วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2566

จ.นครพนม ประกอบพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์จุดเรือไฟไหลโชว์นักท่องเที่ยว พร้อมขบวนแห่ปราสาทผึ้ง

วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณศาลหลักเมืองจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในการประกอบพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เพื่อให้พสกนิกรจังหวัดนครพนมได้ใช้จุดตะเกียงไฟให้เกิดความเป็นสิริมงคล เกิดแสงสว่างและลวดลายบนเรือไฟที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันนานนับเดือน สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นประทีปพุทธบูชาในวันออกพรรษา เป็นการสืบสาน ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม ที่ถือเป็นหนึ่งเดียวของโลกที่มีความสวยงาม วิจิตรตระการตา ให้คงอยู่ไปตราบนานเท่านาน

โดยกิจกรรมในครั้งนี้จังหวัดนครพนมได้มีการจัดขบวนแห่อย่างสวยงามและสมพระเกียรติเพื่ออัญเชิญไฟพระฤกษ์ พระราชทานให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เห็นและรับรู้รับทราบ เริ่มตั้งแต่บริเวณหน้าธนาคารกสิกรไทย ถนนอภิบาลบัญชา เรื่อยมาจนถึงหน้าศาลหลักเมืองที่เป็นสถานที่รวมจิตใจ เป็นหลักชัยของบ้านเมืองของชาวนครพนม จากนั้นประธานในพิธีได้นำทุกคนประกอบพิธีทางศาสนา และประกอบพิธีจุดไฟพระฤกษ์ เพื่อส่งมอบต่อให้กับนายอำเภอทั้ง 12 อำเภอ ได้นำไปจุดตะเกียงของเรือไฟแต่ลำที่จะมีการปล่อยไหลโชว์เริ่มตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานในวันนี้ได้รับชมความสวยงามของลวดลายที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละอำเภอ

นอกจากนี้ยังมีการจัดขบวนแห่ปราสาทผึ้งของแต่ละชุมชนในเขตเทศบาลเมืองนครพนม ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดสร้างขึ้นมาตามความเชื่อและความศรัทธาเกี่ยวกับวันออกพรรษา ที่มีการผสมผสานภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อสร้างสรรค์ประติมากรรมให้ออกมามีความสวยงามเพื่อเป็นพุทธบูชา โดยการแห่ปราสาทผึ้งของชาวอีสาน ถือว่าเป็นการทำบุญด้วยการถวายต้นผึ้ง เป็นการสร้างบุญกุศลที่สูงส่งในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อมาโปรดเวรนัยสัตว์ในโลกมนุษย์ให้พ้นทุกข์ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเปิดโลกทั้ง 3 ได้แก่ สวรรค์ มนุษย์ และนรก ให้มองเห็นความเป็นอยู่ซึ่งกันและกัน และด้วยพุทธานุภาพแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวบ้านจึงได้มองเห็นต้นผึ้งที่ตนทำถวายตามความปรารถนาที่ตั้งไว้ และด้วยภูมิปัญญานี้ยังส่งผลให้ทุกคนในชุมชนเกิดความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะกว่าจะได้มาซึ่งปราสาทผึ้งทุกคนต้องช่วยกัน จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เทียนและสิ่งต่าง ๆ เพื่อนำมาประดิษฐ์เป็นปราสาท และด้วยขั้นตอนการประดิษฐ์แต่ละชิ้นที่มีความละเอียดอ่อนจึงเกิดเป็นความร่วมมือ ร่วมใจ หล่อหลอมให้ทุกคนมีความรัก ความสามัคคี กลายเป็นความยั่งยืนของชุมชน จึงนับได้ว่าเป็นประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของชาวอีสานที่ควรค่ายิ่งในการเก็บรักษา ซึ่งในวันนี้ชาวนครพนมพยายามที่จะทำให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้เห็น ว่าที่ผ่านมาบรรพบุรุษของเราพาทำเช่นไร ลูกหลานต้องปฏิบัติอย่างไร เพื่อที่ทุกคนได้เห็นและเข้าใจถึงคุณค่า และหันมาร่วมกันรักษา สืบสาน และต่อยอดให้คงอยู่สืบไปตราบนานเท่านาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น