วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2565

จ.นครพนม จัด เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 8 เฉลิมพระเกียรติฯ

วันที่ 30 ต.ค.65 เวลา 05.30 น. ที่ ลานพญาศรีสัตตนาคราช อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 8 เฉลิมพระเกียรติฯ ตามโครงการแสงนำใจไทยทั้งชาติ โดยมี นายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนทั่วไป และนักวิ่งเข้าร่วมกว่า 1,500 คน

โดยในพิธีเปิดกิจกรรมฯ นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดกรวยถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี กล่าวคำถวายราชสดุดี ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นประธานได้โบกธงปล่อยขบวนเดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 8 เฉลิมพระเกียรติฯ พร้อมนี้ได้ร่วมเดิน วิ่ง กับนายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม หัวหน้าส่วนราชการ และบรรดานักวิ่งด้วย

สำหรับเส้นทางการเดิน วิ่ง ระยะทาง 10 กิโลเมตร ไป-กลับ จากลานพญาศรีสัตตนาคราช - หมู่บ้านวัฒนธรรม 8 ชนเผ่า ส่วนเส้นทางการปั่นจักรยาน ระยะทาง 30 กิโลเมตร ไป-กลับ จากลานพญาศรีสัตตนาคราช - สะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม-คำม่วน) โดยผู้ที่เข้าเส้นชัย ที่ลานพญาศรีสัตตนาคราช จะได้รับเหรียญที่ระลึก

นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า จากรายงานการศึกษาโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทยพบว่า มีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจทั่วโลกประมาณ 16.7 ล้านคนต่อปี ในจำนวนนี้เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 5.5 ล้านคน โดยกว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากประเทศกำลังพัฒนา ในประเทศไทย พบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 1,880 คน ต่อประชากรจำนวนหนึ่งแสนคน หรือร้อยละ 2 ซึ่งถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในเพศหญิงและอันดับสามในเพศชาย รองจากอุบัติเหตุและโรคมะเร็ง นอกจากนั้น โรคนี้ยังมีอัตราความพิการสูง การศึกษาในประเทศไทยพบว่าในผู้ป่วย 100 คน ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะเสียชีวิตร้อยละ 5 และพิการร้อยละ 70 ซึ่งนอกจากความพิการทางกายแล้ว ยังมีผลทำให้ความจำเสื่อมในภายหลังอีกด้วยถ้าประชาชนขาดความรู้ด้านการป้องกันและรักษาอย่างถูกวิธี โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ร้อยละ 90 ถ้าสามารถปรับพฤติกรรมเสี่ยงความเสี่ยงได้

สำหรับโครงการ แสงนำใจไทยทั้งชาติ เดิน วิ่งปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 8 เฉลิมพระเกียรติ มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ที่ทรงเป็นแสงนำใจและทรงเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนคนไทยในการรักษาสุขภาพ รวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง โดยให้ประชาชนออกกำลังกายอย่างง่ายๆ เช่น เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน เพื่อให้มีสุขภาพดีห่างไกลโรค เพื่อให้ความรู้โรคหลอดเลือดสมอง ตลอดจนวิธีการป้องกันและการเข้าถึงการรักษาให้กับประชาชนเพื่อเป็นการลดอัตราการพิการและเสียชีวิต

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2565

พช.นครพนม เสริมศักยภาพผู้ประกอบการผลิตและแปรรูปผ้าพื้นเมือง ผลักดันเสน่ห์ผ้าไทยสู่ระดับสากล

วันที่ 28 ตุลาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนม นายสุรพล แก้วอินธิ พัฒนาการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากกรอบแนวคิดด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ที่มุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติ บนพื้นฐานแนวคิดการต่อยอดอดีต ปรับปรุงปัจจุบัน และสร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต ซึ่งเป็นการพัฒนาภาคการผลิตและบริการให้ประชาชนทุกคนมีความสามารถในการแข่งขัน เกิดความยั่งยืน มีคุณภาพชีวิตและมีรายได้ที่ดีขึ้น โดยสินค้าและบริการต้องขายได้ เป็นที่ต้องการของตลาด ตรงตามรสนิยมของผู้บริโภคที่พร้อมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามกระแส รวมถึงการสร้างมาตรฐานสากลของสินค้าและบริการให้สูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

ประกอบกับคณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เห็นชอบมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทยตามที่กระทรวงมหาดไทย สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์นำเสนอ โดยเชิญชวนคนไทยให้สวมใส่ผ้าไทยทุกวัน เพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ส่งเสริมกิจกรรมฐานราก เพื่อสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

ทั้งนี้ในส่วนของจังหวัดนครพนมนั้น มีผลิตภัณฑ์เด่นที่เป็นอัตลักษณ์บ่งบอกถึงวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตของคนในจังหวัด คือการทอผ้าย้อมสีธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันส่วนมากยังเป็นผลิตภัณฑ์ต้นทาง มีการแปรรูปโดยกลุ่มผู้ผลิตชุมชนบ้างแต่อาจจะยังไม่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด จึงจำเป็นต้องเพิ่มศักยภาพและยกระดับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่ม ทุกเพศและทุกวัย เพราะนอกจากจะส่งผลดีต่อการสร้างภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ของจังหวัดนครพนมแล้ว ยังทำให้ผู้ประกอบการผลิตและแปรรูปผ้าพื้นเมืองสามารถแข่งขันการตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นในวันนี้จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนม จึงได้จัดการประชุมกลุ่มผู้ประกอบการผลิตและแปรรูปผ้าพื้นเมือง ประเภทผ้าลายพระราชทาน ผ้ามุกนครพนม ผ้าย้อมสมุนไพรและไม้มงคลขึ้น

เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เรียนรู้เกี่ยวกับเสน่ห์ผ้าไทยที่พร้อมก้าวไกลสู่สากล การออกแบบและแปรรูปผ้าย้อมสมุนไพรและไม้มงคลกับการการเดินแบบแฟชั่นโชว์ การให้คำแนะนำ ข้อเสนอแนะ และแนวทางในการพิจารณาเพื่อปรับปรุงต้นแบบผลิตภัณฑ์ชุมชน การทำการตลาดออนไลน์ เทคนิคการใช้ภาพบนร้านค้าออนไลน์ การสร้างเรื่องราวสตอรี่ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย การทำไวรัลคลิปออนไลน์เพื่อการตลาด รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์จากกลุ่มผู้ประกอบการเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานของแต่ละกลุ่ม นำไปต่อยอดไอเดียปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของตนเองให้มีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในเวทีระดับสากล ที่ก่อให้เกิดการปลุกกระแสเทรนด์ผ้าไทย ที่มีความทันสมัย พร้อมก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ ให้แก่ชุมชน เสริมความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก ให้มีความมั่นคงและยั่งยืน แต่ยังคงไว้ซึ่งภูมิปัญญาที่แสดงออกในด้านการทอผ้าและการย้อมผ้า ประเภทผ้าลายพระราชทาน ผ้ามุกนครพนม ผ้าย้อมสมุนไพรและไม้มงคล ของจังหวัดนครพนม


วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2565

นครพนม พร้อมใจดูแลต้นไม้ น้อมรำลึกสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

วันที่ 26 ตุลาคม 2565 ที่ค่ายลูกเสือหนองญาติ ตำบลหนองญาติ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันทำกิจกรรมวันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2565 ที่จังหวัดนครพนม ร่วมกับ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 สาขานครพนม สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดนครพนม และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดนครพนม จัดขึ้น เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงฟื้นฟูความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2533 คณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ เป็นวันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ และต่อมาได้เปลี่ยนเป็น วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และสนองพระราชปณิธานของพระองค์ท่าน ทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกให้กับผู้ที่มาร่วมงานได้เห็นถึงความสำคัญของการ ของการบำรุงรักษาต้นไม้และสามารถบำรุงรักษาต้นไม้ได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ทั้งเป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและช่วยลดภาวะโลกร้อน โดยกรมป่าไม้ได้มีการจัดกิจกรรมวันรักต้นไม้ประจำปีของชาติพร้อมกันทั่วประเทศ มาอย่างต่อเนื่องและเป็นประจำทุกปี

โดยกิจกรรมในครั้งนี้มีทั้งการช่วยกันใส่ปุ๋ยพรวนดินต้นไม้ บริเวณโดยรอบค่ายลูกเสือหนองญาติ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ในการชุมนุมลูกเสือเนตรนารีของจังหวัดนครพนม เพื่อพัฒนาศักยภาพในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างเยาวชนให้เป็นพลเมืองที่ดีมีความรับผิดชอบ ช่วยสร้างสรรค์สังคมให้มีความเจริญก้าวหน้า ทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับต้นไม้ เพราะมีต้นไม้นานาชนิดให้ศึกษา การสอนเทคนิคในการดูแลและตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ที่ถูกต้องตามหลักรุกขกรเพื่อให้ทุกคนได้นำไปใช้ตัดตกแต่งกับต้นไม้ใหญ่ของตนเองที่ปลูกที่บ้านให้พ้นจากสายไฟฟ้า กำแพงหรือรั้ว และอาคาร โดยที่ต้นไม้ยังมีความแข็งแรง อายุยืน สามารถใช้พื้นที่ใต้ต้นไม้ได้อย่างปลอดภัย ที่สำคัญคือยังคงมีรูปทรงที่สวยงาม ซึ่งถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้อง เช่น การบั่นยอด กุดกิ่ง ตัดโกร๋น หรือการตัดพุ่มใบด้านนอกออกหมด เหลือแต่ตอกิ่ง จะส่งผลเสียอย่างต่อต้นไม้ใหญ่เป็นอย่างมากเพราะเมื่อพุ่มใบถูกตัดทิ้ง ขีดความสามารถในการผลิตอาหารด้วยการสังเคราะห์แสงก็จะลดลงไป ต้นไม้จะดึงเอาพลังงานที่สะสมทั้งหมดไว้มาเร่งสร้างพุ่มใบขึ้นมาใหม่ทำให้ไม่สามารถนำไปสร้างเยื่อ เจริญราก และสร้างเนื้อเปลือกปิดแผล หรือความเสียหายจากโรคและแมลงได้ นอกจากนี้ยังมีการแจกพันธุ์กล้าไม้ จำนวน 1,800 ต้น เพื่อให้ผู้มาร่วมงานได้นำไปปลูกที่บ้านหรือที่ดินของตนเอง ประกอบไปด้วย ต้นสัก จำนวน 500 ต้น ต้นยางนา 600 ต้น ต้นทองอุไร 700 ต้น


วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

พสกนิกรจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีวางพวงมาลาน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ รัชกาลที่ 5 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต

 วันที่ 23 ตุลาคม 2565 ที่พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 บริเวณด้านหน้าหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม รักษาราชการแทน ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ตุลาการ ศาล ทหาร ตำรวจ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ และพสกนิกรจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีวางพวงมาลาเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นอเนกอนันต์เพื่อให้พสกนิกรชาวไทย เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต

โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า " เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ " เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ( สมเด็จพระนางรําเพยภมรภิรมย์ ) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี โดยตลอดรัชสมัยพระองค์ท่าน ทรงอุทิศพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ และทรงปกครองพระราชอาณาจักรให้มีความมั่นคงและร่มเย็นเป็นสุข ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จประพาสต้น เพื่อสดับตรับฟังทุกข์สุขของปวงพสกนิกรในท้องถิ่นต่าง ๆ พระองค์มีพระราชดำริพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ทรงนำวิทยาการที่ได้จากการเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนต่างประเทศมาวางรากฐานการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูประบบการเงินการคลัง การศึกษา การสาธารณูปโภค ด้วยพระปรีชาสามารถและสายพระเนตรอันกว้างไกลทำให้ประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้าทันสมัย ทรงยกเลิกระบบทาส ระบบไพร่ และทรงนำศาสตร์การปกครองของไทยและชาติสากลมาผนวกใช้ในการปกครองพระราชอาณาจักร นำพาชาติบ้านเมืองให้ผ่านพ้นภัย ดำรงอธิปไตย และความเป็นเอกราชของชาติไว้ได้อย่างมั่นคง ทำให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรืองพัฒนาไพบูลย์สืบเนื่องมาจนกาลปัจจุบัน พระปรีชาสามารถและพระเกียรติยศเป็นที่ประจักษ์แก่นานาอารยประเทศ และด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พสกนิกรชาวไทยทั้งหลายจึงต่างน้อมรำลึกเทิดพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ถวายพระราชสมัญญาแด่พระองค์ว่า “พระปิยมหาราช” โดยพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 เวลา 2.45 นาฬิกา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สิริพระชนมพรรษาได้ 57 พรรษา


วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2565

โตโน่ ว่ายน้ำ ONE MAN AND THE RIVER หนึ่งคนว่าย หลายคนให้ประสบความสำเร็จ ยอดบริจาคทะลุ 58 ล้านบาท

วันที่ 22 ตุลาคม 2565 ที่บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักอย่างมาก ของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมกับนายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นางสุดลมโชย คำวิลัยศักดิ์ (แม่โตโน่) นางสาวณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์ (ณิชา แฟนสาวของโตโน่) และคณะเพื่อนๆ ดารา นักร้อง รอต้อนรับ โตโน่ - ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ และทีมงานที่กำลังว่ายน้ำจากฝั่ง สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงกลับมายังจุดท่าน้ำพญาศรีสัตตนาคราช กับกิจกรรม ONE MAN AND THE RIVER หนึ่งคนว่าย หลายคนให้ เพื่อระดมทุนจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาลนครพนม และโรงพยาบาลแขวงคำม่วน สปป.ลาว ซึ่งยอดการบริจาคจากผู้ใจบุญยังคงหลังไหลโอนเข้าบัญชีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ณ เวลา 18.30 น. มียอดบริจาคมากถึง 58,186,094 บาท


โดยในโอกาสนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เดินทางมาเป็นตัวแทนกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลนครพนม กล่าวขอบคุณและชื่นชมโตโน่และทีมงานที่ได้ทำกิจกรรมดี ๆ จนประสบความสำเร็จ ถือเป็นฮีโร่อีกคนที่ทำคุณประโยชน์เพื่อสังคมและคนหมู่มาก ซึ่งความตั้งใจที่แน่วแน่ในครั้งนี้ก็เพื่อนำเงินไปบริจาคซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับทางโรงพยาบาลนครพนม และโรงพยาบาลแขวงคำม่วน สปป.ลาว โดยยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่ขาดแคลนเครื่องมือทางการแพทย์ เพราะมีงบประมาณในแต่ละปีที่นำเสนอขึ้นมาตามความต้องการของโรงพยาบาลทั่วประเทศอยู่แล้ว บางแห่งก็ได้รับการจัดสรรเยอะ บางแห่งก็ได้ปานกลาง บางแห่งที่มีศักยภาพก็ได้รับการจัดสรรตามสมควร ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเป็นประจำทุกปี แต่การทำกิจกรรมในครั้งนี้ถือเป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นการเสริมศักยภาพและประสิทธิภาพในการดูแลรักษาพี่น้องประชาชน ทั้งในจังหวัดนครพนม จังหวัดข้างเคียง รวมถึงประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยที่ไม่ต้องรอการจัดสรรงบประมาณทำให้ทุกคนมีความมั่นใจ ว่ามาเที่ยวนครพนมด้วยความสบายใจ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่

ด้าน โตโน่ - ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ได้กล่าวความรู้สึกว่า ขอขอบคุณทุกคนเป็นอย่างมาก วันนี้ตนเองไม่ได้ทำสำเร็จ แต่เป็นคนไทยและคนลาวทุกคนที่ทำสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนลาวที่อยู่ที่นี่ หรือคนที่ดูผ่านระบบออนไลน์อยู่ ก็ขอให้มีทุกคนมีแต่ความสุข มีแต่ความดีงามเข้ามาในชีวิต ขอให้ทุกคนรักกัน สามัคคีกัน ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันแบบนี้ตลอดไป


ประชาชนและนักท่องเที่ยวร่วมส่งกำลังใจให้โตโน่ว่ายน้ำข้ามโขงคึกคัก ยอดบริจาคทะลุ 36 ล้านบาท

วันที่ 22 ตุลาคม 2565 ที่บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นสถานที่จุดเริ่มต้นว่ายน้ำข้ามโขง ONE MAN AND THE RIVER หนึ่งคนว่าย หลายคนให้ ที่พระเอกหนุ่มโตโน่ - ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ดาราศิลปินนักร้องชื่อดัง ต้องการระดมทุนเพื่อระดมทุนจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาลนครพนม และ สปป.ลาว บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชน และนักท่องเที่ยว ตลอดจนผู้ที่เดินทางมาให้กำลังใจ ร่วมลุ้น และเชียร์ให้กิจกรรมในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงตามจุดประสงค์เป็นจำนวนมาก

โดยก่อนการเริ่มว่ายน้ำทุกคนได้ร่วมกันประกอบพิธีบวงสรวงองค์พญาศรีสัตตนาคราช มีพระอาจารยเทพนรินทร์ ชินรังสี เจ้าอาวาสวัดเทพนรินทราราม เป็นประธานนำประกอบพิธี จากนั้นเป็นการรำถวายจากคณะดาราสาว ที่ประกอบไปด้วย ณิชา ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์ แฟนสาวของโตโน่ ฮาน่า ฮาน่า ลีวิส, ไข่มุก รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช, แม็กกี้ อาภา ภาวิไล, แบมบี้ สิรินโสพิศ ปัจฉิมสวัสดิ์, แป้ง ดาริน ตาแปง, พิมพ์ ประพิมภรณ์ พิมพาและ อีฟ ไอยวริญร์ ชื่นชอบ และนางรำท้องถิ่นอีก 280 โดยสภาพอากาศในวันนี้เริ่มมีฝนตกโปรยปรายลงมาตั้งตีสี่ กระทั้งก่อนเริ่มพิธีได้หยุดตก และเมื่อบวงสรวงเสร็จฟ้าก็เปิดมีแสงสว่างและลมโชยมาเป็นระยะๆ ซึ่งพอดีกับการเปิดงานโดยนายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตามมาด้วยการกล่าวขอบคุณของ นายแพทย์ธนสิทธิ์ ไพรพงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาบาลนครพนม และนายแพทย์แก้วอุดม หลอดทัมมะวง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแขวงคำม่วน

