหล่ลายขิด ผ้าคลุมไหล่หมักน้ำมันยางนา ปิ่นโตกระติบข้าวและกล่องเอนกประสงค์ เตาอั้งโล่ประหยัดพลังงาน ให้นำผลิตภัณฑ์ของตนเองมานำเสนอเพื่อให้เครือข่ายองค์ความรู้ KBO จังหวัด ได้ร่วมกันพิจารณาให้คำแนะนำ คำปรึกษา ตลอดจนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย สร้างแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ เช่น การเพิ่มเรื่องราวที่สร้างสรรค์ น่าสนใจให้กับผลิตภัณฑ์  การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม โดยการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์ร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงการวางแผนการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด โดยหลังจากนี้ทุกคนจะนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองก่อนที่จะมีการคัดเลือกเพียง 1 เดียวเป็นตัวแทนของจังหวัดเข้าร่วมประกวดและเผยแพร่ผลงานในระดับประเทศต่อไป 

นครพนม เตรียมขับเคลื่อน 3 ผลิตภัณฑ์สมุนไพรต้นแบบต่อยอดเชิงพาณิชย์

 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายแพทย์มานพ ฉลาดธัญญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากการดำเนินงานตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย พ.ศ.2560-2564 ที่จังหวัดนครพนมได้มีการขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 เพื่อพัฒนาสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยอย่างครบวงจรโดยเน้นการพัฒนาทั้งระบบให้มีความต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งได้มีการถ่ายทอดเป็นยุทธศาสตร์จังหวัด ประกอบไปด้วยยุทธศาสตร์พัฒนาคุณภาพวัตถุดิบสมุนไพร ยุทธศาสตร์พัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรและขยายตลาดสมุนไพร ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้สมุนไพรในระบบบริการสุขภาพและยุทธศาสตร์ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาบุคลากร โดยมีหน่วยงานต่าง ๆ และภาคเครือข่ายร่วมดำเนินการ

และในการประชุมคณะอนุกรรมการและคณะทำงานคุ้มครองส่งเสริมสนับสนุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและพัฒนาเมืองสมุนไพร จังหวัดนครพนม ครั้งที่ 1/2564 ได้มีการรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการส่งเสริมการปลูกสมุนไพรเพื่อตอบสนองความต้องการของโรงพยาบาลที่ผลิตยาสมุนไพร โดยปัจจุบันมีการขยายพื้นที่ปลูกเป็น 96 ไร่ ครอบคลุมทุกอำเภอในจังหวัดนครพนม นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกรให้เป็นวิสาหกิจชุมชนที่เข้มแข็ง จนก่อเกิดรายได้ให้แก่ชุนชนและลดรายจ่ายในสถานบริการสาธารณสุข  โดยมีแปลงปลูกสมุนไพรตะไคร้หอมที่ผ่านมาตรฐาน GAP จำนวน 10 ไร่ มีวิสาหกิจชุมชนที่ปลูกและแปรรูปสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์ลูกประคบและธูปไล่ยุงสมุนไพร ที่เกิดรายได้ในชุมชนหมุนเวียนประมาณ 15,000 - 20,000 บาทต่อเดือน มีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันไพล ลูกประคบ สเปรย์ไล่ยุง และยาหม่องไพล ซึ่งเกิดเงินทุนหมุนเวียนในกลุ่มสมาชิก ประมาณ 30,000 บาท




และในโอกาสนี้ที่ประชุมยังได้ร่วมกันพิจารณาวางแผนการขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์ เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่ได้รับสิทธิ์การผลิตจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ให้เป็นผลิตภัณฑ์ประจำจังหวัด (ที่มีงานวิจัยรองรับ) ซึ่งเปิดโอกาสให้วิสาหกิจชุมชน บริษัทหรือเอกชนในจังหวัดนครพนม สามารถนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้จากการผลิตและจำหน่าย ภายหลังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ได้ร่วมกับวิทยาลัยการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี วิจัย พัฒนา และนำไปทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพและความเป็นพิษจนประสบความสำเร็จ จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากกันเกราที่นำมาทำเป็นแชมพูทำความสะอาดเส้นผมและฟื้นบำรุงหนังศีรษะให้กลับมาแข็งแรงและมีสุขภาพดี ผลิตภัณฑ์จากเครือหมาน้อยทำเป็นผลิตภัณฑ์มาส์กหน้า ที่ช่วยลดริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวหน้า สร้างเซลล์ผิวใหม่ กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และผลิตภัณฑ์จากมะม่วงหาวมะนาวโห่ ทำเป็นลิปช่วยบำรุงริมฝีปากที่แห้ง แตก ลอกเป็นขุยให้ชุ่มชื่น เรียบเนียน นุ่มน่าสัมผัส ฟื้นฟูริมฝีปากที่ดำคล้ำให้อมชมพูดูเป็นธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองทั้งกลางวันและกลางคืน โดยทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์จะอยู่ในแบรนด์ Star Grass ภายใต้ชื่อ กันเกราแฮร์แชมพู” (Kankrao Hair Care Shampoo). “เคลย์มาส์กฟอร์มูลาแคปซูล” (Clay Mask Formula Capsule) และ“คารันดาฟรุ๊ตลิปแคร์” (Karonda Fruit Lip Care)  โดยผู้ที่สนใจจะนำไปจำหน่าย สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณเจษฎาวดี แก้วมณีชัย เภสัชกรชำนาญการ กลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม โทร.08 4043 5217

นครพนม จัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ดูแลสุขภาพพระสงฆ์ สามเณรและแม่ชี สร้างพฤติกรรมแนวใหม่ให้ประชาชน

 

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ศาลาการเปรียญวัดมหาธาตุ จังหวัดนครพนม พระครูกิตติสุตานุยุต เจ้าคณะอำเภอเมืองนครพนม เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ประธานศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพวิถีพุทธ พร้อมด้วยนายสมโภชน์ กังวานธีรัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบาลนครพนม  นายปริญญา ธรเสนา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคคลากรทางการศึกษาจังหวัดนครพนม ( สกสค.นครพนม)  นายเด่นชัย ไตรยะถา ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม ร่วมจัดโครงการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคพระสงฆ์ สามเณรและแม่ชี เพื่อถ่ายทอดความรู้ในด้านสุขภาพให้กับพระภิกษุสงฆ์ สามเณร แม่ชี นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไปในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการถวายภัตตาหารที่ถูกหลักโภชนาการแด่พระสงฆ์ การดูแลสุขภาพและการฉันอาหารให้ได้สัดส่วนที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ตามหลัก 3 อ. 2 ส . ที่เป็นพฤติกรรมสุขภาพแนววิถีชีวิตใหม่ของประชาชน ประกอบไปด้วย อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์ งดสูบบุหรี่และงดดื่มสุรา

