วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563

7 ชมรมทูบีนัมเบอร์วันนครพนมเฮ คว้าชัยเป็นตัวแทนภาคอีสานไปต่อระดับประเทศ


วันที่ 30 มกราคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายแพทย์จิณณพิภัทร ชูปัญญา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่จังหวัดนครพนมได้น้อมนำแนวทางการดำเนินงานโครงการ TO BE NUMBER ONE ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี มาเป็นเครื่องมือในการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา โดยยึดหลัก 2 ป. 2บ. คือ ป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษา และบูรณาการ พร้อมขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติในระดับอำเภอ ระดับตำบล และเน้นย้ำให้มีการพัฒนาเยาวชนในจังหวัดนครพนมไปข้างหน้าเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ที่ว่า “ชาวนครพนมมีสุขด้วยวิถี TO BE NUMBER ONE ทุกภาคส่วนร่วมบูรณาการกัน สร้างสรรค์เยาวชนให้เก่งดี” โดยปัจจุบันจังหวัดนครพนมมีสมาชิก TO BE NUMBER ONE มากกว่า 172,201 คน มีชมรม TO BE NUMBER ONE 1,418 ชมรม และศูนย์เพื่อนใจ TO BE NUMBER ONE 327 แห่ง และในโอกาสที่กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เลขานุการโครงการ TO BE NUMBER ONE ได้กำหนดการประกวดผลงานจังหวัด อำเภอและชมรม TO BE NUMBER ONE ระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปี 2563 ในวันที่ 29 มกราคม 2563 ที่โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ราชาออคิด จังหวัดขอนแก่น นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ก็ได้นำคณะทำงานที่เป็นตัวแทนชมรมต่าง ๆ
ของจังหวัดนครพนม จำนวน 12 ชมรม เข้านำเสนอผลงานเพื่อประกวดเป็นตัวแทนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าแข่งขันในระดับประเทศในเดือนกรกฎาคม 2563

ซึ่งผลปรากฏว่า ตัวแทนชมรมต่าง ๆ ของจังหวัดนครพนมสามารถนำเสนอผลงานได้เป็นอย่างดี เป็นที่พอใจของคณะกรรมการจนสามารถคว้าชัยผ่านเข้ารอบในระดับประเทศมากถึง 7 ชมรม ใน 2 กลุ่มประเภท คือ กลุ่มต้นแบบ ประกอบไปด้วย จังหวัด TO BE NUMBER ONE จังหวัดนครพนม ต้นแบบระดับเงิน , ชมรม TO BE NUMBER ONE ชุมชนบ้านนาสมดี ระดับเงินปี 2 และชมรม TO BE NUMBER ONE สถานพินิจฯ จังหวัดนครพนม ระดับเงินปี 1  ขณะที่กลุ่มดีเด่น ประกอบไปด้วย ชมรม TO BE NUMBER ONE สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดนครพนม, ชมรม TO BE NUMBER ONE ชุมชนบ้านนาราชควาย, ชมรม TO BE NUMBER ONE โรงเรียนธาตุพนม และชมรม TO BE NUMBER ONE โรงเรียนอุเทนพัฒนา

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

จังหวัดนครพนม ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

วันที่ 28 มกราคม 2563 ที่วัดไตรภูมิ ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม  นายนรวัฒน์ สวยงาม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ และพสกนิกรจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ตามมติมหาเถรสมาคม เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยมีพระครูสิริปุญญโสภณ เจ้าอาวาสวัดกุญชร เจ้าคณะอำเภอท่าอุเทน เป็นประธานฝ่ายสงฆ์

โดยในเวลา 16.00 น. ประธานในพิธีนำจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพถวายความเคารพ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี  จากนั้น ทุกคนร่วมกันอาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีล เจ้าหน้าที่อาราธนาพระปริตร พระสงฆ์นำผู้ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล
ต่อจากนั้นทุกคนร่วมกันเจริญสมาธิภาวนา เป็นเวลา 99 วินาที และกรวดน้ำเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ก่อนที่ประธานในพิธีจะนำทุกคนกราบลาพระรัตนตรัย และถวายความเคารพลาเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เป็นเสร็จพิธี

ทั้งนี้ คณะสงฆ์จังหวัดนครพนม ร่วมกับจังหวัดนครพนม ได้กำหนดประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลครั้งต่อไป ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ที่วัดศรีวิชัย บ้านศรีเวินชัย ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม เพื่อให้พสกนิกรชาวจังหวัดนครพนมได้แสดงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการบำเพ็ญความดีน้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศล อีกทั้งเป็นการปลูกจิตสำนึกให้ทุกคนมีความรัก ความหวงแหนและเทิดทูนสถาบันหลักของประเทศที่ประกอบไปด้วย สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2563

นครพนม เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ไวรัสโคโรนา


วันที่ 27 มกราคม 2563 ที่ห้องประชุมร่มเกล้า (ชั้น 3) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายแพทย์ธราพงษ์ กัปโก นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานพร้อมเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) เพื่อติดตามสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด รวมถึงเป็นการเตรียมความพร้อมของบุคลากร ทรัพยากร ยาและเวชภัณฑ์หากต้องปฏิบัติการ

โดยศูนย์ EOC ที่ประกอบไปด้วยหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ประกอบไปด้วย กลุ่มภารกิจตระหนักรู้สถานการณ์ กลุ่มภารกิจยุทธศาสตร์และวิชาการ กลุ่มภารกิจประสานงานและเลขานุการ กลุ่มภารกิจสื่อสารความเสี่ยง กลุ่มภารกิจด้านการปฏิบัติการ และกลุ่มภารกิจด่านระหว่างประเทศ จะร่วมกันดำเนินสำรวจและเตรียมความพร้อมของทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของบุคลากร เครื่องมือ อุปกรณ์ ห้องแยกโรคและยาเวชภัณฑ์  การวางแนวทางการปฏิบัติในภาพของจังหวัด เช่น การบริหารจัดการในการเฝ้าระวังคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้า-ออก ณ ด่านสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม – คำม่วน) การเฝ้าระวังคัดกรองผู้ป่วยในพื้นที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่และโรคปอดบวมทุกราย  กระบวนและขั้นตอนในการดูแลรักษา การส่งต่อผู้ป่วยหากเกิดเหตุ รวมไปถึงการรายงานผลการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยแบบรายวัน การจัดทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็วในพื้นที่จังหวัดเพื่อติดตามผู้สัมผัสเชื้อหากเกิดเหตุ และการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ที่ถูกต้องให้กับประชาชน โดยในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมทางไกล Video Conference ชี้แจงและเตรียมความพร้อมกับโรงพยาบาลชุมชนทั้ง 12 อำเภอ

สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 3 – 25 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยที่มีอาการเข้าได้ตามนิยามทั้งหมด 84 ราย ไม่พบผู้ป่วยอาการรุนแรง ในจำนวนนี้ได้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐ 19 ราย (นครปฐม กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี และนครสวรรค์) สถาบันบาราศนราดูร 11 ราย และโรงพยาบาลเอกชน 9 ราย รวม 39 ราย ผู้ป่วยอาการดีขึ้นและได้กลับบ้านแล้วจำนวน 45 ราย โดยประชาชนที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค
ในส่วนของการป้องกันตัวจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปเมืองอู่ฮั่น ตามคำประกาศของทางการจีน หากมีความจำเป็นต้องเดินทางควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชน หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์ และไม่สัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วยหรือตาย และหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว) เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ ควรรับประทานอาหารปรุงสุกร้อน และภายใน 14 วัน หลังเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง หากมีไข้ร่วมกับอาการทางเดินหายใจ ได้แก่ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ควรรีบพบแพทย์ทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทางให้เจ้าหน้าที่ทราบ

ตำรวจท่องเที่ยว 2 ร่วมกับจิตอาสาพระราชทานนครพนม พัฒนาภูมิทัศน์สวนเทิดพระเกียรติสถานที่เสริมสุขภาพประชาชน