ทั้งนี้ยอดรับบริจาคจาก เว็บเทใจ ( https://taejai.com/th/d/onemanandtheriver/) ได้เปิดเผยยอดบริจาคแบบออนไลน์ในกิจจกรรมครั้งนี้ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อเวลา 12.30 น.มียอดบริจาคเข้ามาแล้ว 36,189,263 บาท โดยยังเปิดรับบริจาคไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2565 สำหรับการว่ายจะขึ้นฝั่งที่บริเวณท่าน้ำวัดกลางที่อยู่ห่างออกไปจากลานพญาศรีสัตตนาคราชประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อทำกิจกรรมรับบริจาคจากชาวบ้านที่มาร่วมกิจกรรมและไหว้พระประธานในโบสถ์เพื่อขอพร หลังจากนั้นลงว่ายน้ำอีกครั้งไปขึ้นที่ที่ท่าน้ำศาลาแสงสิงแก้วบริเวณหน้าวัดพระอินทร์แปลง พร้อมทำกิจกรรมรับบริจาคอีกครั้ง ก่อนที่จะลงว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงไปขึ้นฝั่ง สปป.ลาว ที่ท่าน้ำวัดพระธาตุศรีโคตรตะบอง เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน และทำกิจกรรมที่วัด ก่อนจะเดินทางไปที่โรงพยาบาลแขวงคำม่วน เพื่อพบปะกับทีมแพทย์และพยาบาล จากนั้นพักรับประทานอาหารและพักผ่อนที่โรงแรมริเวอร์เรีย ริมฝั่งโขงของเมืองท่าแขก และลงว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงที่หาดทราย บ้านนาเมือง ที่อยู่ทางตอนเหนือของเมืองท่าแขก กลับมาที่บริเวณท่าน้ำองค์พญาศรีสัตตนาคราชอีกครั้ง ซึ่งตามหมายกำหนดการณ์คาดว่าโตโน่จะขึ้นฝั่งไทยอีกครั้งในเวลาประมาณ 16.30 น. ซึ่งเมื่อถึงฝั่งแล้วจะมีกิจกรรมนำเอาอุปกรณ์ที่ใส่ว่ายน้ำมาเปิดประมูลเพื่อสมทบทุนเพิ่มเติมอีกด้วย

โดยก่อนการออกว่ายในครั้งนี้ โตโน่ - ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ได้กล่าวว่า ทั่วโลกต่างต้องการที่จะเห็นสิ่งนี้ นั่นคือความรัก ความสามัคคี ความมีน้ำใจ ซึ่งได้เกิดขึ้นกับคนไทยและคนลาวแล้วที่นครพนม สิ่งนี้เป็นภาพที่สวยงามมาก ตนเองจะจดจำวันนี้ไว้ไปตลอดชีวิต เพราะเป็นวันที่ตนเองภูมิใจและมีความสุขที่สุด ซึ่งการรำถวายก็เป็นการรำที่สวยที่สุดในชีวิตตั้งแต่เคยเห็นมา ไม่ใช่สวยเฉพาะท่ารำ หรือเสื้อผ้า แต่ยังสวยด้วยน้ำใจและหัวใจที่ทุกคนมาช่วยกัน ขอบคุณที่ทำให้รู้จักกับคำว่าเสียสละ รู้จักคำว่าส่วนรวม รู้จักคำว่าสมัครสมานสามัคคี วันนี้ตนเองอาจจะพูดไม่เยอะ เพราะต้องเก็บแรงเอาไว้ไหว้น้ำ ขอไหว้ไปหาพ่อแม่พี่น้องฝั่งลาวก่อน แล้วจะว่ายกลับมาหาทุกคนที่นี่อีกครั้ง


วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ศูนย์ภูมิคุ้มกันและโรคระบบทางเดินหายใจ US.CDC และหน่วยคุ้มครองสุขภาพโลก (DGHP) เยี่ยมติดตามการดำเนินงานจังหวัดนครพนม

วันที่ 21 ตุลาคม 2565 นายแพทย์กิตติเชษฐ์ ธีรกุลพงศ์เวช รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 นายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม มอบหมายให้ร่วมกับ ดร.ศิริลักษณ์ ใจช่วง ผู้ช่วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายแพทย์ธนสิทธิ์ ไพรพงษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครพนม ดร.บารเมษฐ์ ภิราล้ำ ผู้จัดการโครงการโครงการวิจัยและเฝ้าระวังโรคโควิด-19และคณะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ Dr. Beth Skaggs หัวหน้าฝ่ายห้องปฏิบัติ DGHP, ดร.สายทิพย์ เพ่งศรี นักระบาดวิทยา และ ดร.พงษ์พันธ์ สวาสดิ์สงค์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ หน่วยคุ้มครองสุขภาพโลก (DGHP: Division of Global Health Protection) พร้อมด้วย Dr. Maureen Diaz, Dr. Maliha Ishaq ศูนย์ภูมิคุ้มกันและโรคระบบทางเดินหายใจ จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. CDC) ที่ได้เดินทางมาเยี่ยมและติดตามนิเทศงานหน่วยคุ้มครองสุขภาพโลกจังหวัดนครพนม (DGHP NP)

โดยได้มีการร่วมประชุมหารือ และนำเสนอผลการดำเนินงานโครงการวิจัยและเฝ้าระวังโรคโควิด-19 ในผู้ที่มีอาการไข้จังหวัดนครพนม ของหน่วยคุ้มครองสุขภาพโลกจังหวัดนครพนม ซึ่งเริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 มีผู้ป่วยที่ยินดีเข้าร่วมโครงการ จำนวน 4,873 ราย มีโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 3 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลนครพนม โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนม และโรงพยาบาลศรีสงคราม โดยยังคงทำการคัดกรองผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการ และตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยวิธีการตรวจ PCR และนัดผู้ป่วยกลับมาตรวจซ้ำ เพื่อติดตามดูอาการและการเปลี่ยนแปลงของเชื้อ แบบไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้หลังเดือนสิงหาคม 2565 มีการปรับนิยามการคัดกรองเพื่อให้ครอบคลุมการตรวจมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการหารือความร่วมมือโครงการวิจัยในอนาคตที่จะเกิดขึ้น คือ การพัฒนาระบบ Smart ER เพื่อคัดกรองและจำแนกผู้ป่วยที่มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือดที่เข้ามารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยฉุกเฉิน โรงพยาบาลนครพนม โดยแยกตามประเภทความรุนแรงของอาการ เพื่อประกอบการวินิจฉัยและการพิจารณาให้การรักษาของแพทย์อย่างเหมาะสม ทันเวลา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาระบบสุขภาพของพื้นที่และเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยที่มารับการรักษาในโรงพยาบาล


สกู๊ปข่าว เรียนรู้การอยู่แบบพอเพียง กับโคก หนอง นา

นางหลง สิงเสือ เกษตรกรบ้านนาโดน ตำบลขามเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า การทำโคก หนอง นา นั้นใจต้องรักที่จะทำการเกษตร ถ้าใครที่มีความคิดที่อยากจะทำแค่ครึ่งเดียว ขอแนะนำว่าอย่ามาทำในส่วนนี้เลยจะดีกว่า เพราะการทำโคก หนอง นา ไม่ใช่ว่าจะมีรายได้มากมายจนร่ำรวย แต่เป็นการพออยู่พอกิน ส่วนการเริ่มต้นถ้าอยากจะทำเราต้องดูจากสภาพของดินและของน้ำก่อน เพราะตราบใดที่เรามีความขยัน ดินดี น้ำดี ปลูกอะไรลงไปก็ได้ผลผลิต ดังนั้นคนที่จะมาทำตรงนี้ต้องถามตัวเองก่อนว่าพร้อมแล้วหรือยัง

สำหรับ โคก หนอง นา ที่ทำอยู่ตอนนี้ ก็มีการปลูกทั่วไปเหมือนคนอื่น ๆ เขา มีทุกอย่างที่เรากินได้ ตามริมสระก็ปลูกกล้วย ข่า ตระไคร้ พริก มะม่วง ตอนนี้ที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็เป็นมะพร้าว ส่วนที่ดินที่ปลูกข้าว 1 ไร่กว่า ๆ ที่เหลือจากการแบ่งมาทำ โคกและหนอง ก็ยังได้ผลผลิตข้าว 60 -70 กระสอบเหมือนเดิมแม้จะทำในพื้นที่น้อยลงเพราะแต่ก่อนที่ทำนา 3 ไร่ ไม่สามารถดูแลได้ทั้งหมด แต่พอมาทำ โคก หนอง นา ตรงนี้ ทำให้ได้เรียนรู้ว่าเราจะดูแลยังไงให้ทั่วถึง โดยหลังจากที่มาประมาณปีกว่า อันไหนที่เคยซื้อก็ไม่ต้องซื้อแล้ว นั้นหมายถึงการลดรายจ่ายในครัวเรือนลงไปได้เยอะมาก ต่อไปในอนาคตอาจจะเพิ่มรายได้ให้เราก็ได้

ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโคก หนอง นา นั้น สอนให้เราใช้ประโยชน์ได้ทุกอย่าง เช่น ฟางข้าวก็ไถกลบเพื่อเป็นปุ๋ยบำรุงดิน อีกส่วนก็นำมาห่มดินตามโคนต้นไม้ต่าง ๆ ที่เราปลูก ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาหรือต้นกล้วยเราก็สามารถนำมาทำปุ๋ยหมัก ทำสารอินทรีย์ได้ และพอเราดูแล เอาใจใส่ทุกวัน จะทำให้เรามองเห็นว่าตรงไหนมีปัญหา การเจริญเติบโตไม่ดี เราก็พยายามหาวิธีมาปรับปรุงแก้ไข ถ้าเปรียบเทียบการดูแล โคก หนอง นา กับคนก็เหมือนการที่มองดูหน้าตาตรงไหนไม่สวย ก็ทาแป้งแต่งตัวก็ทำให้ดูดีขึ้น กลายเป็นว่าจากแต่ก่อนที่ทำนาจะมาปีละครั้งก็เปลี่ยนเป็นมาเป็นมาแทบทุกวัน เพราะมีความผูกพันและมีความสุขที่ได้อยู่กับธรรมชาติ ได้ดูว่าต้นไม้ของเราเจริญเติบโตขนาดไหน เปลี่ยนแปลงไปยังไง และจะทำอะไรเพิ่มเติม โดยทุกวันนี้รายได้มาจากการขายข่า ขายตระไคร้ โดยข่าจะขายกำละ 10 - 20 บาท ตระไคร้กิโลกรัมละ 10 บาท แม่ค้าที่ตลาดจะมารับถึงที่วันละ 20-30 กิโลกรัม ก็ทำหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ส่วนปลาในสระถ้าเราตั้งใจเลี้ยงก็ขายเป็นเงินได้เหมือนกัน เช่นการเลี้ยงปลาดุกในกระชังประมาณ 3 เดือนก็จำหน่ายได้แล้ว


จ.นครพนม เดินหน้าแก้ปัญหาอุบัติเหตุถนน ปลูกจิตสำนึกการใช้ทางม้าลายร่วมกัน

วันที่ 21 ตุลาคม 2565 ที่บริเวณประตูทางเข้าโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย (ตรงข้ามสำนักงาน ปปช.ประจำจังหวัดนครพนม) อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์สร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับการใช้ทางม้าลาย “ทางม้าลายปลอดภัย วินัยดี จังหวัดนครพนม” ที่ศูนย์อำนวยการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดนครพนมได้มีการบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนภาคีเครือข่าย นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในพื้นที่จัดขึ้น ด้วยเห็นว่าปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเป็นเรื่องสำคัญ ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้ไข เพราะอุบัติเหตุส่วนใหญ่ 95 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่ที่ขาดวินัย ฝ่าฝืนสัญญาณจราจร ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เมาแล้วขับ ขับรถเร็ว ไม่สวมหมวกนิรภัย จึงมีความจำเป็นต้องรณรงค์สร้างการรับรู้ และปลูกจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนนบนทางม้าลาย เพื่อร่วมกันสร้างสังคมแห่งความปลอดภัย ที่ไร้อุบัติเหตุทางถนน

ซึ่งกฎหมายการจราจรสำหรับผู้ใช้รถและถนน มีความสำคัญต่อผู้สัญจรทุกคน ทุกฝ่าย โดยรถจะต้องชะลอและหยุดห่างจากทางม้าลายอย่างน้อย 3 เมตร เพื่อให้ผู้สัญจรทางเท้าข้ามถนนให้หมด หรือรอให้เวลาสัญญาณไฟสำหรับคนข้ามหมดเสียก่อนถึงจะสามารถจะขับรถต่อไปได้ ถ้าผู้สัญจรทางเท้าข้ามถนนตรงทางม้าลาย จะได้รับการคุ้มครองทางกกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 152 กำหนดอัตราโทษสำหรับการขับขี่รถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน มีโทษปรับไม่เกิน 1 พันบาท กับ มาตรา 46 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถอื่นในกรณีเมื่อรถกำลังขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ในทางโค้ง เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรให้แซงได้ กรณีภายในระยะ 30 เมตรก่อนถึงทางข้าม ทางร่วม ทางแยก วงเวียน หรือเกาะที่สร้างไว้ หรือทางเดินรถที่ตัดข้ามทางรถไฟ กรณีเมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่นหรือควัน จนทำให้ไม่อาจเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะ 60 เมตร กรณีเมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย หากขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถคันอื่นภายในระยะ 30 เมตรก่อนถึงทางม้าลาย เมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 400 – 1,000 บาท หากผู้ถูกชนได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต จะได้รับความผิดเพิ่มอีก หากหยุดหรือจอดรถใกล้กับทางม้าลายในระยะ 3 เมตรจากทางข้าม ก็จะมีความผิดตามมาตรา 57 ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 500 บาท แต่ถ้าผู้สัญจรทางเท้าไม่ได้ข้ามถนนบนทางม้าลาย มาตรา 104 บัญญัติไว้ว่า ภายในระยะ 100 เมตร นับจากทางข้าม ห้ามมิให้เดินข้ามทางนอกจากทางข้าม และ มาตรา 147 ระบุว่า หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ มาตรา 104 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาท และหากถูกรถชน ผู้ที่ข้ามถนนโดยไม่ข้ามในทางที่กำหนดก็จะมีความผิดร่วม


วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2565

จ.นครพนม รับมอบผ้าไตรพระราชทานโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย เก็บรักษา เตรียมประกอบพิธี 2 พ.ย. นี้

วันที่ 18 ตุลาคม 2565 ที่พระอุโบสถวัดสว่างสุวรรณาราม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้อัญเชิญผ้าไตรพระราชทาน โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ประจำปี 2565 มาเก็บรักษาไว้เพื่อเตรียมประกอบพิธีทอดถวายในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา 13.30 น. เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมพระภิกษุและสามเณร ให้ได้มีโอกาสศึกษาพุทธศาสนา จากสถาบันพุทธศาสนาภายในประเทศ เป็นการสืบสานพระราชปณิธานของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงพระราชทานจัดตั้งโครงการฯ ภายหลังเดินทางไปเข้ารับมอบมาจากจังหวัดสกลนคร ที่มีนางจุรีรัตน์ เทพอาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เป็นประธานในพิธี

โดยโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2547 และทรงพระราชทานทุนการศึกษาผ่านโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ประกอบด้วย ประกอบไปด้วย ทุนศึกษาบาลี ระดับเปรียญธรรม 6 ประโยค – 9 ประโยค ทุนระดับอุดมศึกษา ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ด้านพุทธศาสตร์ ทุนหลักสูตรอบรมพระนักเทศน์ ทุนหลักสูตรอบรมพระวิปัสสนาจารย์ และทุนหลักสูตรอบรมพระธรรมจาริก โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดพิธีทอดผ้าป่า เพื่อสนับสนุนและเผยแพร่การดำเนินงานของโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทยทุกปี และในปี 2565 ทรงพระราชทานผ้าไตร จำนวน 104 ไตร เพื่อนำไปประกอบพิธีทอดผ้าป่าสมทบทุนโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย


วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2565

พสกนิกรนครพนม พร้อมใจประกอบพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตรัชกาลที่ 9

วันที่ 13 ตุลาคม 2565 ที่หอเฉลิมพระเกียรติพระราชวงศ์จักรี ตำบลหนองญาติ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ตุลาการ อัยการ ทหาร ตำรวจ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม คณะครูอาจารย์ แม่บ้านมหาดไทย ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้าราชการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ประกอบพิธีวางพวงมาลา ถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย โดยตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี แห่งรัชสมัย ปวงพสกนิกรใต้ร่มพระบารมีทั่วราชอาณาจักร ต่างประจักษ์ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตา ที่ได้ทรงทุ่มเทกำลังพระวรกาย และกำลังพลาสติกปัญญา ปฏิบัติพระราชกรณียกิจ นานัปการเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร โดยมีโครงการในพระราชดำริน้อยใหญ่ จำนวน 4,741 โครงการ ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างอเนกอนันต์แก่ประเทศชาติ ทั้งได้พระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแนวทางให้อาณาประชาราษฎร์ได้ใช้ในการดำเนินชีวิต ใช้ความรู้และสติปัญญาเป็นภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนของประเทศต่าง ๆ ที่ได้น้อมนำแนวทางพระราชทานไปปฏิบัติ

โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงพระนามเดิมว่า “ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ทรงเสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น (MOUNT AUBURN) ประเทศสหรัฐอเมริกา มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล โดยพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ครองราชย์นานที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังเป็นประมุขแห่งรัฐที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในโลกตั้งแต่การสวรรคตของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งญี่ปุ่นใน พ.ศ. 2532


พสกนิกรจังหวัดนครพนม พร้อมใจตักบาตรพระสงฆ์ 49 รูป ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9

วันที่ 13 ตุลาคม 2565 ที่บริเวณวัดศรีเทพประดิษฐาราม ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล อัยการ ทหาร ตำรวจ คณะครูอาจารย์ ข้าราชการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมกันประกอบพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 49 รูป น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย โดยตลอดการครองราชย์ 70 ปี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพและความสามารถ ทรงอุทิศพระวรกายประกอบพระราชกรณียกิจนานับประการเพื่อปวงชนชาวไทยและประเทศชาติ ทรงมีพระราชดิ พระราชดำรัส และก่อกำเนิดโครงการต่าง ๆ อย่างมากมายมากกว่า 4,000 โครงการ เพื่อเป็นต้นแบบให้พสกนิกรทุกคนได้น้อมนำไปประพฤติปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำ และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ราษฎรทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งด้านการแพทย์สาธารณสุข การเกษตร การชลประทาน การพัฒนาที่ดิน การศึกษา การพระศาสนา การสังคมวัฒนธรรม การคมนาคม และด้านเศรษฐกิจ 


