วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม ประชุมวางมาตรการเตรียมจัดงานประเพณีไหลเรือไฟ 2563


วันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ห้องประชุมร่มฉัตร ชั้น 2 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม เพื่อวางมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดประจำปี 2563 ของจังหวัดนครพนม ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 25 กันยายน -  4 ตุลาคม 2563 และติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 ในพื้นที่ ตลอดจนในกลุ่มแรงงานต่างด้าวและบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ รวมถึงการ และหลักเกณฑ์และการอนุญาตกรณีบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยขอเข้ามารักษาพยาบาลฉุกเฉินในประเทศไทยผ่านด่านพรมแดนทางบก

โดยมาตรการสำหรับการจัดงานไหลเรือไฟในปี 2563 นี้ คณะกรรมการฯ ได้มีมติในการเพิ่มระยะเวลาการจัดงานเป็น 10 วัน (จากปกติทุกปี 9 วัน) เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสและลดความแออัดให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนได้ชมความยิ่งใหญ่และงดงามของเรือไฟเหมือนทุกปี ส่วนของการไหลเรือไฟที่เดิมจะปล่อยเรือไฟแข่งขันในวันออกพรรษาเพียงวันเดียว ก็จะเพิ่มเป็น 3 วัน โดยแบ่งออกเป็นวันที่ 30 กันยายนและวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ให้ไหลเรือไฟแข่งขันประเภทความคิดสร้างสรรค์ จำนวน 3 ลำต่อวัน ส่วนวันที่ 2 ตุลาคม 2563 ให้ไหลเรือไฟแข่งขันประเภทสวยงาม จำนวน 6 ลำ ขณะที่วันอื่น ๆ จะยังคงมีไหลเรือไฟโชว์และการลอยกระทงสายให้ผู้ที่มาร่วมงานได้ชมเช่นทุกปี ส่วนมาตรการรองรับอื่น ๆ สำหรับผู้ประกอบการและผู้ที่มาร่วมงาน ก็ให้มีการวางจุดคัดกรองทุกจุดทางเข้าของงาน ให้มีที่ล้างมือพร้อมสบู่เหลวหรือเจลแอลกอฮอล์ สำหรับล้างมือทุกๆ 100 เมตร ให้มีจุดเช็ดเท้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ (คลอรีน) ทุกจุดทางเข้า ที่สำคัญคือผู้ประกอบการและผู้เข้าร่วมงานต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา (ถ้าไม่สวมห้ามเข้างาน) ในส่วนของพนักงานผู้ให้บริการก็ต้องล้างมือด้วยสบู่เหลวหรือเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้งที่ให้บริการลูกค้าแต่ละราย รวมถึงเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสของสถานที่ก่อนและหลังการให้บริการและเมื่อเปลี่ยนผู้ใช้บริการทุกครั้ง ในส่วนของแผงสินค้า โต๊ะนั่ง ระยะนั่งหรือยืนระหว่างบุคคลก็ให้มีการจัดระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร ให้มีการคัดแยกและกำจัดขยะมูลฝอยอย่างถูกต้องทุกวัน ห้องสุขาก็ต้องให้มีสบู่เหลวล้างมือ กระดาษเช็ดมือ ห้ามใช้ผ้าเช็ดมือชนิดผ้าที่ใช้ร่วมกันและต้องทำความสะอาดห้องสุขาด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ให้ควบคุมจํานวนผู้ใช้บริการ ไม่ให้แออัดและรวมกลุ่มกัน หรือลดเวลาในการทํากิจกรรมเท่าที่จําเป็น โดยถือหลักหลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัสระหว่างกัน ห้ามการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในสถานที่จำหน่ายอาหาร ให้เจ้าของสถานที่หรือผู้เช่าสถานที่หรือผู้ประกอบกิจการลงทะเบียนแอปพลิเคชั่นไทยชนะ และยืนยันการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนด และให้มีการควบคุมทางเข้า-ออกและลงทะเบียนก่อนเข้าและออกจากสถานที่ และเพิ่มมาตรการใช้แอปพลิเคชั่นไทยชนะ หรือใช้มาตรการควบคุมด้วยการบันทึกข้อมูลและรายงานทดแทนได้

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

จังหวัดนครพนม จัดประกวดผ้าไทยพร้อมเดินแบบ ชูอัตลักษณ์และคุณค่า สืบสานพระราชปณิธาน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง



วันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประกวดผ้าไทยกับกิจกรรมการประกวดผ้าสืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน ที่จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนมจัดขึ้นเพื่อสืบสานพระราชปณิธาน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงส่งอนุรักษ์ ส่งเสริม และเชิดชูอัตลักษณ์คุณค่าผ้าไทย ทำให้ผ้าไทยคงอยู่คู่แผ่นดินเป็นการกระตุ้นให้ภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป ได้เกิดความตระหนักรับรู้ มีการรื้อฟื้นลายผ้าที่อาจสูญหายตามกาลเวลา ทำให้เกิดลายผ้าประจำจังหวัด เกิดกระแสนิยมไทย ใช้ของไทย กินของไทย และเที่ยวไทยตามมา ส่งผลให้ประชาชนในชุมชนเกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากขึ้นเป้นการยกระดับคุณภาพชีวิต ที่มั่นคง ยั่งยืน

โดยก่อนการประกวดคณะทำงานได้มีการจัด การเดินแบบแฟชั่นผ้าไทยที่เป็นการต่อยอดผ้าไทยของนครพนม สู่การออกแบบที่ทันสมัย เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย หลากหลายสไตล์ที่ใช้ได้ทั้งการเป็นชุดลำลอง ชุดทำงาน ชุดท่องเที่ยวและชุดราตรี  สำหรับการประกวดผ้าไทยในครั้งนี้ มีผู้ที่สนใจส่งผ้าเข้าประกวด ทั้งสิ้น 35 ชิ้น จากผู้ผลิต 12 อำเภอของจังหวัดนครพนม โดยส่วนใหญ่จะเป็นผ้าไหมลายมุก เพราะเป็นผ้าโบราณร่วมสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ เป็นผ้าต้นแบบของผ้าพื้นบ้านทั้งหลายของนครพนม ลักษณะของผ้าจะมีเป็นลายขวางรอบตัว ปกติจะเป็นลายดอกสีขาว ตัวลายจะขึ้นอยู่กับจินตนาการของผู้ทอ มีดอกเล็กบ้าง ดอกใหญ่บ้าง คล้ายๆ กับมุกที่เป็นเครื่องประดับ บางลายก็มีลักษณะคล้ายกับหน้ามุกของโบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญที่เป็นสามเหลี่ยมหน้าจั่วแล้วมีลายเล็กอยู่ตรงกลางผ้า หรือเป็นผ้าลายนาคแปดเศียร ที่เป็นการนำความเชื่อโบราณเกี่ยวกับนาคที่เป็นตัวแทนในการทำพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาในอดีตพุทธกาลมาออกแบบถักทอเป็นลวดลายผ้าที่มีความโดดเด่นสวยงามเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่ชัดเจน ตามมาด้วยผ้าพื้นเมืองลายขิดโบราณที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติและไม้มงคล ซึ่งผ้าประเภทนี้ในอดีตนิยมนำมาใช้ทำเป็นผ้าคลุมไหล่ในพิธีมงคลต่าง ๆ เช่น งานบวช งานแต่ง แต่ปัจจุบันการทอผ้าได้คิดค้นรูปแบบและลวดลายเพิ่มเติมทำให้สามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบทั้งการคลุมไหล่ กระเป๋า ทำเครื่องนุ่งห่ม และใช้ประดับตกแต่งบ้าน

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

พสกนิกรจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


วันที่ 28 กรกฎาคม 2563 ที่บริเวณศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายชาตรี จันทร์วีระชัย  รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล อัยการ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน คณะครูอาจารย์ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นักเรียน นักศึกษา ภาคเอกชน และประชาชนจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะ และจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 68 พรรษา 28 กรกฎาคม 2563 เพื่อเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านทรงมีต่อพสกนิกรจังหวัดนครพนมและประเทศชาติ

โดยพิธีได้เริ่มขึ้นเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมประธานในพิธี นำพสกนิกรชาวจังหวัดนครพนมถวายความเคารพ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะ(วางพานพุ่มทอง-พุ่มเงิน) เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ จากนั้นได้จุดเทียนมหามงคลและนำไฟมาต่อให้กับนายนรวัฒน์ สวยงาม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนมและผู้ที่มาร่วมงาน เมื่อทุกคนจุดเทียนครบแล้วได้ยืนสงบนิ่ง ประธานในพิธีกล่าวกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ก่อนที่ทุกคนจะร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดีจอมราชา 2 จบ และเมื่อสิ้นเสียงเพลงต่างก็พร้อมใจกันเปล่งเสียง ทรงพระเจริญ 3 จบ ดังกึกก้องทั่วบริเวณศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม

จิตอาสานครพนม รวมน้ำใจช่วยผู้ยากไร้บ้านคำสว่าง ตำบลวังตามัว สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


วันที่ 28 กรกฎาคม 2563  ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคลผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำเป็นประธานนำคณะจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือครอบครัวของนางบัวทอง จันทะสิทธิ์ อายุ 56 ปี ซึ่งอาศัยอยู่กับสามี ที่บ้านเลขที่ 282 หมู่ที่ 6  บ้านคำสว่าง ตำบลวังตามัว อำเภอเมือง โดยทั้ง 2 คน อาศัยอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรม เนื่องจากตัวบ้านและหลังคาที่ทำจากสังกะสีมีรอยรั่วตามกาลเวลาที่ใช้งานมา อีกทั้ง ห้องน้ำก็ไม่มีหลังคา แต่ด้วยทั้งคู่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ซึ่งรายได้แต่ละวันมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะช่วงนี้ที่อยู่ในฤดูฝน ทำให้เมื่อฝนตกลงมาจึงได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นคณะจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครพนมจึงได้บูรณาการร่วมกันให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ยกระดับครัวเรือนให้สูงขึ้น ตามเป้าหมายโครงการ "นครพนม สร้างสังคมอุดมสุข”

โดยการลงพื้นที่ช่วยเหลือในครั้งนี้ประกอบไปด้วยการซ่อมแซมเปลี่ยนหลังคาและฝาผนังบ้านให้ใหม่  สร้างหลังคาห้องน้ำให้ใหม่  การมอบเงินสงเคราะห์เพื่อให้ความช่วยเหลือเพื่อเป็นทุนในการประกอบอาชีพซึ่งทั้งคู่วางแผนว่าจะนำไปซื้อผลไม้มาขายให้กับคนในหมู่บ้านและชุมชนข้างเคียง การมอบเครื่องอุปโภคบริโภคในการดำรงชีพ เช่น ข้าวสาร ไข่ น้ำดื่ม เสื้อผ้า พัดลม รองเท้า หลอดไฟ เป็นต้น ขณะที่ในระยะยาวเพื่อให้ทั้ง 2 คนมีแหล่งอาหารที่ยั่งยืน คณะจิตอาสาพระราชทานก็ได้ร่วมกันสร้างกระชังเลี้ยงปลาให้พร้อมกับมอบพันธุ์ปลาดุกจำนวน 500 ตัวและหัวอาหารปลาให้ด้วย

จิตอาสานครพนม พร้อมใจแสดงออกถึงความจงรักภักดี เปิดซุ้มประตูเมืองเฉลิมพระเกียรติ ฯ


วันที่ 28 กรกฎาคม 2563  ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำเป็นประธานนำคณะจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมกันประกอบพิธีเปิดโครงการซุ้มประตูเมืองเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระองค์ท่าน ที่ทรงห่วงใยและทรงคำนึงถึงความอยู่ดีมีสุขของประชาชนเป็นสำคัญ และทรงมีพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะทำให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความผาสุก ร่มเย็น ดังพระปฐมบรมราชโองการ ความว่า เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป

โดยซุ้มประตูเมืองเฉลิมพระเกียรติ ฯ ที่ก่อสร้างขึ้นในครั้งนี้ จังหวัดนครพนม โดยคณะกรรมการอำนวยการและขับเคลื่อนโครงการเฉลิมพระเกียรติ ได้คัดเลือกพื้นที่ก่อสร้างซุ้มประตูเมืองเฉลิมพระเกียรติ ที่บริเวณถนนสายหลักทางหลวงหมายเลข 22 ตอน กุรุคุ - นครพนม กม.235+700 (บ้านโคกทรายคำ) ตำบลนาทราย อำเภอเมืองนครพนม และได้มีการคัดเลือกรูปแบบซุ้มประตูซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จได้เชิญพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ฉายกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตไปประดิษฐานบนซุ้มประตูเมืองเฉลิมพระเกียรติฯ ตามที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกำหนด โดยใช้งบประมาณการก่อสร้างขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเกิดความสง่างามสมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์

จิตอาสานครพนม พร้อมใจออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการประชาชนถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


วันที่ 28 กรกฎาคม 2563  ที่โรงเรียนบ้านคำสว่าง หมู่ที่ 10  ตำบลวังตามัว อำเภอเมืองนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ลงพื้นที่ทำกิจกรรมอาสา ชีวิตวิถีใหม่ใต้ร่มพระบารมี... เราสร้างไปด้วยกัน ซึ่งเป็นการออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการประชาชนแบบครบวงจรในจุดเดียว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 68 พรรษา 28 กรกฎาคม 2563

โดยกิจกรรมในครั้งนี้ มีทั้งการมอบพันธุ์ปลา จำนวน 50,000 ตัว เพื่อให้ผู้นำชุมชนได้นำไปปล่อยตามแหล่งน้ำของชุมชน เป็นการคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับทรัพยากรธรรมชาติและกลายเป็นแหล่งอาหารของประชาชนในพื้นที่ต่อไปในอนาคต มอบทุนการศึกษาของกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 7 ทุน ให้กับเด็กผู้ยากไร้แต่เรียนดี จำนวน 7 ทุน มอบเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน จำนวน 55 ราย มอบเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุในภาวะยากลำบาก จำนวน 10 ราย มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ยากไร้ จำนวน 110 ราย นอกจากนี้ยังมีการออกหน่วยเคลื่อนที่แบบบูรณาการ หน่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน ที่เป็นการให้บริการแบบครบวงจรในจุดเดียวจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ที่มีทั้งการถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ดิน การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การเลือกใช้พลังงาน การทำบัตรประชาชน การทำประกันสังคม การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรมมาให้ดูและศึกษา ไปจนถึงการให้คำปรึกษา คำแนะนำด้านการลงทุน  กฎหมาย การสร้างบ้าน การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การแจกพันธุ์ต้นไม้ การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ การจำหน่ายสินค้าราคาถูก สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP รวมถึงการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม เพื่อให้บริการด้านสุขอนามัยแก่ประชาชนในพื้นที่ ทั้งการตรวจสุขภาพเบื้องต้น การทำทันตกรรม การนวดแผนไทย และให้คำปรึกษา คำแนะนำ เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ

พสกนิกรจังหวัดนครพนม พร้อมใจทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


วันที่ 28 กรกฎาคม 2563  ที่บริเวณวัดมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายรังสรรค์ คัมภิรานนท์  รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายชาตรี จันทร์วีระชัย นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ อัยการ ศาล ทหาร ตำรวจ ตลอดจนคณะครู อาจารย์ ข้าราชการพลเรือน นักเรียน นักศึกษา พ่อค้าและประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมกันประกอบพิธีทำบุญตักบาตรแก่พระเทพวรมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครพนม เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม พระภิกษุสงฆ์และสามเณร จำนวน 69 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 68 พรรษา 28 กรกฎาคม 2563

ทั้งนี้ในเวลา 09.00 น. พสกนิกรจังหวัดนครพนมจะได้ร่วมกันประกอบพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน ประจำปี 2563 ณ บริเวณศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม จากนั้นทุกคนร่วมกันทำกิจกรรมอาสา ชีวิตวิถีใหม่ใต้ร่มพระบารมี... เราสร้างไปด้วยกัน กับการที่จิตอาสาทุกคนพร้อมใจกันออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการประชาชน ที่บริเวณโรงเรียนบ้านคำสว่าง หมู่ที่ 10  ตำบลวังตามัว อำเภอเมืองนครพนม เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงการบริการของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนแบบครบวงจรในจุดเดียว ร่วมกันเปิดโครงการซุ้มประตูเมืองเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ ทางหลวงหมายเลข 22 ตอน กุรุคุ - นครพนม กม.235+700 (บ้านโคกทรายคำ) ตำบลนาทราย อำเภอเมืองนครพนม และในเวลา 19.00 น.ทุกคนจะพร้อมใจกันประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

จ.นครพนม เฟ้นหาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง อยู่เย็นเป็นสุข ดีเด่นระดับจังหวัด


วันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะกรรมการลงพื้นที่คัดสรรหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง อยู่เย็นเป็นสุข ดีเด่นระดับจังหวัด และกิจกรรมพัฒนาชุมชนดีเด่นระดับจังหวัด ประจำปี 2563 ที่จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อเฟ้นหาหมู่บ้านที่มีการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการบริหารจัดการชุมชนได้ดีที่สุดของจังหวัดนครพนม เพื่อเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และรับพระราชทานโล่รางวัล เพื่อเชิดชูเกียรติเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้นำชุมชน และประชาชนในหมู่บ้าน

สำหรับเกณฑ์การให้คะแนนหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง อยู่เย็นเป็นสุข ดีเด่นระดับจังหวัด นั้นคณะกรรมการจะพิจารณาจากที่เป็นหมู่บ้านที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกรมพัฒนาชุมชน และจังหวัดได้ประกาศเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบที่กรมพัฒนาชุมชนสนับสนุนเป็นอันดับแรก (ก่อนปี 2563) หรือหมู่บ้านที่หน่วยงานอื่นๆ สนับหนุนการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างต่อเนื่อง โดยต้องผ่านการประเมินตัวชี้วัดหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบของกรมพัฒนาชุมชน เป็นหมู่บ้านที่ผ่านการรับรองตามระบบมาตรฐานการพัฒนาชุมชน ซึ่งหมู่บ้านต้องมีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนมีวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการขับเคลื่อนตามแนวทางกิจกรรม 3 สร้าง คือ สร้างความมั่นคงทางอาหาร สร้างสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน และสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม อีกทั้งมีกิจกรรมที่ส่งเสริมการสร้างสัมมาชีพชุมชนที่เป็นรูปธรรม สามารถต่อยอดได้ เช่น การยกระดับรายได้ของครัวเรือนเป้าหมาย มีกลุ่มอาชีพเพิ่มขึ้น สามารถพัฒนาเป็นกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP หรือสามารถเชื่อมโยงกับบริษัทประชารัฐรักสามัคคีจำกัดได้ เป็นหมู่บ้านที่สามารถเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการชุมชนพึ่งตนเองได้โดยคนในชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาจากกิจกรรมตามยุทธศาสตร์ของจังหวัด กลุ่มจังหวัด หรือตามนโยบายของหน่วยงานราชการต่าง ๆ

โดยในรอบชิงชนะเลิศระดับจังหวัดในครั้งนี้ มี 3 หมู่บ้าน ประกอบไปด้วย บ้านหนองสังข์ หมู่ที่ 1 ตำบลหนองสังข์ อำเภอนาแก บ้านนาแก หมู่ที่ 1 ตำบลดอนนางหงส์ อำเภอธาตุพนม และบ้านศรีเวินชัย หมู้ที่ 6 ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม ซึ่งจะมีการคัดสรรให้เหลือเพียงหมู่บ้านเดียวเท่านั้น เพื่อเข้าเฝ้า ฯ และรับพระราชทานโล่รางวัล

จิตอาสาพระราชทานนครพนม พร้อมใจปลูกป่า 4,813 ต้น ตามโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า


วันที่ 24 กรกฎาคม 2553 ที่บ้านอูนนา หมู่ที่ 11 ตำบลนางัว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะประชาชนจิตอาสา หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันปลูกต้นกล้าไม้ตามโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า ที่ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน จัดขึ้น เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎร

โดยพระองค์ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการแก่ประชาชนชาวไทย ความว่า เราจะสืบสานรักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป สะท้อนถึงพระราชปณิธานและพระราชหฤทัยอันแน่วแน่ในการทรงงาน เพื่อจะสืบสาน รักษาและต่อยอด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยให้ความสำคัญและห่วงใยในเรื่องน้ำและป่า เนื่องจากการสูญเสียพื้นที่ป่าต้นน้ำ เป็นสาเหตุหลักที่แท้จริงของปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยทรงพระราชทานแนวพระราชดำริ พระราชทานคำแนะนำ ตลอดจนพระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์ เพื่อเยียวยาผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินการแก้ปัญหามีความยั่งยืน สามารถบูรณาการทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

โดยโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า ได้กำหนดพื้นที่ป่าที่ได้รับการฟื้นฟูและมีพื้นที่สีเขียวนอกเขตป่าภายใต้โครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่าเพิ่มขึ้นรวมกันจำนวนไม่น้อยกว่า 2.68 ล้านไร่ ใน 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร มีระยะดำเนินการตั้งแต่ปี 2563-2570 โดยในระยะเร่งด่วนของโครงการ พสกนิกรจังหวัดนครพนมได้น้อมนำทฤษฎีการปลูกป่าตามแนวพระราชดำริ ในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปลูกเลียนแบบธรรมชาติ ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ในวันนี้บนพื้นที่สาธารณประโยชน์ป่าช้าหนองไผ่ ที่มีเนื้อที่รวม 102 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวา ประกอบไปด้วย อินทนิล 13 ต้น ไม้พะยูง 600 ต้น ไม้ประดู่ 700 ต้น มะค่าโมง 600 ต้น ไผ่รวก 500 ต้น ไผ่ซางนวล 500 ต้น สะเดา 500 ต้น หวาย 600 ต้น ไม้แดง 200 ต้น ขี้เหล็ก 500 ต้น และหางนกยูงฝรั่ง 100 ต้น รวมทั้งสิ้น 4,813  ต้น

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ชาวนครพนมพร้อมใจปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

วันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ที่บริเวณอ่างเก็บน้ำหนองสังข์ หมู่ที่ 7 ตำบลหนองสังข์ อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำหัวหน้าส่วนราชการ  เจ้าหน้าที่ นักเรียน นักศึกษาและประชาชนในพื้นที่ ร่วมประกอบพิธีปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2563 ที่จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานประมงจังหวัดนครพนม ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม อำเภอนาแก และองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสังข์จัดขึ้น เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ และถวายเป็นพระราชกุศล เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงงานด้านการประมง และทรงมีพระเมตตาเสด็จพระราชดำเนินทรงงานที่เกี่ยวข้องกับการประมงทั่วประเทศ ตลอดจนเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ทุกคนมีความรัก ความหวงแหนในแหล่งน้ำชุมชน ร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและเพิ่มพูนปริมาณสัตว์น้ำในแหล่งน้ำให้มีความอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

โดยอ่างเก็บน้ำหนองสังข์แห่งนี้ เป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ของชุมชน มีพื้นที่ประมาณ 1,200 ไร่ ที่ประชาชนในพื้นที่ 6 ตำบลของอำเภอนาแก ใช้ในการอุปโภคบริโภคและเพื่อการเกษตร สำหรับพันธุ์สัตว์น้ำที่ทุกคนได้ร่วมกันปล่อยในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย ปลาตะเพียนขาว ปลาสร้อยขาว ปลาตะเพียนทอง ปลาบ้า และปลานวลจันทร์เทศ รวมทั้งสิ้น 500,068 ตัว นอกจากนี้ทุกคนยังได้ร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อเป็นร่มเงาให้กับชุมชนต่อไปในอนาคตอีกด้วย

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

จ. นครพนม บูรณาการหน่วยงาน ออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการประชาชนเทิดพระเกียรติฯ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต



วันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ที่โรงเรียนบ้านคำแม่นาง ตำบลหนองซน อำเภอนาทม จังหวัดนครพนม นายนิติพัฒน์ ลีลาเลิศแล้ว ปลัดจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นายแพทย์จิณณพิภัทร ชูปัญญา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม นำคณะแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนมให้บริการตรวจรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย บริการทันตกรรม และตรวจสุขภาพเบื้องต้น ให้กับประชาชนในพื้นที่ เสริมสร้างสุขภาพอนามัยที่แข็งแรงถวายเป็นพระราชกุศลและสดุดีเทิดพระเกียรติฯ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต (18 กรกฎาคม)