เนื่องจากปัจจุบันพระสงฆ์ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว โดยร้อยละ 32 ของพระภิกษุที่อายุเกิน 60 ปีจะเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ซึ่งจากข้อมูลของเขตสุขภาพที่ 8 ปี 2563 พบว่า 5 อันดับแรกที่พระสงฆ์ป่วย คือโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจและหลอดเลือด หลอดเลือดสมองตีบ และโรคไตวายเรื้อรัง และมีพระสงฆ์จำนวนมากที่เจ็บป่วย จนต้องถูกตัดนิ้วเท้าทั้งสองข้างจากโรคแทรกซ้อน ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคส่วนใหญ่มาจากปัญหาการบริโภคไม่ถูกหลักโภชนาการ อีกทั้งพระสงฆ์ไม่สามารถเลือกฉันอาหารได้ ต้องฉันอาหารตามที่ฆราวาสตักบาตรหรือนำมาถวาย ประกอบกับสถานภาพของพระสงฆ์ไม่เอื้อต่อการออกกำลังกาย ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรค ดังนั้นศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพวิถีพุทธ จึงได้ร่วมกับ โรงพยาบาลนครพนม และสำนักงาน สกสค. นครพนม จัดทำโครงการเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคพระภิกษุสงฆ์และสามเณรขึ้น

โดยโครงการดังกล่าวจะมีทั้งการอบรมให้ความรู้ เพื่อให้พระสงฆ์เข้าใจถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การดูแลตรวจสุขภาพสำหรับพระสงฆ์ สามเณรและแม่ชี การส่งเสริมให้พระสงฆ์ สามเณรและแม่ชี ทำกิจกรรมทางกายภาพที่เหมาะสมไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย การรณรงค์ให้พุทธศาสนิกชนเข้าใจและถวายภัตตาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเพื่อลดภาวะเสี่ยงในการเกิดโรค โดยจะเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน วัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการร่วมมือกันดูแลสุขภาพของพระสงฆ์ สามเณร และแม่ชีแบบองค์รวม ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมถึงจะมีการประสานความร่วมมืออย่างจริงจังของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดบริการเชิงรุกการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ สามเณร เพื่อให้ทุกรูปเกิดพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมและมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น  

นายสมโภชน์ กังวานธีรัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบาลนครพนม  กล่าวว่า อยากให้ประชาชนทุกคนได้ตระหนักถึงการช่วยดูแลสุขภาพพระสงฆ์ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำบุญตักบาตร ควรให้เป็นภักษาหารชูสุขภาพ โดยควรงดอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม จัด แต่ควรเป็นอาหารหลัก 5 หมู่ ทั่วไป เช่น ข้าวก็ควรใช้ข้าวกล้องสลับกับข้าวขาว เนื้อก็ควรเป็นเนื้อไม่ติดมันสลับกับเนื้อปลา ผักผลไม้ก็ควรที่จะไม่มีรสหวาน รวมถึงวิธีการปรุงก็ควรจะเป็นการต้ม การนึ่ง ไม่แนะนำให้ผัดเพราะจะมีผลเกี่ยวกับความมัน น้ำปานะที่ดีควรจะเป็นน้ำปานะที่เป็นสมุนไพรหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อย โดยเครื่องดื่มทั่วไปตามร้านค้าจะมีเครื่องหมายทางเลือกสุขภาพติดอยู่ข้างผลิตภัณฑ์ ทุกคนสามารถเลือกซื้อมาถวายได้

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

เกษตรกรนครพนม ร่วมวิจัยข้าวเหนียวหอมนาคากับไบโอเทค หวังขับเคลื่อนสู่ตลาด BCG

 

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายรัฐพล โพธิ์นิยม เปิดเผยว่า ตนเองเป็นคนนครพนมอยู่ที่บ้านยอดชาด ตำบลยอดชาด อำเภอวังยาง ซึ่งเดิมทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ และทำงานภาคเอกชนมาโดยตลอด พอเจอปัญหาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด- 19 ก็เลยกลับมาอยู่บ้าน โดยก่อนที่จะกลับมาได้คุยกับเพื่อนซึ่งเป็นนักวิจัยอยู่ที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือที่เรียกง่ายๆว่า สวทช. อยู่ในส่วนของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ซึ่งหน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการพัฒนาในเรื่องของพันธุ์ข้าว ในระดับโมเลกุลพันธุ์ข้าวหรือยีน ว่าอยากได้พันธุ์ข้าวเหนียวไปปลูกทดลองที่บ้าน จึงได้รู้จักกับข้าวหอมนาคาที่ทางศูนย์ฯ กำลังวิจัย โดยข้าวพันธุ์นี้จะปลูกได้ทั้งนาปีและนาปรัง เนื่องจากตัวคุณสมบัติของข้าวเองเป็นข้าวประเภทไม่ไวแสง อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 130 - 140 วัน ผลผลิตเฉลี่ยในฤดูนาปีประมาณ 800-900 กิโลกรัมต่อไร่ โดยคุณสมบัติเด่นของข้าวคือ เหนียวนุ่มเหมือนข้าวเหนียว กข 6 มีกลิ่นหอม สามารถทนน้ำท่วมฉับพลันได้ 10 วัน สามารถทนแล้งได้ หรือจะเรียกว่าข้าวสะเทินน้ำสะเทินบกก็ได้ ที่สำคัญคือต้นไม่สูงมากทำให้เวลาเก็บเกี่ยวจะไม่ล้ม โดยต้นจะสูงเต็มที่ประมาณ 125 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการต้านทานโรคใบไหม้ ซึ่งเป็นโรคพื้นถิ่นทางอีสานและโรคขอบใบแห้ง สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ได้คุยกับทาง ไบโอเทค ว่าเราจะทดสอบในพื้นที่อย่างน้อย 2 ปี หรือ 4 ฤดู จากนั้นจึงได้ประสานกับทางสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม เพื่อขออนุญาตินำพันธุ์ข้าวเข้ามาปลูกทดสอบในเขตจังหวัดนครพนม ซึ่งทางหน่วยงานเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเกษตรกรจึงอยากให้ทดลองครบทั้ง 12 อำเภอ จึงเป็นที่มาของการหาตัวแทนเกษตรกรแต่ละอำเภอมาปลูกเพิ่มเติมด้วย และถ้าเกิดความเหมาะสมในพื้นที่แนวทางต่อไปทางไบโอเทค จะมีการเข้ามาส่งเสริมพัฒนากลุ่มเกษตรกรเพื่อให้เป็นกลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ได้มาตรฐานตามระเบียบของกรมการข้าว รวมถึงจะพัฒนาต่อยอดออกไปอีกว่าจะสามารถแปรรูปเป็นอะไรได้บ้าง จากความหอมของข้าว จากความนุ่มของข้าว เช่น พัฒนาเป็นเครื่องสำอางได้ไหม เป็นขนมได้ไหม หรือแม้กระทั่งในเรื่องของฟางข้าวที่อยู่ในพื้นนาก็จะหาเครื่องมือมาช่วยเกษตรกรอัดฟางให้เป็นเม็ดเพื่อให้เป็นอาหารสัตว์ ซึ่งจะมีการต่อยอดตามนโยบาย Bio Circular Green Economy หรือ BCG ของรัฐบาลที่เป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย

ด้าน นายวินัย คงยืน หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้รับการประสานงานจากทีมงานของไบโอเทคว่าจะมีการนำข้าวเหนียวหอมนาคา มาปลูกทดสอบในพื้นที่จังหวัดนครพนม ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของข้าวเหนียว กข 6 ที่เกษตรกรปลูกอยู่ เนื่องจากข้าว กข 6 มีปัญหาในเรื่องของการไม่ทนน้ำท่วมแล้วก็มีปัญหาเกี่ยวกับโรคไหม้ ทำให้เกษตรกรได้ผลผลิตไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นที่น่าสนใจ เพราะสามารถแก้ปัญหาได้หมด ผลผลิตสูง รวมถึงเคยได้ประสานงานกับ ดร.ปัทมา ศิริธัญญา ซึ่งเคยทำงานด้วยกันเคยเอาพันธุ์ข้าวจากไบโอเทคมาทดสอบ ซึ่งเมื่อก่อนจะเป็นพันธุ์ข้าวธัญสิรินและทราบว่าข้าวที่นำมานี้เป็นพันธุ์ข้าวที่มีการพัฒนาจากพันธุ์ข้าวธัญสิริน จึงได้ประสานขอพันธุ์ข้าวเพิ่มเพื่อมาให้เกษตรกรจังหวัดนครพนมได้ทดลองปลูก โดยจะคัดเลือกเกษตรกรที่เป็นผู้นำ ที่เคยได้ไปสัมผัสว่าเป็นคนหัวไว ใจสู้ กล้าที่จะทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ มั่นใจว่าเขาเอาไปทำจริง เพราะเป็นงานวิจัยที่ทางไบโอเทคก็ต้องการที่จะทราบข้อเท็จจริง คนที่จะมาทำจะต้องให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคำแนะนำ เพื่อให้ผลที่ออกมามัน เป็นข้อเท็จจริง ว่าได้ หรือเสีย มีปัญหาอุปสรรคอย่างไร ซึ่งในทุกขั้นตอนจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ ดูแล เก็บข้อมูลตลอด ซึ่งจากการทดลองปลูกในรอบนาปีที่ผ่านมา ได้ยินเสียงตอบรับว่าพันธุ์ข้าวนี้เป็นที่พึงพอใจของพี่น้องเกษตรกร ก็ได้มีการนำข้อมูลเข้าที่ประชุมพาณิชย์จังหวัด เพื่อให้ส่วนราชการ โรงสี และภาคเอกชนได้รับรู้ก่อน ว่าเรากำลังทดลองข้าวเหนียวหอมนาคาอยู่ จะได้ร่วมกันพิจารณาและปรับทิศทางในการส่งเสริมต่อไปในอนาคต

ขณะที่นายปัญญา สรรหา ซึ่งเป็น 1 ในเกษตรกรอำเภอท่าอุเทนที่ร่วมทดลองปลูกข้าวหอมนาคา เปิดเผยว่า ตนเองได้ยินข่าวว่าข้าวหอมนาคาเป็นข้าวพันธุ์ใหม่ ก็สนใจเนื่องจากมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆให้ จึงอยากทดลองปลูก เพราะอันเก่าเราก็ปลูกซ้ำซากมาหลายครั้งแล้ว ตอนแรกไปขอต้นกล้ามา 21 มัดจากแปลงที่เหลือของผู้นำ ซึ่งก็ปลูกได้เกือบ 1 งาน ผลผลิตที่ได้อยู่ประมาณ 7 กระสอบ ๆ ละ 29-30 กิโลกรัม รวม ๆ แล้วก็ประมาณ 200 กว่ากิโลกรัมซึ่งถือว่าได้มากกว่าพันธุ์อื่น ๆ ที่เคยปลูกมาเกือบเท่าตัว และจากการสังเกตพบว่าต้นข้าวสามารถแตกกอได้เป็นอย่างดีกว่าพันธุ์อื่นๆ จาก 1 ต้น เป็น 5-6 ต้น โดยจะเริ่มแตกกอตั้งแต่ต้นข้าวสูงประมาณ 5 เซนติเมตร ซึ่งในรอบที่ 2 นี้ ตนเองได้มีการทดลองปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 5 ไร่ โดยนำข้าวที่ได้จากรอบที่แล้วมาเป็นพันธุ์เพาะปลูก รวมถึงให้เพื่อนเกษตรกรคนอื่น ๆ นำไปปลูกทดลองด้วยอีก 2 กระสอบ เพราะอยากให้คนอื่น ๆ ได้ทดลองด้วย ซึ่งในความคิดของตนเองนั้นมีความพึงพอใจและมั่นใจว่าข้าวหอมนาคาดีกว่าพันธุ์อื่นที่ได้ปลูกมาเพราะให้ผลผลิตที่สูงกว่าในราคาที่ต้นทุนการผลิตเท่าเดิม

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

คลังนครพนม จับมือกรุงไทย และปกครองลงพื้นที่บริการประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนและผู้สูงอายุลงทะเบียนเราชนะ

 

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่องค์การบริหารส่วนตำบลดอนนางหงส์ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นางสุธิษา จารุเมธาวิทย์ คลังจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในส่วนของจังหวัดนครพนม สำนักงานคลังจังหวัดนครพนมได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทยและปกครองจังหวัดนครพนมลงพื้นที่ให้บริการประชาชนผู้ต้องการช่วยเหลือพิเศษ กลุ่มผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนและผู้สูงอายุในการสมัครเข้าร่วมโครงการเราชนะ จนครบทั้ง 12 อำเภอแล้ว ซึ่งมีการเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 โดยแบ่งเป็นวันละ 3 อำเภอ สำหรับในวันนี้เรามาเปิดให้บริการพิเศษในส่วนของอำเภอธาตุพนม เนื่องจากจำนวนประชาชนของอำเภอธาตุพนม ยังมีจำนวนที่ต้องการทะเบียนสำหรับกลุ่มนี้อยู่อีกมาก โดยการลงทะเบียนในวันนี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือประชาชนที่มาสแกนใบหน้าและมาลงทะเบียนใหม่ โดยในส่วนของผู้ที่สแกนใบหน้านั้นเราได้มีการเก็บข้อมูลไปบันทึกในระบบของกรุงไทย ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์แล้ว ดังนั้นในวันนี้ 400 กว่าคนจะมาเฉพาะเรื่องของการสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนเท่านั้น ส่วนอีกกลุ่มที่อาจจะไม่ว่างมาในวันที่ 17 ที่ผ่านมาจะต้องมาลงทะเบียนเพิ่มเติมและสแกนใบหน้าให้แล้วเสร็จในวันนี้