วันที่ 27 มกราคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม พลตำรวจตรี พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2  เป็นประธานนำคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกับส่วนราชการ และประชาชนจิตอาสาพระราชทาน ร่วมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ด้วยกันทำความสะอาด ตัดตกแต่งต้นไม้ปรับปรุงภูมิทัศน์ บริเวณสวนเทิดพระเกียรติสมเด็จมหาราชินี ตำบลในเมือง อำเภอเมือง ตามโครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. เราทำความดีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว มอบหมายให้ สถานีตำรวจท่องเที่ยว 4 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 (นครพนม) จัดขึ้น เพื่อร่วมกันทำให้สวนเทิดพระเกียรติแห่งนี้ ซึ่งมีพื้นที่ด้านหนึ่งติดกับถนนสุนทรวิจิตร และอีกด้านติดริมฝั่งแม่น้ำโขง ทำให้ผู้ที่มาเยือนสวนแห่งนี้ได้ชมความงดงามของวิวทิวทัศน์ริมฝั่งโขงไปพร้อมกับการออกกำลังกาย รับอากาศบริสุทธิ์และทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปีเมื่อน้ำโขงลดด้านล่างที่ติดริมฝั่งแม่น้ำโขงจะมีหาดทรายปรากฏขึ้นมาให้ได้ชม ถือเป็นสถานที่พักผ่อนอีกแห่งที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่

โดยสวนเทิดพระเกียรติแห่งนี้ มีเนื้อที่  11  ไร่  21  ตารางวา เดิมเป็นป่าช้าเก่า (ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ) ในปี พ.ศ. 2501 ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในสมัยนั้นได้นำชาวนครพนมล้างป่าช้า และปรับปรุงภูมิทัศน์ให้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เป็นสถานที่ออกกำลังกายที่มีความสวยงามและให้ชื่อว่า สวนลุมนครพนม และเมื่อปี 2515  ได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็นสวนสาธารณะท้ายเมือง และต่อมาเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535  เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงมีพระชนมายุ  60  พรรษา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชาวนครพนม เทศบาลเมืองนครพนมจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น สวนเทิดพระเกียรติสมเด็จมหาราชินี    นอกจากนี้ภายในสวนยังเป็นสถานที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อสัมมะติ 1 ในเจ้าพ่อที่รักษาอาณาบริเวณแถบลุ่มน้ำโขง ที่พระบรมราชา [พรหมมา] เจ้าเมืองมรุกขนคร เจ้าเมืองนครพนมในอดีตอัญเชิญดวงวิญญาณให้มาเป็นมเหศักดิ์หลักเมือง ณ ศาลแห่งนี้  รวมถึงยังเป็นสถานที่ตั้งที่ทำการสถานีตำรวจท่องเที่ยวนครพนมอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2563

เกษตรยุคใหม่ที่ก้าวทันโลกอย่างพอเพียง


อาชีพเกษตรกรรมถือเป็นอาชีพหลักที่คนไทยส่วนใหญ่ ใช้หารายได้มาเลี้ยงครอบครัวและจะเห็นว่า ในโลกปัจจุบันมีองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่เกิดขึ้นมาอยู่เสมอ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ เรามาดูว่าเกษตรรุ่นใหม่ของจังหวัดนครพนม เค้ามีแนวคิดในการทำการเกษตรอย่างไรเพื่อให้อยู่ได้อย่างมีความสุข

นายสุรศักดิ์ เห็มหา เกษตรกรรุ่นใหม่ชาวอำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า การทำการเกษตรของ เกษตรกรรุ่นก่อน หรือเกษตรจากบรรพบุรุษ จะเป็นการทำการเกษตรแบบเชิงเดี่ยวที่รอผลการเก็บเกี่ยวระยะเดียว เช่น การทำไร่ ทำนา เวลาขายข้าวก็ต้องรอค่าใช้จ่าย ซึ่งระหว่างรอก็ไม่มีกิจกรรมที่หารายได้เข้ามา ทำให้เกิดการเป็นหนี้สินเพราะต้องกู้ยืมเงินมาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่การทำการเกษตรแบบผสมผสานที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีแนวทางให้ประชาชนชาวไทย คือการปรับเปลี่ยนพื้นที่ในการทำการเกษตร ที่ต้องทำกิจกรรมทุกอย่างทุกวัน เช่น การทำประมง ปศุสัตว์ พืชผัก โดยในแต่ละวันเราจะขายพวกนี้ออกไปเป็นรายได้ ซึ่งถ้าเรามองว่าอาชีพของเราคือการทำการเกษตร ถ้าสมมุติว่าหมดยุคการทำการเกษตรของเกษตรกรรุ่นก่อนแล้วไม่มีการสืบทอดให้กับทายาทเกษตรกร ก็เหมือนกับว่าเราตัดวงจรห่วงโซ่อาหาร ที่ตราบใดยังมีผู้บริโภคก็ต้องมีผู้ผลิต

สำหรับการทำการเกษตรทุกวันนี้เราสามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเรียนรู้ได้ ไม่ยากสำหรับคนยุคใหม่ที่จะมาทำการเกษตร เพียงแค่เรามีความตั้งใจในการทำการทางเกษตร แล้วก็มีความรู้ทางวิชาการ นำหลักตรงนี้มาปรับเปลี่ยน มาเริ่มทำโดยการลงมือทำก่อนถึงจะเห็นผล เด็กนักเรียนก็สามารถทำได้เช่นกันโดยอาศัยจากผู้ปกครองก่อน ซึ่งต้นทุนในการผลิตถือว่าไม่เยอะและก็ไม่น้อย แต่เราอาศัยหลักการโดยการทดลองทำจากจุดเล็กๆ ก่อน เมื่อประสบผลสำเร็จค่อยขยายไปเรื่อยๆ  ตนเองใช้เวลา 4 ปีแล้วในการทำพื้นที่ตรงนี้กำลังคิดที่จะทำวิสาหกิจชุมชนเพื่อเป็นจุดขยายในสิ่งที่เราทำให้กับชุมชนต่อไป โดยในอนาคตจะทำพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นจุดเรียนรู้สำหรับเกษตรกรและผู้ที่สนใจให้เข้ามาเรียนรู้การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ คือคนที่ไม่มีความรู้ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน สามารถมาเรียนรู้ตรงนี้ได้เลย ก่อนที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการทำการเกษตรของตนเองต่อไป
เราจะเห็นว่าแม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ถ้าทุกคนมีการยอมรับและปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ ๆ บนพื้นฐานของความพอเพียงและเผื่อแผ่ เราก็ยังคงมีความสุขได้เสมอทุกที่ ทุกเวลา

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563

เกษตรกรปลูกดอกดาวเรือง รับได้รับอานิสงส์จากเทศกาลตรุษจีน ยอดสังจองจนผลิตไม่ทัน


วันที่ 24 มกราคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศเทศกาลตรุษจีนไม่เพียงร้านค้าที่จำหน่ายเสื้อผ้า ของเซ่นไหว้เท่านั้นที่ได้รับความนิยม แต่ร้านอาหารต่าง ๆ ก็เต็มไปด้วยประชาชนและนักท่องเที่ยวที่พาครอบครัวออกไปรับประทานอาหารเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อเกษตรกรที่ปลูกดอกดาวเรืองขายเช่นกัน เพราะชาวไทย ชาวลาว ชาวไทยเชื้อสายจีนและเวียดนามในจังหวัดนครพนม มีความเชื่อกันว่าดอกดาวเรืองเป็นดอกไม้มงคล ที่เมื่อนำไปประดับตกแต่งบ้านเรือนและร้านค้าแล้ว จะทำให้คนในบ้านอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ร้านค้ามีความเจริญรุ่งเรืองเหมือนชื่อดอกไม้ ดังนั้นจึงมีการสั่งจองไปยังเกษตรกรผู้ปลูกกันล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาดอกดาวเรืองในช่วงนี้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว จากปกติดอกละประมาณ 50 สตางค์ เป็นดอกละประมาณ 1 บาท คาดมีเงินหมุนเวียนกว่า 50,000 บาท

นางประพาส  ลีคำ หนึ่งในเกษตรกรที่ปลูกดอกดาวเรืองบ้านดอนโมง หมู่ที่ 4 ตำบลหนองญาติ อำเภอ เมือง จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ช่วงใกล้ปีใหม่และตรุษจีนของทุกปี ชาวบ้านแถวนี้จะมีการปลูกดอกดาวเรืองเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติเพราะได้รับความนิยมจากพ่อค้าและประชาชนในพื้นที่ ที่จะนำไปประดับตกแต่งตามบ้านเรือนและร้านค้าของตนเองให้มีความสวยงาม โดยเฉพาะช่วงตรุษจีนถือว่าได้รับความนิยมเป็นพิเศษเพราะคนในพื้นที่ที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนและเวียดนาม จะมีการสั่งจองล่วงหน้าเยอะมากจนแต่ละคนผลิตไม่ทัน โดยราคาดอกดาวเรืองจะตกอยู่ที่ดอกละประมาณ 1 บาท แต่ถ้านำต้นดาวเรืองบรรจุลงกระถางทำให้เป็นพุ่มสวยงามจะได้ราคาสูงขึ้นไปอีก ราคาจะตกอยู่ที่กระถางละ 100 - 150 บาท ซึ่งตนเองและครอบครัวก็ทำในลักษณะนี้มากกว่าขายเป็นดอก ถือว่าเป็นอีกช่วงที่สร้างรายได้ให้กับทุกคนในระยะเวลาการปลูกเพียง 70 วัน ที่สำคัญดูแลง่ายและต้นทุนต่ำ