โดยก่อนการให้บริการปลัดจังหวัดนครพนมได้เป็นประธานนำทุกคนถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จากนั้นกล่าวเทิดพระเกียรติฯ ใจความว่า ปวงข้าพระพุทธเจ้าล้วนประจักษ์แจ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่ใต้ฝ่าละอองพระบาท ทรงเป็นพระมิ่งขวัญและทรงเป็นปูชนียบุคคลที่เคารพสักการะยิ่งของพสกนิกรชาวไทย ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อความผาสุกของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ในการช่วยเหลือประชาชนให้พ้นทุกข์และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งในด้านการแพทย์ การพยาบาล การพัฒนา สิ่งแวดล้อม การยกระดับคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ ทรงเสด็จเยี่ยมชาวไทยภูเขาทางภาคเหนือและพระราชทานความช่วยเหลือด้านสาธารณสุข เสื้อผ้าและอาหาร ชาวไทยภูเขาจึงถวายพระสมัญญานามพระองค์ว่า แม่ฟ้าหลวงหมายถึงผู้เสด็จมาจากฟากฟ้าเพื่อมาปัดเป่าทุกข์แก่ราษฎร ทรงจัดตั้งมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) เมื่อพุทธศักราช 2512 และทรงเป็นองค์นายิกากิตติมศักดิ์ ทรงมีพระราชหฤทัยที่แน่วแน่ในการช่วยเหลือประชาชนให้พ้นทุกข์และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก่อบังเกิดคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ไพศาลแก่ประเทศชาติ ทั้งนี้ องค์การวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหชาติหรือยูเนสโก ได้เฉลิมพระเกียรติยกย่องให้พระองค์ทรงเป็นบุคคลสำคัญโลกด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ประยุกต์ การพัฒนามนุษย์ สังคมและสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2543 และเนื่องในวันคล้ายวันเสด็จสวรรคต วันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ปวงข้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยข้าราชการ อาสาสมัคร พอ.สว. และประชาชนชาวจังหวัดนครพนม จึงได้พร้อมใจกันร่วมจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติฯ ในครั้งนี้ขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะดำเนินการสนองงาน พอ.สว.เพื่อสืบสานพระปณิธานตลอดไป

โดยกิจกรรมมีทั้งการมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ยากไร้ การตรวจสุขภาพ ทำทันตกรรม นวดแผนไทย และรับคำปรึกษาด้านสุขภาพกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม การเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนทักษะในด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การเลือกใช้พลังงาน การทำบัตรประชาชน การทำประกันสังคม ไปจนถึงการรับคำปรึกษา คำแนะนำด้านการลงทุน  กฎหมาย การสร้างบ้าน การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การรับแจกพันธุ์ต้นไม้ การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ การเลือกซื้อสินค้าราคาถูก สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP จากหน่วยงานที่มาออกบูธจัดจำหน่ายเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน

คณะกรรมาธิการลงพื้นที่นครพนม รับฟังข้อคิดเห็นและข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน(จังหวัดพันธุ์ใหม่)



วันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม พลเอก อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ เป็นประธานนำคณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ลงพื้นที่จังหวัดนครพนม เพื่อติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เกี่ยวกับการดำเนินการตามแผนปฏิบัติปฏิรูปประเทศ ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีนายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และคณะหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด หัวหน้าหน่วยงานสาวนกลางในภูมิภาคและนายอำเภอต่าง ๆ ร่วมให้การต้อนรับ ให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน (จังหวัดพันธุ์ใหม่) เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนภาครัฐสู่การเป็นภาครัฐของประชาชน เพื่อประชาชน ตามยุทธศาสตร์ชาติที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

นอกจากนี้คณะกรรมาธิการการ ฯ ยังได้มีการติดตามเกี่ยวกับการประกอบกิจการให้เช่าที่พักในพื้นที่จังหวัดนครพนม เพื่อรับทราบถึงปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะ รวมทั้งการดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 6/2562 เรื่องมาตรการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานการประกอบธุรกิจโรงแรมบางประเภทในพื้นที่จังหวัดนครพนม และประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินงานตามภารกิจของการประปาส่วนภูมิภาคในการให้บริการประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ในช่วงบ่ายคณะกรรมาธิการฯ จะมีการลงพื้นที่เยี่ยมชมโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่หนองกะตึจังหวัดนครพนม   
สำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน (จังหวัดพันธุ์ใหม่) จะเป็นการขับเคลื่อนจังหวัดที่มีความคล่องตัวทั้งในการบริหารระบบงาน ระบบเงินและระบบกำลังคน ซึ่งระบบงานจะใช้กลไกคณะกรมการจังหวัดเพื่อพิจารณาเรื่องสำคัญหรือแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของพื้นที่ มีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่สนับสนุนการจัดทำแผนยุทธศาสตร์จังหวัดของกระทรวงมหาดไทยที่มีอยู่แล้วให้เป็นปัจจุบัน และมีการยกระดับศูนย์ดำรงธรรมอำเภอให้เป็นศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ส่วนระบบเงิน คือแผนงานและงบประมาณ ก็ให้นำแนวทางตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยเรื่องการทำแผนและประสานแผนพัฒนาพื้นที่ในระดับอำเภอและตำบลมาขับเคลื่อน มีการมอบอำนาจให้จังหวัดในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงการตามแผนจังหวัดแทนส่วนกลาง รวมทั้งให้มีการปรับกรอบวงเงินของกระทรวง กรมมาให้จังหวัดบางส่วนเพื่อให้จังหวัดเสนอโครงการที่เป็นความต้องการของพื้นที่ และด้านระบบกำลังคน ให้มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ว่าราชการจังหวัดให้มีความสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ กำหนดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างน้อย 4 ปี และขอความร่วมมือให้หัวหน้าส่วนราชการของหน่วยงานส่วนกลางในภูมิภาคมอบอำนาจการบริหารงานบุคคลให้ผู้ว่าราชการจังหวัด

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นำคณะกลั่นกรองลงพื้นที่นครพนม ตรวจความพร้อมโครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในอำนาจของรองนายกรัฐมนตรี


วันที่ 21 กรกฎาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นางใยอนงค์ ทิมสุวรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานนำคณะทำงานกลั่นกรองแผนงานโครงการ คณะที่ 5 ลงพื้นที่ 3 อำเภอเพื่อตรวจสภาพความพร้อมของโครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในอำนาจของรองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยมีนายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และคณะหัวหน้าส่วนราชการ ประชาชนที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับและให้ข้อมูล

โดยการตรวจในวันนี้ประกอบไปด้วย โครงการก่อสร้างระบบประปา POG TANK ตามบัญชีนวัตกรรมของสำนักงานงบประมาณ ที่บ้านตาลกุด หมู่ที่ 8 ตำบลโพนแพง อำเภอธาตุพนม โดยเป็นระบบประปาขนาดใหญ่ size L  รองรับ 121 -300 ครัวเรือน กำลังการผลิตอยู่ที่ 10 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ด้วยงบประมาณ 5,200,000 บาท เพื่อให้ประชาชนใน 4 หมู่บ้านของตำบลโพนแพงได้ใช้น้ำประปาที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยในการอุปโภคบริโภค โครงการก่อสร้างท่อลอดเหลี่ยมเสริมเหล็ก 5 ช่อง ที่ห้วยคำผักแพว บ้านคำผักแพว หมู่ที่ 8 ตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม ซึ่งเดิมบริเวณดังกล่าวเป็นถนนคอนกรีตระหว่างหมู่บ้านที่มีการวางท่อลอดเพื่อให้น้ำในลำห้วยไหลผ่านลงสู่แม่น้ำโขง แต่ได้รับความเสียหายเมื่อครั้งเกิดเหตุพายุโพดุล โดยโครงการดังกล่าวจะใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 1,830,000 บาท  โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก สายบ้านทุ่งตะวัน – บ้านหนองเทาใหญ่ หมู่ที่ 12 ตำบลนาเลียง อำเภอนาแก ซึ่งถนนเส้นนี้มีประชาชนในพื้นที่ใช้สัญจรไปมารวมถึงใช้เป็นเส้นทางในการขนขยะของ 3 อำเภอมาทิ้งที่บ่อขยะของตำบลนาเลียง โครงการขุดลอกหนองตาวงค์ บ้านแขนนาง หมู่ที่ 4 ตำบลนาคู่ อำเภอนาแก งบประมาณ 500,000 บาท ซึ่งถ้าดำเนินการแล้วเสร็จบริเวณดังกล่าวจะกลายเป็นแก้มลิงที่คอยกักเก็บน้ำไว้ให้ประชาชนในพื้นที่ได้ใชในการอุปโภคและการเกษตร โครงการก่อสร้างฝายสันล้นห้วยปลาเค้า บ้านคำเม็ก หมู่ที่ 9 ตำบลหนองสังข์ อำเภอนาแก งบประมาณ 497,000 บาท ซึ่งจะกลายเป็นฝายชะลอน้ำและกักเก็บน้ำให้ประชาชนในพื้นที่ได้ใช้ในการเกษตร โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กสายวัดป่ากิตติพรพุทธาราม บ้านนาคอย หมู่ที่ 5 - บ้านผักขะย่า หมู่ที่ 6 ตำบลยอดชาด อำเภอวังยาง ซึ่งเป็นการขอสนับสนุนงบเพิ่มเติมเพื่อมาก่อสร้างส่วนที่ยังขาดอยู่ของถนนเดิมที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ มีระยะทาง 333 เมตรก็จะเชื่อมกับถนนของทางหลวงชนบทพอดี และโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กภายในหมู่บ้าน บ้านนาคอย หมู่ที่ 5 ตำบลยอดชาด งบประมาณ 500,000 บาท ซึ่งถนนเส้นทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มีการสนับสนุนการก่อสร้างมาแล้วส่วนหนึ่งแต่ยังไม่เพียงพอถึงถ้าได้ในส่วนนี้มาเพิ่มเติมก็จะเชื่อมถนนทั้งหมดของหมู่บ้านเข้าด้วยกัน