โดยในจังหวัดนครพนมนั้น พระองค์ท่านได้พระราชทานโครงการตามแนวพระราชดำริเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้อย่างมากมาย อาทิเช่น พระราชทานแนวพระราชดำริให้กรมชลประทานก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำก่ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ป้องกันน้ำท่วมขังในพื้นที่ แก้ไขพื้นที่เกษตรกรขาดแคลนน้ำ เป็นโครงการที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถ และสร้างความซาบซึ้งให้กับพสกนิกรชาวจังหวัดนครพนมอย่างหาที่สุดมิได้ 


โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงพระนามเดิมว่า “ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ทรงเสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น (MOUNT AUBURN) ประเทศสหรัฐอเมริกา มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล โดยพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ครองราชย์นานที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังเป็นประมุขแห่งรัฐที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในโลกตั้งแต่การสวรรคตของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งญี่ปุ่นใน พ.ศ. 2532 


วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2565

คณะส่วนล่วงหน้าในพระองค์ ลงพื้นที่นครพนมตรวจติดตามเตรียมการรับเสด็จฯ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

วันที่ 12 ตุลาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนม พลอากาศโท พิศณุ ไพบูลย์ ราชองครักษ์ในพระองค์ พร้อมคณะ เดินทางมาตรวจพื้นที่และประชุมเตรียมการรับเสด็จ ฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนิน ทรงนำนักเรียนนายร้อย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ามาทัศนศึกษาในพื้นที่จังหวัดนครพนม และจังหวัดสกลนคร (เป็นการส่วนพระองค์) ระหว่างวันที่ 23 – 24 ตุลาคม 2565 โดยมี นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมคณะหัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับและร่วมประชุม เพื่อให้การดำเนินการเตรียมรับเสด็จฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ
โดยโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ได้เปิดสอนวิชาหัวข้อพิเศษทางประวัติศาสตร์ : ไทยกับเพื่อนบ้านอินโดจีน (HI 5901) ให้แก่นักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 4 ในภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ในการนี้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำริให้นำนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 4 ซึ่งศึกษาในรายวิชาดังกล่าวเดินทางมาทัศนศึกษาและสัมมนาวิชาการ เพื่อให้ได้ฝึกหัด ค้นคว้าหาข้อมูล มีการตีความ อธิบายความ และสรุปความ ตามระเบียบวิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยเน้นการศึกษาในหัวข้อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในอินโดจีน 3 ภูมิภาค ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม เริ่มตั้งแต่พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของแต่ละชาติจากยุคโบราณ ยุคจักรวรรดินิยม ยุคสงครามโลกจนถึงยุคสงครามเย็น และยุคปัจจุบัน ความร่วมมือและแข่งขันกันในภูมิภาคอินโดจีน ตลอดจนสังคมและวัฒนธรรมในภูมิภาค เช่น เพศ ตำนาน และความเชื่อทางศาสนา รวมถึงบทบาทภายนอกที่มีต่อภูมิภาคโดยเฉพาะรัสเซีย จีน และสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามเย็น ความมั่นคงภายในภูมิภาค การเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี ตลอดจนโครงการพระราชดำริที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งจังหวัดนครพนม เป็นเมืองชายแดนตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงตรงข้ามกับเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาค เกิดเป็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และวัฒนธรรมระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ทั้งที่มีความอุดมสมบูรณ์ความสวยงามของทิวทัศน์ และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ โดยเชื่อว่าเมื่อครั้งอดีตเคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ที่รุ่งเรืองไม่ขึ้นกับใคร ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 12 แต่ต่อมาในช่วงราว ๆ พุทธศตวรรษที่ 16 อาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ได้เสื่อมอำนาจลงและตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรขอม กลายเป็นเมืองในอาณาจักรล้านช้าง มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง และมีการย้ายเมืองมาตั้งที่ป่าไม้รวก ห้วยศรีมัง ฝั่งซ้ายจากนั้นก็สลับมาอยู่ฝั่งขวาของริมแม่น้ำโขง โดยในปี พ.ศ. 2329 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามเมืองจากเมืองมรุกขนคร มาเป็น เมืองนครพนม ขึ้นตรงต่อกรุงรัตนโกสินทร์

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2565

บรรยากาศการท่องเที่ยวนครพนมคึกคัก ประชาชนแห่ชมเรือไฟขนาดใหญ่และร่วมพิธีเรือไฟโบราณเนื่องแน่น

วันที่ 10 ตุลาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศการท่องเที่ยวของประชาชนและนักท่องเที่ยวยังคงเป็นไปด้วยความคึกคักต่อเนื่อง แม้งานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม ประจำปี 2565 จะเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมแล้วก็ตาม โดยในวันนี้จะมีการไหลเรือไฟขนาดใหญ่ ทั้ง 12 ลำ พร้อมกัน เพื่อเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันออกพรรษา ทั้งยังการแข่งขันในเรื่องความคิดสร้างสรรค์และความสวยงามเพื่อชิงเงินรางวัล ทำให้มีประชาชนและนักท่องเที่ยวมากกว่าทุกวันก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว ด้วยทุกคนต้องการชมความงดงามแห่งสายน้ำโขง ที่ชาวนครพนมได้ร่วมแรงร่วมใจกันนำไม้ไผ่นับหมื่นลำมาสร้างเป็นเรือไฟขนาดใหญ่ พร้อมประดับตกแต่งด้วยตะเกียงไฟนับแสนดวง ให้เกิดความสว่างไสวเป็นลวดลายต่าง ๆ ตามจินตนาการที่ต้องการสื่อให้เห็นถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมถึงวิถีชีวิตของคนแต่ละชุมชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครพนม และสถานที่สำคัญของจังหวัดที่บอกเล่าถึงประวัติความเป็นมา ความเชื่อ ความศรัทธาและความเป็นหนึ่งเดียวของคนนครพนม โดยในเวลา 14.00 น. นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้เป็นประธานประกอบพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์มาจุดต่อให้นายอำเภอทั้ง 12 อำเภอ เพื่อนำไปจุดตะเกียงไฟบนเรือไฟของแต่ละอำเภอ ก่อนที่จะไหลให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รับชมความงดงาม ที่ได้ร่วมกันสร้างสรรค์นานนับแรมเดือน

โดยในเวลา 17.50 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินทางมาเป็นประธาน นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ นักเรียน นักศึกษา พ่อค้าและประชาชนชาวจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีบวงสรวงและกล่าวถวายเรือไฟโบราณเพื่อเป็นประทีปพุทธบูชา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นการสืบสานประเพณีดั่งเดิมในการทำเรือไฟ ที่ส่งเสริมให้ลูกหลานผู้อยู่ภายหลังมีความรักความสามัคคี ความพร้อมเพียงกัน ด้วยการนำไม้ไผ่มาจักรสานเป็นรูปเรือไฟ จากนั้นมีการตกแต่งด้วยตะเกียงไฟให้มีความสวยงาม โดยกิจกรรมเรือไฟโบราณนี้ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานประกอบพิธีสะเดาเคราะห์ ต่อชะตาตามปีเกิดของแต่ละคนเพื่อเสริมบุญบารมี ด้วยการทำกระทงเรือไฟจากกาบกล้วยตัดเส้นผม เล็บ และกรดาษคำอธิฐานขอพรนำมาวางรวมกันในเรือไฟโบราณ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำไปลอยกลางแม่น้ำโขง เป็นการลอยความทุกข์ ความเศร้าออกไปจากชีวิต ตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ


วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2565

นครพนม รวมใจรำบูชาพระธาตุพนม ถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันออกพรรษา


วันที่ 10 ตุลาคม 2565 ที่บริเวณหน้าวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม บรรยากาศคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมารอร่วมประกอบพิธีถวายเครื่องบูชาและรำบูชาพระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนม ที่พุทธศาสนิกชนสองฝั่งโขงให้ความเคารพศรัทธา กราบไหว้บูชามานานกว่า 2,000 ปี เป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระมหากัสสปะสร้างไว้ตามความเชื่อพื้นถิ่น โดยพระธาตุพนมเป็นพระธาตุที่มีเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและในลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลางที่เมื่อถึงเทศกาลสำคัญครั้งใด ประชาชนที่ให้ความเคารพสักการะบูชาจะร่วมกันนำดอกไม้ธูปเทียนมาถวายเป็นพุทธบูชา โดยประเพณีรำบูชาพระธาตุพนมมีมาตั้งแต่การสร้างพระธาตุพนมยุคแรก ๆ แล้ว แต่ไม่ได้รำติดต่อกันทุกปี กระทั่งปี พ.ศ. 2530 นายอุทัย นาคปรีชา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในสมัยนั้น ได้ริเริ่มฟื้นฟูการรำบูชาพระธาตุพนมขึ้นมา ร่วมกับงานเทศกาลออกพรรษาไหลเรือไฟ มีการจัดให้รำบูชาพระธาตุพนมที่บริเวณหน้าวัดพระธาตุพนมในช่วงเช้า จากนั้นจึงมีการไหลเรือไฟที่ตัวจังหวัดในภาคกลางคืนของวันเดียวกัน คือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 เพื่อเป็นการฟื้นฟูประเพณีอันดีงาม และส่งเสริมการท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐบาล


โดยในปีนี้นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ตลอดจน พ่อค้า ประชาชน คณะฟ้อนรำจากทุกอำเภอของจังหวัดนครพนมและนักท่องเที่ยวร่วมกันแห่เครื่องสักการะบูชามายังบริเวณประตูโขงหน้าวัดพระธาตุพนม จากนั้นทุกคนร่วมกันประกอบพิธีทางศาสนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมนำจุดธูปเทียนและกล่าวถวายเครื่องสักการะบูชาและกล่าวไหว้พระธาตุ เมื่อเสร็จพิธีคณะนางรำก็เริ่มรำบูชา เริ่มจากการรำตำนานพระธาตุพนม ซึ่งจะเป็นการเล่าถึงประวัติความเป็นมา แรงศรัทธาและความเชื่อเกี่ยวกับองค์พระธาตุพนม โดยการแสดงจะเป็นการนำเอาบทสวดสดุดีองค์พระธาตุพนมมาผสมผสานกับทำนองสรภัญญะและดนตรีมโหรี จากนั้นเป็นการฟ้อนศรีโคตรบูรณ์ เพื่อระลึกถึงความเจริญทางด้านศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ เป็นการผสมผสานระหว่างรำเซิ้งอีสานที่มีความสนุกสนามกับการฟ้อนรำผู้ไทยที่มีเอกลักษณ์ท่ารำ ยกสูง ก้มต่ำ รำกว้าง ต่อมาคือรำผู้ไท เรณูนครที่ได้มีการพัฒนาและดัดแปลงมาจากศิลปะการรำที่แสดงในงานเทศกาลที่สำคัญต่าง ๆ คือการรำขอฝนจากพญาแถนให้ตกถูกต้องตามฤดูกาล การรำสมโภชงานบุญมหาชาติ ซึ่งจะมีความสนุกสนาน ร่าเริง เป็นการหยอกล้อของหนุ่มสาวที่มีการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตามมาด้วยรำหางนกยูง ที่มีการดัดแปลงท่ารำมาจากการรำไหว้ครูของนักรบสมัยก่อน แต่ให้มีความอ่อนช้อยงดงามเหมือนท่านกยูงรำแพน ต่อมาเป็นการรำ 8 ชนเผ่า ที่เป็นการเล่าถึงคนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครพนม ที่มีอยู่ 8 ชนเผ่าว่ามีชนเผ่าอะไรบ้าง จากนั้นเป็นการรำขันหมากเบ็ง ซึ่งเป็นการรำถวายเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยขันหมากเบ็งเป็นเครื่องบูชาชนิดหนึ่งของชาวอีสาน ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาจากใบตอง มีลักษณะเป็นพานพุ่ม ประกอบไปด้วยเครื่องบูชา 5 อย่างๆ ละ 5 คู่ ได้แก่ หมาก พลู ธูป เทียน ข้าวตอก และดอกไม้ และในขั้นตอนสุดท้ายทุกคนร่วมกันรำในชุดรำเซิ้งอีสานบ้านเฮา ซึ่งในการรำชุดนี้ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมพิธีสามารถเข้ามาร่วมรำถวายเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองได้ด้วย 


วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2565

นครพนม ดึงมิสแกรนด์ ร่วมเดินแบบผ้าไทยใส่ให้สนุก สืบสานพระราชปณิธานพระพันปีหลวง

วันที่ 9 ตุลาคม 2565 ที่เวทีกลางงานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม ประจำปี 2565 ได้มีการจัดกิจกรรม การประกวดเดินแบบชุดแต่งกาย "ผ้าไทยใส่ให้สนุก"  เดินแบบแฟชั่นโชว์ร้อยหลากพรรณราย ผ้าไทยนครพนม เพื่อนำเสนอผ้าไทย ผ้าพื้นเมือง ผ้าอัตลักษณ์พื้นถิ่น และผ้าเอกลักษณ์ของจังหวัดนครพนม ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานได้รู้จัก ทั้งเป็นเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา เป็นการสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่าน ที่ทรงอนุรักษ์ ส่งเสริม และเชิดชูอัตลักษณ์คุณค่าผ้าไทย ให้คงอยู่คู่แผ่นดิน กระตุ้นให้ภาคส่วนราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป ได้เกิดความตระหนัก รับรู้และมีการรื้อฟื้นลายผ้าที่อาจสูญหายไปตามกาลเวลาให้ฟื้นกลับมา ก่อให้เกิดลายผ้าประจำจังหวัด เกิดกระแสนิยมไทย ใช้ของไทย กินของไทยและเที่ยวไทยตามมา ส่งผลให้ประชาชนในชุมชนเกิดรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิต ที่มั่นคงและยั่งยืน


โดยกิจกรรมในครั้งนี้จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนม ได้มีการประสานเชิญมิสแกรนด์นครพนม 2023 คือ นางสาวกมลวลัย ประจักษ์รัตนกุล (ไผ่หลิว) รวมทั้งนางสาวจัสมิน เฟลเทน (จัสมิน) รองอันดับ 1 และนางสาวญาดากนก เหมือนบุดดี (ติงตัง) รองอันดับ 2 มาเป็นแขกรับเชิญพิเศษ ร่วมเดินแบบผ้าไทยกับหัวหน้าส่วนราชการ ที่นำโดยนายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และคณะตัวแทนผู้ประกอบการกลุ่มทอผ้าในพื้นที่จังหวัดนครพนม ทั้ง 12 อำเภอด้วย ส่วนชุดแต่งกายนั้นก็ได้มีการนำผ้าลายพระราชทาน คือ ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ และผ้าขิดลายนารีรัตน์ราชกัญญา รวมถึง ผ้ามุกนครพนม ซึ่งเป็นผ้าโบราณร่วมสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ เป็นผ้าชั้นสูงที่เจ้านายหรือภรรยาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ใช้เป็นอาภรณ์ในการแต่งกาย เป็นผ้าต้นแบบของผ้าพื้นบ้านทั้งหลายในจังหวัดนครพนม เพราะมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นพิเศษที่เกิดจากการยกเส้นด้ายยืน เสริมด้ายยืนพิเศษ กลายเป็นลวดลายที่ยื่นนูนขึ้นมาจากผืนผ้า มองดูคล้ายหน้ามุขที่ยื่นออกจากตัวบ้าน โดยเลื่อมลายแพรวพราวจะคล้ายการเอาหอยมุกมาเจียระไนแล้วฝังเป็นลายลงไปในผืนผ้าด้วยความเสมอต้นเสมอปลายของน้ำหนักในการถักทอ มาทำการตัดเย็บให้เป็นเสื้อผ้าที่มีความทันสมัยในหลากหลายรูปแบบ สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศทุกวัย และทุกเทศกาล นอกจากนี้ยังมีผ้าพื้นเมืองประจำจังหวัดนครพนม และผ้าย้อมสมุนไพรและไม้มงคล เพื่อให้ทุกคนได้รับชมมากถึง 30 ชุด 


วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2565

จังหวัดนครพนม แข่งขันเรือยาวเชื่อมสัมพันธไมตรีไทยลาว ชิงถ้วยพระราชทาน ประจำปี 2565

วันที่ 7 ตุลาคม 2565 ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง หน้าวัดพระอินทร์แปลง เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการแข่งขันเรือยาวเชื่อมสัมพันธไมตรีไทยลาว ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่จังหวัดนครพนมจัดขึ้น ภายใต้ประเพณีงานไหลเรือไฟ ประจำปี 2565 ซึ่งปฏิบัติสืบเนื่องต่อกันมาเป็นประจำทุกปีในช่วงเทศกาลออกพรรษา เพื่อเป็นการเผยแพร่และอนุรักษ์ไว้ซึ่งเอกลักษณ์ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ริมแม่น้ำโขง และผูกพันกับสายน้ำ ทั้งใช้ในการสัญจรไปมาและการประกอบอาชีพ อันจะทำให้คนรุ่นปัจจุบันเกิดความเข้าใจในรากเหง้าทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษ ที่ดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย พอเพียง และสอดคล้องกับธรรมชาติ ทั้งเป็นการอนุรักษ์ประเพณีการแข่งขันเรือยาวในลุ่มน้ำโขงและส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มศักยภาพในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เผยแพร่ชื่อเสียงของจังหวัดนครพนมสู่สาธารณะ อีกทั้งเป็นการพิสูจน์ฝีมือและพละกำลังของฝีพายที่เข้าร่วมการแข่งขัน เป็นการสร้างความรักความสามัคคีของคนในชุมชน ทั้งเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)