ทั้งนี้ในส่วนของผู้ต้องการช่วยเหลือพิเศษ ประเภทผู้ป่วยติดเตียง คนพิการที่ไม่สามารถเดินทางมาได้นั้น ต้องรอความชัดเจนจากส่วนกลางอีกนิดนึงว่าจะให้ทำอย่างไร เพราะการแสกนใบหน้าจะต้องมีการหลับตา กระพริบตาเพื่อเก็บลักษณะของม่านตา ซึ่งผู้ป่วยบางรายก็ไม่อาจจะสามารถทำได้ และในตอนนี้ธนาคารกรุงไทยส่วนกลาง กำลังประสานกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่าจะต้องปฏิบัติเกี่ยวกับผู้ป่วยติดเตียงประเภทนี้อย่างไร

ในส่วนการลงทะเบียนวันนี้เริ่มมาตั้งแต่เวลา 08:00 น. ซึ่งเราจะทำการลงทะเบียนให้จนกว่าจะครบหมดทุกคน สำหรับข้อมูลจำนวนผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนที่เราได้มีการลงพื้นที่ใน 12 อำเภอ และมีการเก็บตัวเลขของแต่ละอำเภอแต่ละท้องที่ตั้งแต่วันที่ 15 จนถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไม่รวมเสาร์อาทิตย์นี้ รวมแล้วประมาณ 27,000 คน และในส่วนตรงนี้ก็อยากประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมในเรื่องของการลงทะเบียน โครงการเราชนะนี้ สำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือกลุ่มพิเศษนี้ ยังสามารถลงทะเบียนได้จนถึงวันที่ 5 มีนาคม 2564 และในวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป นอกจากธนาคารกรุงไทยแล้วก็ยังจะมีธนาคาร ธกส. และธนาคารออมสินทุกสาขาที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านท่าน ที่ประชาชนสามารถจะเดินทางไปใช้บริการได้เลย นอกจากนี้กระทรวงการคลังก็ยังเปิดช่องทางพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นอีกในส่วนของสำนักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ โดยจังหวัดนครพนม สำนักงานคลังจังหวัดนครพนมจะมีการเปิดให้บริการที่บริเวณศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม รวมถึงสำนักงานสรรพากร สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ ทั้งในระดับจังหวัด หรืออำเภอที่มีสาขาตั้งอยู่ก็เปิดให้บริการที่สำนักงานเช่นเดียวกัน

ด้าน นางพิศมร โพธิศรหนึ่งในผู้ที่มารับบริการในวันนี้ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมารับบริการนั้นมีความสะดวกสบาย เจ้าหน้าที่ให้มาสแกนใบหน้าแล้วก็ขึ้นมารับฟังคำอธิบายเกี่ยวกับการวิธีการใช้สิทธิ์ ซึ่งขั้นตอนการใช้สิทธิ์ก็ไม่ยุ่งยากอะไร คือในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ให้ถือบัตรประชาชนไปที่ร้านค้าพร้อมกับรหัสที่ตนเองได้รับไปให้ร้านค้าตรวจเช็คให้ว่าเรามีสิทธิ์หรือไม่อย่างไร โดยเงินจะเข้างวดแรกในวันที่ 5 มีนาคม 2564

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

นครพนม จับมือทุกภาคส่วนขับเคลื่อนโครงการนครพนมสร้างสุข บำบัดทุกข์ด้วยชุมชนท้องถิ่น สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชน

   วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บริเวณศาลาเทิดพระเกียรติ 5 ธันวามหาราช บ้านนาจอก หมู่ที่ 5 ตำบลหนองญาติ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นประธานนำหัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม กลุ่มและองค์กรเครือข่ายต่าง ๆ ของจังหวัดนครพนม รวม 20 หน่วยกล่าวปฏิญาณตนแสดงเจตนารมณ์ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการที่จะร่วมมือกันขับเคลื่อนโครงการนครพนมสร้างสุข บำบัดทุกข์ด้วยชุมชนท้องถิ่น (Nakhon Phanom Happy Creation) ในการขับเคลื่อนงานโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อทำให้ประชาชนในพื้นที่ 12 อำเภอ 98 ตำบล 1,130 หมู่บ้าน 167,326 ครัวเรือน มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขในยุค New Normal จากนั้นจึงร่วมกันลงนามบันทึกในข้อตกลง

โดยโครงการนครพนมสร้างสุข บำบัดทุกข์ด้วยชุมชนท้องถิ่นนี้ จะมีการให้น้อมนำพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาเป็นแนวทางสร้างความมั่นคงทางอาหาร รณรงค์ให้มีการปลูกผักสวนครัวอย่างน้อย 10 ชนิด การสร้างครัวชุมชนถนนกินได้ การจัดการขยะเปียกเพื่อลดโลกร้อนตามนโยบายประเทศไทยไร้ขยะของรัฐบาล โดยมีอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกเป็นแกนนำ รวมถึงการสร้างพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล ตลอดจนการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ ที่จะมีการเสริมสร้างและพัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาชุมชนไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ เพื่อใช้พลังชุมชนในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร สร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม และสร้างสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนในภาวะวิกฤตของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ภายใต้แนวคิด 1 หมู่บ้านสามารถดูแลได้ทั้งตำบล สร้างความมั่นคงทางอาหารด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง          

พ่อเมืองนครพนม ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจชาวบ้านหนองสังข์ในการขับเคลื่อนหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยว (OTOP Village)