นางใยอนงค์ ทิมสุวรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากที่จังหวัดได้มีการทำโครงการเสนอขึ้นไปเพื่อขอรับงบสนับสนุนจากรองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกุล มาใช้ในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในด้านต่างๆ ซึ่งท่านรองนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงอย่างมาก จึงได้สั่งการให้คณะทำงานและผู้ตรวจราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เขต 11 เร่งลงพื้นที่มาดูในวันนี้ โดยคณะทำงานจะเข้ามาดูว่าโครงการมีความเหมาะสมหรือไม่ ประชาชนมีความเดือดร้อนจริงไหม พื้นที่ที่จะดำเนินโครงการไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งด้านเอกสารและพื้นที่ ที่สำคัญคือสามารถทำได้ทันทีและเมื่อทำโครงการไปแล้วไม่ส่งผลกระทบ หรือสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร ซึ่งจากการดูข้อมูลในเบื้องต้นโครงการที่เสนอมามีความเหมาะสมและสมควรได้รับการสนับสนุน เพียงแต่ต้องขอดูรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ทั้งนี้ได้มีการขอให้แต่ละพื้นที่ส่งตัวแทนเข้าไปให้ข้อมูลคณะทำงานอีกครั้งที่ศาลากลางจังหวัดนครพนมในวันพรุ่งนี้ ที่จะมีส่วนต่าง ๆ ของคณะทำงานมาร่วมพิจารณาก่อนนำเสนอเรียนไปยังท่านรองนายกรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติงบประมาณเร่งด่วนฉุกเฉินมาช่วยทุกคน

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

นครพนมบูรณาการช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัยบ้านถูกไฟไหม้ที่อำเภอเรณูนคร



วันที่ 20 กรกฎาคม 2563 ที่บ้านเลขที่ 56 หมู่ที่ 6 ตำบลโพนทอง อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม นายชาตรี จันทร์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นางสาวจินตนา ชิ้นปิ่นเกลียว รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นำคณะสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารภัยจังหวัดนครพนม สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือครอบครัวนายประสงค์ สุศิลานุรักษ์ ที่บ้าน 2 ชั้น ถูกไฟไหม้เสียหายเสียหายครึ่งหลัง เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา

โดยการบูรณาการให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมมอบเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท มอบเครื่องอุปโภคบริโภค และผ้าห่ม สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนมมอบเงินสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน จำนวน 2,000 บาท และประชาชนในพื้นที่ร่วมกันบริจาคสิ่งของ เครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ในครัวเรือนและเงินจำนวนหนึ่งเพื่อ ให้ความช่วยเหลือ ขณะที่การซ่อมแซมบ้านนั้นรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้มีการพูดคุยชี้แจงกับเจ้าของบ้านถึงแนวทางการช่วยเหลือและระเบียบของทางราชการที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ โดยเบื้องต้นได้ให้วิศวกรตรวจสอบและประเมินความเสียหาย รวมถึงพิจารณาว่าควรปรับปรุงซ่อมแซมในลักษณะใดเพื่อให้ตัวบ้านมีความแข็งแรงเช่นดังเดิม ขณะที่องค์การบริหารส่วนตำบลโพนทองก็กำลังจะนำเรื่องเสนอเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือ ในการซื้อวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้ในการปรับปรุงซ่อมแซม โดยในวันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563 จะมีการส่งทีมช่างของ อบต.มาดำเนินการรื้อถอนบ้านในส่วนที่เสียหายก่อน
นายประสงค์ สุศิลานุรักษ์ เปิดเผยว่า บ้านหลังดังกล่าวอาศัยอยู่ด้วยกัน 4 คน คือตน ภรรยาและหลานอีก 2 คน วันเกิดเหตุตนเองอยู่ท้ายหมู่บ้านมีเพียงภรรยาและหลานอยู่ที่บ้าน โดยภรรยาได้เล่าให้ฟังว่าได้ตั้งหม้อต้มหน่อไม้ไว้ที่ครัวหลังบ้านแล้วเดินออกมาเล่นที่หน้าบ้านเพื่อรอเวลา สักพักได้ยินเสียงลั่น 2 ครั้งแต่ไม่รู้ว่าเสียงอยู่ที่ไหน จากนั้นก็มีกลิ่นเหม็นไหม้ลอยออกมา เข้าใจว่าที่ห้องครัวเกิดไฟไหม้จึงรีบวิ่งไปดูแต่ก็ปกติ จึงมองหาไปตามที่ต่าง ๆ กระทั่งพบว่าบริเวณชั้น 2 ของบ้านซึ่งเป็นไม้มีไฟไหม้และมีควันโพยพุ่งออกมาจำนวนมาก จึงได้ร้องเรียกให้คนมาช่วยดับไฟ แม้หน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนเพื่อนบ้านจะมาช่วยดับไฟด้วยความรวดเร็ว แต่พอไฟหยุดไหม้ชั้นบนของตัวบ้านก็เสียหายหมดแล้ว

มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ฯ ประจำจังหวัดนครพนม มอบเงินจำนวน 10,000 บาท ช่วยผู้ครอบครัวผู้ประสบภัยฟ้าผ่า


 วันที่ 20 กรกฎาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม เป็นประธานประกอบพิธีมอบเงินพระราชทานให้แก่ครอบครัวนางสาวจิราภรณ์ คำพิมพ์ ที่บ้านเลขที่ 26/1 หมูที่ 2 ตำบลท่าค้อ อำเภอเมือง ซึ่งได้สูญเสียบิดาที่เป็นหัวหน้าครอบครัวไปด้วยเหตุฟ้าผ่า เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากวันดังกล่าวได้เกิดเหตุฝนฟ้าคะนองและมีฟ้าผ่า ปัจจุบันนางสาวจิราภรณ์อาศัยอยู่กับมารดาที่เป็นคนสัญชาติลาวและพี่ชาย  โดยยังไม่มีงานทำเนื่องจากเพิ่งจบการศึกษาและอยู่ระหว่างการหางานทำ ส่งผลให้ครอบครัวนี้มีความลำบากเนื่องจากรายได้มีไม่เพียงพอต่อรายจ่าย

โดยหตุดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นภัยพิบัติ ทำให้หน่วยงานราชการไม่สามารถให้การช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 และหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 ได้ ดังนั้นมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัดนครพนม ที่ก่อกำเนิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ที่ทรงห่วงใยต่อพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ด้วยต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ ให้ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว อันจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และผ่อนคลายความทุกข์ร้อนของประชาราษฎร์ทุกหนแห่ง และพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานอย่างแน่วแน่ที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด ในการดำเนินงานของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ และทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติต่าง ๆ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้นำเงินจำนวน 10,000 บาท มาให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นกับครอบครัวผู้ประสบภัย ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาการจ่ายเงินสำรองจ่ายมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในวันนี้ ยังมาซึ่งความปลาบปลื้มของครอบครัวผู้ประสบภัยเป็นล้นพ้น ในน้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตา อันหาที่สุดมิได้ และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่ทรงห่วงใยในราษฎร

โดยในโอกาสนี้นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ยังได้กล่าวให้กำลังใจแก่ครอบครัวผู้ประสบภัย และกล่าวขอบคุณหน่วยงานราขการต่าง ๆ ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ที่ได้ร่วมกันให้ความช่วยเหลือครอบครัวนี้มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดเหตุ ทำให้ทุกคนมีกำลังใจที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะดำเนินชีวิตต่อไป รวมทั้งได้ฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยกันหางานให้กับครอบครัวผู้ประสบภัยได้ทำ เพื่อเป็นการสร้างอาชีพและสร้างรายได้เพิ่มเติมอีกด้วย

คณะอนุกรรมการลงพื้นที่นครพนม ตรวจประเมินมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ประจำปี 63