โดยในปีนี้ท่านศักดิ์ดา แก้วมณีชัย รองเจ้าเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว ได้นำทีมเรือยาว จำนวน 4 ทีม เข้าแข่งขันกับทีมเรือยาวของประเทศไทย 59 ทีม ทำให้มีทีมเรือยาวเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 63 ทีม เพื่อชิงถ้วยรางวัลพระราชทานและเงินรางวัลรวมกว่า 570,000 บาท กับการแข่งขัน 4 ประเภท ประกอบไปด้วย เรือชายเล็ก 10-12 ฝีพาย เรือเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างเรือจากประเทศไทยและเรือจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 30-35 ฝีพาย เรือชายกลาง 35-40 ฝีพาย และเรือชายใหญ่ 50-55 ฝีพาย ทำให้บรรยากาศการแข่งขันเป็นไปด้วยความคึกคักทั้งของฝีพายและผู้ที่มาร่วมลุ้น ร่วมเชียร์ให้กำลังใจ กลายเป็นเสน่ห์ที่งดงามแห่งสายน้ำโขง เชื่อมโยงสัมพันธไมตรี โดยก่อนการแข่งขันทีมเรือยาวได้ร่วมกันประกอบพิธีตีช้างน้ำนอง เพื่อบวงสรวงและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง พระแม่คงคา เทวดา และพญานาค เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยในน่านน้ำ ซึ่งเป็นการพายเรือในลักษณะทวนกระแสน้ำจากหน้าปะรำพิธีขึ้นไปยังจุดปล่อยตัว เพื่อเป็นการพิสูจน์พละกำลัง ความแข็งแกร่งและความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของฝีพายทุกคนในลำเรือ โดยการใช้ไม้พายของลูกเรือพายจ้ำลงไปในน้ำอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อยกไม้พายขึ้นเหนือพื้นน้ำ จะทำให้เกิดฝอยน้ำแตกกระเซ็นขึ้นบนอากาศ ซึ่งลักษณะเช่นนี้ในสมัยโบราณเปรียบเสมือนกับโขลงช้างที่กำลังเล่นน้ำ ทำให้น้ำบริเวณนั้นเกิดเป็นคลื่นใหญ่ซัดเข้ากระทบฝั่งจนเกิดเสียงดัง คนโบราณจึงเรียกพิธีนี้ว่า พิธีตีช้างน้ำนอง และถือเป็นประเพณีปฏิบัติก่อนการแข่งขันเรือยาว


วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2565

กตป.ลงพื้นที่นครพนม ติดตามผล รับฟังข้อเท็จจริง ข้อเสนอแนะ การดำเนินงานของ กสทช.

วันที่ 6 ตุลาคม 2565 คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) ที่ประกอบไปด้วย พลเรือเอก ประสาน สุขเกษตร ประธาน กตป. และกรรมการด้านส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รศ.(คลินิก) พลเอก สายัณห์ สวัสดิ์ศรี กตป.ด้านกิจการกระจายเสียง ดร.จินตนันท์ ชญาต์ร ศุภมิตร กตป.ด้านกิจการโทรทัศน์ ผศ.ดร.สุทิศา รัตนวิชา กตป.ด้านกิจการโทรคมนาคม และนางสาวอารีวรรณ จตุทอง กตป.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ลงพื้นที่ประชุมหารือร่วมกับผู้ประกอบการวิทยุกระจายเสียง ผู้ประกอบการโทรทัศน์ เครือข่ายผู้บริโภค และภาคประชาสังคมของจังหวัดนครพนม เพื่อรับฟังข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับการดำเนินงานของของสำนักงาน กสทช. ภาค 2 ที่ครอบคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมดและ กสทช. เขต 25 จังหวัดนครพนม ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมา

โดยในวันนี้มีการสะท้อนปัญหาให้กับ กตป. ในหลาย ๆ ประเด็น เช่น ด้านกิจการกระจายเสียงที่ผู้ประกอบการมีข้อกังวลอย่างยิ่งในกรณีการออกใบอนุญาตการออกอากาศ ซึ่งใช้เวลานานเป็น 10 ปีแล้ว รวมถึงการทดลองออกอากาศของวิทยุชุมชนและภาคธุรกิจ ที่มีเรื่องระเบียบและข้อบังคับบางอย่างที่ไม่ตรงกัน ทำให้จากเดิมที่จังหวัดนครพนมมีสถานีวิทยุอยู่ประมาณ 100 กว่าสถานี ตอนนี้เหลือเพียง 42 สถานี ซึ่งในส่วนนี้ทางคณะ กตป.จะนำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับ กสทช. เพื่อหาทางแก้ไขให้แล้วเสร็จก่อนปี 2567 ด้านโทรทัศน์ที่กฎหมายให้อำนาจ กสทช. กำกับได้เพียงการออกอากาศทางโทรทัศน์เท่านั้น ทำให้เวลาออกอากาศของผู้ประกอบการเลือกใช้คนละเวอร์ชั่นในแพลตฟอร์มอื่น กลายเป็นความแตกต่าง ๆ ที่ทาง กสทช. ต้องรีบดำเนินการ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน กสทช.แจ้งว่าจะมีการพิจารณาปรับกฎเกณฑ์ข้อบังคับให้ผ่อนคลายความเข้มงวด ส่วนด้านการคุ้มครองผู้บริโภคก็จะมีในเรื่องของการร้องเรียนเกี่ยวกับคอลเซนเตอร์และข้อความสั่นที่ปัจจุบันมีรูปแบบหลากหลายมาก ซึ่งประชาชนมีโอกาสแจ้งแล้วหน่วยงานไปแล้วแต่ไม่มีการแก้ปัญหาที่ทันต่อสถานการณ์ ดังนั้นในส่วนนี้ กตป.จึงจะมีการสะท้อนไปยัง กสทช. เพื่อให้มีการปรับปรุงระบบให้ทันท่วงทีเพื่อประโยชน์ของประชาชน นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของคุณภาพสัญญาณโทรศัพท์ไม่เสถียร บางจุดแย่ โดยในโอกาสนี้ คณะ กตป.ยังจะมีการติดตามเกี่ยวกับการดำเนินงานของ กสทช. ในพื้นที่จังหวัดนครพนมตามนโยบายของรัฐบาล ที่จะลดความเหลื่อมล้ำให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงเรื่องของการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อใช้ในการศึกษา การรักษาพยาบาล และการทำธุรกิจออนไลน์ เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการดำรงชีวิตของประชาชน และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วย


วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565

นครพนม จัดแข่งเรือกีบหนีบกันพาย ชิงแชมป์โลก สร้างสีสันและความประทับใจให้นักท่องเที่ยวงานไหลเรือไฟ 2565

วันที่ 5 ตุลาคม 2565 ที่บริเวณลานพนมนาคา ริมฝั่งแม่น้ำโขง เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 / นายกสมาคมกีฬาจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการแข่งขันเรือกีบหนีบกันพาย ชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 3 ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ร่วมกับ ชมรมนกเป็ดน้ำโขงและจังหวัดนครพนม จัดขึ้น ตามโครงการส่งเสริมการจัดมหกรรมเทศกาลออกพรรษาประเพณีไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป ที่มีใจรักในการออกกำลังกายทางน้ำ ให้ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ห่างไกลจากยาเสพติด และส่งเสริมวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานไหลเรือไฟ ประจำปี 2565 ได้รู้จักและสร้างความประทับใจมากยิ่งขึ้น

โดยการแข่งขันเรือกีบหนีบกันพาย เป็นกีฬาทางน้ำชนิดใหม่ของจังหวัดนครพนม ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของผู้ที่มีความชื่นชอบกีฬาทางน้ำสร้างสุขภาพด้วยวารีบำบัด จัดตั้งชมรมนกเป็ดน้ำขึ้นเมื่อปี 2563 เพื่อร่วมกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอำเภอบ้านแพง ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม มองเห็นวิวทิวเขาหินปูนทางฝั่งลาวที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา มีอุทยานแห่งชาติภูลังกาซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำนาคี น้ำตกตาดขาม และน้ำตกตาดโพธิ์ ที่มีเรื่องราวเชื่อมโยงกับคติความเชื่อมากมาย เช่น ตำนานพญานาคถูกสาปเป็นหิน เมืองลับแลหรือเมืองบังบด ตำนานดินแดนประสูติของพระเจ้า 5 พระองค์ ธรรมสถานแห่งพระอริยะ ตลอดจนเป็นป่าสมุนไพรที่มีอยู่ในเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพระลักษณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ จากนั้นในปีถัดมาก็มีการจัดการแข่งขันอีกครั้งที่อำเภอท่าอุเทน และมาในครั้งนี้ที่จัดในงานประเพณีไหลเรือไฟ

สำหรับการแข่งขันเรือกีบหนีบกันพาย เป็นการดัดแปลงการแข่งขันมาจากการแข่งพายเรือกีบหาปลาในแม่น้ำโขง โดยกติกาคือให้ผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีมสวมเสื้อชูชีพกระโดดลงแม่น้ำโขงในจุดปล่อยตัวพร้อมกัน จากนั้นให้ใช้ขาหนีบต่อตัวกันเป็นลำเรือ ทำให้เมื่อมองระยะไกลคล้ายเรือกีบ ก่อนที่จะรวมใจกันใช้มือว่ายน้ำในลักษณะว่ายกันเชียงแทนไม้พายมุ่งหน้าสู่เส้นชัยในระยะทางรวมกว่า 350 เมตร ที่สำคัญคือห้ามแตกแถวอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับแพ้ โดยการแข่งขันในวันนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือประเภทหญิงล้วน 7 คน มีทีมเข้าแข่งขัน 10 ทีม ประเภทชายล้วน 8 คน มีทีมเข้าแข่งขัน 7 ทีม และประเภททีมผสม 15 คน มีทีมเข้าแข่งขัน 7 ทีม และด้วยความแปลกใหม่ที่มีแห่งเดียวในโลก จึงทำให้การแข่งขันกลายเป็นอีกหนึ่งสีสันและความสนุกสนาน ที่สร้างความประทับใจให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มารับชมเป็นอย่างมาก


ผู้ใจบุญร่วมบริจาคทุนทรัพย์สนับสนุนกาชาดนครพนม หาทุนสำรองช่วยผู้ประสบภัยในพื้นที่

วันที่ 5 ตุลาคม 2565 ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และประชาชน ที่ทราบข่าวว่าเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม มีการจัดงานวันรวมน้ำใจ ให้กาชาดจังหวัดนครพนม ประจำปี 2565 ขึ้น ต่างทยอยเดินทางมาบริจาคทุนทรัพย์สนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ในการช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ประสบภัย และผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ ตามภารกิจที่ว่าเป็นองค์กรการกุศลเพื่อมนุษยธรรม และมีฐานะเป็นตัวแทนของสภากาชาดไทย ในการช่วยบรรเทาทุกข์ และพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้ประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีนายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นางศุทธิกานต์ วงศ์สถิตจิรกาล รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม และสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดนครพนม ร่วมให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวก

นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า งานรวมน้ำใจ ให้กาชาดจังหวัดนครพนม จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีพร้อมกับงานประเพณีไหลเรือไฟ เพื่อหารายได้นำไปบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือสงเคราะห์พี่น้องชาวจังหวัดนครพนมที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนและประสบภัยต่าง ๆ แม้ปัจจุบันจังหวัดนครพนมจะยังไม่มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้มาดำรงตำแหน่ง แต่การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนรอไม่ได้ ดังจะเห็นได้จากเมื่อวานที่มีเหตุการณ์ ชาวบ้านผู้ยากไร้โชคร้ายเกิดอุบัติเหตุโดนสังกะสีแผ่นเล็ก ๆ ปลิวมาบาดจุดสำคัญทำให้เสียเลือดจำนวนมาก ต้องรักษาเป็นการด่วน เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้เข้าช่วยเหลือทำให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ปัจจุบันอยู่ในภาวะที่ปลอดภัยแล้ว ซึ่งก็ขอขอบคุณทุกท่านที่มีจิตอันเป็นกุศล ที่ได้มาร่วมกันบริจาคทุนทรัพย์ บริจาคสิ่งของให้กับเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมในครั้งนี้ รวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ เมื่อเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมจัดงาน ไม่ว่าจะเป็น การรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ ตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อสำรองไว้ช่วยเหลือผู้ป่วยในโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งการลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้มีความเดือดร้อน ผู้ยากไร้และผู้ประสบภัยในพื้นที่ ซึ่งเชื่อว่าผลบุญที่ทุกคนได้ร่วมกันทำมา จะส่งผลให้ทุกคนมีแต่ความสุขความเจริญในทุก ๆ ด้าน

ทั้งนี้ขอยืนยันว่ารายได้ทั้งหมดที่เหลือจากการจัดงาน คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม จะนำไปใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและให้เกิดประโยชน์สูงสุด บนพื้นฐานของความโปร่งใสในทุก ๆ ขั้นตอน เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมอย่างแน่นอน


วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2565

นครพนม ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสถานประกอบการ คุมเข้มราคาสินค้า ที่พัก อาหาร และการบริการ รับนักท่องเที่ยวไหลเรือไฟ

วันที่ 4 ตุลาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟ ประจำปี 2565 ทำให้ตลอดเวลามีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางมาใช้บริการประเภทต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น สถานที่พัก โรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหารและร้านค้า ดังนั้น นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม จึงได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัดนครพนม (สคบ.นครพนม) และคณะกรรมการอาหารและยาจังหวัดนครพนม กระจายกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบสถานประกอบการ ผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อควบคุมการจำหน่ายสินค้าและการให้บริการแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ

นายชาญชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้เป็นการตรวจสถานประกอบการต่าง ๆ ในพื้นที่ เพื่อสร้างมาตรฐานการให้บริการของจังหวัดนครพนมให้มีความน่าเชื่อถือ และเกิดความมั่นใจในหมู่พี่น้องประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนจังหวัดนครพนม ว่าเมื่อใช้บริการตามจุดต่าง ๆ แล้วจะไม่โดนเอารัดเอาเปรียบ ได้รับสินค้าและบริการที่มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์อย่างสูงสุด โดยเจ้าหน้าที่จะเข้าไปดูแลและควบคุมให้ผู้ประกอบการธุรกิจดำเนินการเกี่ยวกับการติดป้ายแสดงราคาสินค้าที่ชัดเจน รวมถึงให้มีข้อความรายละเอียดสำคัญของสินค้า หรือข้อเท็จจริงของสินค้าที่ไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญ ไม่เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวม โดยที่สินค้าต้องมีคุณภาพได้มาตรฐาน ไม่หมดอายุ ไม่เป็นสินค้าที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภค มีเครื่องชั่งตวงวัดที่ได้มาตรฐาน

ส่วนของอาหารและเครื่องดื่มจะดูในเรื่องของการจัดระเบียบพื้นที่ร้าน ความสะอาดของโต๊ะ เก้าอี้ พาชนะ เครื่องมือทำครัว การแยกถังเก็บวัตถุดิบและถังน้ำแข็งบริโภค การจัดเก็บขยะมูลฝอยและน้ำเสีย รวมถึงจะมีการเก็บตัวอย่างอาหารเพื่อส่งตรวจในห้องแล็บดูว่าไม่มีสารปรุงแต่งอาหารที่เป็นอันตราย ทั้งนี้อยากฝากไปยังพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ หากพบเห็นการกระทำความผิดหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถแจ้งมาได้ที่สำนักงานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัดนครพนม หรือจะโทรสายด่วน 1567 ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครพนมก็ได้เช่นเดียวกัน ทางจังหวัดนครพนมยินดีส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบให้ทันทีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย


วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565

เริ่มแล้ว งานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม ประจำปี 2565

วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ที่จังหวัดนครพนม ภายหลังที่นายชายชัย คงทัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และคณะหัวหน้าส่วนราชการ พ่อค้า ประชาชน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันประกอบพิธีเปิดงานประเพณีไหลเรือไฟ ประจำปี 2565 ที่จะจัดระหว่างวันที่ 1-11 ตุลาคม 2565 บรรยากาศก็เป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยว ที่กระจายกันไปตามจุดต่าง ๆ ที่มีกิจกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปรอชมการไหลเรือไฟโชว์ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงเลียบถนนสุนทรวิจิตร เทศบาลเมืองนครพนม ซึ่งในแต่ละวันจะมีให้ชมวันละ 1 ลำ จนกว่าจะถึงวันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันออกพรรษาที่จะมีการไหลทั้งหมด 12 ลำ ดังนั้นหลายคนจึงเลือกที่จะมาชมความงดงามทางสายน้ำก่อน เพราะไม่อยากแออัดกับคนอื่น ๆ ด้วยคาดว่าในวันนั้นจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากมารอชมความยิ่งใหญ่ตระกาลตาของเรือไฟ ที่ชาวจังหวัดนครพนมได้ร่วมแรงร่วมใจกันสืบสานประเพณีอันเก่าแก่สร้างเรือไฟขึ้นมาเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ขององค์พระสัมมสัมพุทธเจ้า รวมถึงเป็นการระลึกถึงพระคุณของแม่น้ำโขงที่ทุกคนได้ใช้หล่อเลี้ยงชีวิตมา และเป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินลงไป

โดยเรือไฟที่ไหลโชว์ในวันนี้ได้ออกแบบเป็นเรือสุพรรณหงษ์ที่ด้านบนเรือ ประกอบไปด้วยองค์พระธาตุพนมอยู่ตรงกลาง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงการเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน ด้านขวาเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีข้อความทรงพระเจริญอยู่ด้านล่างถัดลงมาเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ส่วนด้านซ้ายเป็นเทวดาที่คอยปกปักษ์รักษาคุ้มครองชาวนครพนม ขณะที่ตรงกลางเป็นข้อความ สุขที่สุดที่นครพนม เพื่อสื่อความหมายให้รู้ว่าทุกคนที่มานครพนมจะพบกับความสุข

ในส่วนของเรือไฟที่จะไหลในวันออกพรรษาทั้ง 12 ลำที่แต่ละอำเภอสร้างขึ้นมานั้น ได้มีการออกแบบลวดลายให้เป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่สอดแทรกเรื่องราวของวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรมและความเชื่อของคนในท้องถิ่นเอาไว้ รวมถึงการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทั้งมีการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาเสริมในการประดับตกแต่งเรือไฟเพื่อให้มีความโดดเด่นสวยงาม นอกจากการประดับตะเกียงไฟนับหมื่นดวงที่ติดอยู่กับเรือไฟแต่ละลำ โดยขนาดเรือไฟที่ใหญ่สุดคือขนาดยาว 80 เมตร สูงเท่ากับตึก 6 ชั้น ในส่วนของกิจกรรมอื่น ๆ ที่จะให้ผู้ที่มาร่วมงานได้ร่วมสนุกและเก็บความทรงจำดี ๆ ประกอบไปด้วย การไหลเรือไฟโบราณที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมสะเดาเคราะห์ อธิฐานขอพร ด้วยการประดิษฐ์เรือไฟขนาดเล็กไปวางในเรือไฟโบราณ โดยเมื่อประกอบพิธีเสร็จจะมีการนำไปไหลลอยกลางแม่น้ำโขงเช่นเดียวกับเรือไฟขนาดใหญ่ การรับชมการประกอบพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ พิธีรำบูชาพระธาตุพนม การแสดงศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชนเผ่า การเดินแบบผ้าไทย การประกวด To Be Number One การประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง การแสดงดนตรีของศิลปินชื่อดัง การแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน การออกร้านจำหน่ายสินค้า OTOP และสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดนครพนม รวมถึงการร่วมทำบุญกับเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม เพื่อนำรายได้ไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ในพื้นที่