สรรพสามิตพื้นที่นครพนม ออกสัญจรเปลี่ยนชุมชนเป็นห้องประชุมในที่ราชพัสดุ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน


วันที่ 24 มกราคม 2563 ที่บริเวณศูนย์ OTOP trader เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดกิจกรรม สรรพสามิตสัญจร เปลี่ยนชุมชนเป็นห้องประชุมในที่ราชพัสดุเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งเป็นโครงการที่สรรพสามิตพื้นที่จังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยบูรณาการทำแผนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานรากให้เป็นรูปธรรมตามแนวทางกลยุทธ์ 3 สร้างคือสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยการนำที่ราชพัสดุมาจัดทำเป็นพื้นที่ เพื่อการท่องเที่ยว การจำหน่ายสินค้าชุมชน ทำให้เกิดการสร้างอาชีพและรายได้อย่างยั่งยืน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการ พ่อค้าและประชาชนร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

โดยกิจกรรมสัญจรในครั้งนี้เป็นการนำที่ราชพัสดุหมายเลขทะเบียนที่ นพ. 1 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 0-3-0 ไร่ ที่ปัจจุบันใช้ประโยชน์ในราชการเทศบาลเมืองนครพนม เป็นสถานที่ให้บริการในการออกใบอนุญาตขายสุรา ยาสูบ และไพ่เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการสำหรับผู้ประกอบการ ร้านค้าที่ต้องการจำหน่าย และเปิดเป็นเวทีประชุมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกับหลักการจัดเก็บภาษียาสูบ ให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาสูบชนิดยาเส้น ผู้เพาะปลูกยาสูบ และผู้รับซื้อใบยาแห้ง ตลอดจนเป็นสถานที่ในการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับบทบาท ภารกิจของกรมสรรพสามิต การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธนาคารและหน่วยงานภาครัฐสำหรับประชาชน ผู้ประกอบการและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่มีต้องการ การให้คำแนะนำ ส่งเสริมรูปแบบช่องทางการจำหน่ายสินค้าทางการตลาดทั้งระบบออนไลน์และออฟไลน์ การต่อยอดคุณภาพสินค้า พัฒนาศักยภาพด้านการผลิต แปรรูป ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาทำให้สินค้าและผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่สนใจ เป็นที่ต้องการของลูกค้า นำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนได้นำสินค้าราคาถูก สินค้าเกษตร สินค้าพื้นบ้าน สินค้า OTOP ที่เป็นสินค้าเด่นประจำจังหวัดนครพนมมาจัดแสดงและจำหน่ายเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างโอกาสอีกด้วย

การไฟฟ้านครพนม เชิญสื่อจิบกาแฟแชร์การทำงานประสานพลังสร้างแสงสว่างให้สังคม


วันที่ 24 มกราคม 2563 ที่บริเวณสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครพนม  นายพิพจน์เดช เลิศพสุโชค ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากการที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ได้มีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นองค์กรชั้นนำที่ทันสมัยในระดับภูมิภาค มุ่งมั่นให้บริการพลังงานไฟฟ้า และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพเชื่อถือได้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยมีภารกิจในการจัดหา ให้บริการพลังงานไฟฟ้าและดำเนินธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจ ทั้งด้านคุณภาพและบริการ โดยการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมา PEA นครพนม ได้มีการพัฒนาบุคลากร รวมถึงการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้เพื่อตอบโจทย์ทั้งหมด ทั้งยังมีการวางแผนรองรับอนาคตสำหรับลูกค้า จนได้รับการรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก พ.ศ. 2562 – 2564 (GECC) จากสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ได้รับรางวัลรับรองสำนักงานสีเขียว (green office) ระดับดีเยี่ยม ปี 2562 จากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรางวัลอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์นโยบายและโครงการต่าง ๆ ของ PEA ให้เป็นที่รับทราบและสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในเขตพื้นที่รับผิดชอบมากยิ่งขึ้น PEA นครพนม จึงได้จัดกิจกรรม PEA พบสื่อมวลชน ประจำปี 2563 ขึ้น

โดยกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการเชิญสื่อมวลชนในแขนงต่าง ๆ ของจังหวัดนครพนมมาร่วมรับฟังแนวนโยบาย โครงการของ PEA ตลอดจนตอบข้อซักถามต่าง ๆ ที่สื่อมวลชนและประชาชนสงสัย ในลักษณะบรรยากาศแบบพี่น้องภายใต้สภากาแฟ ที่เป็นการนั่งจิบกาแฟรับประทานอาหารเช้า พร้อมกับการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ใครมีอะไรสงสัย ต้องการให้ PEA นครพนม เพิ่มเติมในส่วนไหนหรือแก้ไขอะไร ก็ถามและตอบกันแบบตรง ๆ เพื่อที่จะได้นำข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาปรับปรุงการทำงาน ขณะเดียวกันสื่อมวลชนก็จะได้นำข่าวสารที่ได้ในวันนี้ไปบอกต่อยังประชาชนได้อย่างถูกต้องและตรงจุด เช่น แผนการปรับปรุงสายสื่อสารที่เป็นโครงการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในการปรับปรุงภมิทัศน์ระบบสายสื่อสารให้มีความสวยงามและปลอดภัย โครงการขยายเขตให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้พื้นที่ทำกินทางการเกษตร ซึ่งเป็นโครงการที่ออกแบบสำหรับรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี อัตราค่าธรรมเนียมใหม่/ค่าละเมิดมิเตอร์ที่มีการปรับลดลงให้เท่ากับของการไฟฟ้านครหลวง ช่องทางการติดต่อ PEA นครพนมและการใช้งานแอปมือถือ PEA smart plus ที่รวบร่วมการให้บริการไว้ในมือถือเพิ่มความสะดวกสำหรับประชาชน ไม่ว่าจะเป็น การขอใช้ไฟฟ้าใหม่ การขอติดกลับมิเตอร์ การแจ้งเหตุไฟฟ้าขัดข้อง ตรวจสอบประวัติการใช้ไฟฟ้า จ่ายค่าไฟฟ้า ติดตามข่าวสารการประกาศดับไฟฟ้าที่สำคัญอีกอย่างคือสามารถแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะได้  นอกจากนี้ยังมีการแนะนำคณะผู้บริหารที่รับผิดชอบฝ่ายต่าง ๆ ให้ทุกคนได้รู้จักเพิ่มความสะดวกในการประสานงาน มีการจัดแสดงโชว์ขั้นตอนก่อนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานการไฟฟ้า รวมถึงการวิเคราะห์และคาดการณ์อันตรายที่จะเกิดขึ้นก่อนการปฏิบัติงาน   

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563

จ.นครพนมออกหน่วยคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ ให้บริการประชาชนอำเภอนาทม


วันที่ 23 มกราคม 2563 ที่บริเวณโรงเรียนบ้านหมูม้น ตำบลดอนเตย อำเภอนาทม จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข ปราชญ์ชาวบ้าน และเกษตรกรต้นแบบ นำโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ ประจำปี 2563 ครั้งที่ 1 ออกให้บริการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางด้านการเกษตร การดูและสุขภาพเบื้องต้นตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้กับประชาชนในพื้นที่แบบครบวงจรในจุดเดียวทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ โดยมีการแบ่งพื้นที่ให้บริการออกเป็นคลินิกต่าง ๆ เพื่อให้เกษตรกรได้เลือกเรียนรู้ตามที่ต้องการ ประกอบไปด้วย คลินิกดิน คลินิกพืช  คลินิกข้าว คลินิกปศุสัตว์ คลินิกประมง คลินิกชลประทาน คลินิกสหกรณ์ คลินิกบัญชี  คลินิกยางพารา คลินิกหม่อนไหม  คลินิกปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม  คลินิกเกษตรและสหกรณ์  คลินิกสาธารณสุข คลินิกอารักขาพืช และคลินิกศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านวิศวกรรมเกษตร  นอกจากนี้ยังได้นำพันธุ์ปลา พันธุ์พืช ยารักษาโรคในสัตว์ และบริการอื่น ๆ ไปมอบให้ด้วยเช่นเดียวกัน

โดยโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ เป็นโครงการเนื่องในวโรกาสอันเป็นมิ่งมหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระชนมายุครบ 50 พรรษา ในพุทธศักราช 2545 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโครงการไว้ในพระราชานุเคราะห์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการทางการเกษตรแก่เกษตรกรตามความต้องการ  และความเหมาะสมของพื้นที่ทำให้แก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์เสริมสร้างความรู้และฝึกอบรมการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสมของพื้นที่แก่เกษตรกรและสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิชาการ  หน่วยงานส่งเสริม และศูนย์การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลในการรณรงค์ฟื้นฟูเกษตรกร  ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพัฒนา แก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกรสามารถทำการผลิตทางการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

จัดหางานนครพนม แนะทางเลือกสะดวกสบายสำหรับการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว


นายจ้างและสถานประกอบการที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวกลุ่มบัตรสีชมพูและบัตรพิสูจน์สัญชาติ ที่ใบอนุญาตทำงานกำลังจะหมดลง ในวันที่ 31 มีนาคม 2563 และต้องดำเนินการยื่นขอต่อใบอนุญาตทำงานใหม่ คงมีหลายคนที่อยากรู้ว่า มีช่องทางไหนบ้างที่เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินการ วันนี้เราดูว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบเค้ามีมาตรการรับมือเรื่องนี้กันอย่างไร

นายชัยยศ กัญญาพันธ์ เจ้าพนักงานแรงงานชำนาญงาน สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ตอนนี้แรงงานต่างด้าวในกลุ่มที่เรากำลังจะดำเนินการก็คือกลุ่มมแรงงานต่างด้าวบัตรสีชมพูและกลุ่มพิสูจน์สัญชาติ ที่ใบอนุญาตในกลุ่มนี้จะหมดในวันที่ 31 มีนาคม 2563  ซึ่งเป็นต่างด้าวที่ยังเข้าระบบ MOU ไม่ได้ ทางรัฐบาลก็เลยมีมติเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ให้แรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้ที่มีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 3 ล้านกว่าคน สามารถอยู่ในราชอาณาจักรไทยได้แล้วก็สามารถขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานได้อีก 2 ปี ในส่วนของจังหวัดนครพนมนั้น มีอยู่ประมาณ 900 กว่าคน มีนายจ้าง 600 กว่าราย โดยจังหวัดนครพนมก็ได้ทำข่าวประชาสัมพันธ์ถึงนายจ้างทุกคนในเบื้องต้นแล้วว่าให้เตรียมและนำแรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้มาต่อใบอนุญาตทำงานได้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2562 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563

ซึ่งการดำเนินการนั้น กองบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวเขาให้โอกาสแรงงานต่างด้าวด้วยการเอาระบบไอทีมาใช้ เป็นระบบอินเทอร์เน็ตภายใต้ชื่อ e-work permit เป็นเว็บของกรมการจัดหางาน สำนักงานบริหารแรงงานต่างด้าว ซึ่งให้แรงงานต่างด้าวหรือนายจ้างเข้าไปกรอกข้อมูลในเว็บตัวนี้ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าทำตรงนี้ได้ก็ไม่ต้องเข้ามาที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครพนม พอเสร็จก็สามารถปริ้นเอกสารไปจ่ายเงินที่เซเว่นในส่วนที่เกี่ยวข้องได้เลย ขั้นตอนต่อมาคือแรงงานต่างด้าวหรือนายจ้างจะต้องเข้าไปขอต่อวีซ่าที่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ไปตรวจสุขภาพกับทางโรงพยาบาล และไปขึ้นทะเบียนที่ศูนย์ทะเบียนภาคนครพนม แต่จากการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่าส่วนใหญ่นายจ้างและแรงงานไม่สะดวกกับการเข้าไปใช้ระบบนี้ คณะกรรมการหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในจังหวัดนครพนม จึงได้มีการประชุมร่วมกันโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นประธาน เห็นควรให้เปิดศูนย์บริหารจัดการแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ one stop service ( OSS ) ของจังหวัดนครพนมขึ้น ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครพนม ซึ่งตรงนี้จะดีตรงที่ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะมารวมกันที่นี่หมดเลยเพื่อให้บริการแรงงานต่างด้าวหรือนายจ้าง เป็นการเพิ่มความสะดวกโดยที่ไม่ต้องเข้าไปหาแต่ละหน่วยงาน โดยศูนย์ OSS จะเปิดให้บริการระหว่างวันที่ 1 – 29 กุมภาพันธ์ 2563
และเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว นายจ้างและสถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าวอยู่ ก็อย่าลืมนำแรงงานต่างด้าวในความดูแล มาใช้บริการขอต่อใบอนุญาตทำงาน ตาม วัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว หรือถ้าสะดวกผ่านระบบอินเตอร์เน็ตก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2563

ผู้ว่าฯนครพนม นำทีมลงพื้นที่แก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ นครพนม สร้างสังคมอุดมสุข ที่อำเภอท่าอุเทน



วันที่ 22 มกราคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยคณะหัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนตัวแทนห้างสรรพสินค้าแม็คโคร และห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจนายถวิล ชัยวาน และนางสมนึก ริยะบุตร ภรรยา ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 60/2 หมู่ที่ 6 บ้านหนองแวง ตำบลพะทาย  อำเภอท่าอุเทน เพื่อรับทราบปัญหาความต้องการและพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามแนวทางโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ ปี 2563 นครพนม สร้างสังคมอุดทสุข ที่จังหวัดนครพนมได้มีการบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมให้มีขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิตและสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

โดยนายถวิลและนางสมนึก มีอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไป อาศัยอยู่ในบ้านที่มีสภาพทรุดโทรมหลังคารั่ว รายได้หลักมาจากการทำนาและเบี้ยผู้สูงอายุ ทั้งนี้ทั้งคู่มีความสามารถในการจักสานแต่ด้วยขากทุนทรัพย์ในการประกอบอาชีพทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ดังนั้นหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จึงได้มีมติร่วมกันในการให้ความช่วยเหลือ ประกอบไปด้วย ให้มีการซ่อมแซมหลังคาให้ใหม่ โดยองค์การบริหารส่วนตำบลพะทายจะส่งทีมช่างเข้ามาประเมินราคาและดำเนินการซ่อมแซมให้ ส่วนด้านอาชีพสำนักงานพัฒนาชุมชนพร้อมด้วยส่วนราชการอื่น ๆ ตลอดจนภาคีเครือข่ายได้มีการสนับสนุน อุปกรณ์ในการประกอบอาชีพคือเส้นพลาสติกที่ใช้ในการสานตระกร้าและกระเป๋า เพื่อให้ทั้งคู่ได้มีอาชีพและรายได้ที่แน่นอนไว้เลี้ยงตนเอง เนื่องจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนมยังได้มีการจัดหาทุนในการประกอบอาชีพให้อีกจำนวน 2,000 บาท ขณะที่สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนมก็ได้จัดหาเมล็ดพืชผักชนิดต่าง ๆ มามอบให้ไว้ปลูก เพื่อรับประทาน เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานและห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ มอบหมอน ผ้าห่มกันหนาว และเครื่องอุปโภคบริโภคไว้ใช้ในครัวเรือน 

จังหวัดนครพนม ออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการประชาชนอำเภอท่าอุเทนแบบครบวงจรในจุดเดียว


วันที่ 22 มกราคม 2563 ที่โรงเรียนพะทายพิทยาคม บ้านพะทาย หมู่ที่ 6 ตำบลพะทาย อำเภอท่าอุเทน  จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยคณะหัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ นำโครงการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการ หน่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม ออกให้บริการประชาชนแบบครบวงจรในจุดเดียวเป็นการเพิ่มการเข้าถึงหน่วยงานราชการทุกภาคส่วน
โดยกิจกรรมในครั้งนี้ประกอบไปด้วย การร่วมกันกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตนแสดงเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ และการประกาศเจตนารมณ์รวมพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จากนั้นเป็นการแนะนำส่วนราชการต่าง ๆ ให้กับประชาชนได้รู้จักเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้อย่างถูกต้องตามความต้องการ โดยในโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมยังได้นำเอานโยบายของรัฐบาลและแนวทางในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ไปชี้แจงให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ให้เพียงพอทั้งต่อการอุปโภคบริโภคและเพื่อการเกษตร การปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย  ปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด รวมถึงตอบข้อซักถามที่ประชาชนสงสัย จากนั้นได้มอบพันธุ์ปลาแก่ผู้นำชุมชนเพื่อนำไปปล่อยตามแหล่งน้ำของชุมชน จำนวน 50,000 ตัว มอบทุนการศึกษาของกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 7 ทุน มอบเงินสงเคราะห์ครอบครัวกรณีฉุกเฉิน 10 ราย มอบเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุในภาวะยากลำบาก 10 ราย มอบเงินสงเคราะห์ช่วยเหลือเด็กในครอบครัวยากจน จำนวน 50 ราย  และมอบถุงยังชีพเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมจำนวน 100 ชุด