วันที่ 20 กรกฎาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นางสาวอัมพวัน เจริญกุล เป็นประธานนำคณะอนุกรรมการตรวจประเมินมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก คณะที่ 7 ลงพื้นที่ตรวจประเมินมาตรฐานการให้บริการศูนย์ราชการสะดวก ( Government Easy Contact Center : GECC ) ของจังหวัดนครพนม ที่ได้มีการสมัครขอรับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ประจำปี 2563 เพื่อให้คะแนนและตรวจเช็คดูสถานที่จริงว่าเป็นอย่างไร มีเอกสารที่จะต้องขอเพิ่มเติมหรือไม่ และมาทำความเข้าใจกับข้อมูลของหน่วยงานเพื่อนำไปเสนอต่อคณะกรรมการชุดใหญ่ในการพิจารณารับรองศูนย์ราชการสะดวก จำนวน 2 แห่ง ประกอบไปด้วย สำนักงานสรรพสามิต สาขาธาตุพนม และ ธ.ก.ส.สาขาโพนสวรรค์  โดยเกณฑ์การให้คะแนนรับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ประจำปี 2563 แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเป็นเลิศ (สีทอง) ได้คะแนนประเมิน 90-100 คะแนน คือมีการให้บริการด้วยการเพิ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีสำหรับให้บริการระบบดิจิทัล สะดวกทุกที่ ทุกเวลา รองลงมาเป็นระดับก้าวหน้า (สีเงิน) ได้คะแนนประเมิน 80-89 คะแนน คือมีการให้บริการด้วยการเพิ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการให้บริการ และระดับพื้นฐาน (สีฟ้า) ได้คะแนนประเมิน 70-79 คะแนน คือมีการให้บริการสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย

จากที่นายกรัฐมนตรีได้มีนโยบายในคราวการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2558 ที่ให้ทุกกระทรวง กรม จังหวัด และรัฐวิสาหกิจ ดำเนินการจัดให้มีศูนย์ราชการสะดวก (GECC) เพื่อทำหน้าที่ให้คำแนะนำและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่มาขอรับบริการอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน ต่อการให้บริการจากหน่วยงานของรัฐ โดยได้มีการเปิดตัวตราสัญลักษณ์ศูนย์ราชการสะดวก และประกาศมาตรฐานการให้บริการประชาชน ตามที่คณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวกกำหนดให้หน่วยงานของรัฐได้นำไปปฏิบัติ รวมถึงได้เปิดให้หน่วยงานต่าง ๆ สมัครเข้ารับการประเมิน เพื่อขอการรับรองมาตรฐาน ซึ่งในปี 2563 มีหน่วยงานสมัครเข้ารับการตรวจประเมินทั้งสิ้น 1,412 หน่วยงาน ผ่านเกณฑ์การคัดกรองเอกสารในเบื้องต้น จำนวน 456 หน่วยงาน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 8 จังหวัด ที่คณะที่ 7 รับผิดชอบมีหน่วยงานสมัครเข้ารับการประเมินทั้งสิ้น 130 หน่วยงาน ผ่านเกณฑ์ประเมินเบื้องต้น 33 หน่วย

โดยในโอกาสนี้คณะอนุกรรมการตรวจประเมินมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก คณะที่ 7 ยังได้ให้ข้อแนะนำสำหรับหน่วยงานราชการที่จะสมัครเข้ารับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวกว่า แต่ละปีจะพบว่ามีหน่วยงานที่พลาดโอกาสไปเพราะเนื้อหาเอกสารขาดความชัดเจน จึงอยากขอให้ตรวจสอบให้ดี ซึ่งถ้าเนื้อหามีความละเอียด ชัดเจน ทำให้เห็นถึงความสะดวกในการมารับบริการของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับสถานที่ให้บริการ สิ่งที่มาสนับสนุนสถานที่บริการ กระบวนการปฏิบัติงาน ไปจนถึงการคิดค้นนวัตกรรมและการต่อยอดนวัตกรรมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและส่วนราชการ ก็จะทำให้มีโอกาสสูงที่จะผ่านการตรวจรับรองเอกสารในเบื้องต้น

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ทช. มอบรถ Wheelchair 30 คัน อำนวยความสะดวกผู้ป่วย ผู้พิการและผู้สูงอายุที่มาใช้บริการโรงพยาบาลของจังหวัดนครพนม


วันที่ 17 กรกฎาคม 2563 ที่โรงพยาบาลนครพนม จังหวัดนครพนม นายมานพ สุสิงห์ รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท และทีมงานได้เดินทางมามอบรถเข็น Wheelchair ให้กับโรงพยาบาลนครพนม จำนวน 20 คัน และโรงพยาบาลท่าอุเทน จำนวน 10 คัน เพื่อใช้ในการดูแลผู้ป่วย ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวร่างกายและผู้สูงอายุที่เดินไม่ได้ ไม่สะดวกเมื่อมาทำการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล โดยมีนายแพทย์ยุทธชัย ตริสกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม และนางนลิน รัตนวรรณี หัวหน้ากลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลท่าอุเทนเป็นตัวแทนคณะแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง รับมอบ

นายมานพ สุสิงห์ รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า การมอบรถเข็น Wheelchair ในครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้โครงการ “ทช.เชื่อมใจ” เพื่อมอบให้ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย ที่บุคลากรของกรมทางหลวงชนบทจากทั่วประเทศได้ร่วมกันบริจาคเงินซื้อรถเข็น Wheelchair เพื่อมอบให้เป็นสาธารณประโยชน์ ทั้งเป็นการรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุทางท้องถนน และเห็นถึงความสำคัญของวินัยจราจร และหันมาปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ด้านนายแพทย์ยุทธชัย ตริสกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม ได้เป็นตัวแทนโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งกล่าวขอบคุณพร้อมเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาในแต่ละวันโรงพยาบาลนครพนมมีความจำเป็นในการที่ต้องใช้รถเข็น Wheelchair ประมาณ 1,000 รายต่อวัน ซึ่งปัจจุบันมีรถเข็นเพียง 40 คันเท่านั้นที่คอยหมุนเวียนสับเปลี่ยนเพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลผู้ป่วย ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้สูงอายุ และผู้พิการทางร่างกาย ขณะที่โรงพยาบาลท่าอุเทน ซึ่งต้องรับผิดชอบดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุจังหวัดนครพนมด้วย มีความต้องการรถเข็น Wheelchair ประมาณ 30 รายต่อวัน ปัจจุบันมีรถเข็นเพียง 7 คันเท่านั้นที่คอยสับเปลี่ยนหมุนเวียนอำนวยความสะดวก ซึ่งการได้รับมอบวันนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมากเพราะหมายถึงผู้ที่มารับบริการจะได้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งยังขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับรถเข็น Wheelchair ที่จะตามมาอีกหลังจากที่ทางรองอธิบดีทราบถึงความจำเป็นของโรงพยาบาลและเตรียมจัดสรรเพิ่มเติมให้

เรือนจำนครพนม น้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียง สร้างนาแปลงใหญ่ให้ผู้ต้องขังฝึกวิชาชีพก่อนพ้นโทษ



วันที่ 17 กรกฎาคม 2563 ที่บริเวณเรือนจำกลางจังหวัดนครพนม นายณรงค์ชัย อรุณแสงศิลป์ อัยการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย นายจรูญ เหง่าลา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนผู้ต้องขังชั้นดีร่วมทำกิจกรรมลงแขกดำนา ตามโครงการเกษตรนาแปลงใหญ่ไร่นาสวนผสม ที่เรือนจำกลางจังหวัดนครพนมที่ได้ดำเนินการควบคู่ไปกับโครงการบำบัดน้ำเสียด้วยพลังงานไบโอดีเซล ในการฝึกวิชาชีพด้านเกษตรกรรมแก่ผู้ต้องขัง เพื่อขยายผลการดำเนินงานตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเป็นการตอบสนองต่อนโยบาย 5 ก้าวย่างแห่งการเปลี่ยนแปลงราชทัณฑ์

