วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2563

มูลนิธิคุณพุ่ม มอบทุนการศึกษาปี 2563 ให้เด็กออทิสติกและเด็กพิการในพื้นที่จังหวัดนครพนม

วันที่ 29 ตุลาคม 2563 ที่ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดนครพนม นายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานประกอบพิธีมอบทุนการศึกษาในมูลนิธิคุณพุ่ม ประจำปี 2563 ให้แก่เด็กออทิสติกและเด็กพิการในพื้นที่จังหวัดนครพนม โดยมีคณะผู้บริหาร ครู เจ้าหน้าที่ ผู้ปกครองและนักเรียนศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดนครพนมร่วมพิธี จากนั้นร่วมชมนิทรรศการถ่ายทอดความรู้ เครื่องมือฝึกทักษะ เพื่อพัฒนาเด็กออทิสติกและเด็กพิการในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นแบบการบูรณาการที่พัฒนาควบคู่กันไป ทั้งการกระตุ้นแก้ไขจุดบกพร่องและพัฒนาส่งเสริมจุดที่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของเด็กในแต่ละช่วงวัยให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

โดยในโอกาสนี้ นางสาววราภรณ์ กุลลา ได้เป็นตัวแทนผู้ปกครองเด็กออทิสติกและเด็กพิการจังหวัดนครพนมที่เข้ารับทุน กล่าวสำนึกในพระกรุณาธิคุณ ใจความว่า ในนามผู้รับประทานทุนการศึกษาจากมูลนิธิคุณพุ่ม มีความซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นอย่างยิ่ง ที่ทรงเล็งเห็นความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษาที่มีต่อการดำรงชีวิตของคนพิการ ซึ่งต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ ให้สามารถอยู่ร่วมกับคนปกติในสังคมอย่างมีความสุข ซึ่งการพัฒนาศักยภาพผู้พิการแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายมากกว่าคนปกติหลายเท่า ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องมีภาระเพิ่มขึ้น ซึ่งการได้รับประทานทุนในครั้งนี้จะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระต่าง ๆ ที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องดูแลได้ระดับหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้า สำนึกในพระกรุณาธิคุณ และสัญญาว่าจะนำทุนการศึกษาที่ได้รับในครั้งนี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าสูงสุด เพื่อให้ผู้พิการได้รับการพัฒนา ตามศักยภาพของตนเอง ตามพระประสงค์ของทูลกระหม่อมฯ และวัตถุประสงค์ของมูลนิธิคุณพุ่มต่อไป

สืบเนื่องจากที่ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงงานตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ในการพัฒนาสังคมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของพสกนิกรชาวไทย ควบคู่ไปกับพระปรีชาสามารถและความเข้าใจในฐานะพระมารดาที่ดูแลเอาใจใส่พัฒนาการเรียนรู้ของพระโอรสอย่างใกล้ชิด ทรงเล็งเห็นว่าเด็กและเยาวชน คนพิการ ยังไม่ได้รับโอกาสในด้านต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ทั้งยังทรงห่วงใยเด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาสและผู้ยากไร้ทางสังคม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าประทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นเงินทุนแรกเริ่ม สำหรับจดทะเบียนก่อตั้งเป็นมูลนิธิคุณพุ่ม เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงคุณพุ่มพระโอรส โดยทรงดำรงตำแหน่งองค์ประธานกรรมการมูลนิธิ และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเด็กออทิสติกและเด็กพิการในจังหวัดนครพนม มูลนิธิคุณพุ่มจึงได้พิจารณาจัดสรรทุนการศึกษา จำนวน 111 ทุน ๆ ละ 5,000 บาท มามอบให้ในครั้งนี้

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563

พสกนิกรชาวนครพนม พร้อมใจสวมใส่ชุดขาวร่วมพิธีสวดพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ร.5

พสกนิกรชาวนครพนม พร้อมใจสวมใส่ชุดขาวร่วมพิธีสวดพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ร.5  

วันที่ 23 ตุลาคม 2563 ที่วัดมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางกรรณิกา กองฉลาด เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนพสกนิกรทุกหมู่เหล่าของจังหวัดนครพนม ได้พร้อมใจกันใส่ชุดขาวมาประกอบพิธีสวดพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี ถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย
      ทั้งนี้ตามที่มหาเถรสมาคมได้มีมติที่ 543/2563 ในคราวประชุมครั้งที่ 22/2563 เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2563 กรณีการจัดพิธีสวดพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 23 ตุลาคม 2563 โดยมหาเถรสมาคมมีมติให้วัดทุกวัดทั่วราชอาณาจักร และวัดไทยในต่างประเทศ ดำเนินการจัดพิธีสวดพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาพร้อมกันในวันนี้ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป โดยบทสวดพระพุทธมนต์จะประกอบไปด้วย 11 บทสวด คือ นะมะการคาถา บทไตรสรณคมน์ บทปัพพะโตปะมะคาถา บทอะริยะธะนะคาถา บทขัดธรรมนิยมะสูตร บทธัมมะนิยาสุตตัง บทติลักขะณาทิคาถา บทปะฏิจจะสะมุปปาทะปาฐะ บทพุทธะอุทานะคาถา บทภัทเทกะรัตตะคาถา และบทภะวะตุ สัพ ซึ่ง 11 บทสวดนี้ มีความหมายเป็นการสอนใจประชาชนให้มีสติ ให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี พิจารณาถึงความไม่เที่ยงของทุกสิ่ง ไม่ประมาทกับการใช้ชีวิต และสามารถดำรงชีวิตอยู่บนความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม นอกจากนี้ ยังเป็นการอุทิศบุญกุศลให้กับผู้วายชนม์ให้ได้รับความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นการขอคุณพระศรีรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อำนวยอวยพรให้ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่ามีความสุขความเจริญ มีความร่มเย็น และความสำเร็จในทุกประการ

สทนช. ลงพื้นที่นครพนมติดตามการศึกษาการแก้ปัญหาน้ำ พร้อมเตรียมแผนพัฒนาแหล่งน้ำรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม

          วันที่ 23 ตุลาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้นำคณะทำงานและสื่อมวลชนลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานโครงการศึกษาการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งพื้นที่เกษตรและพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษจังหวัดนครพนม ที่ สทนช. ได้ดำเนินการศึกษามาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562 จนปัจจุบันใกล้แล้วเสร็จ และจะจัดให้มีการประชุมปัจฉิมนิเทศ เพื่อนำเสนอสรุปผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในเร็ว ๆ นี้

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลได้ประกาศพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน ได้แก่ จังหวัดหนองคาย นครพนม และมุกดาหาร เพื่อเพิ่มศักยภาพการค้าและการลงทุนกับประเทศอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ประกอบกับ สทนช. เป็นหน่วยงานหลักบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงจัดทำแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ (Area based) ระยะ 5 ปี (ปี 2561-2565) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้ดำเนินการศึกษาเพื่อสร้างแนวทางในการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและรองรับการพัฒนาของเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างยั่งยืน โดยผลการประเมินศักยภาพพื้นที่และความต้องการใช้น้ำจากทุกภาคส่วน พบว่า ในพื้นที่เป้าหมายพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจเพิเศษมีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะน้ำเพื่อการเกษตร น้ำอุปโภค-บริโภค นอกจากนั้นยังมีบางพื้นที่เสี่ยงต่อการประสบปัญหาอุทกภัย และอนาคตมีความจำเป็นต้องมีแหล่งน้ำรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าในอีก 20 ปี ข้างหน้า พื้นที่ 3 จังหวัด คือจังหวัดนครพนม หนองคาย และจังหวัดมุกดาหาร จะมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น โดยจังหวัดนครพนมจะมีความต้องการน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค จำนวน 92.2 ล้าน ลบ.ม./ปี ภาคการเกษตร 1,405 ล้าน ลบ.ม./ปี และภาคอุตสาหกรรม 41.7 ล้าน ลบ.ม./ปี ทั้งนี้ภายในปี 2568 จะมีแผนพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มเติม จำนวน 34.59 ล้าน ลบ.ม. ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดแนวจัดทำแผนการจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ไว้จำนวน 1,523 โครงการใน 3 จังหวัด งบประมาณรวมกว่า 36,115 ล้านบาท ประกอบไปด้วย โครงการแก้ปัญหาภัยแล้ง 1,251 โครงการ โครงการแก้ปัญหาขาดแคลนแหล่งน้ำอุปโภค-บริโภค 135 โครงการ โครงการบรรเทาปัญหาอุทกภัย 121 โครงการ โครงการด้านคุณภาพน้ำ/อนุรักษ์แหล่งน้ำ 12 โครงการ โครงการด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำ 3 โครงการ และโครงการด้านจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วมอีก 1 โครงการ

โดยหลังจากนี้ สทนช. จะนำแผนหลักที่ได้จากการศึกษาไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำควบคู่ไปกับการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพในภาคการเกษตรกร ภาคอุตสาหกรรม และการใช้น้ำภาคครัวเรือน ซึ่งจะสอดคล้องกับความต้องการในการใช้น้ำในอนาคต รองรับกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมที่เติบโตขึ้น จากการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล

จิตอาสานครพนม พร้อมใจบำเพ็ญประโยชน์ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ร.5

 
วันที่ 23 ตุลาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธาน นำคณะจิตอาสาจังหวัดนครพนมปรับปรุงภูมิทัศน์ กำจัดวัชพืช เก็บกวาดขยะ สิ่งกีดขวางการจราจร ภายใต้กิจกรรม ปณิธานความดี ทำดีเริ่มได้ที่ใจเรา บริเวณซุ้มเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตำบลนาทราย อำเภอเมือง และบริเวณโดยรอบถนนทางหลวงหมายเลข 22 ตอน กุรุคุ - นครพนม กม.235+700 (บ้านโคกทรายคำ) ตำบลนาทราย อำเภอเมืองนครพนม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 
            โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า " เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ " เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ( สมเด็จพระนางรําเพยภมรภิรมย์ ) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี โดยตลอดรัชสมัยพระองค์ท่าน ทรงอุทิศพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ และทรงปกครองพระราชอาณาจักรให้มีความมั่นคงและร่มเย็นเป็นสุข ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จประพาสต้น เพื่อสดับตรับฟังทุกข์สุขของปวงพสกนิกรในท้องถิ่นต่าง ๆ พระองค์มีพระราชดำริพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ทรงนำวิทยาการที่ได้จากการเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนต่างประเทศมาวางรากฐานการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูประบบการเงินการคลัง การศึกษา การสาธารณูปโภค ด้วยพระปรีชาสามารถและสายพระเนตรอันกว้างไกลทำให้ประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้าทันสมัย ทรงยกเลิกระบบทาส ระบบไพร่ และทรงนำศาสตร์การปกครองของไทยและชาติสากลมาผนวกใช้ในการปกครองพระราชอาณาจักร นำพาชาติบ้านเมืองให้ผ่านพ้นภัย ดำรงอธิปไตย และความเป็นเอกราชของชาติไว้ได้อย่างมั่นคง ทำให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรืองพัฒนาไพบูลย์สืบเนื่องมาจนกาลปัจจุบัน พระปรีชาสามารถและพระเกียรติยศเป็นที่ประจักษ์แก่นานาอารยประเทศ และด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พสกนิกรชาวไทยทั้งหลายจึงต่างน้อมรำลึกเทิดพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ถวายพระราชสมัญญาแด่พระองค์ว่า “พระปิยมหาราช” 

พสกนิกรจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีวางพวงมาลาน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ รัชกาลที่ 5 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต

วันที่ 23 ตุลาคม 2563 ที่พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5  บริเวณด้านหน้าหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ตุลาการ ศาล ทหาร ตำรวจ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา เจ้าหน้าที่ และพสกนิกรจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีวางพวงมาลาเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นอเนกอนันต์เพื่อให้พสกนิกรชาวไทย เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต


            โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า " เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ " เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ( สมเด็จพระนางรําเพยภมรภิรมย์ ) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี โดยตลอดรัชสมัยพระองค์ท่าน ทรงอุทิศพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ และทรงปกครองพระราชอาณาจักรให้มีความมั่นคงและร่มเย็นเป็นสุข ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จประพาสต้น เพื่อสดับตรับฟังทุกข์สุขของปวงพสกนิกรในท้องถิ่นต่าง ๆ พระองค์มีพระราชดำริพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ทรงนำวิทยาการที่ได้จากการเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนต่างประเทศมาวางรากฐานการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูประบบการเงินการคลัง การศึกษา การสาธารณูปโภค ด้วยพระปรีชาสามารถและสายพระเนตรอันกว้างไกลทำให้ประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้าทันสมัย ทรงยกเลิกระบบทาส ระบบไพร่ และทรงนำศาสตร์การปกครองของไทยและชาติสากลมาผนวกใช้ในการปกครองพระราชอาณาจักร นำพาชาติบ้านเมืองให้ผ่านพ้นภัย ดำรงอธิปไตย และความเป็นเอกราชของชาติไว้ได้อย่างมั่นคง ทำให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรืองพัฒนาไพบูลย์สืบเนื่องมาจนกาลปัจจุบัน พระปรีชาสามารถและพระเกียรติยศเป็นที่ประจักษ์แก่นานาอารยประเทศ และด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พสกนิกรชาวไทยทั้งหลายจึงต่างน้อมรำลึกเทิดพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ถวายพระราชสมัญญาแด่พระองค์ว่า “พระปิยมหาราช” โดยพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 เวลา 2.45 นาฬิกา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สิริพระชนมพรรษาได้ 57 พรรษา

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2563

นครพนมบูรณาการรวมน้ำใจช่วยผู้ยากไร้บ้านตับเต่าสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

วันที่ 22 ตุลาคม 2563  ที่จังหวัดนครพนม นายพรต ภูภักดิ์ ปลัดจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม หัวหน้าส่วนราชการและเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด  สาขานครพนม และผู้แทนบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) สาขานครพนม ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือครอบครัวของนางเฮือง คำมุงคุณ อายุ 70 ปี ซึ่งเป็นผู้พิการทางการได้ยิน (หูตึง) อาศัยอยู่กับสามีและเหลน ที่บ้านเลขที่ 48 หมู่ที่ 7 บ้านตับเต่า ตำบลพุ่มแก อำเภอนาแก โดยทั้ง 3 คน อาศัยอยู่ในบ้านที่มีความทรุดโทรม ฝาบ้านทำจากไม้ไผ่จักสานซึ่งในช่วงนี้ที่อากาศเริ่มเย็นและมีลมพัดในช่วงกลางดึก ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย ขณะเดียวกันห้องน้ำก็มีความทรุดโทรม โดยครอบครัวดังกล่าวมีรายได้จาการทอเสื่อผือขายร่วมกับกลุ่มเพื่อนบ้าน รวมกับเบี้ยผู้สูงอายุ เบี้ยคนพิการ และการรับจ้างทั่วไปของสามีซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอน ทำให้ทั้ง 3 ชีวิตได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นจังหวัดนครพนม จึงได้บูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ

นายพรต ภูภักดิ์ ปลัดจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า  การบูรณาการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้เพราะทุกภาคส่วนของจังหวัดนครพนม ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งเป็นการยกระดับครัวเรือนให้สูงขึ้นตามเป้าหมายของโครงการ "นครพนม สร้างสังคมอุดมสุข” ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมาทางจังหวัดนครพนมจะให้แต่ละพื้นที่เสนอชื่อผู้ที่มีความเดือดร้อนสมควรได้รับการช่วยเหลือเร่งด่วนเข้ามา ผ่านทางหน่วยงานที่รับผิดชอบ จากนั้นก็ร่วมกันพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งเป็นการยกระดับครัวเรือนให้สูงขึ้นตามเป้าหมายของโครงการ "นครพนม สร้างสังคมอุดมสุข” โดยการช่วยเหลือในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย การมอบเครื่องอุปโภคบริโภคในการดำรงชีวิต เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง หมอน มุ้ง ผ้าห่ม ที่นอน ตู้กับข้าว เครื่องครัว เสื้อผ้า มอบทุนการศึกษาให้เหลนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านตับเต่าโนนจันทร์ มอบวัสดุ อุปกรณ์ในการประกอบอาชีพทอเสื่อผือและเครื่องพ่นยาสะพายหลังให้สามีไว้ใช้รับจ้างหารายได้เพิ่มเติม มอบหลักประกันสังคมมาตรา 40 ให้สามีเป็นระยะเวลา 1 ปี นอกจากนี้ยังได้เสนอชื่อครัวเรือนเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัยจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนมอีกด้วย

จังหวัดนครพนม ออกหน่วยเคลื่อนที่แบบครบวงจรในจุดเดียว ให้บริการประชาชนอำเภอนาแก

วันที่ 22 ตุลาคม 2563 ที่โรงเรียนบ้านตับเต่าโนนจันทร์ อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นายพรต ภูภักดิ์ ปลัดจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน นำโครงการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการ หน่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม ออกให้บริการแบบครบวงจรในจุดเดียว เพื่อสร้างการเข้าถึงบริการของหน่วยงานให้กับประชาชนในพื้นที่ ทั้งเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพในการเดินทางไปติดต่อราชการ และเป็นการรับทราบปัญหา ความต้องการของประชาชนเพื่อนำไปดำเนินการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที

โดยกิจกรรมในครั้งนี้ทุกคนได้ร่วมกันกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตนแสดงเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ และการประกาศเจตนารมณ์รวมพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จากนั้นเป็นการแนะนำส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รู้จักและสามารถเข้ารับบริการได้อย่างถูกต้องตามความต้องการ โดยในโอกาสนี้ปลัดจังหวัดนครพนมยังได้นำเอานโยบายของรัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม รวมทั้งการบูรณาการกับส่วนราชการต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการน้ำ การช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส การดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 การน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประพฤติปฏิบัติใช้ และการขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ไปชี้แจงให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบด้วย