ก่อนที่ทุกคนจะไปใช้บริการหน่วยเคลื่อนที่ของหน่วยหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม ที่ได้นำเอาเครื่องมือ อุปกรณ์ ตลอดจนทีมแพทย์มาให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น รวมถึงการให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพและการทำทันตกรรม การถ่ายทอดองค์ความรู้ของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน เทคโนโลยีสมัยใหม่ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การเลือกใช้พลังงาน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การให้คำปรึกษาคำแนะนำด้านการลงทุน กฎหมาย การสร้างบ้าน การทำบัตรประชาชน การฝากเงินออม การทำประกันสังคม การต่อใบขับขี่ การทำประกันภัย การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การแจกพันธุ์ต้นไม้ การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ การออกร้านจำหน่ายสินค้าราคาถูก สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP รวมถึงการถ่ายทอดวิชาชีพ เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้และนำไปสร้างเป็นอาชีพและรายได้เลี้ยงครอบครัวต่อไป

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563

รพ.นครพนม นำร่องให้คำปรึกษา คัดกรองผู้ป่วยแบบผสมผสานด้วยคลินิกกัญชา

วันที่ 21 มกราคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายแพทย์จิณณพิภัทร ชูปัญญา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายแพทย์ยุทธชัย ตริสกุล ผู้อำนวยโรงพยาบาลนครพนม นำบุคคลากรทางการแพทย์ เยี่ยมชมความพร้อมคลินิกกัญชาทางการแพทย์ ที่บริเวณชั้น 1 อาคารอำนวยการผู้ป่วยนอกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลนครพนม ที่จะเปิดให้บริการเบื้องต้นในทุกวันศุกร์สัปดาห์ที่ 1 และ 3 ของทุกเดือน เวลา 08.00น. -16.00 น. (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) เพื่อให้คำปรึกษาและตรวจคัดกรองผู้ป่วยแบบผสมผสานแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทย จากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมตามหลักสูตรของกระทรวงสาธารณสุข

นายแพทย์จิณณพิภัทร ชูปัญญา เปิดเผยว่า ตามประกาศพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 ในราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2562 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ ที่ให้เสพเพื่อรักษาโรคหรือการรักษาวิจัยได้ (ฉบับที่2) พ.ศ.2562 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้มีการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล มีการสนับสนุนการนำกัญชามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางการแพทย์ และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย โดยในจังหวัดนครพนมนั้น ได้กำหนดให้โรงพยาบาลนครพนมเป็นสถานที่นำร่องในการจัดตั้งคลินิกกัญชาทางการแพทย์ ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างมากของบุคลากร เพราะต้องผ่านการอบรม การทดสอบความรู้ตามหลักสูตรของกระทรวงสาธารณสุขจนมั่นใจจึงจะสามารถให้บริการได้ ทั้งยังต้องใช้ความรู้ความสามารถและศิลปะ ในการสื่อสารกับประชาชนที่มาขอรับบริการ ให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันและสามารถใช้ยาได้อย่างถูกต้อง มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ที่สำคัญคือเกิดประโยชน์สูงสุดในการรักษา โดยเมื่อทุกอย่างมีความพร้อมครบถ้วนสมบูรณ์จะทำหนังสือเรียนเชิญนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มาเป็นประธานเปิดอย่างเป็นทางการ

ด้านนายแพทย์ยุทธชัย ตริสกุล ผู้อำนวยโรงพยาบาลนครพนม เปิดเผยว่า โรงพยาบาลนครพนม โดยกลุ่มงานเภสัชกรรม และกลุ่มงานแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ได้ดำเนินการตามแนวทางการบริการจัดการ และการปฏิบัติงานตามข้อสั่งการของกระทรวงสาธารณสุขครบถ้วนแล้ว จึงได้เปิดคลีนิคกัญชาทางการแพทย์ให้บริการประชาชนเบื้องต้นก่อน โดยเป็นการให้บริการแบบผสมผสานแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทยเข้าด้วยกัน มีระบบการคัดกรองและให้ข้อมูลผู้ป่วยเบื้องต้นในการตัดสินใจก่อนพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา มีข้อบ่งชี้ในการใช้กัญชาทางการแพทย์ มีการรักษาทางการแพทย์ด้วยสารสกัดกัญชาในผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ มีการใช้ยาและการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้กัญชาทางการแพทย์ โดยจะพิจารณาผู้ป่วยที่มีภาวะคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด โรคลมชักที่รักษายากและโรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษา ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง ภาวะหลอดประสาทส่วนกลางที่ใช้วิธีการรักษาอื่นๆ แล้วไม่ได้ผล ภาวะเบื่ออาหารในผู้ป่วยเอดส์ที่มีน้ำหนักตัวน้อย และการเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 042-511422 ต่อ 2095,2097

จัดหางานนครพนม เสริมความรู้นายจ้าง/สถานประกอบการ จ้างแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมาย

วันที่ 21 มกราคม 2563 ที่ห้องประชุมศรีโคตรบูรณ์ ศูนย์ราชการกระทรวงแรงงาน จังหวัดนครพนม นายจักก์ สมุทรกลิน จัดหางานจังหวัดนครพนม เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมตามโครงการจัดประชุมนายจ้าง/สถานประกอบการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับนายจ้าง/สถานประกอบการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และอาสาสมัครแรงงาน เกี่ยวกับการดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมายที่มติคณะรัฐมนตรี ได้ประกาศเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ที่เห็นชอบผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ ลาว กัมพูชา และเมียนมา 2 กลุ่ม คือ กลุ่มบัตรสีชมพูและบัตรพิสูจน์สัญชาติที่ใบอนุญาตทำงานกำลังจะหมดอายุในวันที่ 31 มีนาคม 2563 มาดำเนินการยื่นขอต่อใบอนุญาตทำงานใหม่ได้อีก 2 ปี ระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 โดยที่แรงงานต่างด้าวไม่ต้องเดินทางออกนอกประเทศ

โดยผู้ที่เข้ารับการอบรมในครั้งนี้ จะได้รับความรู้เกี่ยวกับระบบ E-Service ที่กรมการจัดหางานได้นำมาให้บริหารเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนายจ้าง/สถานประกอบการ ในการยื่นขอแบบบัญชีรายชื่อความต้องการแรงงานต่างด้าว ที่สามารถดำเนินการได้ทุกที่ผ่านอินเตอร์เน็ต รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการเตรียมเอกสาร ขั้นตอนการจัดทำทะเบียนประวัติ (ทร.38/1) การผลิตบัตรประจำตัวบุคคลไม่มีสัญชาติไทยและใบอนุญาตทำงาน การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทย (ตรวจตรา VISA) การตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพ ตลอดจนกฎหมายระเบียบแรงงานต่างด้าว พ.ศ.2560 และแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 และการให้บริการของศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) จังหวัดนครพนม

สำหรับสถานการณ์แรงงานต่างด้าวในปัจจุบันของจังหวัดนครพนม มีนายจ้าง/สถานประกอบการที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าว จำนวน 1,149 ราย แบ่งเป็น 3 ประเภทกิจการ ได้แก่ กิจการเกษตรปศุสัตว์ กิจการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม และงานรับใช้ในบ้าน มีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับใบอนุญาตให้ทำงานได้ทั้งสิ้น 2,414 ราย แยกเป็นสัญชาติลาว 2,130 คน กัมพูชา 23 คน เมียนมา 28 คน และเวียดนาม 7 คน

ผู้ว่าฯนครพนม นำทีม สคบ. ตรวจสอบราคาสินค้าและบริการรับเทศกาลตรุษจีน


วันที่ 21 มกราคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัดนครพนม ซึ่งประกอบด้วย พาณิชย์จังหวัดนครพนม สาธารณสุขจังหวัดนครพนม กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม สำนักงานเทศบาลเมืองนครพนม สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนม เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชน ลงพื้นที่ตรวจสอบราคาสินค้าและบริการที่บริเวณตลาดสดเทศบาลเมืองนครพนม ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส ห้างสรรพสินค้าแม็คโคร และห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ เพื่อให้การจำหน่ายสินค้าและบริการถูกต้องตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รับเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 มกราคม 2563 เป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่าจะได้รับความเป็นธรรม ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และเป็นการป้องปรามมิให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า เนื่องจากปัจจุบันประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีนเริ่มทยอยออกมาจับจ่ายหาซื้อของเซ่นไหว้เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกันแล้ว