 โดยโครงการเกษตรนาแปลงใหญ่ไร่นาสวนผสมของเรือนจำกลางจังหวัดนครพนม ได้มีการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาสร้างเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับผู้ต้องขัง ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ส่วนหนึ่งของเรือนจำกลางจังหวัดนครพนมให้เป็นนาแปลงใหญ่ไร่นาสวนผสม ซึ่งภายในศูนย์ฯ จะมีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ทั้งการปลูกข้าวหอมมะลิ การปลูกมะพร้าวน้ำหอม การปลูกมะม่วง ฝรั่ง กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า ผักหวานป่า กาแฟอาลาบิก้า ปลูกหญ้าพันธุ์เนเปียร์ รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีไบโอดีเชลมาใช้กับเครื่องยนต์ทางการเกษตร เลี้ยงสัตว์ และการเลี้ยงหม่อนไหมที่ได้รับการสนับสนุนมาจากศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร ซึ่งทุกกิจกรรมจะเป็นการเพิ่มพูนทักษะและพัฒนาศักยภาพด้านการเกษตรให้แก่ผู้ต้องขังทั้งยังทำให้ผู้ต้องขังที่เข้าร่วมโครงการให้มีรายได้ระหว่างต้องโทษ ซึ่งรายได้ส่วนนี้จะกลายเป็นเงินออมสำหรับใช้เป็นทุนในการประกอบอาชีพภายหลังที่ผู้ต้องขังพ้นโทษไปแล้ว โดยในวันนี้นอกจากผู้ต้องขังจะได้เรียนรู้และเข้าใจถึงวิธีการขั้นตอนในการดำนาที่ถูกต้องแล้ว ยังได้เข้าใจถึงวิถีชีวิตแห่งความเอื้ออาทร การรู้จักให้ การอยู่ร่วมกันในสังคมแห่งการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกและประสบการณ์การทำการเกษตรแบบพอเพียงจากนายมาร์ติน วีลเลอร์ ฝรั่งหัวใจอีสานที่วันนี้ได้เดินทางมาเยี่ยมลูกชายที่อยู่ในเรือนจำจังหวัดนครพนม และทางเรือนจำได้เชิญมาเป็นวิทยากร เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตรกรรมแก่ผู้ต้องขังที่เข้าร่วมโครงการอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

สนทช.เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นกลุ่มย่อยครั้งที่ 2 ศึกษาการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งพื้นที่เกษตรและพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษที่นครพนม


วันที่ 16 กรกฎาคม 2563 ที่บริเวณหอประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)  ได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ประกอบไปด้วย บริษัท พีซีบีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท วายพี คอนซัลแตนท์ จำกัด และบริษัท เอ กรุ๊ป คอนซัลแตนท์ จำกัด ลงพื้นที่กลุ่มย่อยครั้งที่ 2 เวทีที่ 4 เพื่อนำเสนอการศึกษาความเหมาะสมของโครงการศึกษาการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งพื้นที่เกษตรและพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดหนองคาย นครพนมและมุกดาหาร รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับผลการศึกษาจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ผู้นำชุมชน และประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่

โดยโครงการดังกล่าวเป็นการศึกษาหาแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้งและคงความสมดุลของระบบนิเวศ ซึ่งจะเป็นการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตเศรษฐกิจพิเศษของทั้ง 3 จังหวัดอย่างยั่งยืน โดยแนวทางดังกล่าวจะสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งจากการศึกษาทางเลือกรูปแบบในการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมของจังหวัดนครพนมพบว่ามี 4 โครงการที่เป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากที่สุด สามารถเป็นแหล่งน้ำหลักในการจัดสรรน้ำเพื่อพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม (ภูกระแต) และจัดสรรน้ำเพื่อการใช้ในการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับผลการประชุมกลุ่มย่อยครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 13-14 พฤศจิกายน 2562 ที่ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางการจัดหาแหล่งน้ำมาสนับสนุนและแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่ง 4 โครงการที่ว่า ประกอบไปด้วย โครงการขุดลอกปรับปรุงอ่างเก็บน้ำห้วยบ่อหลวง ตำบลเวินพระบาท อำเภอท่าอุเทน ด้วยการยกระดับเก็บน้ำขึ้นอีก 1 เมตร จะทำให้สามารถกักเก็บน้ำได้เพิ่มขึ้น 1.35 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถเป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนเป็นแหล่งน้ำสำรองเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำฝายห้วยบ่อ ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งน้ำสำรองสำหรับภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ บริเวณนิคมอุตสาหกรรม ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม โครงการพัฒนาอ่างเก็บน้ำห้วยมุเค ความจุ 6.91 ล้านลูกบาศก์เมตร ที่ตำบลนาใน อำเภอโพนสวรรค์ ตำบลนาทรายและตำบลบ้านผึ้ง อำเภอเมืองนครพนม ซึ่งจะทำให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ และมีพื้นที่ชลประทานที่สามารถทำการเกษตรได้เพิ่มขึ้นอีกจำนวน 3,000 ไร่บริเวณท้ายอ่าง และโครงการสุดท้ายโครงการขุดสระรับน้ำในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม ซึ่งจะเป็นแหล่งน้ำสำหรับอุตสาหกรรมโดยตรง

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ศบภ.นครพนม บูรณการหน่วยงานซ้อม 3 แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทางน้ำ

วันที่ 14 กรกฎาคม 2563 ที่บริเวณห้วยฮ่องฮอ บ้านภูเขาทอง หมู่ที่ 3 ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม พลตรี สามารถ จินตสมิทธิ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนประชาชนทั่วไปร่วมรับชมการสาธิตการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจากอุทกภัย ปี 2563 ที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อุทกภัยจังหวัดนครพนม โดยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนม ร่วมกับ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 210 ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยหน่วยพัฒนาการทหารเคลื่อนที่ นพค. 22  ตำรวจน้ำ ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม หน่วยกู้ภัยสว่างนาวาธาตุพนม และหน่วยงานด้านสาธารณภัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันฝึกเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการบูรณาการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอุทกภัยในสถานการณ์ต่าง ๆ

พลตรี สามารถ จินตสมิทธิ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210  เปิดเผยว่า การฝึกซ้อมในครั้งนี้มีการจำลองสถานการณ์ออกเป็น สถานการณ์ให้ความช่วยเหลือชาวบ้าน 2 คนที่ประสบเหตุเรือหาปลาพลิกคว่ำกลางลำน้ำ โดยคนที่ 1 สามารถช่วยเหลือตนเองได้ขณะที่อีกคนศีรษะโดนกระแทกและปวดที่บริเวณต้นคอ ซึ่งทั้ง 2 กรณีจะมีลำดับขั้นตอนวิธีการช่วยเหลือที่แตกต่างกันออกไปเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดต่อทั้งคู่ ตามมาด้วยสถานการณ์ที่ 2 คือการจำลองเหตุน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและพัดบ้านเรือนเสียหายมีประชาชนได้รับบาดเจ็บและติดอยู่ภายในบ้านหรือเกาะกลางน้ำที่เราสามารถนำเรือเข้าไปให้การช่วยเหลือได้ และสุดท้ายคือการจำลองสถานการณ์ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่บาดเจ็บติดอยู่ภายในบ้านหรือเกาะกลางน้ำและเรือไม่สามารถเข้าถึง ซึ่งต้องปรับเปลี่ยนวิธีช่วยเหลือด้วยการลำเลียงคนเจ็บด้วยวิธีการชักรอกข้ามแม่น้ำแทน โดยทั้ง 3 สถานการณ์เป็นการจำลองสถานการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นกับคนนครพนมได้มาให้เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยได้ฝึกทักษะ ความสามารถ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวความคิด วิธีดำเนินการ ทั้งการประสานงาน การใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ การจัดวางตำแหน่งหน้าที่ของแต่ละตัวบุคคลตั้งแต่การรับเหตุ มาสู่การประสานงาน การเตรียมเครื่องมืออุกรณ์ การเข้าช่วยเหลือ การประสานงานระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ และการส่งต่อผู้ประสบเหตุ ก่อนที่แต่ละหน่วยจะมาสรุปผลร่วมกันเพื่อหาจุดบกพร่อง และนำไปปรับปรุงแก้ไข โดยหลังจากนี้ทุกหน่วยที่ร่วมฝึกในครั้งนี้จะมีการบูรณาการณ์ให้ความช่วยเหลือประชาชนร่วมกัน โดยสามารถปรับเปลี่ยนยุทธวิธีว่าหน่วยไหนจะเป็นหน่วยหลัก หน่วยไหนจะเป็นหน่วยรองตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 

จิตอาสานครพนม บำเพ็ญประโยชน์กำจัดผักตบชวาและเศษวัชพืชห้วยฮ่องฮอ

จิตอาสานครพนม บำเพ็ญประโยชน์กำจัดผักตบชวาและเศษวัชพืชห้วยฮ่องฮอ
วันที่ 14 กรกฎาคม 2563 ที่บริเวณบ้านภูเขาทอง หมู่ที่ 3 ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะจิตอาสาพระราชทาน หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ นักเรียน นักศึกษา ตลอดทั้งประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมกันบำเพ็ญสาธารณประโยชน์กำจัดผักตบชวาและเศษวัชพืช ตลอดจนทำความสะอาด ขุดลอกห้วยฮ่องฮอ และปรับแต่งภูมิทัศน์ให้มีความสวยงามและสามารถระบายน้ำได้อย่างสะดวกในฤดูน้ำหลาก