 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ที่จังหวัดนครพนม  นายสุรพล แก้วอินธิ พัฒนาการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า บ้านหนองสังข์ ตำบลหนองสังข์ อำเภอนาแก เป็นหมู่บ้านชนเผ่าไทกะเลิง มีพื้นที่ครอบคลุม 6 หมู่บ้าน (บ้านแฝด) ได้แก่ หมู่ที่ 1,2,7,8,10 และ 11 ซึ่งอัตลักษณ์ของหมู่บ้าน คือ วิถีไทกะเลิงหนองสังข์ ที่เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย โดยมีศิลปะวัฒธรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การรำกลองตุ้ม การรำทอผ้ามุก ส่วนอาหารก็มีเมนูประจำชนเผ่าและเป็นอาหารประจำธาตุที่เป็นโยชน์และให้พลังงานต่อร่างกาย เช่น ไก่ดำต้มหม้อดิน แจ่วบองริมสวน เป็นอาหารประจำธาตุลม แกงขะยุขะยะ ซึ่งเป็นแกงปลาเล็กปลาน้อย กุ้งฝอย แมงเหนี่ยว ใส่ผักรวม เป็นอาหารประจำธาตุน้ำ และข้าวฝันซึ่งเป็นอาหารหวานเป็นอาหารประจำธาตุดิน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ผ้าพื้นเมืองลายโบราณบ้านหนองสังข์ ที่มีอายุลายผ้ามากกว่า 100 ปี  ซึ่งในอดีตผ้าที่ทอจะถูกนำไปใช้ในงานพิธีมงคลต่างๆ เท่านั้น เช่น งานบวช งานแต่งงาน และไม่ได้ทอให้มีลวดลายที่หลากหลายมาก แต่ปัจจุบันกลุ่มทอผ้าได้คิดค้นรูปแบบ รูปลักษณ์และลวดลายเพิ่มเติม เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัยและความชื่นชอบของบุคคลทั่วไป สามารถใช้ได้ในทุกโอกาส ซึ่งจะมีทั้ง เครื่องนุ่งห่ม ผ้าคลุมไหล่ เครื่องประดับตกแต่งบ้าน ทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทั้งหมดคนในชนเผ่าต่างก็มีการสืบสานศิลปวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงานของบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

และรัฐบาลก็มีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำของสังคม สร้างโอกาสให้กับประชาชนเข้าถึงบริการของรัฐ มุ่งเน้นการสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคง โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เกิดความเข้มแข็งส่งผลให้ประชาชนในชุมชนมีความรักสามัคคีกลมเกลียว ดังนั้นหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในระดับอำเภอและจังหวัดจึงได้มีการสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาหมู่บ้านชนเผ่าไทกะเลิงให้เป็นหมู่บ้าน OTOP เพื่อการท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนม ภายใต้สโลแกน “ล่องเรือชมหนองสังข์ นั่งซาเล้งแยงวิถีไทกะเลิง เบิ่งผ้าโบราณจกหีแข้” และพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวให้มีการเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ของจังหวัดนครพนม เช่น องค์พระธาตุพนมที่มีพุทธศาสนิกชนให้ความเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีการขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องและเพื่อเป็นการให้กำลังใจประชาชนในพื้นที่เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจึงได้นำคณะลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจโดยได้ไปเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ทอผ้าพื้นเมืองบ้านหนองสังข์ "พระธรรม" วัดศรีเจริญสุข หมู่ที่ 10 เยี่ยมชมกลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านหนองสังข์ หมู่ที่ 10 กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านหนองสังข์ "ครามอินดี้" หมู่ที่ 2 และนั่งซาเล้งชมโครงการพระราชดำริอ่างเก็บน้ำหนองสังข์ สวนสาธารณะดอนตาทอง หมู่ที่ 7 ชมวิถีการทำมาหากิน ที่เป็นวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายของชาวบ้านหนองสังข์ที่มีความผูกพันกับน้ำ ที่มีการสืบทอดต่อกันมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน  

เกษตรกรนครพนมเฮผลผลิตมันฝรั่งเพิ่มขึ้น รวมใจลงแขกลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ของคนในชุมชน

 

 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ตำบลยอดชาด อำเภอวังยาง จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกษตรกรบ้านยอดชาด มีการปลูกมันฝรั่งเพื่อจำหน่ายทดแทนการปลูกข้าวนาปรังหลังฤดูทำนา บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเกษตรกร ที่เดินทางมาช่วยกันลงแขกเก็บเกี่ยวผลผลิตมันฝรั่งสดเพื่อนำไปจำหน่ายให้กับตัวแทนบริษัทที่มารับซื้อในราคากิโลกรัมละ 11 บาท เป็นการช่วยกันลดรายจ่ายของแต่ละคนทำให้ทุกคนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งยังเกิดความรักความสามัคคีของคนในชุมชนอีกด้วย

นางเทพธิดา แสนสุริวงค์ หนึ่งในเกษตรกรบ้านยอดชาด เปิดเผยว่า  ตัวเองและครอบครัวมีการปลูกมันฝรั่งมาได้ประมาณ 4-5 ปีแล้ว เพราะมองว่ามีรายได้สูงกว่าการทำนาปรัง ทั้งยังใช้น้ำน้อยกว่าและเหมาะกับพื้นที่ของตนเองที่อยู่ห่างจากคลองส่งน้ำ ซึ่งชาวบ้านในละแวกนี้มีการปลูกอยู่ประมาณ 70-80 ราย โดยการลงทุน 1 ไร่จะอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นกว่าบาท ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว แต่ละคนจะมีกำไรประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนว่ามีความขยันขนาดไหน สามารถดูแลแปลงมันฝรั่งได้ดีมากน้อยเพียงใด ส่วนขั้นตอนการปลูกนั้น ก็ไม่ได้ถือว่ายุ่งยากอะไรมากมาย เริ่มจากการไถดินยกรองแปลงปลูก จากนั้นก็นำพันธุ์มันฝรั่งที่ซื้อมาทำการผ่าตรงกลางให้ได้ประมาณ 8 ชิ้นแล้วนำไปคลุกปูนขาว รอประมาณ 1 อาทิตย์ก็นำลงแปลงปลูก รดน้ำ พอต้นเริ่มโตก็ทำการกลบ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการดูแลบำรุงรักษาของแต่ละคน ส่วนระยะเวลาการปลูกจะอยู่ที่ประมาณ 70 วันก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว ซึ่งการรวมกลุ่มลงแขกเก็บผลผลิตของชาวบ้านยอดชาดแห่งนี้ก็เพราะต้องการให้ทุกคนมีรายได้สูงขึ้น เป็นการลดต้นทุนการผลิตให้กับทุกคน ทั้งยังได้แลกเปลี่ยนแนวความคิด วิธีการผลิต การดูแลแปลงของแต่ละคนไปด้วยระหว่างทำงาน ซึ่งแต่ละวันก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเก็บในแต่ละแปลงให้ได้ตามจำนวนที่บริษัทต้องการในแต่ละวันที่อยู่ประมาณ 1,400 กระสอบ ซึ่งการปลูกมันฝรั่งในช่วงแล้งนี้เมื่อจำหน่ายแล้วทุกคนมีรายได้มาหล่อเลี้ยงครอบครัวแบบไม่เดือดร้อน บางคนมีรายได้เหลือพอที่จะซื้อรถมอเตอร์ไซค์แบบเงินสดได้เลย ส่วนตัวเองจะเก็บเงินส่วนนี้ฝากไว้ให้ลูกได้เรียนหนังสือ โดยในปีนี้ทุกคนต่างก็ยิ้มออกเพราะมีผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีหน่วยงานเข้ามาให้ความรู้เรื่องต้นพันธุ์ และวิธีการดูแลที่ถูกต้อง