โดยสถานการณ์ราคาสินค้าในจังหวัดนครพนมนั้น สินค้าที่ใช้ในการเซ่นไหว้ส่วนใหญ่ราคายังทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปีที่แล้ว มีเพียงเนื้อหมู ไข่ไก่ และผักบางชนิดเท่านั้นที่มีการปรับตัวราคาสูงขึ้น  โดยพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเทศบาลเมืองนครพนม ได้มีการเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนด้วยการปรับเปลี่ยนขนาดสินค้าให้มีหลากหลายขนาดและราคา เช่น ไก่สด ก็จะมีให้เลือกในราคาตัวละ 80 บาทขึ้นไปจนถึง 120 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดตัว เนื้อหมูยังคงราคาขายที่กิโลกรัมละ 150 บาท ขณะที่ผลไม้ก็ให้สามารถเลือกซื้อได้ทั้งแบบที่เป็นผลและแบบเป็นกิโลกรัมขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า ส่วนอาหารแห้งราคาจำหน่ายมีการปรับตัวขึ้นลงตามราคาต้นทุน แต่ยังคงใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ในส่วนของห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ในช่วงนี้ก็มีการจัดโปรโมชั่นราคาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกหาตามที่ต้องการเช่นเดียวกัน สำหรับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคนั้นในช่วงนี้พบว่าประชาชนยังไม่มีการออกมาจับจ่ายเลือกหาของเซ่นไหว้มากเหมือนทุกปี ซึ่งทางพ่อค้า แม่ค้า คาดว่าน่าจะมีการออกมาจับจ่ายเพิ่มมากขึ้นในวันที่ 23 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นวันจ่าย

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2563

นครพนมพร้อมใจทำบุญตักบาตรครบรอบ 150 ปีชาตกาล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต



วันที่ 20 มกราคม 2563 ที่บริเวณวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตหรือหลวงปู่มั่น ได้เดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ เต็มไปด้วยลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพศรัทธาในตัวท่าน และทราบว่าจังหวัดนครพนมจะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลององ 150 ปีชาตกาล พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เนื่องในโอกาสได้รับยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพภายใต้โครงการลานธรรม ลานวิถีไทย ประจำปี 2563 ต่างพากัลยานิมิตรมาร่วมงานเพื่อฝึกจิตภาวนา และทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน โดยในเวลา 7.30 น นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้เป็นประธานนำทุกคนทำบุญตักบาตรแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณร เป็นการทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาและสร้างทานบารมีให้กับตนเองและครอบครัว

    โดยพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หรือหลวงปู่มั่น เป็นอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐานและเป็นพระมหาเถระที่คนไทยทั้งประเทศเคารพนับถือ นามของท่านได้รับการยอมรับและเลื่องลือไปทั่วทั้งในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่และละสังขารไปแล้ว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ท่านได้เป็นผู้นำในการฟื้นฟูวงการพระพุทธศาสนาของไทยให้เจริญรุ่งเรือง ด้วยการเป็นผู้นำกองทัพธรรมเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาและพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าให้เข้าสู่หัวใจของคนไทยทั้งชาติ ส่งผลให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการศาสนาในทางที่ถูกที่ดีงาม โดยการประชุมสมัยสามัญขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ UNESCO เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ได้มีมติประกาศยกย่องพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้านสาขาสันติภาพ และในโอกาสครบรอบ 150 ปีชาตกาล จังหวัดนครพนมจึงได้จัดกิจกรรมเฉลิมฉลองขึ้น ประกอบไปด้วย การทำวัตรเช้า - ทำวัตรเย็น  การทำบุญตักบาตร การแสดงพระธรรมเทศนา การเจริญสติวิปัสสนาฝึกสมาธิ และการจัดนิทรรศการเผยแพร่ประวัติและผลงานของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563

กำลังพล มทบ.210 ประกอบพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณเนื่องในปีมหามงคลบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และวันกองทัพไทย


 วันที่ 18 มกราคม 2563  ที่บริเวณค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม พันเอก ชลิต บรรจงปรุ รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 เป็นประธานนำกำลังพลประกอบพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณ เนื่องในปีมหามงคลบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และวันกองทัพไทย โดยมีนายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการ อัยการ ศาล ทหาร ตำรวจ ตลอดจนสื่อมวลชนและประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นเกียรติในงาน

โดยก่อนที่จะมีการประกอบพิธี หมู่ธงได้เชิญธงชัยเฉลิมพลเข้าประจำที่เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เพื่อรอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดีกรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ซึ่งจะมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จากศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร ตำบลปากเพรียว อำเภอมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี จากนั้นร่วมกันรับฟังพระบรมราโชวาท และร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสดุดีจอมราชา จากนั้นเหล่าทหารกองผสมมณฑลทหารบกที่ 210 กล่าวคำปฏิญาณตนโดยพร้อมเพรียงกัน และหมู่ธงเชิญธงชัยเฉลิมพลเข้าประจำที่เพื่อนำขบวนสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรัชสมัยรัชกาลที่ 10 เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี ความเข้มแข็ง ความสามัคคี ความมีระเบียบวินัยและความพร้อมเพรียงของเหล่าทหารกองผสม และเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงดำรงพระราชสถานะเป็นองค์จอมทัพไทย จากนั้นพสกนิกรทุกหมู่เหล่าของจังหวัดนครพนมที่มาร่วมพิธีได้เฝ้าร่วมส่งเสด็จฯ เป็นเสร็จพิธี
ทั้งนี้ วันกองทัพไทย เป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติไทย ด้วยเป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงแสดงพระปรีชาสามารถกระทำสงคราม แม้ขณะนั้นพระองค์จะตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึกและอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แต่พระองค์ก็มีพระสติมั่นไม่หวั่นไหว ทรงมีพระปฏิภาณว่องไว ทำยุทธหัตถีจนมีชัยต่อพระมหาอุปราชาอย่างสมพระเกียรติ ยังมาซึ่งความเป็นอธิปไตยของผืนแผ่นดินไทย และเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ คณะรัฐมนตรีจึงกำหนดให้วันที่ 18 มกราคมของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย

จิตอาสานครพนม พร้อมใจกำจัดขยะและฝุ่นละอองถนนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


 วันที่ 18 มกราคม 2563 ที่อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาตรี จันทร์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะจิตอาสาพระราชทาน และประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมกันบำเพ็ญประโยชน์ เนื่องในวันยุทธหัตถีหรือวันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ด้วยการฉีดน้ำล้างทำความสะอาดถนนเพื่อลดฝุ่นละอองในพื้นที่ เก็บเศษขยะที่อยู่ตามรายทางและตัดตกแต่งกิ่งไม้ ต้นไม้เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ให้มีความสวยงาม ที่บริเวณถนนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันยุทธหัตถีหรือวันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

โดยถนนดังกล่าวเป็นถนนที่กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดขึ้น ภายใต้โครงการจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งจังหวัดนครพนมได้มีการคัดเลือก ถนนนิตโยหรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 22 สายอุดรธานี–นครพนม ให้เป็นถนนเฉลิมพระเกียรติของจังหวัด มีระยะทางประมาณ 2.4 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่สี่แยกบ้านน้อยหนองเค็มยาวไปจนถึงแลนด์มาร์คพญาศรีสัตตนาคราช เพราะเป็นถนนสายหลักที่ประชาชนใช้สัญจรไปมาเพื่อมุ่งเข้าสู่ตัวเมืองนครพนม สามารถมองเห็นองค์พญาศรีสัตตนาคราชที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดในการดึงดูดประชาชนและนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้เดินทางมาเยือน มาทำความรู้จักกับจังหวัดนครพนม นำมาซึ่งการค้าการลงทุน เกิดการพัฒนาเมืองในด้านต่าง ๆ ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้มากยิ่งขึ้น  โดยในแต่ละวันจะมีประชาชนสัญจรไปมาในถนนดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ทำให้มีเศษดินและฝุ่นละอองที่ติดมากับล้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เกิดขึ้นในหลาย ๆ จุดของถนน รวมถึงมีเศษขยะชิ้นเล็กๆ อยู่ตามแปลงต้นไม้และเกาะกลางถนน ดังนั้นเพื่อให้ถนนสายดังกล่าวมีความสวยงาม สะอาด สมพระเกียรติอย่างสูงสุด คณะจิตอาสาพระราชทานตลอดจนประชาชนในพื้นที่จึงได้พร้อมใจกันทำความสะอาดในวันนี้

จังหวัดนครพนม ประกอบพิธีน้อมรำลึกวันยุทธหัตถีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปี 2563


 วันที่ 18 มกราคม 2563 ที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นายชาตรี จันทร์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ สมาชิกเหล่ากาชาด และประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีวางพานพุ่มดอกไม้สด ถวายราชสักการะพระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องในวันยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประจำปี 2563 พร้อมกล่าวคำถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อน้อมรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงแสดงพระปรีชาสามารถ กระทำสงคราม แม้ขณะนั้นพระองค์จะตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก และอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แต่พระองค์ก็มีพระสติมั่น ไม่หวั่นไหว ทรงมีพระปฏิภาณว่องไว ทำยุทธหัตถีจนมีชัยต่อพระมหาอุปราชาอย่างสมพระเกียรติ ยังมาซึ่งความเป็นอธิปไตยของผืนแผ่นดินไทย

โดยวันยุทธหัตถี หรือวันสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้น ได้มีมติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 กำหนดให้วันที่ 18 มกราคมของทุกปี เป็นวันยุทธหัตถีแทนวันที่ 25 มกราคมของทุกปี เนื่องจาก นายประเสริฐ ณ นคร ราชบัณฑิต ได้คำนวณแล้วพบว่า การนับวันทางจันทรคติของวันกระทำยุทธหัตถีเดิม ที่ตรงกับวันจันทร์ เดือน 2 แรม 2 ค่ำ จุลศักราช 954 ที่กำหนดเป็นวันที่ 25 มกราคมนั้นคลาดเคลื่อน อีกทั้งคนปัจจุบันคุ้นชินกับการนับวันทางสุริยคติซึ่งจดจำได้ง่ายและมีความเหมาะสมมากกว่า จึงได้มีการเปลี่ยนใหม่ให้ตรงกับความเป็นจริง และถือวันนี้เป็นวันรัฐพิธี โดยให้มีการวางพานพุ่มสักการะแต่ไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2563

นพค.22 จับมืออำเภอ ท้องถิ่น ปล่อยคาราวานรถน้ำช่วยชาวบ้านรับมือภัยแล้ง

วันที่ 17 มกราคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายศรี ศรีพุทธรินทร์ นายอำเภอนาแก พร้อมด้วย พันเอก ชวลิต พบจันอัด ผู้บัญชาการหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 22 นาวาอากาศเอก เชิดชู ชูเสน รองผู้บัญชาการหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 22 กำลังพลหน่วยทหารพัฒนาการเคลื่อนที่ 22  และผู้นำชุมชนในพื้นที่อำเภอนาแก ร่วมกันปล่อนขบวนคาราวานรถบรรทุกน้ำพร้อมเจ้าหน้าที่ ออกแจกจ่ายน้ำให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ 12 ตำบล 143 หมู่บ้านของอำเภอนาแก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน หลังมีหลายหมู่บ้านเริ่มประสบปัญหาน้ำไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค เนื่องจากช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา มีปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในพื้นที่น้อยกว่าปกติ ส่งผลให้น้ำใต้ดิน น้ำในแหล่งน้ำสาธารณะ ตลอดจนน้ำในลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขงมีปริมาณลดน้อยตามไปด้วย ซึ่งในเบื้องต้นเริ่มมีบางหมู่บ้านที่ต้องหันมาใช้แหล่งน้ำสำรอง ทดแทนแหล่งน้ำเดิมที่ใช้ในการผลิตประปาหมู่บ้านแล้ว

โดยในวันนี้หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 22 อำเภอนาแก ได้ร่วมกับ อำเภอนาแกและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปล่อยคาราวานรถบรรทุกน้ำ จำนวน 15 คัน ออกแจกจ่ายน้ำตามหมู่บ้านต่าง ๆ ที่มีการร้องขอการสนับสนุนเข้ามายังอำเภอนาแก นอกจากนี้ยังได้นำรถโมบายผลิตน้ำดื่มที่มีศักยภาพสูง สามารถผลิตน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัยได้วันละประมาณ 4,000 – 5,000 ลิตรออกผลิตน้ำดื่มให้ด้วยเช่นเดียวกัน รวมถึงมีการส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจ ตรวจสอบ ประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อรายงานศูนย์อำนวยการรับมือภัยแล้งของอำเภอนาแกตลอดเวลา เพื่อที่จะได้นำข้อมูลทั้งหมดมาวางแผนร่วมกันในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างทันท่วงที

ป.ป.ช.นครพนม วางศิลาฤกษ์อาคารที่ทำการหลังใหม่


วันที่ 17 มกราคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครพนม ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดนครพนม ที่มีการจัดสร้างขึ้นใหม่เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน และอำนวยความสะดวกให้กับส่วนราชการตลอดจนประชาชนที่มาติดต่อ

โดยอาคารสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดนครพนมแห่งนี้ ก่อสร้างบนโฉนดที่ดินเลขที่ 18018 ซอยข้างเรือนจำ (ติดด้านถนนราชทัณฑ์) ถนนอภิบาลบัญชา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม บนเนื้อที่ 8,195.76 ตารางเมตร หรือประมาณ 5 – 0 – 48 ไร่ ซึ่งใช้งบในการก่อสร้าง 30,055,900 บาท ตามสัญญาจ้างเลขที่ 65/2561 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2561 และบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมแนบท้ายสัญญา ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ซึ่งเริ่มต้นสัญญาในวันที่ 3 มกราคม 2562 และสิ้นสุดสัญญา 25 มิถุนายน 2563 รวม 540 วัน โดยสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดนครพนมเป็นผู้ออกแบบบ มีลักษณะตัวอาคารเป็นอาคาร 3 ชั้น กว้าง 27.5 เมตร ยาว 32.8 เมตร โดยภายในสัญญาจ้าง ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน 1 แห่ง เสาธง 1 แห่ง ป้อมยาม 1 หลัง ป้ายโครงการ 1 แห่ง ประตูทางเข้า 2 แห่ง รั้วแบบที่ 1 รั้วเหล็กสูง 2.4 เมตร 1 งาน รั้วแบบที่ 2 รั้วอิฐบล็อกสูง 2 เมตร 1 งาน งานผนังบริเวณปรับพื้นที่ 1 งาน ถนนภายในโครงการ  1 งาน ทางเท้าบล็อกคอนกรีตสำเร็จรูปขนาด 40 x 40 เซนติเมตร 1 งาน เมนระบบไฟฟ้าภายในโครงการ  1 งาน และเมนระบบประปาและท่อระบายน้ำ 1 งาน

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563

การทางพิเศษฯ มอบผ้าห่ม 4,000 ผืน ช่วยชาวนครพนมสู้ภัยหนาว

วันที่ 16 มกราคม 2563 ที่บริเวณหอประชุมที่ว่าการอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ดร.สุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย นำผ้าห่มกันหนาวตามโครงการทางพิเศษคู่ใจ สู้ภัยหนาว ประจำปีงบประมาณ 2563 มามอบให้ประชาชนผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่จังหวัดนครพนม จำนวน 4,000 ผืน ประกอบไปด้วย อำเภอธาตุพนม 500 ผืนอำเภอบ้านแพง 300 ผืน อำเภอเมืองนครพนม 300 ผืน อำเภอเรณูนคร 300 ผืน อำเภอศรีสงคราม 300 ผืน อำเภอท่าอุเทน 300 ผืน อำเภอนาแก 300 ผืน อำเภอนาหว้า 300 ผืน อำเภอปาก 300 ผืน อำเภอโพนสวรรค์ 300 ผืน อำเภอวังยาง 300 ผืน อำเภอนาทม 300 ผืน และอีก 200 ผืนมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมพิจารณาเพื่อนำไปมอบให้ประชาชนในพื้นที่เมื่อเกิดภัยหนาวในครั้งต่อไป โดยมีนายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ

สำหรับสถานการณ์ภัยหนาวของจังหวัดนครพนมนั้น ได้รับอิทธิพลความหนาวเย็นที่แผ่ปกคลุมพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมามีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดประมาณ 7.5 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนจากความหนาวเย็นเป็นจำนวนมาก แม้ปัจจุบันจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นในช่วงกลางวัน แต่ในเวลากลางคืนยังมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ  19 องศาเซลเซียส และคาดว่าในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์จะมีความหนาวเย็นอีกครั้ง ซึ่งจากการสำรวจความต้องการเครื่องกันหนาวของประชาชนทั้ง 12 อำเภอ พบว่ามีความต้องการเครื่องกันหนาวสงเคราะห์มากถึง 132,072 ราย โดยก่อนหน้านี้จังหวัดนครพนมได้เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนอำเภอต่าง ๆ ด้วยการจัดสรรเครื่องกันหนาวที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ ภาคเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 7,800 ชิ้น

คณะอนุกรรมการ กอช. ลงพื้นที่นครพนม พบปะสมาชิกบ้านดงยอ อำเภอธาตุพนม หลังยอดเกินกว่าเป้าหมาย


 วันที่ 16 มกราคม 2563 ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านดงยอ หมู่ที่ 7 ตำบลนาถ่อน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม คณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ ลงพื้นที่พบปะสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติตำบลนาถ่อน เพื่อรับฟังความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะ รวมถึงแนวทางส่งเสริมการออมให้เกิดความต่อเนื่อง หลังจากที่ทางอำเภอธาตุพนม ได้ดำเนินการหาสมาชิกมาเข้าร่วมโครงการส่งเสริมวินัยการออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ประสบผลสำเร็จสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในตำบลนาถ่อนมีประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการมากถึง 318 คน จากการเป้าหมายที่ตั้งไว้ 280 คน เพราะทุกคนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการออม ที่เป็นเหมือนขุมทรัพย์ด้านการเงินในอนาคตที่จะทำให้ครอบครัวมีความมั่นคง ทั้งยังได้รับสิทธิสวัสดิการบำนาญจากรัฐบาลอีกด้วย

โดยกองทุนการออมแห่งชาติเป็นกองทุนที่เปิดโอกาสให้กับประชาชนทั่วไป ที่ไม่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญ เช่นเดียวกับข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานเอกชน เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำนาญและให้ผลตอบแทนแก่สมาชิกที่เป็นแรงงานนอกระบบ พนักงาน ลูกจ้าง เกษตรกร พ่อค้า แม้ค้า เด็กและเยาวชน รวมถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่อยู่ในโครงสร้างของกระทรวงมหาดไทย ที่ยังไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และไม่ได้เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 และ 40 ทางเลือกที่ 2 และ 3 ให้ได้รับสวัสดิการคล้องกับนโยบายของรัฐในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมโครงการสมัครเป็นสมาชิก จะได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลหรือทุกครั้งที่ส่งเงินสะสมจะได้รับเงินสมบทในเดือนถัดไป ตามอายุ ตามเงื่อนไขที่ กอช. กำหนด

สำหรับผลการดำเนินงานในรอบปี 2562 จังหวัดนครพนม ได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนโครงการ ออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับจังหวัด อำเภอและตำบล โดยในระดับพื้นที่จะมีเครือข่ายประชาสัมพันธ์หมู่บ้านละ 1 คน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและถ่ายทอดข้อมูลของโครงการให้เพื่อนบ้านได้เข้าใจถึงความสำคัญของการออมและรายละเอียดของโครงการส่งเสริมวินัยการออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และอำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกใหม่และให้ข้อมูลสมาชิกเดิม เพื่อให้ทุกคนเกิดการออมอย่างต่อเนื่อง โดยมีการตั้งเป้าหมายในการรับสมัครสมาชิก กอช. ไว้ที่ 22,256 คน ซึ่งหลังดำเนินงานปรากฎว่ามีประชาชนให้ความสนใจสมัครเข้าเป็นสมาชิกทั้งสิ้น 24,814 คน เกินกว่าเป้าหมาย 2,258 คน โดยเป็นลำดับที่ 36 ของประเทศ ทั้งนี้ประชาชนที่สนใจยังสามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกได้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2563

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563

ศอ.ปส.นครพนม อบรมบำบัดฟื้นฟูผู้เสพยาเสพติด คืนคนดีสู่สังคม


วันที่ 15 มกราคม 2563 ที่บริเวณศูนย์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจังหวัดนครพนม กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดนครพนมที่ 1 นายนิติพัฒน์ ลีลาเลิศแล้ว ปลัดจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมโครงการบำบัดฟื้นฟูผู้เสพผู้ติดยาเสพติดในระบบสมัครใจ ศูนย์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจังหวัดนครพนม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่จังหวัดนครพนมจัดขึ้นเพื่อบำบัดและฟื้นฟูผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ที่มีความสมัครใจเข้าสู่กระบวนการจากทั้ง 12 อำเภอของจังหวัดนครพนม ซึ่งถือเป็นผู้ป่วย เพื่อดูแลช่วยเหลือผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดให้ได้รับการดูแลทางด้านสุขภาพ ด้านจิตใจ และการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการยอมรับในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเชิงลบ สร้างพฤติกรรมเชิงบวก เสริมสร้างอาชีพรวมถึงทำให้ผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดมองเห็นคุณค่าในตัวเองและสามารถพัฒนาตนเองให้มีทักษะทางสังคมและปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังเป็นการยุติสถานการณ์การแพร่ระบาดของยาเสพติดที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและความสงบสุขของประชาชนในสังคม ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติในการให้ทุกภาคส่วนร่วมกันดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด

สำหรับการฝึกอบรมในครั้งนี้ จะแบ่งออกเป็นทั้งสิ้น 3 รุ่น ๆ ละ 75 คน รวม 225 คน โดยแต่ละรุ่นจะใช้เวลาอบรมทั้งสิ้น 12 วัน และในวันนี้เป็นรุ่นที่ 1 ซึ่งผู้ที่เข้ารับการอบรมทุกคนจะได้เรียนรู้ทักษะต่าง ๆ จากชุดครูฝึกและวิทยากรจากหน่วยงานต่าง ๆ ประกอบไปด้วย สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 4  ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม สำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดนครพนม สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม สำนักงานแรงงานจังหวัดนครพนม สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครพนม สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดนครพนม กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 236 และกองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดนครพนม ซึ่งเมื่อจบการฝึกอบรมไปแล้วทุกคนจะได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและสังคมตามปกติ โดยจะทีมเจ้าหน้าที่ออกติดตามผลอีกเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งถ้าผ่านพ้นระยะเวลาดังกล่าวไปแล้วจึงจะถือว่าจบหลักสูตรโดยสมบูรณ์   

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2563

จังหวัดนครพนม จัดประกวดสวดมนต์หมู่ฯทำนองสรภัญญะ ชิงโล่พระราชทานกรมสมเด็จพระเทพฯ


วันที่ 13 มกราคม 2563 ที่บริเวณวัดมหาธาตุ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประกวดสวดมนต์หมู่ฯ ทำนองสรภัญญะ และการประกวดกล่าวคำอาราธนาในพุทธศาสนพิธี ชิงโล่รางวัลพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตามโครงการส่งเสริมศีลธรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ปีที่ 6 ที่จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม ร่วมกับวัดมหาธาตุ และกรมการศาสนา จัดขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 65 พรรษา ถวายเป็นพุทธบูชาและส่งเสริมให้โรงเรียนเห็นความสำคัญของการสวดมนต์ไหว้พระ ทำให้นักเรียนสามารถสวดมนต์หมู่สรรเสริญพระรัตนตรัยในรูปแบบทำนองสรภัญญะที่ถูกต้อง ปลูกฝังให้เยาวชนของชาติมีจิตใจอ่อนโยน เยือกเย็น มีความประพฤติที่ดี มีความอดทน มีความรักความสามัคคี มีความรับผิดชอบร่วมกัน กล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม และเป็นคนดีของสังคม ทั้งเป็นการส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนากิจกรรมพัฒนานักเรียนให้ถูกต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน และรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของชาวพุทธให้ดำรงสืบไป  

โดยกิจกรรมในครั้งนี้มีนักเรียนในเขตพื้นที่จังหวัดนครพนม และจังหวัดอื่น ๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือสมัครเข้าร่วมการประกวด ทั้งสิ้น 105 ทีม ประกอบไปด้วย การประกวดสวดมนต์หมู่ฯ ทำนองสรภัญญะ ระดับประถมศึกษา 35 ทีม ระดับมัธยมศึกษา จำนวน 35 ทีม การประกวดกล่าวคำอาราธนา (ป.4 - ม.3) จำนวน 35 ทีม  สำหรับเกณฑ์การให้คะแนน ประกอบไปด้วย การออกเสียงอักขระ 20 คะแนน จังหวะมีความสม่ำเสมอ 20 คะแนน ทำนอง 20 คะแนน น้ำเสียง 20 คะแนน มารยาทและท่าทาง 10 คะแนน และความพร้อมเพรียง 10 คะแนน โดยทีมที่ชนะเลิศและรองชนะเลิศการประกวดในครั้งนี้ ทางคณะผู้จัดงานจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบและขอเข้าเฝ้ารับพระราชทานโล่รางวัลจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสต่อไป