โดยกิจกรรมในครั้งนี้กระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้กรมโยธาธิการและผังเมือง แก้ไขปัญหาผักตบชวาและวัชพืชในแหล่งน้ำทั่วประเทศให้เกิดผลสำเร็จอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในลักษณะการบูรณาการทำงานร่วมกันกับกิจกรรมประชารัฐร่วมใจ คลองสวยน้ำใส ไร้ผักตบชวา ซึ่งได้มีการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2559 ตามนโยบายของรัฐบาล โดยห้วยฮ่องฮอแห่งนี้เป็นลำน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงประชาชนในพื้นที่มาอย่างยาวนาน รับน้ำมาจากอำเภอศรีสงคราม ผ่านมาทางอำเภอท่าอุเทนและไหลไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บริเวณอำเภอเมืองนครพนม ซึ่งตลอด 2 ข้างลำน้ำมีประชาชนอาศัยอยู่จำนวนมาก มีการใช้ประโยชน์จากลำน้ำทั้งเพื่อการอุปโภคและการเกษตร ประกอบด้วย ตำบลนาคำ อำเภอศรีสงคราม ตำบลเวินพระบาท ตำบลรามราช อำเภอท่าอุเทน และตำบลอาจสามารถ ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง ซึ่งที่ผ่านมาจังหวัดนครพนมได้ดำเนินการกำจัดผักตบชวาและวัชพืชมาแล้วหลายครั้ง เป็นกิจกรรมใหญ่ 3 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2559 วันที่ 4 ธันวาคม 2559 และวันที่ 9 มิถุนายน 2560 นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมตามแผนของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย แต่อย่างไรก็ดีด้วยความไม่ต่อเนื่องทำให้ยังคงมีผักตบชวาและเศษวัชพืชกีดขวางทางน้ำอยู่อีกจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาให้หมดไป คณะจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครพนม จึงได้ร่วมกันบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ในครั้งนี้ เพื่อก่อให้เกิดความเรียบร้อยอย่างเป็นรูปธรรม และต่อเนื่องในการอนุรักษ์ฟื้นฟูห้วยฮ่องฮอให้ปราศจากผักตบชวาและวัชพืชโดยสิ้นเชิง

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

อธิบดีกรมพัฒนาที่ดินนำคณะผู้บริหารเยี่ยมให้กำลังใจเกษตรกรโครงการ Zoning by Agri-map


วันที่ 11 กรกฎาคม 2563 ที่บ้านยอดชาด หมู่ที่ 2 ตำบลยอดชาด อำเภอวังยาง จังหวัดนครพนม นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน พร้อมคณะผู้บริหารกรมพัฒนาที่ดินลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจเกษตรกรในโครงการ Zoning by Agri-map ของกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรให้เหมาะสมกับพื้นที่ตามแผนที่ Agri-map เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ดีขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้น

นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า โครงการ Zoning by Agri-map เป็นโครงการที่ดีมากเพราะตั้งแต่ดำเนินงานมา พบว่ามีเกษตรกรจำนวนมากที่ปลูกพืชในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้ามาร่วมโครงการแล้วเกือบ 10 ล้านไร่ เพราะการทำการเกษตรในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมทำให้เกษตรกรมีความเสี่ยง ผลผลิตที่ได้ก็ไม่เต็มที่ รวมทั้งเจอปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง อะไรต่าง ๆ อีกมากมาย โดยโครงการนี้จะเป็นการปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรให้เหมาะสมกับพื้นที่ตามแผนที่ Agri-map เพราะเดิมทีเกษตรกรมักจะปลูกพืชเชิงเดี่ยว เวลาทำงานในแปลงในพื้นที่อาจจะน้อย ผลผลิตที่ได้ต่ำและมีความเสี่ยงสูง แต่เมื่อเข้าร่วมโครงการเกษตรกรอาจจะต้องเหนื่อยมากขึ้น แต่ก็จะได้ผลผลิตที่มากขึ้น รายได้ก็มากขึ้น คุณภาพชีวิตก็จะดีขึ้นตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งในวันนี้เป็นการลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจเกษตรกรจังหวัดนครพนม ที่บ้านยอดชาด ตำบลยอดชาด อำเภอวังยาง ซึ่งพื้นที่ตรงนี้มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการในปี 2563 จำนวน 34 ราย มีพื้นที่การเกษตรประมาณ 500 ไร่ มีนายสมัย แสนสุริวงค์ เป็นแกนนำในการนำเพื่อนเกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรของตนเอง ที่เดิมเป็นพื้นที่นา ก็จะเริ่มเห็นว่าที่นามีการปรับรูปแปลงนาให้มีขนาดแปลงที่ใหญ่ขึ้น มีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น มีการขุดบ่อเล็ก ๆ สำหรับกักเก็บน้ำเพื่อทำการเกษตรและเลี้ยงปลา มีการปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นไว้รับประทาน รวมทั้งมีการปลูกหญ้าสำหรับเลี้ยงโคของตนเองเพราะทราบว่าพื้นที่ตรงนี้มีการเลี้ยงโคเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเห็นได้ว่าเกษตรกรมีการปรับจากการทำนาอย่างเดียวกลายเป็นการเกษตรผสมผสาน และจากการพูดคุยสอบถามเกษตรกรที่นี่ดีใจมากที่มีโครงการแบบนี้ และทราบมาว่ามีเกษตรกรอีกหลายแห่งที่สนใจที่จะร่วมโครงการกับเรา โดยในปี 2563 กรมพัฒนาที่ดินเราทำโครงการทั้งประเทศ 100,000 ไร่ ปีหน้าก็จะมีอีก จึงขอเชิญชวนให้เกษตรกรทุกคนมาร่วมโครงการดี ๆ กับเรา ซึ่งสามารถติดต่อได้ที่สถานีพัฒนาที่ดินทุกจังหวัด หรือจะติดต่อผ่านทางหมอดินอาสาก็ได้เช่นเดียวกัน

อธิบดีกรมพัฒนาที่ดินนำคณะปลูกไม้ยืนต้นนำร่องอนุรักษ์ดินและน้ำเฉลิมพระเกียรติ รัชกาลที่ 10 ที่นครพนม


วันที่ 11 กรกฎาคม 2563 ที่บ้านยอดชาด หมู่ที่ 2 ตำบลยอดชาด อำเภอวังยาง จังหวัดนครพนม นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เป็นประธานนำคณะผู้บริหารกรมพัฒนาที่ดิน ตลอดจนนายอำเภอวังยาง ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลยอดชาด ผู้นำชุมชน หมอดดินอาสา เจ้าหน้าที่ และเกษตรกรในพื้นที่ร่วมกันทำกิจกรรมนำร่องปลูกไม้ยืนต้น ปลูกหญ้าแฝก ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำและมอบเมล็ดพันธุ์พืชปรับปรุงบำรุงดิน  ตามโครงการปลูกไม้ยืนต้นเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 28 กรกฎาคม 2563 เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและปลูกจิตสำนึกให้ทุกคนได้เห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ดินและน้ำ ทั้งเป็นการช่วยปกป้องและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ บรรเทาภาวะโลกร้อน และรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน รักษาสิ่งแวดล้อม

นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิระเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 ซึ่งมีพระชนม์พรรษา 68 พรรษา กรมพัฒนาที่ดิน จึงได้จัดทำโครงการปลูกไม้ยืนต้นเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำเฉลิมพระเกียรติฯ ขึ้น โดยตั้งเป้าหมายการปลูกไม้ยืนต้นในครั้งนี้ไว้ทั่วประเทศ 1 ล้านกล้า ซึ่งโครงการจะเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปเพราะเป็นช่วงที่เหมาะแก่การเพาะปลูกเนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูฝน โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ของกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งการลงทะเบียนนั้นจะต้องมีการปักหมุดพิกัดพื้นที่ในการปลูกที่ชัดเจนด้วย เพราะเราจะมีการเข้าไปดูแลแบบระยะยาว ที่จะทำให้กล้าไม้ทั้ง 1 ล้านกล้า กลายเป็นไม้ยืนต้นที่แข็งแรงเป็นพื้นที่สีเขียวของชุมชน สร้างทัศนียภาพที่สวยงาม ทั้งเป็นการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้ำ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชน จึงขอเชิญชวนหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจน หมอดินอาสา เกษตรกรทั่วไป เกษตรกรในเครือข่ายและประชาชนทั่วไปมาร่วมกันปลูกไม้ยืนต้นตามพื้นที่ต่าง ๆ ตามความเหมาะสม เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและเป็นการสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับสังคมร่วมกัน