  ด้านนายวินัย คงยืน หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต เปิดเผยว่า วันนี้ได้ลงพื้นที่เยี่ยมเกษตรกรผู้ปลูกมันฝรั่งหลังฤดูทำนา ซึ่งการปลูกมันฝรั่งเป็นการปลูกพืชน้ำน้อยที่มีตลาดรับซื้อที่แน่นอนและมีการประกันรายได้ให้ด้วย โดยหลังจากนี้ทางหน่วยงานจะเข้ามาส่งเสริมให้เกษตรกรบ้านยอดชาดเข้าสู่ระบบเกษตรแปลงใหญ่ ที่มีมาตรฐาน GAP เพื่อให้เป็นการเกษตรที่เหมาะสม เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องของสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ว่าผลผลิตเยอะ รายได้สูง แต่สุดท้ายแล้วสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไม่ประสบความสำเร็จ มันไม่ตอบโจทย์ในเรื่องการส่งเสริมหรือทำให้มันฝรั่งเป็นทางเลือกในการปลูกพืชหลังนาหรือพืชน้ำน้อย

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

คณะกรรมการมูลนิธิฯ ลงพื้นที่นครพนมติดตามงานสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินีบ้านนาทม

 

 วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินีบ้านนาทม ตำบลนาทม อำเภอนาทม จังหวัดนครพนม นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข  ประธานคณะกรรมการตรวจเยี่ยมมูลนิธิพัฒนาสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี นำคณะกรรมการฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสร้างขวัญกำลังใจและติดตามผลการดำเนินงานของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินีบ้านนาทม เพื่อรับทราบปัญหา อุปสรรคในการปฏิบัติงาน และหาแนวทางร่วมกันในการสนับสนุนสถานีมัยเฉลิมพระเกียรติฯ แห่งนี้ ในการพัฒนาระบบการบริการด้านสาธารณสุข ด้านการพยาบาล ให้เต็มไปด้วยคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีความสง่างาม สมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีพระเมตตาห่วงใยสุขภาพพลานามัยของประชาชนในถิ่นทุรกันดาร โดยมีนายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายแพทย์มานพ ฉลาดธัญญกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม คณะแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอนาทม สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับและรายงานผลการดำเนินงาน

ซึ่งการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ทางสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินีบ้านนาทมได้บรรยายสรุปผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาขีดความสามารถบุคลากร วัสดุอุปกรณ์และสถานที่เพื่อรองรับการให้บริการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงพัฒนาไปสู่คลินิกหมอครอบครัวที่เกิดการเชื่อมโยงทุกภาคส่วน เพื่อให้ระบบบริการสามารถบริการให้ทุกคนได้ในทุกที่ ทุกอย่าง และทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือประชาชนมีสุขภาพที่ดี จนผ่านเกณฑ์รับรองการพัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ติดดาว โดยในรอบปี 2563 มีการให้บริการรักษาพยาบาลให้กับประชาชนในเขตพื้นที่รับผิดชอบและพื้นที่ใกล้เคียงจำนวน 5,749 ครั้งในผู้มารับบริการ 2,796 คน เฉลี่ย 16 คนต่อวัน

 นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานีอนามัย เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี ซึ่งสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติแบบนี้ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2535 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสพระชนมายุ 60 พรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งตั้งแต่เริ่มจนถึงทุกวันนี้ มี 92 แห่งทั่วประเทศ โดยจะเป็นสถานีอนามัยขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมของบุคลากร เครื่องมือและอุปกรณ์ในการดูแลช่วยเหลือประชาชน และส่วนใหญ่จะเป็นสถานีอนามัยที่อยู่ห่างไกล อยู่ในถิ่นทุรกันดารเพื่อให้บริการประชาชน ซึ่งผลการดำเนินงานของสถานีอนามัยแห่งนี้เป็นที่น่าชื่นชมว่า บุคลากรทุกท่านได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ในทุกมิติด้านสุขภาพของพี่น้องประชาชน ทั้งในแง่ของการบริหารงาน การดูแลพี่น้องประชาชน การดูแลเครือข่ายได้เป็นอย่างดียิ่ง และในโอกาสนี้ทางคณะกรรมการก็ได้เสนอเพิ่มเติม ในเรื่องของการดูแลพี่น้องประชาชนผ่านทางระบบออนไลน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเข้ามาเพิ่มการให้บริการที่ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นผู้ป่วยเรื้อรังต่างๆ อีกทั้งในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส covid-19 ที่ทำให้ประชาชนไม่สะดวกในการเข้ามารับบริการ เพราะฉะนั้นการใช้ระบบออนไลน์ต่างๆ ก็จะช่วยให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงการบริการที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งในด้านการให้คำปรึกษา การรับยา และการจัดส่งยา

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ม.นครพนม จับมือ อปท. ขับเคลื่อนรากแก้วให้ประเทศ แก้ปัญหาความยากจน

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานและเป็นสักขีพยานในลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างมหาวิทยาลัยนครพนม กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดนครพนม เพื่อบูรณาการงานร่วมกันในการขับเคลื่อนโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศ หรือ “U2T” สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับการแก้ปัญหาความยากจนในตำบลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการพัฒนากลไกการทำงานร่วมมือกันระหว่างประชาชนในพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมหาวิทยาลัย ตามนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการวางแผนยุทธศาสตร์ของระบบอุดมศึกษา และการพลิกโฉมมหาวิทยาลัยในประเทศไทย (Reinventing University) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ศักยภาพของการเรียน และองค์ความรู้ของบัณฑิตให้ตรงกับสังคมและยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด

นายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ประเทศไทย 4.0 (มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน) เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง มีความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่งและความไม่สมดุลในการพัฒนา อีกทั้งยังติดอยู่ในโมเดลเศรษฐกิจแบบ “ทำมากได้น้อย” จึงจะต้องปรับเปลี่ยนให้เป็น “ทำน้อยได้มาก” โดยเปลี่ยนจากการผลิตสินค้า “โภคภัณฑ์” ไปสู่สินค้าเชิง “นวัตกรรม” และเปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรมไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม ซึ่งเป็นนโยบายที่ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงของมหาวิทยาลัยนครพนมและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครพนม จำนวน 103 แห่ง องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง และสำนักงานส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 1 แห่ง รวมทั้งสิ้น 105 แห่ง ในครั้งนี้จะเป็นการยกระดับขีดความสามารถของบุคลากร ทั้งการดำเนินการด้านการศึกษา การวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มีการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกันเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของชุมชน เกิดเครือข่ายในการพัฒนาพื้นที่ ทำให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ด้วยการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และเทคโนโลยีเข้าไปช่วยพัฒนาศักยภาพคนในชุมชน ซึ่งจะตอบโจทย์เป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่  12 ที่จะขับเคลื่อนไปสู่การเป็นประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาล


สปข.​2 ​สำรวจความพึงพอใจ ความคาดหวัง ความต้องการ จากบริการของสื่อกรมประชาสัมพันธ์ (เฉพาะสื่อวิทยุและสื่อออนไลน์)

 

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ที่จังหวัดนครพนม นางทัศนีย์  ผลชานิโก รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นประธานนำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ สำนักประชาสัมพันธ์เขต 2 ทำกิจกรรมสำรวจความพึงพอใจ ความคาดหวัง ความต้องการ จากบริการของสื่อกรมประชาสัมพันธ์ (เฉพาะสื่อวิทยุและสื่อออนไลน์) ในโรงเรียน จากตัวแทนเยาวชนที่เป็นสมาชิกชมรมทูบีนัมเบอร์วัน อายุระหว่าง 16-22 ปี และคณะครูอาจารย์จากสถานศึกษาในพื้นที่ 9 จังหวัด ประกอบด้วย นครพนม มุกดาหาร บุรีรัมย์ ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สุรินทร์ อำนาจเจริญและอุบลราชธานี โดยก่อนการสำรวจจะมีการอธิบายแล้วสร้างการรับรู้ให้ทุกคนได้รู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านสื่อวิทยุกระจายเสียงและสื่อออนไลน์ของกรมประชาสัมพันธ์ก่อน จากนั้นจึงจะให้ตอบแบบสอบถามว่าชอบหรือไม่ชอบในส่วนใด และอยากให้กรมประชาสัมพันธ์ทำอะไร หรืออยากจะมาทำอะไรร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพื่อสร้างการรับรู้สู่ประชาชน

โดยผู้ที่เป็นตัวแทนเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้นอกจากจะได้รับรู้ถึงการดำเนินงานของกรมประชาสัมพันธ์แล้ว ยังจะได้ฝึกทักษะในการจัดรายการวิทยุและการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ (คลิปวีดีโอ) ด้วยแอพพิคเคชั่นมือถือ รวมถึงได้รับการปลูกจิตสำนึกในการทำความดีละเว้นความชั่ว จากพลเอก ศรุต นาควัชระ กรรมการบริหารมูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณลสูลานนท์ อีกด้วย

รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นำทีม สปข.​2 ​สร้างเยาวชนคนพันธุ์​ใหม่ไม่เอาทุจริต

 

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ที่จังหวัดนครพนม นางทัศนีย์  ผลชานิโก รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นประธานปิดการฝึกอบรมค่ายเยาวชนคนพันธุ์ใหม่ไม่เอาทุจริต ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สำนักประชาสัมพันธ์เขต 2 จัดขึ้น ภายใต้โครงการประชาสัมพันธ์การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจำปีงบประมาณ 2564 เพื่ออบรม ปลูกฝังจิตสำนึกให้แก่เยาวชนจากสถานศึกษา 10 แห่งในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด ยโสธร นครพนม มุกดาหาร และจังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 40 คน ให้ได้เห็นถึงความสำคัญในการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ การปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและของประเทศชาติ การเห็นผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน การมีความซื่อสัตย์สุจริตโดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานและกลายเป็นเครือข่ายที่สำคัญในการขยายผลคนพันธุ์ใหม่ไม่เอาทุจริตในสถานศึกษา ครอบครัว ชุมชนและสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ

นางทัศนีย์  ผลชานิโก รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวว่า เยาวชนทุกคนถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศชาติเป็นอย่างมาก ซึ่งการมาเรียนรู้ในครั้งนี้แม้จะเป็นระยะเวลาเพียงสั้น ๆ แต่ทุกคนก็ได้เรียนรู้และเข้าใจในการต่อต้านการทุจริตเป็นอย่างดี รวมถึงมีเทคนิคและวิธีการประชาสัมพันธ์ใหม่ ๆ เพื่อนำไปขยายผลต่อดังจะเห็นได้จากผลงานการผลิตอินโฟร์กราฟฟิคและคลิปวิดีโอ ที่ได้ร่วมกันทำขึ้นมา ซึ่ง สะท้อนปัญหาได้เป็นอย่างดี มีการสอดแทรกข้อคิด สติเตือนใจ และแนวทางการป้องกันเอาไว้ในเนื้อหาที่ทันสมัยเข้าถึงกลุ่มวัยเดียวกันได้เป็นอย่างดี ดังนั้นหลังจากนี้จึงอยากฝากเยาวชนที่ผ่านการอบรมในครั้งนี้ได้นำเอาองค์ความรู้ที่ได้รับไปขยายผลต่อยังเพื่อน ๆ ในสถานศึกษา พ่อแม่พี่น้อง บุคคลในครอบครัวและชุมชนด้วย เพราะถ้าเราทุกคนมีจุดหมายเดียวกันสังคมของเราก็จะปราศจากการทุจริตคอรัปชั่นอย่างแน่นอน

สปข.2 สร้างความพร้อมด้านการประชาสัมพันธ์รับมือภาวะวิกฤต ลดความสูญเสียและผลกระทบด้านสาธารณภัย

 

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “เตรียมความพร้อมแห่งชาติและแผนป้องกันบรรเทาสาธารณภัย” ตามโครงการประชาสัมพันธ์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประจำปี 2564 ที่สำนักประชาสัมพันธ์เขต 2 จัดขึ้น เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดสำนักประชาสัมพันธ์เขต 2 (สปข.2)  ทั้ง 9 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ตลอดจนเครือข่ายสื่อมวลชน เกี่ยวกับการบริหารจัดการสื่อในภาวะวิกฤต และแนวทางการประชาสัมพันธ์ที่ถูกต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ ก่อนที่จะมีการแบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็นและฝึกปฏิบัติการ ซ้อมแผนในภาวะวิกฤติแบบบนโต๊ะ (Table – Top Exercise) ด้วยการจำลองสถานการณ์ภาวะวิกฤต เพื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงวิธีและขั้นตอนการปฏิบัติ เป็นการเตรียมความพร้อม ว่าเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินด้านสาธารณภัยแล้ว ทุกคนจะสามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารสู่ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วนและรวดเร็ว