จากนั้นเป็นการมอบพันธุ์ปลาจำนวน 50,000 ตัวให้กับผู้นำชุมชน เพื่อนำไปปล่อยตามแหล่งน้ำชุมชน มอบทุนการศึกษาของกองทุนพัฒนาเด็กชนบท ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 7 ทุน มอบอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียน และมอบถุงยังชีพเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมให้ผู้ยากไร้ จำนวน 160 ชุด ก่อนที่ทุกคนแยกย้ายกันไปใช้บริการหน่วยเคลื่อนที่ของหน่วยหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม ที่ได้นำเอาเครื่องมือ อุปกรณ์ ตลอดจนทีมแพทย์มาให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น รวมถึงการให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพและการทำทันตกรรม การถ่ายทอดองค์ความรู้ของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน เทคโนโลยีสมัยใหม่ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การเลือกใช้พลังงาน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การให้คำปรึกษาคำแนะนำด้านการลงทุน กฎหมาย การสร้างบ้าน การทำบัตรประชาชน การฝากเงินออม การทำประกันสังคม การต่อใบขับขี่ การทำประกันภัย การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การแจกพันธุ์ต้นไม้ การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ การออกร้านจำหน่ายสินค้าราคาถูก สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP รวมถึงการถ่ายทอดวิชาชีพ เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้และนำไปสร้างเป็นอาชีพและรายได้เลี้ยงครอบครัวต่อไป

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้านนครพนม แสดงจุดยืนร่วมกันปกป้องสถาบัน

วันที่ 21 ตุลาคม 2563 ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม(หลังใหม่) กลุ่มชมรมกำนันผู้ใหญ่จังหวัดนครพนม จาก 97 ตำบล 1,131 หมู่บ้าน จำนวน 4,325 คน ร่วมกันแสดงจุดยืนในการปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดนจังหวัดนครพนม (อส.) เข้ามาช่วยดูแลความปลอดภัย จากนั้นได้ยื่นหนังสือถึงนายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ผ่านทาง นายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และ นายพรต ภูภักดิ์ ปลัดจังหวัดนครพนม ตลอดจนนายอำเภอจาก 12 อำเภอของจังหวัดนครพนม เพื่อนำส่งสารดังกล่าวไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ทราบในลำดับต่อไป ก่อนที่จะร่วมกันร้องเพลงชาติไทย และเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นจึงแยกย้ายกันเดินทางกลับไปปฏิบัติหน้าที่ของตนเองตามปกติ


โดยใจความในสารระบุว่า ตามที่ได้มีสถานการณ์นัดชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลอดแอก กลุ่มมวลชนหรือคนบางกลุ่มที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2563 เป็นต้นมา และทำให้เกิดแฟลชม๊อบตามมาอีกหลายๆจังหวัด ทั้งเป็นการชุมนุมขับไล่รัฐบาลเรียกร้องให้ยุบสภา/ให้หยุดคุกคามประชาชน/และให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมถึงได้มีการกระทำพาดพิงจาบจ้วงถึงสถาบันหลักอันสำคัญของประเทศ คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ นั้น

สถาบันกำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯลฯ ถือกำเนิดจากสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ได้ทรงพระราชทานหลักในการปกครองท้องที่ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ได้ทรงพระราชทานให้ก่อเกิดขึ้น อันเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันทรงประเสริฐยิ่งนั้น เพื่อกำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯลฯ ได้ให้ทำหน้าที่ดูแลบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนตลอดมา ซึ่งทางชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจังหวัดนครพนม เห็นว่าการชุมนุมเรียกร้องนั้น เป็นการพาดพิงจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ฯ ก่อเกิดความไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงมีความเห็นว่ากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจังหวัดนครพนม มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันทรงคุณประเสริฐยิ่งนี้ และพร้อมที่จะปกป้อง เทิดทูนสถาบันสำคัญแห่งนี้ให้อยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป

นายเสกสรรค์ วิเศษสุนทร ประธานชมกำนันผู้ใหญ่บ้านจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ทางกลุ่มฯได้ประกาศเจตนารมย์ในการรวมตัวกันออกมาในครั้งนี้ เพราะต้องการปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไม่ต้องการให้ใคร หรือกลุ่มใด ล่วงเกิน หรือทำลาย

จิตอาสานครพนม พร้อมใจปลูกและบำรุงรักษาต้นไม้ น้อมรำลึกวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

วันที่ 21 ตุลาคม 2563 ที่ป่าสาธารณประโยชน์ป่าช้าหนองไผ่ บ้านอูนนา หมู่ที่ 11 ตำบลนางัว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ และประชาชนจิตอาสา ร่วมกันกล่าวคำปฏิญาณตน ในการร่วมกันทำความดี เพื่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี  พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี จากนั้นจึงได้ร่วมกันปลูกและบำรุงรักษาดูแลต้นไม้ กับกิจกรรมวันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่ทรงเป็นต้นแบบในการปลูกและบำรุงรักษาต้นไม้ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 120 ปี



โดยกิจกรรมในครั้งนี้ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดนครพนม ได้ร่วมกับสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 สาขานครพนม กรมป่าไม้ จัดขึ้นเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เป็นการบำรุงดูแลรักษาต้นไม้ในพื้นที่ป่าสาธารณประโยชน์ให้เจริญเติบโต ทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติให้กับประชาชนโดยการสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบอาสาพัฒนา บำรุง รักษา ดูแลต้นไม้ที่เคยปลูกในพื้นที่โครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่าจังหวัดนครพนมในพื้นที่สาธารณประโยชน์ป่าช้าหนองไผ่ บ้านอูนนาที่ได้ร่วมกันปลูกไปเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 บนเนื้อที่ 102 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวา ซึ่งการปลูกในครั้งนั้นมีพันธุ์ไม้หลากหลายชนิดรวมกันทั้งสิ้น 4,813 ต้น โดยเป็นการปลูกเรียนแบบธรรมชาติปลูกป่า 3 อย่างได้ประโยชน์ 4 อย่างตามทฤษฎีการปลูกป่าตามแนวพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่าต้นไม้รอดจากการปลูกจำนวน 3,370 ต้น คิดเป็นร้อยละ 70 ของต้นไม้ที่ปลูก และในวันนี้ ซึ่งเป็นวันรักต้นไม้ประจําปีของชาติ ทุกคนจะได้ร่วมกันพรวนดิน ใส่ปุ๋ย รดน้ำและปลูกต้นไม้เสริมเพิ่มเติมทดแทนต้นที่ตาย เพื่อให้พื้นที่ดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้หลากชนิด ที่เพิ่มออกซิเจนในอากาศ ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ช่วยลดภาวะโลกร้อน และกลายเป็นพื้นที่สีเขียว เป็นปอดของชุมชน

พสกนิกรนครพนม พร้อมใจจัดกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในโอกาสครบ 120 ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

วันที่ 21 ตุลาคม 2563 ที่วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนม ตำบลหนองแสง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ แพทย์ พยาบาล เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม เจ้าหน้าที่ นักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนมและประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมกันประกอบพิธีวางพานพุ่มเบื้องหน้าพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อปวงชนชาวไทย เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 120 ปี โดยในช่วงเช้าเวลา 7.00 น. พสกนิกรทุกหมู่เหล่าของจังหวัดนครพนมได้พร้อมใจกันทำบุญตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 25 รูปถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน และในเวลา 10.30 น. ก็ได้พร้อมใจกันที่ป่าสาธารณประโยชน์ป่าช้าหนองไผ่ บ้านอูนนา หมู่ที่ 11 ตำบลนางัว อำเภอนาหว้า เพื่อร่วมกันปลูกต้นไม้และบำรุงรักษาต้นไม้ที่เคยร่วมกันปลูกในโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่าจังหวัดนครพนมกับกิจกรรมวันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่ทรงเป็นต้นแบบในการปลูกและบำรุงรักษาต้นไม้

สำหรับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยและประเทศชาตินั้นใหญ่หลวงเป็นอเนกปริยาย ทั้งด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ด้านการศึกษา ด้านสังคมสงเคราะห์ ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม พระองค์ท่านทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งหน่วย มูลนิธิและโครงการ ที่สำคัญขึ้น อาทิ หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ซึ่งจะประกอบไปด้วยแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่เป็นอาสาสมัครทำงานด้วยความเสียสละ โดยมิได้รับเงินเดือน หรือค่าตอบแทนพิเศษอื่นใด โดยจะเคลื่อนที่ออกไปให้บริการตรวจรักษาชาวบ้านตามท้องถิ่นต่าง ๆ ที่กันดารห่างไกลความเจริญ มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทำขาเทียมและพระราชทานให้แก่ผู้พิการขาขาดที่ยากจนในชนบทโดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา และไม่คิดมูลค่า มูลนิธิถันยรักษ์ที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการตรวจวินิจฉัยเต้านม และโครงการพัฒนาดอยตุงที่เป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทั้งเป็นการส่งเสริมงานให้ชาวไทยภูเขา ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงได้รับขนานนามว่า สมเด็จย่า จากชาวไทยบนพื้นราบ หรือ แม่ฟ้าหลวง จากชาวไทยภูเขา

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563

มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ฯ พัฒนาศักยภาพคนดูแลผู้พิการทางสติปัญญาในพื้นที่จังหวัดนครพนม

วันที่ 20 ตุลาคม 2563 ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอนาแก จังหวัดนครพนม นางกฤษณา ธีระวุฒิ  ประธานศูนย์สงเคราะห์บุคคลปัญญาอ่อนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า ปัญหาเรื่องภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเป็นปัญหาหนึ่งในสังคมที่ส่งผลต่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคลและมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่เอื้อต่อการเกิดภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย เพราะผู้บกพร่องทางสติปัญญาจะถูกชักจูงให้กระทำความผิดได้ง่าย โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่มีเชาวน์ปัญญาต่ำ เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาถูกล่อลวงทางเพศ ปัญหายาเสพติด นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของคนในครอบครัวทำให้รู้สึกหดหู่ สิ้นหวังในการดูแลบุตรพิการ นำมาซึ่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมและประเทศชาติโดยรวม

ดังนั้นเพื่อสร้างให้ชุมชนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาผู้พิการและมีส่วนช่วยเหลือกันในสังคม ทำให้ผู้ปกครองมีความเข้าใจที่ถูกต้องในการเลี้ยงดูและฟื้นฟูสมรรถภาพเบื้องต้นในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันของผู้พิการทางสติปัญญา ทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการฟื้นฟูทางการศึกษา และทำให้การดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิตและช่วยเหลือคนพิการทางสติปัญญาเป็นไปอย่างถูกวิธี มีความต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มแรก มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จึงได้จัดการอบรมถ่ายทอดความรู้ในการดูแลคนพิการทางสติปัญญาให้กับผู้นำชุมชน พ่อแม่ผู้ปกครองและอาสาสมัครดูแลคนพิการทางสติปัญญา รวมทั้งสิ้น 70 คน


ซึ่งทุกคนจะได้รับความรู้จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เป็นระยะเวลา 2 วัน เกี่ยวกับสาเหตุและภาวะบกพร่องทางสติปัญญา แนวทางการป้องกัน การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการทางสติปัญญาในชุมชน การส่งเสริมพัฒนาเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา การฝึกทักษะเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน การปรับพฤติกรรมเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา การฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายและดนตรีบำบัดเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา บทบาทของอาสาสมัครในการช่วยเหลือคนพิการทางสติปัญญาในชุมชน บทบาทพ่อแม่ผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาเด็กให้เจริญเติบโตตามวัยและการวิเคราะห์ปัญหาที่พบในเด็กที่พิการทางสติปัญญารวมถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่ถูกวิธี กฎหมายเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการคนพิการ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 ซึ่งการฝึกอบรมในครั้งนี้ที่มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ พิจารณาเลือกพื้นที่อำเภอนาแก เพราะมีจำนวนคนพิการทางสติปัญญาค่อนข้างสูง คือ 219 คน นอกจากนี้ยังมีในอำเภอใกล้เคียงอื่น ๆ อีก

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2563

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานผ้าพระกฐินให้บริษัท ฟิล์มมาสเตอร์ จำกัด นำถวายพระสงฆ์จำพรรษาวัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร

 วันที่ 18 ตุลาคม 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้บริษัท ฟิล์มมาสเตอร์ จำกัด นำผ้าพระกฐินถวายพระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ประจำปี 2563 ณ วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม  โดยมี ดร. สุธาสินี นิติสาครินทร์ เป็นประธานในการประกอบพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและพระอารามหลวง ตลอดจนเป็นการสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทย โดยมีคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่บริษัท ฟิล์มมาสเตอร์ จำกัด และพุทธศาสนิกชนเข้าร่วมในพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน

สำหรับวัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร เป็นวัดพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ปัจจุบันมี พระเทพวรมุนี เป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 - ปัจจุบัน ประดิษฐาน ณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตั้งอยู่เลขที่ 183/13 ถนนชยางกูร ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีลักษณะเป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสก่อด้วยอิฐ กว้างด้านละ 12.33 เมตร สูง 53.6 เมตร มีกำแพงล้อมองค์พระธาตุ 4 ชั้น องค์พระธาตุตั้งอยู่บนภูกำพร้า (เนินดินสูงจากพื้นธรรมดาประมาณ 3 เมตร) ภายในบริเวณมีบึงขนาดใหญ่เรียกว่าบึงธาตุพนม

ซึ่งในวันเพ็ญเดือน 3 ถึง แรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปีจะมีงานประจำปีเพื่อเป็นการนมัสการพระธาตุพนม วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร เป็นโบราณสถานขึ้นทะเบียนเมื่อ พ.ศ.2522 ภายในบริเวณวัดมีโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ สมัยทวารวดี (ราวพุทธศตวรรษที่ 13 - 16) เป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากเป็นวัดที่ประดิษฐานพระธาตุพนม ซึ่งเป็นพระเจดีย์บรรจุพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนอก) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และวัดแห่งนี้ยังมีโบราณวัตถุที่สำคัญหลายอย่างที่มีมาแต่ครั้งโบราณ เช่น บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ใช้ประกอบพิธีสรงน้ำพิพัฒสัตยาของกษัตริย์ทุกรัชกาล กะตึบหรือที่พักของพระอรหันต์รูปต่าง ๆ ปัจจุบันพัฒนาเป็นเสนาสนะ เช่น หอพระนอน (พระปางไสยาส) ศาลาเจติยาภิรัตน์ เป็นต้น ภายในวัดยังมีวิหารหอพระ เสาอินทขีล ตัวมอม ที่เป็นปรัชญาสอนบุคคลที่จะเข้าไปนมัสการพระธาตุพนมหรือเข้าวัดต้องแต่งกายหรือทำตัวให้สะอาด เหมาะสมกาลเทศะด้วย

ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชนหลั่งไหลมานมัสการและชมความงามของวัด รวมถึงการเข้าชมพิพิธภัณฑ์รัตนโมลีศรีโคตรบูรด้วย ซึ่งในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานบริษัท ฟิล์มมาสเตอร์ จำกัด ในครั้งนี้มียอดจตุปัจจัยทั้งสิ้น 3,086,588 บาท นอกจากนี้ยังมีผู้ร่วมอนุโมทนาปัจจัยเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องเพื่อทำนุบำรุงพระอารามหลวงแห่งนี้ เบื้องต้น 2,294513 บาท

นรข.นครพนม บูรณาการร่วมฝ่ายความมั่นคง จ.บึงกาฬ ยึดยาบ้า 5,580,000 เม็ด

วันที่ 19 ตุลาคม 2563 ที่บริเวณอาคารสโมสรสัญญาบัตร กองบัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตเทศบาลเมืองนครพนม อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม พล.ร.ต.จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผบ.นรข. ร่วมกับ นายนฤชา  โฆษาศิวิไลซ์  รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ  พล.ต.ต.สมศักดิ์  คงไพบูลย์  ผบก.ภ.จว.บึงกาฬ  พ.ต.อ.หญิง จิรนันท์ ธนะสิงห์ ผกก.พิสูจน์หลักฐานฯนครพนม พ.ต.ท.จรูญศักดิ์ ลำพุทธา รอง ผกก.สส.สภ.บึงกาฬ  รักษาราชการแทน ผกก.สภ.เหล่าหลวง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ  พ.ต.ท.พลสันต์ คมขาว ผบ.ร้อย ตชด.244 และร้อย.ทพ.(ทหารพราน) ที่ 2210 และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงข่าวการตรวจยึดยาบ้า จำนวน 5,580,000 เม็ด ภายหลังเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา นรข.เขตนครพนม ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการลักลอบขนส่งยาเสพติดในพื้นที่รับผิดชอบ


 โดยภายหลังได้รับการแจ้งข่าว พล.ร.ต.จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผบ.นรข. ได้สั่งการให้ น.อ.สุรศักดิ์ สุวรรณเกษา ผบ.นรข.เขตนครพนม ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผนและปฏิบัติการจับกุม โดยได้สั่งการให้ น.อ.อมรศักดิ์ ชนะศึก หัวหน้ายุทธการและการข่าวฯ และ น.ท.วิระวุฒิ บุญจันทร์ หน.สน.เรือบ้านแพง เข้าดำเนินการต่อเป้าหมายตามที่ได้รับแจ้งว่าคนร้ายจะใช้ถนนทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 212 (บึงกาฬ-นครพนม) จากเขตอำเภอบุ่งคล้าไปทางอำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ หรืออาจจะไปเข้าเขตอำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ในการลับลอบขนส่งยาเสพติด โดยชุดปฏิบัติการได้จัดรถยนต์ดักซุ่ม จำนวน 2 ชุด ชุดแรกบริเวณริมถนนใกล้สะพานห้วยก้านเหลือง ซึ่งเป็นเขตติดต่อระหว่างอำเภอบุ่งคล้าและบึงโขงหลง ขณะที่อีกชุดดักซุ่มบริเวณหน้าวัดศรีสว่างวราราม บ้านโนนสา หมู่ 5 ตำบลท่าดอกคำ กระทั่งเวลา 19.25 น. ชุดที่ 1 ได้ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัยตรงตามที่ได้รับแจ้ง คือเป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไฮลักซ์ วีโก้ ตอนเดียว สีบรอนซ์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมีหลังคาตู้ทึบคล้ายรถยนต์วิ่งส่งของทั่วไปแล่นมาในพื้นที่บ้านท่าศิริขันธ์ หมู่ 7 ตำบลโคกกว้าง อำเภอบุ่งคล้า จึงได้ขับรถไล่ติดตามพร้อมแจ้งชุดปฏิบัติการที่ 2 เข้าร่วมสกัดกั้น เมื่อรถยนต์ต้องสงสัยรู้ว่ามีเจ้าหน้าที่ติดตามจึงได้เร่งความเร็วหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงได้ใช้อาวุธปืนยิงที่ล้อหลังทั้งด้านซ้ายและขวา แต่คนร้ายก็ยังขับรถต่อไปได้อีกประมาณ 2 กิโลเมตร กระทั่งลมยางหมดจึงได้หยุดรถแล้วเปิดประตูวิ่งหลบหนี หายไปในความมืด เจ้าหน้าจึงได้เข้าทำการตรวจสอบรถยนต์คันดังกล่าวพบภายในมีกระสอบสีดำวางอยู่ในตู้ทึบ จำนวน 14 กระสอบ ตรวจสอบโดยละเอียดพบเป็นยาบ้ายี่ห้อ 999 สีน้ำเงิน 340 มัด จำนวน 3,400,000 เม็ด ยาบ้ายี่ห้อ 999 สีแดง จำนวน 178 มัด จำนวน 1,780,000 เม็ด และยาบ้ายี่ห้อ Y1 จำนวน 66 มัดใหญ่ 1 มัดเล็ก จำนวน 400,000 เม็ด รวมยาบ้าทั้งสิ้น 5,580,000 เม็ด จึงได้ร่วมกันทำบันทึกตรวจยึดพร้อมนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเหล่าหลวง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


พล.ร.ต.จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผบ.นรข. เปิดเผยว่า ในการปฏิบัติงานนั้นหน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วยได้มีการบูรณาการงานกันมาอย่างต่อเนื่องด้วยความเข้มแข็ง แม้ในช่วงนี้ที่เป็นช่วงที่ข้าราชการผู้รับผิดชอบมีการโยกย้ายในทุกหน่วยงาน ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ขบวนการลักลอบค้ายาเสพติด คิดว่าเป็นช่วงที่เปราะบางสามารถที่นำสิ่งผิดกฎหมายเข้ามาในพื้นที่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราทุกฝ่ายต่างระมัดระวังอยู่แล้ว เมื่อตนเองมาใหม่ก็ได้นำนโยบายที่ผู้บังคับบัญชาได้กำหนดไว้มามอบต่อยังผู้ปฏิบัติ โดยให้ทุกนายถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด พร้อมปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้สอดคล้องกับงานข่าวที่ได้มาจากภาคส่วนต่าง ๆ จนนำไปสู่ความสำเร็จในครั้งนี้

เรือนจำกลางนครพนม ปิดการฝึกโครงการพระราชทานโคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวัง รุ่นที่ 3

 วันที่ 19 ตุลาคม 2563 ที่เรือนจำกลางนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นผู้แทนพระองค์ในการประกอบพิธีปิดการฝึกอบรมและมอบใบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ต้องขัง ตามที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานให้มีการฝึกโครงการพระราชทานโคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวัง เรือนจำกลางนครพนม รุ่นที่ 3 ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้ทฤษฎีใหม่แบบชาวบ้าน ปั้นโคก ขุดหนอง ทำนา เพื่อสร้างต้นแบบเกษตรทฤษฎีใหม่ในพื้นที่ขนาดเล็กที่สามารถดำเนินการได้ในทุกเงื่อนไขของพื้นที่ มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพื้นฐานความคิด ฝึกการมีวินัย ลงมือปฏิบัติและแก้ปัญหาในสถานการณ์จริง เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถพึ่งตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นที่มีความเดือดร้อนได้ เมื่อพ้นโทษออกไปแล้ว


นายจรูญ เหง่าลา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครพนม เปิดเผยว่า การฝึกอบรมในครั้งนี้ได้มีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้ต้องขัง โดยใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 14 วัน คือระหว่างวันที่ 5 - 18 ตุลาคม 2563 ซึ่งเป็นการให้ผู้ต้องขังที่เข้าร่วมโครงการได้ฝึกปฏิบัติในพื้นที่จริงขนาด 170 ตารางเมตร ภายในเรือนจำกลางนครพนม โดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมาผู้ต้องขังที่เข้ารับการฝึกอบรม มีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดี สามารถปฏิบัติและพึ่งพาตนเองตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ได้ หลังจากนี้เมื่อผู้ต้องขังพ้นโทษในโอกาสต่อไป จะได้ไปดำเนินการในพื้นที่ตามภูมิลำเนาของตนเอง เพื่อประกอบสัมมาอาชีพเลี้ยงตนเอง พัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น รวมถึงเป็นกำลังสำคัญในการขยายผล ถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจที่มีให้กับประชาชนและชุมชน เป็นการช่วยกันพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าต่อไป อันเป็นการสืบสานพระราชปณิธาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในการสืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมดังพระราชปรารถนาที่ทรงต้องการให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2563

อบจ.นครพนม ร่วมกับ ร.3 พัน.3 ส่งมอบบ้านเฉลิมพระเกียรติฯ ช่วยผู้ยากไร้ตำบลหนองญาติ

วันที่ 16 ตุลาคม 2563 ที่บ้านเหล่าภูมี ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายสมชอบ นิติพจน์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย ร้อยเอกวิเศษ ชัยหน้า ผู้แทนผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 ค่ายพระยอดเมืองขวาง นายจรูญ คำพิทูลย์ รองนายกเทศมนตรีตำบลหนองญาติ ตลอดจนคณะผู้บริหารหน่วยงาน หัวหน้าส่วนราชการและเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมส่งมอบบ้าน ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ได้ร่วมกับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 องค์การบริหารส่วนตำบลหนองญาติสร้างขึ้น ตามโครงการก่อสร้างบ้านเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ให้แก่นายสุรินทร์ ชัยวงค์ษาและครอบครัวได้อยู่อาศัย โดยมีประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านลำดับที่ 1 ของปีงบประมาณ 2564 และเป็นลำดับที่ 109 ของโครงการ

สำหรับโครงการก่อสร้างบ้านเฉลิมพระเกียรติฯ ในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการความร่วมมือให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้ ยากจนและด้อยโอกาสในพื้นที่จังหวัดนครพนม ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยโครงการจะเริ่มจากให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ทำการสำรวจหาประชาชนผู้เดือดร้อน จากนั้นทำประชาคมหมู่บ้านเพื่อคัดเลือกหาบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและสมควรได้รับการช่วยเหลือเร่งด่วนตามแนวทางดำเนินโครงการ เมื่อได้บุคคลที่จะให้การช่วยเหลือแล้ว กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 จะส่งกำลังพลเข้าทำการก่อสร้างบ้านให้ใหม่จนแล้วเสร็จ โดยมีงบประมาณสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม จำนวนหลังละ 100,000 บาท เพื่อใช้เป็นค่าจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างทั้งหมด


วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563

นครพนม KICK OFF ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้ผู้ประกันตน มาตรา 33และ39 ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป

 วันที่ 15 ตุลาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายแพทย์สมโภชน์ กังวานธีรวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม เป็นประธานเปิดกิจกรรม KICK OFF HEALTHY THAILAND เพื่อผู้ประกันตน "วัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อผู้ประกันตนวัย 50 ปี" ซึ่งเป็นโครงการที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครพนมและโรงพยาบาลนครพนม ร่วมกันดำเนินการ เพื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และรณรงค์ให้ผู้ประกันตนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ได้เข้าถึงบริการและมาใช้สิทธิบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ตามที่สำนักงานประกันสังคมได้มีการเพิ่มสิทธิให้ผู้ประกันตนสามารถรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ โดยมีการออกประกาศคณะกรมการการแพทย์ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน พ.ศ.2563 ลงวันที่ 8 กันยายน 2563

นางณัฎฐ์ฎาพร  ศรีประดิษฐ์  หัวหน้างานงานอาชีวเวชกรรม โรงพยาบาลนครพนม กล่าวว่า  โครงการนี้มีประโยชน์มากสำหรับผู้ประกันตน ซึ่งโรงพยาบาลก็เป็นหน่วยงานที่ดูแลสุขภาพกันอยู่แล้ว และในวัย 50 ปีก็เป็นวัยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัย ดังนั้นเมื่อได้เห็นหนังสือในส่วนของโรงพยาบาลจึงได้ร่วมกับประกันสังคมจังหวัดนครพนม ในการวางระบบเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ประกันตน โดยจะทำให้เป็น One Stop Service อยู่ชั้น 3 ของโรงพยาบาล จากนั้นจึงมีการประชาสัมพันธ์ออกไปให้ผู้ประกันตนทราบเพราะวัคซีนตัวนี้ต้องสมัครใจในการเข้ารับบริการ และเราจะต้องเตรียมวัคซีนก่อนเพราะวัคซีนต้องนำเข้าจากต่างประเทศส่วนหนึ่ง ฉะนั้นจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าผู้ประกันตนมีความสมัครใจในการรับวัคซีนตัวนี้จำนวนเท่าไหร่ ซึ่งช่วงแรกในการดำเนินการก็มีการสำรวจความสมัครใจโดยใช้ระบบ Google Drive ส่งไป เพื่อให้ผู้ประกันตนแจ้งความจำนงแล้วส่งลิงค์กลับมาที่โรงพยาบาลนครพนม ซึ่งในข้อมูลจะต้องลงวันที่ขอเข้ามารับบริการมาด้วย จากนั้นเราก็จะดึงข้อมูลเหล่านี้มารวบรวมและนัดหมายให้ตรงกับเขาที่ต้องการ ในส่วนของเอกสารหลักฐานนั้นเราจะมีทะเบียนที่ลิงค์กับประกันสังคมอยู่แล้วทั้งเรื่องของข้อมูลชื่อ ประวัติ และอื่น ๆ ดังนั้นจึงไม่ลำบากอะไรและเบื้องต้นวางการให้บริการไว้ที่วันพุธ พฤหัส ศุกร์ ในช่วงบ่าย

ด้านนางชณิการ์ โกวะประดิษฐ์ ประกันสังคมจังหวัดนครพนม กล่าวว่า สำหรับผู้ประกันตนที่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ กับ 4 สายพันธุ์ จะเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 เนื่องจากผู้ประกันตนทั้ง 2 กลุ่ม เป็นผู้ที่จ่ายเงินสมทบในกรณีที่เจ็บป่วย ซึ่งการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสิทธิ์ในกรณีเจ็บป่วยประกันสังคม สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 แต่จะต้องมีอายุ 50 ปีขึ้นไปถึงจะเข้ารับ วัคซีนได้ โดยเราจะให้สิทธิ์ปีละ 1 ครั้ง คือระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม -  31 สิงหาคมของทุกปี แต่สำหรับปี 2563 นี้ เพิ่งเป็นปีแรกที่เราเพิ่มสิทธิประโยชน์ เราจึงให้สิทธิ์ในช่วงตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2563

ขณะที่ นางวัชรินทร์ ดวงศร หนึ่งในผู้ประกันตน เปิดเผยว่า ตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนอนุบาลนิลวรรณ รู้ว่ามีสิทธิ์นี้จากการที่ประกันสังคมจังหวัดนครพนมส่งเอกสารไปให้ที่ผู้อำนวยการโรงเรียน และที่โรงเรียนก็มีการเช็คใครที่อายุ 50 ปีแล้วได้รับสิทธิ์ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 คน ก็เลยพากันมารับวัคซีนในวันนี้ โดยตนเองและเพื่อนมาก่อน จากนั้นค่อยกลับไปเปลี่ยนอีก 2 คนมารับบริการ ตนเองรู้สึกดีใจมากที่ประกันสังคมได้เข้ามาดูแลช่วยเหลือในครั้งนี้

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2563

พสกนิกรจังหวัดนครพนม รวมใจประกอบพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระกรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ร.9

วันที่ 13 ตุลาคม 2563 ที่บริเวณศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายนรวัฒน์ สวยงาม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนม นางกรรณิกา กองฉลาด นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม หัวหน้าส่วนราชการ ตุลาการ ศาล ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา และพสกนิกรจังหวัดนครพนมร่วมประกอบพิธีจุดเทียนเพื่อน้อมรำลึกในพระกรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9

โดยในเวลา 19.19 น. ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมประธานในพิธี ได้นำพสกนิกรทุกหมู่เหล่าถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จากนั้นกล่าวคำน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และขอสืบสานพระราชปณิธานที่พระองค์ท่านทรงทุ่มเทพระวรกายเพื่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า เปรียบเสมือนหยาดน้ำทิพย์ที่ชโลมผืนแผ่นดินและจิตใจของทุกคนให้ได้รับความร่มเย็น นับตั้งแต่พระองค์ท่านเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ปวงพสกนิกรใต้ร่มพระบารมีทั่วราชอาณาจักรต่างประจักษ์ชัดแจ้งในพระเกียรติคุณ พระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ ทรงทุ่มเทพระวรกายและพระสติปัญญาคิดค้นโครงการในพระราชดำริหลายพันโครงการอันเป็นประโยชน์อย่างเอนกอนันต์ต่อประเทศชาติ โดยในจังหวัดนครพนมนั้น พระองค์ท่านได้พระราชทานโครงการตามแนวพระราชดำริเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้อย่างมากมาย อาทิเช่น พระราชทานแนวพระราชดำริให้กรมชลประทานก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำก่ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ป้องกันน้ำท่วมขังในพื้นที่ แก้ไขพื้นที่เกษตรกรขาดแคลนน้ำ เป็นโครงการที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถ และสร้างความซาบซึ้งให้กับพสกนิกรชาวจังหวัดนครพนมอย่างหาที่สุดมิได้ และด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พสกนิกรจังหวัดนครพนมจะน้อมนำแนวทางตามที่ได้พระราชทานไว้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมถึงในการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติตน เพื่อสร้างประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและสังคมต่อไป จากนั้นทุกคนได้พร้อมใจกันจุดเทียนและยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 89 วินาที ก่อนที่จะร่วมกันรับชมวีดีทัศน์น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เมื่อวีดีทัศน์สิ้นสุดทุกคนได้พร้อมกันถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเป็นเสร็จพิธี

จิตอาสานครพนม ร่วมใจบำเพ็ญประโยชน์พัฒนาห้วยฮ่องฮอ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9

 วันที่ 13 ตุลาคม 2563 ที่บ้านภูเขาทอง หมู่ที่ 3 ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำประชาชนจิตอาสาทุกหมู่เหล่าของจังหวัดนครพนมร่วมกันกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ กล่าวคำปฏิญาณ เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์จากนั้นร่วมกันพัฒนาห้วยฮ่องฮอ ด้วยการปรับปรุงภูมิทัศน์ กำจัดวัชพืช เก็บกวาดขยะ กับกิจกรรม ปณิธานความดี ทำดีเริ่มได้ที่ในเรา เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเป็นการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เนื่องในคล้ายวันสวรคต ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงทุ่มเทพระราชฤทัยและพระวรกาย ปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการเพื่อพสกนิกรชาวไทย ทั้งยังทรงเป็นต้นแบบในการคิด สร้างสรรค์ ทำนุบำรุง อนุรักษ์ สืบสาน และพัฒนาประเทศชาติ ตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติ โดยทรงมีโครงการในพระราชดำริ พระราชดำรัสอย่างมากมาย เพื่อให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าได้น้อมนำไปประพฤติปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำ

โดยห้วยฮ่องฮอ เป็นลำน้ำที่รับน้ำมาจากอำเภอศรีสงคราม ผ่านอำเภอท่าอุเทน และมาบรรจบแม่น้ำโขงที่อำเภอเมืองนครพนม โดยตลอด 2 ข้างของลำน้ำจะมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ประกอบไปด้วย ตำบลนาคำ อำเภอศรีสงคราม ตำบลเวินพระบาท ตำบลรามราช อำเภอท่าอุเทน และตำบลอาจสามารถ ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง และร่วมกันใช้ประโยชน์จากลำน้ำแห่งนี้เพื่อการอุปโภคและการเกษตรมาโดยตลอด ปัจจุบันลำน้ำแห่งนี้มีความตื้นเขินตามกาลเวลา ประกอบกับมีผักตบชวาเป็นจำนวนมาก ทั้งในช่วงฤดูแล้งที่ผ่านมาปริมาณน้ำมีน้อยทำให้วัชพืชมีการเจริญเติมโตขึ้นมาปกคลุมพื้นที่ในหลาย ๆ จุด ดังนั้นเพื่อเป็นการพัมานาปรับปรุงห้วยฮ่องฮอให้สามารถรองรับปริมาณน้ำได้เช่นดังเดิม ทั้งไม่มีเศษวัชพืชมากรีดขวางทางน้ำ และทำให้ทัศนียภาพตลอดลำน้ำมีความสวยงาม คณะจิตอาสาจังหวัดนครพนม จึงได้ร่วมกันบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ร่วมกันในครั้งนี้

พสกนิกรจังหวัดนครพนม พร้อมใจตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9

วันที่ 13 ตุลาคม 2563 ที่บริเวณหน้าวัดมหาธาตุ เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายนรวัฒน์ สวยงาม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนม นางกรรณิกา กองฉลาด นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นายสุวิทย์ จันทร์หวร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล อัยการ ทหาร ตำรวจ คณะครูอาจารย์ นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนร่วมประกอบพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 89 รูป เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม โดยทุกคนต่างพร้อมใจกันนำข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ตลอดจนเครื่องจตุปัจจัยต่าง ๆ เดินทางมารอตักบาตร ตั้งแต่เวลา 07.00 น. ด้วยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่านที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย


จากนั้นในเวลา 8.30 น. ทุกคนได้พร้อมใจกันประกอบพิธีวางพวงมาลาและถวายบังคมเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9  ที่บริเวณศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม  เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน ที่ทรงทุ่มเทพระราชฤทัยและพระวรกายปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการเพื่อพสกนิกรชาวไทย ทั้งยังทรงเป็นต้นแบบในการคิด สร้างสรรค์ ทำนุบำรุง อนุรักษ์ สืบสาน และพัฒนาประเทศชาติ ตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติ โดยทรงมีโครงการในพระราชดำริ พระราชดำรัสอย่างมากมายเพื่อให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าได้น้อมนำไปประพฤติปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำ


โดยในเวลา 10.00 น. ทุกคนจะได้ร่วมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยการทำความสะอาดพื้นที่ ปรับปรุงภูมิทัศน์ กำจัดวัชพืช โดยรอบบริเวณห้วยห้องฮอ และในเวลา 19.19 น. ทุกคนจะได้ร่วมกันประกอบพิธีจุดเทียนเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม 

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2563

กาชาดนครพนม ส่งมอบรางวัลใหญ่ให้ผู้โชคดีที่ร่วมกิจกรรมสลากกาชาดการกุศลงานประเพณีไหลเรือไฟ 2563

 วันที่ 12 ตุลาคม 2563 ที่หน้าสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในการส่งมอบรางวัลสลากกาชาดการกุศลแก่ผู้โชคดีที่เดินทางมารับรางวัลหลังเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ได้มีการจัดจำหน่ายสลากกาชาดในงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม ประจำปี 2563 เพื่อหารายได้มาสนับสนุนกิจกรรมในการช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ประสบภัย และผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ ตามภารกิจของเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ที่เป็นองค์กรการกุศลเพื่อมนุษยธรรมและมีฐานะเป็นตัวแทนของสภากาชาดไทย และได้ทำการหมุนวงล้อออกรางวัลไปเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา

โดยผู้ที่ได้รับรางวัลใหญ่เป็นรถยนต์กระบะ Ford Ranger Double Cab 4 ประตู จากรางวัลหมายเลข 13262 ได้แก่ นายสมภพ ตั้งศิริ เจ้าของและผู้บริหารโรงแรมเดอะริเวอร์จังหวัดนครพนม ซึ่งมีการซื้อสลากกาชาดการกุศลไปหลายฉบับ เพราะต้องการทำบุญ ร่วมลุ้นรางวัลและช่วยสนับสนุนงานของเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม รวมถึงให้เป็นของขวัญแก่ลูกจ้างที่ทำงานให้ โดยให้แต่ละคนไปลุ้นรางวัลเอง ส่วนรางวัลรถยนต์เก๋ง นิสสัน อัลเมร่า จาการออกหมายเลข 18927 ได้แก่ นางสาวกุลธิดา ประพฤติชอบ ข้าราชการในสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม ซึ่งเจ้าตัวได้ซื้อสลากการกุศลไปเพียง 5 ใบเท่านั้นก็ได้โชครับรางวัลใหญ่ นอกจากนี้ยังมีรางวัลรถจักรยานยนต์อีก 5 รางวัล ซึ่งปัจจุบันมีผู้มาแสดงตนรับรางวัลแล้ว 3 รางวัล นอกจากนี้ยังมีรางวัลทองคำ 1 สลึง 15 เส้น รางวัล ตู้เย็น 6.5 คิว 15 เครื่อง ทีวีสี LED 24 นิ้ว 15 เครื่อง ไมโครเวฟ 15 เครื่อง รถจักรยาน 15 คัน และหม้อหุงข้าวขนาด 1 ลิตร 200 รางวัล

และในโอกาสนี้เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมได้แสดงความขอบคุณทุกคนผ่านทางสื่อมวลชน ที่ได้ให้การสนับสนุนเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมด้วยดีเสมอมา ซึ่งภาพรวมของกิจกรรมในครั้งนี้ทางเหรัญญิกกำลังรวบรวมคำนวณรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อสรุปภาพรวมทั้งหมดอยู่ เบื้องต้นจากการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ มาตลอดระยะเวลา 10 วัน สามารถจำหน่ายสลากกาชาดได้ 5,000,000 บาท ฉลากมัจฉากาชาดอีก 1,288,000 บาท รายได้จากการบริจาคสนับสนุนงานกาชาดและภารกิจของเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม 977,526 บาท รวมรายได้ที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 7,265,526 บาท ซึ่งเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมขอยืนยันว่าการดำเนินงานเป็นไปด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน และขอฝากไปยังพี่น้องประชาชนที่ได้รับรางวัลต่าง ๆ ขอให้มารับรางวัลที่สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมในวันเวลาราชการ ภายใน 30 วันหลังวันที่ออกสลากกาชาด เพราะถ้าครบกำหนด สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมจะถือว่าท่านสละสิทธิ์การรับรางวัลในครั้งนี้

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ธรรมนัส ลงพื้นที่นครพนมมอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก. 4-01 แนะเกษตรกรปรับเปลี่ยนการผลิตตาม Agri map

วันที่ 11 ตุลาคม 2563 ที่บ้านยอดชาด หมู่ 2 ตำบลยอดชาด อำเภอวังยาง จังหวัดนครพนม ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานนำคณะลงพื้นที่ตรวจราชการและมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) แก่เกษตรกรตำบลยอดชาด จำนวน 40 ราย 49 แปลง รวมพื้นที่ 279 ไร่ มอบบัตรดินดีซึ่งเป็นบัตรประจำตัวดินของแปลงเกษตรกรเฉพาะรายที่ได้รับการตรวจสุขภาพดินและมีการให้คำแนะนำการจัดการดินจากเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดิน ส่งมอบโครงการแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทานที่เป็นการขุดสระน้ำในไร่นา ขนาด 1,260 ลูกบาศก์เมตรให้กับเกษตรกร เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำและเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในพื้นที่ทำการเกษตรทำให้เกษตรกรในพื้นที่นอกเขตชลประทานมีแหล่งน้ำที่เหมาะสมกับการเกษตร โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีส่วนร่วมในการออกค่าใช้จ่าย 2,500 บาท/บ่อ นอกจากนี้ยังได้มอบพันธุ์ปลาให้เกษตรกรได้นำไปปล่อยในบ่อน้ำของตนเองและชุมชนเพื่อขยายพันธุ์สร้างแหล่งอาหารให้กับทุกคนต่อไปในอนาคต จากนั้นจึงได้นำทุกคนเยี่ยมชมนิทรรศการถ่ายทอดความรู้ เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ให้เหมาะสมตาม Agri-Map ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนาระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ ทำให้เกษตรกรตำบลยอดชาด จำนวน 34 รายที่เข้าร่วมโครงการประสบผลสำเร็จด้วยระบบมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทุกพื้นที่ มีการปรับข้อมูลให้ทันสมัย มีความสะดวกในการใช้งานสามารถตอบโจทย์การช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรในรายพื้นที่ได้เป็นอย่างดี และเตรียมขยายผลสู่รุ่นที่ 2 ที่ให้ความสนใจ รวมถึงการแนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับดิน การบริหารจัดการน้ำและการแปรรูปสินค้าเกษตร


ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า  ในส่วนของการจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรเข้าทำกินในรูปแบบของ สป.ก. 4-0 1 เราได้เดินหน้า ณ เวลานี้ 72 จังหวัดแล้วโดยเราพยายามที่จะมอบสิทธิการเข้าทำประโยชน์ของพี่น้องชาวเกษตรกรให้ทั่วถึงและเร็วที่สุด ส่วนแปลงไหนที่เป็นกลุ่มของนายทุนครอบครองโดยผิดกฎหมายก็ได้มีการยึดคืนและจัดสรรให้กับชาวบ้าน แปลงใดที่หมดสัญญาสัมปทานก็จะมีการนำมาจัดสรรให้ชาวบ้านเช่นเดียวกัน ตอนนี้ 72 จังหวัดที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินสามารถดำเนินการไปแล้วประมาณ 95% หรือประมาณ 38- 39 ล้านไร่แล้ว รวมถึงในขณะนี้ได้มีการประกาศเป็นกฎกระทรวงไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นเรียบร้อยแล้ว เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนที่ดินที่ไม่เหมาะกับการทำภาคการเกษตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในชุมชน ให้สามารถที่จะเช่าได้ เพื่อเอาเงินเข้ากองทุน ซึ่งเงินที่ได้มานี้จะมีการจัดสรรสู่พี่น้องเกษตรกร ด้วยการต่อยอด ไม่ว่าจะเป็นการทำโครงสร้างพื้นฐาน แหล่งน้ำ ถนนหนทาง ต่อยอดเรื่องอาชีพให้กับพี่น้องเกษตรกร คือทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์สำหรับพี่น้องเกษตรกร ขณะเดียวกันกรมพัฒนาที่ดินก็มีการจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรปรับเปลี่ยนมาทำการเกษตรที่อิงเชิงวิชาการมากขึ้น โดยหลักของกรมพัฒนาที่ดินมีรูปแบบอยู่แล้วว่าเราจะปรับรูปแบบแปลงนา แปลงพืชไร่หรือพืชสวนอย่างไรที่จะทำให้มีผลผลิตที่ดีด้วยต้นทุนที่ต่ำซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้ มีชีวิตที่มั่นคง ยั่งยืน

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2563

คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม หารือเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศพำนักระยะยาว

 

วันที่ 9 ตุลาคม 2563 ที่ห้องประชุมร่มฉัตร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายสุวิทย์ จันทร์หวร (จัน-หะ-วอน) รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม ครั้งที่ 28/2563 เพื่อร่วมกันหารือวางแนวทาง กำหนดเกณฑ์ประเมินความพร้อมในการบริหารจัดการโรคติดเชื้อไวรัสโควิด - 19 เพื่อเตรียมความพร้อมไม่ให้โรคกลับมาแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นอีกครั้ง รองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางจากต่างประเทศมาท่องเที่ยวและพำนักอาศัยระยะยาวในพื้นที่ ภายหลังที่ได้มีการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่กองสาธารณสุขฉุกเฉิน สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา


โดยในที่ประชุมได้มีเตรียมเกณฑ์ประเมินความพร้อมใน 2 มิติ คือ มิติด้านสาธารณสุขที่จะเป็นการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรค และการรักษา ซึ่งจังหวัดได้กำหนดให้มีการรายงานจำนวนผู้ป่วย PUI และ Pneumonia และจำนวนที่สุ่มเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนตามที่กำหนด ให้มีการเฝ้าระวัง โรคติดต่อทางเดินหายใจและสุ่มตรวจคัดกรองโรคโควิด 19 ในพนักงานกลุ่มที่ให้บริการนักเดินทางต่างชาติ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ พนักงานขับรถสาธารณะ พนักงานโรงแรม ผู้ประกอบการร้านค้าที่มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดผู้เดินทางนักท่องเที่ยว ให้ทำแผนและดำเนินการฝึกอบรมเพิ่มจำนวนหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่อเป็น 3 เท่าภายในเดือนธันวาคม 2563 ที่จากเดิมมีอำเภอละ 1 ทีม ให้ตรวจสอบความพร้อมห้องปฏิบัติการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ให้มีความ เพียงพอกับจำนวนตัวอย่างที่ได้จากนักเดินทางต่างชาติ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนมจะมีการประชุมอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตาม กำกับผลการดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 พร้อมทั้งสื่อสารให้ประชาชนในพื้นที่ทราบเป็นประจำ รวมทั้งให้มีระบบรับฟังความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ผ่านช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ส่วนด้านการรักษาจังหวัดมีห้องแยกผู้ป่วย สำหรับผู้ป่วยอาการรุนแรงเพียงพอต่อการให้บริการนักเดินทางต่างชาติ นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงมีห้อง เตียง สำหรับการแยกกับผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรง กับการผู้สัมผัสเพียงพอต่อจำนวนนักเดินทางต่างชาติ นักท่องเที่ยวต่างชาติ โรงพยาบาลในจังหวัดมีการจัดบริการคลินิกโรคติดต่อทางเดินหายใจเพื่อรองรับผู้ป่วยรวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านยา เวชภัณฑ์และวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ สำหรับการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 เพียงพอตามเกณฑ์ที่กำหนด ส่วนมิติที่ 2 คือด้านเศรษฐกิจ สังคมและการมีส่วนร่วมของเครือข่ายจะเน้นการสื่อสารเชิงรุกที่ให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น รับทราบสถานการณ์  รวมถึงการเน้นย้ำมาตรการป้องกันโรคของประชาชน นักเดินทางต่างชาติ นักท่องเที่ยวต่างชาติให้ปฏิบัติตามหลัก Distancing , Mask Wearing และ Hand Washing  นอกจากนี้ยังให้มีการจัดตั้งสถานที่กักกันทางเลือก ให้มีระบบการติดตามผู้เดินทางนักท่องเที่ยวในพื้นที่ภายหลังกักตัว 14 วัน รวมถึงให้มีการเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุ มีการฝึกซ้อมกรณีผู้พบผู้ป่วยติดเชื้อ โดยบูรณาการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน เน้นสถานที่ที่อาจพบผู้ป่วยในจังหวัดอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2563

คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม สรุปผลการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดไวรัส covid -19 งานไหลเรือไฟ

 วันที่ 5 ตุลาคม 2563 ที่ห้องประชุมร่มฉัตร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนมในการติดตามผลการดำเนินงานในการเฝ้าระวังและป้องกันการการแพร่ระบาดไวรัสโควิด – 19 ในงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม ประจำปี 2563 รวมถึงติดตามกรณีพบผู้ป่วยสงสัยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ในพื้นที่จังหวัดนครพนม การบริหารจัดการ local Quarantine ที่ใช้ศูนย์เรียนรู้การยางจังหวัดนครพนมเป็นสถานที่ดำเนินการ และการดำเนินการในมาตรการการจัดการแสดงดนตรีคอนเสิร์ต มาตรการจัดการแข่งขันกีฬา และการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 6)

โดยผลการดำเนินงานในการเฝ้าระวังและป้องกันการการแพร่ระบาดไวรัสโควิด – 19 ในงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม ประจำปี 2563 ในภาพรวมประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการตรวจคัดกรองและใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าแต่เมื่อเข้ามาในงานแล้ว เหลือผู้ปฏิบัติตามเพียงร้อยละ 57 เท่านั้น เนื่องจากช่องทางเดินมีน้อยกว่าจำนวนประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงาน โดยเฉพาะในวันที่ 2 ตุลาคมที่มีผู้มาร่วมงานจำนวนมาก ในส่วนอื่น ๆ สามารถปฏิบัติได้เป็นอย่างดีไม่มีปัญหาและเหตุอันใดให้เกิดการสูญเสีย ส่วนกรณีมีการตรวจพบผู้ป่วยสงสัยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 ในพื้นที่จังหวัดนครพนมที่เดินทางไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ทีมเจ้าหน้าที่ได้มีการดำเนินการสอบสวนโรคอย่างละเอียดแล้ว รวมถึงมีการเก็บตัวอย่างกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิด จำนวน 2 ราย ที่มีความเสี่ยงสูงส่งตรวจหาเชื้อแล้ว ซึ่งผลไม่พบผู้ติดเชื้อแต่อย่างใด ทั้งนี้ให้กักตัวเป็นเวลา 14 วัน ส่วนกลุ่มผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงต่ำ จำนวน 16 คน ก็มีการเก็บตัวอย่างส่งตรวจรวมถึงคุมไว้สังเกตอาการตนเองที่บ้านเป็นเวลา 14 วันเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มจะมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขออกติดตามอาการป่วยและวัดอุณหภูมิทุกวัน ขณะที่การบริหารจัดการ local Quarantine ก็มอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งดำเนินการตามระเบียบ โดยให้นำเอกสารข้อมูลทั้งหมดเสนอเพื่อให้คณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาและนำมาเสนอต่อที่ประชุมในครั้งถัดไป ส่วนมาตรการการจัดการแสดงดนตรีคอนเสิร์ตและมาตรการจัดการแข่งขันกีฬา ที่มีผู้ขอจัดการวิ่ง Nakhonphanom summer ให้ผู้รับผิดชอบไปคุยรายละเอียดการจัดงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อน รวมถึงให้นำแผนการจัดงานทั้งหมดมาเสนอเพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้งในการประชุมถัดไป ทั้งนี้การจัดกิจกรรมต้องปฏิบัติตามคู่มือมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมด้านการกีฬาอย่างเคร่งครัด และการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 6) ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 ซึ่งมีการขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทยมีความรุนแรงมากขึ้น และมีคนต่างด้าวจำนวนมากลักลอบเดินทางเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อนโดยไม่ทราบแหล่งที่มาของโรคเพิ่มสูงขึ้น และอาจจะทำให้เกิดการระบาดเป็นวงกว้างภายในประเทศได้ จึงยังมีความจำเป็นต้องควบคุมดูแลมิให้เกิดการระบาดในลักษณะดังกล่าวขึ้นในประเทศ อันจะส่งผลต่อความมั่นคง ความปลอดภัยทางด้านสาธารณสุขของประเทศและต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่ยังอยู่ในภาวะเปราะบางจึงมีความจำเป็นต้องขยายประกาศออกไปอีกคราวหนึ่ง เพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวให้เป็นไป โดยมีเอกภาพ มีประสิทธิภาพ รวดเร็วต่อสถานการณ์ โดยมุ่งรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยในด้านสุขภาพและชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