นอกจากนี้ผู้ที่เข้าร่วมการประชุม ยังจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ในภาวะวิกฤติจากนางทัศนีย์  ผลชานิโก รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของสื่อมวลชนในภาวะวิกฤต ประกอบไปด้วยการปฏิบัติงานในสถานการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ การปฏิบัติงานในสถานการณ์อุบัติเหตุและอุบัติภัยร้ายแรง การปฏิบัติงานในสถานการณ์โรคและภัยสุขภาพ การปฏิบัติงานในสถานการณ์จลาจล การปฏิบัติงานในสถานการณ์ก่อวินาศกรรมหรือก่อการร้ายรวมถึงได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวความคิดในเวทีเสวนา เรื่อง “ภาครัฐ – สื่อมวลชน กับการบริหารข้อมูลข่าวสารในภาวะวิกฤต” จากผู้มีความรู้และประสบการณ์ด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 

โดยในโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ยังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน โดยได้ยกตัวอย่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ให้ทุกคนได้เห็นว่าทุกคนต้องมีการปรับตัวเองมากขึ้น เพราะในทุกวันนี้ทุกคนถือเป็นสื่อหมดแล้ว เนื่องจากมีเทคโนโลยีต่าง ๆ มาสนับสนุน มีมือถือที่พร้อมถ่ายรูปและเผยแพร่ได้ทันที ดังนั้นการประชาสัมพันธ์ที่ดีจึงต้องมีข้อมูลที่ครบถ้วน มีแหล่งที่มาที่ยืนยันได้ จึงจะเกิดความน่าเชื่อถือ ดังนั้นเราจึงมีความจำเป็นต้องรู้เท่าทันสถานการณ์ ต้องเป็นทั้งผู้ที่เสพข้อมูลและผู้ที่กระจายข่าวสารที่ถูกต้อง ครบถ้วน เพราะถ้าผิดพลาดจะส่งผลกระทบต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมาย รวมถึงต้องมีการบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนที่จะมาร่วมกันเผยแพร่สื่อสารออกไปให้ประชาชนได้รับรู้ ซึ่งการสื่อสารในภาวะวิกฤตระหว่างผู้นำกับประชาชนถือว่ามีความจำเป็นอย่างมาก ยิ่งสามารถสื่อสารได้เร็วเท่าไหร่ก็จะสามารถคุมสถานการณ์ได้เร็วเท่านั้น เพราะประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องและรู้เท่าทันเหตุการณ์

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ผู้ว่านครพนม ปฏิบัติการฟ้าสางที่ฝั่งโขงกวาดบ้านตัวเอง ซุ่มเงียบตรวจฉี่บุคคลากรที่ทำงานในศาลากลางทุกคน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดนครพนม (ศอ.ปส.จ.นพ.) สั่งกำลังพลปฏิบัติการซุ่มเงียบตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดในร่างกายบุคลลากรทุกคน ไม่ว่าจะเป็น หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ พนักงานราชการ ลูกจ้าง และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ที่มาปฏิบัติหน้าที่ในศาลากลางจังหวัดนครพนมหลังเก่าและหลังใหม่ ต้อนรับการเปิดทำงานวันแรก หลังมีการหยุดติดต่อกันหลายวันในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดในร่างกายในครั้งนี้ เป็น 1 ใน 4 มาตรการของยุทธการฟ้าสางที่ฝั่งโขง ซึ่งเป็นนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมที่มีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกัน ปราบปราม และกำจัดยาเสพติดให้หมดไปจากพื้นที่ ภายใต้มาตรการกวาดบ้าน โดยผลการตรวจปัสสาวะของบุคคลากรในวันนี้ที่มาปฏิบัติหน้าที่ที่ศาลากลางจังหวัดนครพนม จำนวน 70 % ไม่พบมีใครที่มีผลเป็นบวก  ส่วนบุคคลากรที่ยังไม่ได้ตรวจจะต้องไปตรวจที่ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดนครพนม (ศอ.ปส.จ.นพ.) ในวันพรุ่งนี้ทั้งหมด อย่างไรก็ดีมาตรการเช่นนี้จะยังคงมีการสุ่มตรวจไปเรื่อย ๆ และจะไม่มีการแจ้งล่วงหน้า เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและป้องปรามบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐทุกคนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งนี้หัวหน้าส่วนราชการนั้นๆ จะต้องรับผิดชอบสอดส่องดูแลเจ้าหน้าที่ ทั้งข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างในสังกัด ไม่ให้เข้าไปมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หากปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ในสังกัดมีพฤติกรรมเกี่ยวข้อง ให้ถือว่าเป็นความบกพร่องของหัวหน้าหน่วยงานที่ปล่อยปละละเลย และกำหนดให้มีการตรวจหาสารเสพติดในร่างกายเป็นข้อหลักในการตรวจสุขภาพประจำปีของหน่วยงานนั้นๆ ด้วย

ส่วนมาตรการกวาดล้างยาเสพติด ซึ่งเป็นการระดมปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายยาเสพติด โดยให้อำเภอทุกแห่งร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ทั้งตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครอง ทำการปิดล้อมตรวจค้นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ปรากฏว่ามีผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 มกราคม 2564 โดยสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ 1,069 คน 1,050 คดี ตรวจยึดของกลางเป็นยาบ้าจำนวน 7,415,742 เม็ด กัญชา 2,650 กิโลกรัม ไอช์ 2,324 กรัมและเฮโรอีน 257 กิโลกรัม  นอกจากนี้ยังมีมาตรการจัดตั้งจุดตรวจชุมชน ด่านตรวจชุมชนป้องกันยาเสพติด ซึ่งจะให้อำเภอทุกแห่ง กำชับให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน อาสาสมัครอื่นๆ ร่วมกันจุดตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจชุมชน รวมทั้งลาดตระเวนในเขตหมู่บ้านชุมชนของตนเอง เพื่อเฝ้าระวังป้องกันยาเสพติดในหมู่บ้านชุมชนของตนเอง สร้างพื้นที่ปลอดภัยจากยาเสพติด หากพบสิ่งผิดกฎหมายจะมีการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และแจ้งหน่วยงานต้นสังกัดให้ทราบ และมาตรการบำบัดรักษาผู้เสพผู้ติดยาเสพติด ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา