วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2566

สมัครไม่ทันก็สามารถมา เดิน -วิ่ง ข้ามโขง ครั้งที่ 5 ที่นครพนมได้

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่จังหวัดนครพนม ได้มีการกำหนดจัดกิจกรรมเดิน - วิ่ง ข้ามโขง นครพนม-คำม่วน มาราธอน 2566 (Nakhonphanom – Khammouan Marathon 2023) Season 5 ขึ้นในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2566 ร่วมกับทางการกีฬาแห่งประเทศไทย กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาจังหวัด และมูลนิธิศรีโคตรบูร เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เยาวชนและประชาชนทุกเพศทุกวัย ได้มีความตื่นตัวในการเล่นกีฬาและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นการเสริมสร้างสุขภาพ พลานามัย ระเบียบวินัย ความมีน้ำใจนักกีฬา และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจและรายได้ ส่งเสริมให้ทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้มีประสบการณ์ในการวิ่งมาราธอน ท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงามริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้วยการวิ่งไปเยือน สปป.ลาว ผ่านทางสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 นครพนม – คำม่วน ก่อนจะย้อนกลับมาสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดนครพนม และธรรมชาติสวย ๆ ตลอด 2 ข้างทาง


ซึ่งวันนี้ 31 ตุลาคม 2566 เป็นวันสุดท้ายที่เปิดรับสมัคร ประกอบกับใกล้จะถึงวันที่กำหนดจัดกิจกรรม ดังนั้นจึงได้มีการเชิญคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ มาร่วมหารือ เพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการ รวมถึงวางแผนเตรียมความพร้อมในส่วนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันดังกล่าว ทั้งการจัดการจราจร การรักษาความปลอดภัย การเตรียมพร้อมของเส้นทาง การแพทย์และการปฐมพยาบาล การรักษาความสะอาด และการอำนวยความสะดวกในด้านอื่น ๆ โดยในปีนี้มีการตั้งเป้าไว้ที่ 3,500 คน น้อยกว่าทุกปีที่จัดมา ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 6,000 – 7,000 คน เนื่องจากในวันดังกล่าวมีกิจกรรมการแข่งขันวิ่งสนามใหญ่ ๆ หลายจุดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ที่จังหวัดชลบุรี นครราชสีมา นครนายก และจังหวัดระยอง แต่ขอยืนยันว่าแม้จำนวนจะลดลง มาตรฐานการจัดงานยังต้องคงเดิมมีเพิ่มเติมคือนำจุดบกพร่องมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของความปลอดภัยของนักกีฬาที่ในปีก่อนหน้าเกิดเหตุฉุกเฉินเจ้าหน้าที่เข้าถึงลำบากแม้จะสามารถปฐมพยาบาลได้อย่างทันท่วงทีทุกคนมีความปลอดภัย แต่ปีนี้ได้มีการวางแผนขอให้ปรับเพิ่มช่องทางในส่วนการปฐมพยาบาลเพิ่มเติมในเส้นทางการแข่งขันบางช่วงที่มีความเสี่ยง เพื่อให้เข้าถึงตัวนักกีฬาที่บาดเจ็บได้เร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้ทุกคนมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สำหรับกิจกรรมการแข่งขันจะเริ่มปล่อยตัวนักกีฬาประเภท Marathon 42.195 กม. ในเวลา 4.00 น. ตามด้วยประเภท Half Marathon 21.1 กม. เวลา 5.00 น. ประเภท Mini Marathon 10 กม. เวลา 5.30 น. และประเภท Mini Marathon 10 กม. ในเวลา 6.00 น.
ทั้งนี้อยากฝากถึงประชาชนและนักท่องเที่ยวที่สนใจที่สมัครไม่ทัน แต่อยากมาร่วมกิจกรรมในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2566 สามารถเดินทางมาร่วมกิจกรรมได้เช่นเดียวกับนักกีฬาที่สมัคร เพียงแต่จะไม่มีรางวัลให้เมื่อเข้าเส้นชัย โดยในวันดังกล่าวทางคณะกรรมการจัดงาน จะมีการนำเสื้อที่ระลึกไปวางจำหน่ายด้วย นอกจากนี้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 ที่มีการนัดนักกีฬาที่สมัครเข้าแข่งขันรับ BIB เบอร์วิ่ง เพื่อติดหน้าอกก็จะมีการนำไปจำหน่ายเช่นเดียวกัน หรือถ้าอยากได้เสื้อที่ระลึกก่อนหน้านั้นก็สามารถซื้อได้ที่มูลนิธิศรีโคตรบูร ในราคา 250 บาท

วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2566

พุทธศาสนิกชนตลอดจนนักท่องเที่ยว ร่วมทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ ที่ จ.นครพนม ก่อนรับแสงอรุณยามเช้าที่สวยงามริมฝั่งโขง

วันที่ 30 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช จังหวัดนครพนม บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มารอร่วมทำกิจกรรมตักบาตรเทโวโรหณะ ที่จังหวัดนครพนมโดยเทศบาลเมืองนครพนมจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีหลังวันออกพรรษา ที่มีการไหลเรือไฟให้ได้ชมความยิ่งใหญ่และงดงามวิจิตรตระกาลตา แม้ในปีนี้ทุกคนต้องรอนานกว่าปกติเนื่องจากเกิดเหตุฝนตกหนัก ทำให้การปล่อยเรือไฟล่าช้าออกไปกว่า 1 ชั่วโมง เมื่อการไหลเรือไฟแล้วเสร็จทั้ง 12 ลำ ก็กินเวลาไปจนถึง 1.00 น. ทำให้ทุกคนต้องดึก แต่เมื่อถึงตอนเช้าทุกคนต่างก็มาเฝ้ารอทำกิจกรรมกันอย่างเนื่องแน่น โดยในเวลา 7.00 น. นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ได้นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนประชาชน และนักท่องเที่ยว ประกอบพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ สามเณรที่มาบิณฑบาต โดยมีการจำลองเหตุการณ์เหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ โดยมีการอัญเชิญพระพุทธรูปมาเป็นองค์ประธานนำคณะสงฆ์บิณฑบาตเพื่อโปรดพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมทำบุญในวันนี้ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศรับแสงอรุณยามเช้าริมฝั่งโขงที่มีความสวยงาม

สำหรับประเพณีตักบาตรเทโวโรหณะถือเป็นประเพณีที่ชาวพุทธปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนานในการทำบุญตักบาตรในช่วงหลังวันออกพรรษา 1 วัน ตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชน ที่มาจากตำนานการเสด็จลงจากเทวโลกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือหลังจากพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว โดยพระองค์ได้เสด็จไปประกาศศาสนาทั่วชมพูทวีป ตั้งแต่เมืองราชคฤห์ พาราณสี สาวัตถีตลอดถึงเมืองกบิลพัสดุ์ ซึ่งเป็นราชปิตุภูมิของพระองค์ ทรงเทศนาโปรดพุทธสาวกและพระประยูรญาติทั้งหลายให้บรรลุมรรคผลตามสมควรแก่อุปนิสัยของแต่ละบุคคลมาเป็นลำดับถึง 6 พรรษา จากนั้นพระองค์ทรงรำลึกถึงพระนางสิริมหามายาพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดังนั้นในพรรษาที่ 7 หลังจากทรงตรัสรู้ พระองค์จึงได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาและทรงเทศนาพระอภิธรรมปิฎกโปรดพุทธมารดาเป็นระยะเวลา 3 เดือน ครั้นหลังออกพรรษา พระพุทธองค์ได้เสด็จลงสู่โลก โดยเสด็จสถิตเหนือยอดเขาสิเนรุราช มีเหล่าเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายต่างพากันมาถวายเครื่องสักการบูชาเพื่อรับเสด็จพระพุทธองค์ ซึ่งระหว่างนั้นได้เกิดเหตุอัศจรรย์ คือ เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรก ต่างมองเห็นซึ่งกันและกัน ดังนั้นในวันนี้จึงเรียกอีกชื่อว่า วันพระเจ้าเปิดโลก และเมื่อทรงเสด็จถึงโลกมนุษย์ที่เมืองสังกัสสนครใกล้กับเมืองพาราณสี พระพุทธองค์ได้ทรงนำเหล่าพุทธสาวกออกรับบิณฑบาตจากประชาชนที่ทราบข่าวและมาเฝ้ารอรับเสด็จ จึงเป็นที่มาที่พุทธศาสนิกชนถือเอาวันหลังออกพรรษา 1 วัน คือ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 เป็นวันคล้ายวันเสด็จลงจากเทวโลก และพากันทำบุญตักบาตรโดยถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

อนุทินลงพื้นที่นครพนม ชมไหลเรือไฟมหกรรมวันออกพรรษา ขอบคุณที่ช่วยกันรักษาไว้ เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ

วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณลานพนมนาคา เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดมหกรรมไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม โดยมีนางสาวธนน นท์ นิรามิษ ภริยา ดร. มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิก วุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 ชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตลอดจนรองเจ้าแขวงคำม่วน สปป.ลาว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ คณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ประชาชน และนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก

นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกคนต่างทราบกันดีว่าประเพณีไหลเรือไฟของจังหวัดนครพนมนั้น ถือเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สำคัญและถือปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนานของพี่น้องประชาชน จนเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศอย่างแพร่หลาย ขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณต่อผู้จัดงาน และพี่น้องชาวนครพนมที่ได้ร่วมกันอนุรักษ์และรักษาธรรมเนียมและประเพณีที่เก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงามของจังหวัดนครพนมให้ยังคงดำรงรักษาไว้อย่างดียิ่ง นี่คือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดนครพนม งานที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดนครพนมและภาพรวมของประเทศ ซึ่งการจัดงานดังกล่าวจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียน และการกระจายรายได้สู่พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครพนม และจังหวัดใกล้เคียง งานประเพณีทั้งหลายล้วนมีคุณค่า ขอบคุณอย่างยิ่งที่ช่วยกันรักษาเอาไว้ เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ”

สำหรับบรรยากาศมหกรรมไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม ที่จัดในปีนี้ยังคงโชว์ความยิ่งใหญ่เหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา โดยก่อนถึงเวลาปล่อยเรือไฟเพียง 30 นาทีได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างต้องหาที่หลบฝนกันตามสถานที่ต่าง ๆ หลังจากมีการมาจับจองที่นั่งริมฝั่งแม่น้ำโขงเพื่อรอชมความงดงามตั้งแต่ช่วงบ่าย ทำให้หลายคนมีความกังวลว่าอาจจะไม่ได้ชมเรือไฟในปีนี้ แต่ก็เหมือนปาฏิหาริย์เพราะฝนตกไม่นานก็หยุดลง และเจ้าหน้าที่ปล่อยเรือไฟได้มีการยืนยันเรื่องการปล่อยเรือไฟโชว์อย่างแน่นอน โดยประกาศเลื่อนเวลาปล่อยเรือไฟลำแรกออกไปเป็นเวลา 19.30 น. จากเดิมที่กำหนดเวลาไว้ที่ 18.30 น. ซึ่งเมื่อถึงเวลาเรือไฟลำแรกที่เป็นของอำเภอนาหว้าก็ได้ออกสู่สายตาประชาชนและนักท่องเที่ยว ตามด้วยเรือไฟของอำเภออื่น ๆ ตามลำดับที่กำหนดไว้ โดยเรือไฟรำสุดท้ายที่เป็นของอำเภอธาตุพนมก็ยังทำให้ทุกคนต้องมาลุ้นว่าจะไหลได้หรือไม่แม้จะจุดตะเกียงติดหมดแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงจึงสามารถนำเรือไฟของจากฝั่งไปไหลโชว์ได้ ในเวลาประมาณ 23.30 น. แต่ก็สร้างความประทับใจอย่างเต็มอิ่มให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวนับแสนคนที่เฝ้ารอ เพราะได้เห็นลวดลายที่สวยงามประกอบกับการแสดงพุกลางแม่น้ำโขง ที่เป็นความอลังการครบทั้ง 12 ลำ


วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2566

จ.นครพนม ประกอบพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์จุดเรือไฟไหลโชว์นักท่องเที่ยว พร้อมขบวนแห่ปราสาทผึ้ง

วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณศาลหลักเมืองจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในการประกอบพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เพื่อให้พสกนิกรจังหวัดนครพนมได้ใช้จุดตะเกียงไฟให้เกิดความเป็นสิริมงคล เกิดแสงสว่างและลวดลายบนเรือไฟที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันนานนับเดือน สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นประทีปพุทธบูชาในวันออกพรรษา เป็นการสืบสาน ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม ที่ถือเป็นหนึ่งเดียวของโลกที่มีความสวยงาม วิจิตรตระการตา ให้คงอยู่ไปตราบนานเท่านาน

โดยกิจกรรมในครั้งนี้จังหวัดนครพนมได้มีการจัดขบวนแห่อย่างสวยงามและสมพระเกียรติเพื่ออัญเชิญไฟพระฤกษ์ พระราชทานให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เห็นและรับรู้รับทราบ เริ่มตั้งแต่บริเวณหน้าธนาคารกสิกรไทย ถนนอภิบาลบัญชา เรื่อยมาจนถึงหน้าศาลหลักเมืองที่เป็นสถานที่รวมจิตใจ เป็นหลักชัยของบ้านเมืองของชาวนครพนม จากนั้นประธานในพิธีได้นำทุกคนประกอบพิธีทางศาสนา และประกอบพิธีจุดไฟพระฤกษ์ เพื่อส่งมอบต่อให้กับนายอำเภอทั้ง 12 อำเภอ ได้นำไปจุดตะเกียงของเรือไฟแต่ลำที่จะมีการปล่อยไหลโชว์เริ่มตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานในวันนี้ได้รับชมความสวยงามของลวดลายที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละอำเภอ

นอกจากนี้ยังมีการจัดขบวนแห่ปราสาทผึ้งของแต่ละชุมชนในเขตเทศบาลเมืองนครพนม ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดสร้างขึ้นมาตามความเชื่อและความศรัทธาเกี่ยวกับวันออกพรรษา ที่มีการผสมผสานภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อสร้างสรรค์ประติมากรรมให้ออกมามีความสวยงามเพื่อเป็นพุทธบูชา โดยการแห่ปราสาทผึ้งของชาวอีสาน ถือว่าเป็นการทำบุญด้วยการถวายต้นผึ้ง เป็นการสร้างบุญกุศลที่สูงส่งในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อมาโปรดเวรนัยสัตว์ในโลกมนุษย์ให้พ้นทุกข์ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเปิดโลกทั้ง 3 ได้แก่ สวรรค์ มนุษย์ และนรก ให้มองเห็นความเป็นอยู่ซึ่งกันและกัน และด้วยพุทธานุภาพแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวบ้านจึงได้มองเห็นต้นผึ้งที่ตนทำถวายตามความปรารถนาที่ตั้งไว้ และด้วยภูมิปัญญานี้ยังส่งผลให้ทุกคนในชุมชนเกิดความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะกว่าจะได้มาซึ่งปราสาทผึ้งทุกคนต้องช่วยกัน จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เทียนและสิ่งต่าง ๆ เพื่อนำมาประดิษฐ์เป็นปราสาท และด้วยขั้นตอนการประดิษฐ์แต่ละชิ้นที่มีความละเอียดอ่อนจึงเกิดเป็นความร่วมมือ ร่วมใจ หล่อหลอมให้ทุกคนมีความรัก ความสามัคคี กลายเป็นความยั่งยืนของชุมชน จึงนับได้ว่าเป็นประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของชาวอีสานที่ควรค่ายิ่งในการเก็บรักษา ซึ่งในวันนี้ชาวนครพนมพยายามที่จะทำให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้เห็น ว่าที่ผ่านมาบรรพบุรุษของเราพาทำเช่นไร ลูกหลานต้องปฏิบัติอย่างไร เพื่อที่ทุกคนได้เห็นและเข้าใจถึงคุณค่า และหันมาร่วมกันรักษา สืบสาน และต่อยอดให้คงอยู่สืบไปตราบนานเท่านาน

ชาวนครพนมรวมใจรำบูชาพระธาตุพนมถวายเป็นพุทธบูชาวันออกพรรษา ก่อนปล่อยไหลเรือไฟในช่วงเย็น

วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณหน้าวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมารอร่วมประกอบพิธีถวายเครื่องบูชาและรำบูชาพระธาตุพนมสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนม เป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระมหากัสสปะสร้างไว้ตามความเชื่อพื้นถิ่น โดยพระธาตุพนมเป็นพระธาตุที่มีเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และในลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง ที่เมื่อถึงเทศกาลสำคัญครั้งใด พุทธศาสนิกชนที่ให้ความเคารพจะเดินทางมาสักการะบูชาเป็นประจำ

สำหรับประเพณีรำบูชาพระธาตุพนม มีมาตั้งแต่การสร้างพระธาตุพนมยุคแรก ๆ แต่ไม่ได้รำติดต่อกันทุกปี กระทั่งปี พ.ศ. 2530 นายอุทัย นาคปรีชา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในสมัยนั้น ได้ริเริ่มฟื้นฟูการรำบูชาพระธาตุพนมขึ้นมาร่วมกับงานเทศกาลออกพรรษาไหลเรือไฟ และมีการจัดให้มีพิธีรำบูชาพระธาตุพนมที่บริเวณหน้าวัดพระธาตุพนมในช่วงเช้าวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 จากนั้นจึงมีการไหลเรือไฟที่ตัวจังหวัดในภาคกลางคืนของวันเดียวกันเพื่อเป็นพุทธบูชา โดยในปีนี้ ดร. มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เป็นประธานนำนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน พ่อค้า ประชาชน ตลอดจนคณะฟ้อนรำจากทุกอำเภอของจังหวัดนครพนม และนักท่องเที่ยว ร่วมกันแห่เครื่องสักการะบูชามายังบริเวณประตูโขงหน้าวัดพระธาตุพนม จากนั้นทุกคนร่วมกันประกอบพิธีทางศาสนา ประธานนำจุดธูปเทียน กล่าวถวายเครื่องสักการะบูชาและกล่าวไหว้พระธาตุ เมื่อเสร็จพิธีคณะนางรำก็เริ่มรำบูชา

โดยเริ่มจากการรำตำนานพระธาตุพนม ซึ่งจะเป็นการเล่าถึงประวัติความเป็นมา แรงศรัทธาและความเชื่อเกี่ยวกับองค์พระธาตุพนม โดยการแสดงจะเป็นการนำเอาบทสวดสดุดีองค์พระธาตุพนมมาผสมผสานกับทำนองสรภัญญะและดนตรีมโหรี จากนั้นเป็นการฟ้อนศรีโคตรบูรณ์ เพื่อระลึกถึงความเจริญทางด้านศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ เป็นการผสมผสานระหว่างรำเซิ้งอีสานที่มีความสนุกสนามกับการฟ้อนรำผู้ไทยที่มีเอกลักษณ์ท่ารำ ยกสูง ก้มต่ำ รำกว้าง ต่อมาคือรำผู้ไท เรณูนครที่ได้มีการพัฒนาและดัดแปลงมาจากศิลปะการรำที่แสดงในงานเทศกาลที่สำคัญต่าง ๆ คือการรำขอฝนจากพญาแถนให้ตกถูกต้องตามฤดูกาล การรำสมโภชงานบุญมหาชาติ ซึ่งจะมีความสนุกสนาน ร่าเริง เป็นการหยอกล้อของหนุ่มสาวที่มีการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตามมาด้วยรำหางนกยูง ที่มีการดัดแปลงท่ารำมาจากการรำไหว้ครูของนักรบสมัยก่อน แต่ให้มีความอ่อนช้อยงดงามเหมือนท่านกยูงรำแพน ต่อมาเป็นการรำ 9 ชนเผ่า ที่เป็นการเล่าถึงคนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครพนม ที่มีอยู่ 9 ชนเผ่าว่ามีชนเผ่าอะไรบ้าง จากนั้นเป็นการรำขันหมากเบ็ง ซึ่งเป็นการรำถวายเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยขันหมากเบ็งเป็นเครื่องบูชาชนิดหนึ่งของชาวอีสาน ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาจากใบตอง มีลักษณะเป็นพานพุ่ม ประกอบไปด้วยเครื่องบูชา 5 อย่างๆ ละ 5 คู่ ได้แก่ หมาก พลู ธูป เทียน ข้าวตอก และดอกไม้ และในขั้นตอนสุดท้ายทุกคนร่วมกันรำในชุดรำเซิ้งอีสานบ้านเฮา ซึ่งในการรำชุดนี้ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมพิธีสามารถเข้ามาร่วมรำถวายเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองได้ด้วย

วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม แนะนักท่องเที่ยวเยือนซุ้มวิถีเรือไฟ รับรองได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ ที่แปลกตา

วันที่ 28 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และคณะหัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการตัดสินเรือไฟ ลงพื้นที่ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจ มอบสิ่งเครื่องอุปโภคบริโภค และประเมินให้คะแนนซุ้มเรือไฟของคณะผู้จัดทำเรือไฟแต่ละอำเภอที่ต่างขะมักเขม้นเร่งสร้างเรือไฟอย่างสุดฝีมือ เพื่อให้เรือไฟของตนเองมีความสมบูรณที่สุดตามแบบที่ได้ร่วมกันวางไว้ก่อนที่จะมีการประกวดแข่งขันและไหลโชว์เป็นประทีปพุทธบูชาในวันพรุ่งนี้ ( 29 ตุลาคม 2566) ซึ่งเป็นวันออกพรรษา

นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจศิลปินเรือไฟและคณะที่ได้มาร่วมกันสร้างสรรค์เรือไฟให้ทุกคนให้ได้ชมความงดงาม พร้อมสอบถามถึงความพร้อมในการที่แต่ละลำจะปล่อยไหลโชว์ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ชมในวันพรุ่งนี้ ซึ่งตอนนี้ทุกลำมีความพร้อมเป็นอย่างมากที่จะออกไปไหลโชว์อวดความสวยงามกลางลำน้ำโขงแล้ว โดยแต่ละลำก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไปคนละอย่างคณะกรรมการตัดสินเรือไฟคงต้องคิดหนักก่อนการตัดสินอย่างแน่นอน เพราะแต่ละลำมีการถอดบทเรียนจากการสร้างปีก่อนหน้าเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขจุดด้อย และจุดบกพร่องของตนเองให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็มีการเสริมเทคนิควิธีใหม่ ๆ เข้าไปอีก เพื่อให้เกิดความโดเด่นที่แตกต่างแต่ลงตัวกับลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีการออกแบบมาใหม่ ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการประกาศความพร้อมการไหลโชว์วันนี้จากเดิมที่จะมีการไหลโชว์เพียง 2 ลำ จังหวัดนครพนมก็เปลี่ยนเป็น 3 ลำ เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาในวันนี้ได้เต็มอิ่มกับความสวยงามกลางน้ำโขงมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้อยากขอแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่มาร่วมงานระหว่างรอการไหลเรือไฟโชว์ก็สามารถแวะเวียนไปชมซุ้มวิถีเรือไฟของแต่ละอำเภอได้ ซึ่งนอกจากจะได้เห็นเทคนิคและวิธีการ รวมถึงขั้นตอนการทำเรือไฟแล้ว ยังจะได้ร่วมสนุกกับการแสดงศิลปวัฒนธรรม การจัดนิทรรศการให้ความรู้ ไปจนถึงสินค้าดีสินค้าเด่นของชุมชนอีกมากมาย ที่หลายคนเห็นแล้วต้องเกิดความประทับใจ อยากได้กลับไปอย่างแน่นอน เพราะราคาเป็นกันเองมากที่สำคัญยังจะได้รู้ถึงสิ่งใหม่ ๆ และรู้ถึงแหล่งที่มาของแต่ละอย่างด้วย เช่น พิณ แคน โหวดของบ้านท่าเรือ อำเภอนาหว้า ที่หลายคนไม่รู้ว่ามีชื่อเสียงดังไกลไปทั่วโลก มีออเดอร์จากต่างประเทศสั่งจองเข้ามาอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี เพราะเป็นหมู่บ้านแห่งเดียวในภาคอีสานที่มีการสืบทอดภูมิปัญญาการประดิษฐ์มาอย่างยาวนานนับ 100 ปี จากรุ่นสู่รุ่น หรือถ้าใครอยากได้ไอเดียใหม่ ๆ ไปสร้างบ้าน ก็มีบ้านแคปซูลของอำเภอนาทมให้ได้ชม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่นำมาโชว์ให้ทุกคนได้เห็น ถึงความน่ารักของตัวบ้านแต่ลงตัวกับสถานที่เมื่อมีการประดับตกแต่งด้วยสวนหย่อมและแสงไฟเพียงเล็กน้อยก็กลายเป็นความสวยงามที่ใครเห็นเป็นต้องหันกลับมามองทันที โดยบ้านแคปซูลตัวอย่างนี้เป็นการดัดแปลงมาจากบ้านเทียมเกวียนลากในสมัยโบราณ แต่ชาวนามนำมาทำให้มีความทันสมัยที่ใครก็สามารถนำไปเป็นโมเดลต้นแบบทำเองก็ได้ ซึ่งจากการสอบถามราคาต้นทุนอยู่ที่ 3 หมื่นกว่าบาท แต่เหมาะมากสำหรับคนอยากมีที่พักผ่อนตากอากาศเล็ก ๆ หรือถ้าอยากสั่งจองก็สามาถติดต่อได้ที่ซุ้มวิถีเรือไฟอำเภอนาทม นอกจากนี้ก็ยังมีของดีของเด่นอำเภออื่น ๆ อีกที่นำมาจัดให้ได้ชม ไม่ว่าจะเป็นปลาส้มศรีสงคราม ผ้าไหม ผ้ามุก ผ้าย้อมไม้มงคล หรือแม้กระทั้งชุดที่ไม่การออกแบบให้มีความทันสมัยสามารถสวมใส่ได้ทุกเพศทุกวัย

เรือนางพญาศรีโคตร วัดกลาง พิชิตชัยการแข่งขันเรือยาวประเพณีสัมพันธ์ไทย-ลาว สนามนครพนมได้ถ้วยพระราชทานในหลวงไปครอง

วันที่ 28 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาเชียร์และให้กำลังชาวเรือทั้งในจังหวัดนครพนม จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่เข้าร่วมการแข่งขันเรือยาวประเพณีสัมพันธ์ไทย - ลาว ชิงถ้วยพระราทาน ประจำปี 2566 รวมทั้งสิ้น 63 ลำ ที่เทศบาลเมืองนครพนมจัดขึ้น ภายใต้งานประเพณีไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม ประจำปี 2566 โดยได้รับพระมหากรุณาอันล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศการแข่งขันเรือยาวให้กับทีมผู้ชนะ ซึ่งตลอดการแข่งขันเป็นไปด้วยความสูสีผลัดกันแพ้ชนะของแต่ละทีมกระทั้งจบการแข่งขัน ทำให้ตลอดระยะเวลาการแข่งขัน 4 วัน เป็นไปด้วยความสนุกสนานของผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันตลอดจนผู้ที่มาร่วมลุ้นและเชียร์ให้กำลังใจ


โดยในเวลา 16.30 น. หลังเสร็จการแข่งขันเรือยาวทุกประเภท นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยพลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 และคณะหัวหน้าส่วนราชการ ได้ร่วมกันประกอบพิธีมอบถ้วยพระราชทานให้กับทีมที่ชนะการแข่งขันประเภทต่าง ๆ ประกอบด้วย เรือนางพญาศรีโคตร วัดกลาง จังหวัดนครพนม ชนะเลิศการแข่งขันเรือยาวประเภท 55 ฝีพาย ได้ถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมเงินสด 100,000 บาทไปครอง ส่วนรองอันดับ 1 เป็นของเรือเจ้าพ่อภูหวาย บ้านน้ำก่ำ จังหวัดนครพนม รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 80,000 บาท รองอันดับ 2 เป็นของเรือเทพศิริพร ไวไว สปป.ลาว รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 60,000 บาท และเรือคุณนครนาคราช ไทยน้ำทิพย์ วัดมหาธาตุ จังหวัดนครพนม ได้รองชนะเลิศอันดับที่ 3 รับถ้วยเกียรติยศ พร้อมเงินรางวัล 40,000 บาทไปครอง

ส่วนการแข่งขันเรือยาวประเภท 40 ฝีพาย รางวัลชนะเลิศเป็นของเรือเทพศิริชัย ไวไว วัดศิริพุทธาราม จังหวัดนครพนม รับถ้วยราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินสด 50,000 บาท รองอันดับ 1 เรือศรพลาวาส วีทีสปอร์ต จังหวัดบึงกาฬ รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 40,000 บาท รองอันดับ 2 เรือเจ้าลำน้ำโขง วัดมหาธาตุ จังหวัดนครพนม รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 30,000 บาท และรองชนะเลิศอันดับ 3 เรือพรหลวงพ่อชัย จังหวัดปทุมธานี รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินสด 20,000 บาท การแข่งขันเรือยาวประเภทเชื่อมสัมพันธไมตรีไทย - ลาว 35 ฝีพายชนะเลิศ ได้แก่ เรือเทพศิริชัย ไวไว วัดศิริพุทธาราม จังหวัดนครพนม รับถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินสด 40,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 เรือพญาศรีโคตร วีทีสปอร์ต วัดกลาง จังหวัดนครพนม รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 30,000 บาท รางวัลชนะเลิศอันดับ 2 เรือนางคำไหล สปป.ลาว รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 20,000 บาท และรางวัลชนะเลิศอันดับ 3 เรือขุนพนมนาคา วัดมหาธาตุ รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท และการแข่งขันเรือยาวประเภท 12 ฝีพาย รางวัลชนะเลิศ เรือเจ้าธาราธิดาพาขวัญ วัดศิริพุทธาราม จังหวัดนครพนม รับถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมรางวัล 20,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 เรือนางสาวสร้อยฟ้า วัดมหาธาตุ จังหวัดนครพนม รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 15,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เรือเจ้าปู่กกต้อง หกเซียนภูเทวดา วัดกกต้อง จังหวัดนครพนม รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท และรองชนะเลิศอันดับ 3 เรือเจ้าพ่อทองดำ สปป.ลาว รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 5,000 บาท

เยาวชนนครพนม ฝึกทำเรือไฟโบราณ สืบสานอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นเทศกาลวันออกพรรษา

ผศ.ดร.เกรียงไกร ผาสุตะ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิลปวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานและมีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เรือไฟโบราณจนกลายมาเป็นเรือไฟขนาดใหญ่ที่ประชาชนทั่วไปจะได้เห็นในวันออกพรรษา ซึ่งในขั้นตอนกระบวนการประดิษฐ์ก็จะมีความยากง่ายแตกต่างกันออกไป และเพื่อให้เยาวชนจังหวัดนครพนมได้เรียนรู้และร่วมกันสืบสานประเพณีอันงดงามของคนนครพนมไว้ตราบนานเท่านาน มหาวิทยาลัยนครพนมจึงได้นำบุคลากรกองพัฒนานักศึกษา และนักศึกษามหาวิทยาลัยนครพนม ลงพื้นที่เรียนรู้การทำเรือไฟโบราณ เพื่อเป็นเครื่องพุทธบูชาในวันออกพรรษา (ขึ้น 15 เดือน 11) จากปราชญ์ชาวบ้านและคนในชุมชนวัดสว่างสุวรรณาราม ตำบลหนองแสง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม

ด้านพระมหาพรพิทักษ์ วรทกโข รองเจ้าอาวาสวัดสว่างสุวรรณาราม กล่าวเพิ่มเติมว่า เรือไฟโบราณเป็นภูมิปัญญาที่มีการสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นกิจกรรมของคนชาวอีสานที่เป็นสิ่งสร้างเสริมและก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคีของคนในหมู่ชุมชน โดยทางวัดสว่างสุวรรณารามได้ร่วมกับคนในชุมชน จัดสร้างเรือไฟโบราณเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมกับทางจังหวัดนครพนมเป็นประจำทุกปี โดยจะทำอยู่ 2 แบบ คือ เรือไฟบก ซึ่งจะใช้ถวายเป็นพุทธบูชาให้กับพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า โดยจะเวียนเทียนรอบพระอุโบสถของวัดในวันออกพรรษา ที่ในปีนี้ตรงกับวันที่ 29 ตุลาคม 2566 และเรือไฟน้ำ ที่จะเป็นการสะเดาะเคราะห์ ลอยทุกข์ลอยโศก และมีความเชื่อว่าเป็นการขอขมาพระแม่คงคงที่ให้เราได้มีน้ำใช้เพื่ออุปโภคและบริโภค ซึ่งเรือนี้จะนำไปไหลกลางแม่น้ำโขงร่วมกับทางจังหวัด สำหรับบุคลากรและนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยนครพนมที่มาในวันนี้ จะมีโอกาสได้เห็นและเรียนรู้ขั้นตอนการทำเรือไฟโบราณ เช่น การทำดอกผึ้งซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการตกแต่งเรือไฟโบราณให้มีความสวยงาม ซึ่งจะเริ่มจากให้ทุกคนได้เรียนรู้การต้มและหลอมละลายเทียน ก่อนที่จะใช้แม่แบบซึ่งเป็นโมเดลดอกผึ้งจุ่มลงไปในน้ำเทียนที่ต้ม ก่อนนำไปแช่น้ำเย็นเมื่อเทียนอยู่ตัวก็จะได้ดอกผึ้งสีเหลืองอร่ามที่มีความสวยงามก่อนนำไปประดับตกแต่งส่วนต่าง ๆ ของเรือไฟ การทำพานบายศรีที่จะให้ทุกคนได้เรียนรู้ตั้งแต่การฉีกใบตอง การพับใบตองขึ้นรูปเป็นพานเพื่อใช้ประดับเรือไฟ การเหลาไม้ไผ่สำหรับใช้ทำโครงสร้างส่วนต่าง ๆ ของเรือไฟ การฉลุลายกาบกล้วย การทำหอประสาทผึ้ง ไปจนถึงการเตรียมเครื่องสักการะที่จะใช้บนเรือไฟโบราณ ไม่ว่าจะเป็น กาบเทียน ขี้ตะบอง ของประดับและดอกไม้ต่าง ๆ

ขณะที่นายศรพิทักษ์ นาคสี หนึ่งในนักศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้มาเรียนรู้และเป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์วัฒนธรรมการทำเรือไฟโบราณ โดยปีนี้เป็นปีที่ 2 แล้วที่ได้มาเข้าร่วม ซึ่งในปีแรกจะตื่นเต้นมากเพราะไม่รู้ขั้นตอนอะไรเลย อยากทำไปหมดทุกอย่าง เลยกลายเป็นว่าได้อย่างละนิดละหน่อย แต่มาครั้งนี้ตั้งใจที่จะเรียนรู้แต่ละอย่างแบบละเอียดเพราะรู้ลำดับขั้นตอนแล้ว ที่สำคัญคืออยากให้ผลงานที่ตัวเองทำมีความสวยงามที่สุดเป็นไปตามแบบที่พ่อ ๆ แม่ๆ สอน ยิ่งเราประณีตมากเท่าไหร่ผลงานที่ได้ก็สร้างความภูมิใจมากเท่านั้น โดยหลังจบการศึกษาไปและตนเองได้ไปเป็นอาจารย์สอน ก็จะได้นำเอาภูมิปัญญา สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ไปถ่ายทอดต่อให้กับนักเรียนในโรงเรียนต่อไป

วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2566

กรมทางหลวงเปิดเวทีเสนอแนวคิดและร่างรูปแบบทางเลือกศึกษาความเหมาะสมการพัฒนาระบบโครงข่ายทางหลวงเชื่อมรถไฟทางคู่อ.เมืองนครพนม

วันที่ 24 ตุลาคม 2566 ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายวรวิทย์ พิมพ์พนิตย์ นายอำเภอเมืองนครพนมเป็นประธานเปิดการประชุมเพื่อเสนอแนวคิดและร่างรูปแบบทางเลือก (กลุ่มย่อย ครั้งที่ 1 ) การศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้น การพัฒนาระบบโครงข่ายทางหลวง เชื่อมต่อสถานีรถไฟทางคู่แนวใหม่ สายบ้านไผ่ – นครพนม ที่กรมทางหลวงจัดขึ้นตามแผนการดำเนินงานและเหตุผลความจำเป็นของโครงการ ที่ต้องการให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่กวมรับข้อมูลข่าวสารและแสดงความคิดเห็นตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนพัฒนาโครงการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อความสำเร็จของโครงการ

โดยเริ่มจากการนำเสนอความก้าวหน้าของการศึกษา แนวคิดและร่างรูปแบบการพัฒนาโครงการ ตลอดจนการศึกษาข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นข้อมูลให้กลุ่มเป้าหมายที่ประกอบไปด้วย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนสื่อมวลชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ที่เข้าร่วมการประชุมได้รับทราบ ถึงข้อมูลการศึกษาและวางแผนเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงหรือการขยายตัวของเมือง เพื่อลดผลกระทบด้านการจราจรบนทางหลวงที่อาจเกิดขึ้นจากการมีเส้นทางรถไฟทางคู่ในอนาคต เช่น การใช้ที่ดิน การพัฒนาเติบโตของเมือง ปริมาณจราจรบริเวณพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟ และถนนทางหลวงสายต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบที่จะส่งผลกระทบกับการจราจรบนทางหลวงในอนาคต และระบบโครงข่ายคมนาคมต่างๆ ที่เชื่อมโยงในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ จากนั้นจึงเป็นการเปิดรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับข้อจำกัดของพื้นที่ ความต้องการ สภาพปัญหา ตลอดจนข้อวิตกกังวล และการขอความร่วมมือจากบุคคลฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการศึกษาโครงการในขั้นตอนต่อไป


สำหรับโครงการรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่ - นครพนม มีรูปแบบการพัฒนาโครงการในพื้นที่จังหวัดนครพนมรวมทั้งสิ้น 18 ตำบลใน 4 อำเภอ คือ อำเภอธาตุพนม อำเภอเรณูนคร อำเภอเมืองนครพนม และอำเภอปลาปาก โดยรูปแบบการพัฒนาโครงการจะประกอบไปด้วย โครงการปรับปรุงทางเข้า-ออกสถานีรถไฟ ซึ่งจะมี 4 โครงการย่อย โครงการขยายช่องทางจราจร จะมี 3 โครงการย่อย และโครงการก่อสร้างทางหลวงแนวใหม่และทางเลี่ยงเมือง มี 2 โครงการย่อย โดยในส่วนของพื้นที่อำเภอเมืองนครพนมจะมีโครงการก่อสร้างทางหลวงแนวใหม่ทางหลวงหมายเลข 22 (สนามบินนครพนม) - บรรจบทางหลวงหมายเลข 212 (อบต.ขามเฒ่า) และโครงการก่อสร้างทางหลวงแนวใหม่ทางหลวงหมายเลข 22 บรรจบทางหลวงหมายเลข 212 (บ้านสำราญ)

วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ฝนเป็นเหตุ ต้องหยุดไหลเรือไฟโชว์ 1 วัน ทำเซอร์ไพรส์นักท่องเที่ยวพบพญานาคไม้ไผ่สานแทน

วันที่ 23 ตลาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม ภายหลังฝนตกลงมากอย่างหนักในช่วงก่อนหัวค่ำ ส่งผลให้เรือไฟของสำนักงานเทศบาลเมืองนครพนมที่จะต้องไหลโชว์ในวันนี้มีปัญหา เนื่องจากตะเกียงไฟที่ทำจากกระป๋องกาแฟและกระป๋องนม เพื่อจุดให้แสงสว่างเป็นลวดลายต่างที่ออกแบบของเรือไฟ มีน้ำเข้าไปในกระป๋องทำให้ตะเกียงจุดติดลำบากมากขึ้น เพราะมีน้ำเข้าไปผสมกับน้ำมัน และใส้ตะเกียงเปียก อีกทั้งตะเกียงไหนที่มีน้ำผสมน้อยสามารถจุดติดได้ก็จะมีการลุกแรงในบางครั้งกลายเป็นความเสี่ยงและอันตรายสำหรับศิลปินเรือไฟที่ทำการจุดไฟช่วยกัน ซึ่งตลอดเวลาที่พยายมทพการจุดตะเกี่ยงช่วยกันตั้งแต่เวลา 18.00 น. จนถึงเวลา 21.00 น. สามารถจุดได้เพียง 40 เปอร์เซ็นต์ จึงได้มีการรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบเรื่องด้งกล่าว เพราะคาดว่าถ้าใช้เวลามากกว่านี้แสงไฟที่ได้จะไม่สมบูรณ์ ลวดลายบนเรือไฟจะไม่มีความสวยงามเหมือนเช่นวันก่อนหน้าที่มีการแสดงโชว์ ทำให้คณะผู้บริหารที่นำโดยนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตัดสินใจแจ้งไปยังประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มารวมงานให้ได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเพราะเหตุใดจึงไม่อาจไหลเรือไฟให้ได้ชมในวันนี้ได้ แต่อย่างไรก็ดียังคงสาธิตการจุดเรือไฟอยู่บริเวณหน้าโรงเรียนสุนทรวิจิตร เพื่อให้ทุกคนได้ชมอยู่ โดยในส่วนของกระทงสายหรือที่หลายคนเรียกไข่พญานาครวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ยังคงมีอยู่เช่นเดิม ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาแล้วตัดสินใจมายังจุดที่ศิลปินเรือไฟสาธิตการจุดเรือไฟและได้พบกับสิ่งสวยงามที่ไม่คาดคิด นั่นคือ พญานาคไม้ ที่มีการจักรสานจากไม้ไผ่เป็นพญานาคขดตัวสวยงามความสูงประมาณ 5 เมตร ส่วนความยาวประมาณ 6 - 7 เมตร ที่มีการจัดแสดงโชว์ให้ได้ชมแทน กลายเป็นความเซอร์ไพรส์สร้างความประทับใจที่เป็นต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายเก็บเป็นความทรงจำแทน


นายพนมวัฒน์ อัศวอิทธิพร รองประธานกรรมการโครงการฝ่ายสร้างสรรค์ เปิดเผยว่า สำหรับพญานาคราชไม้องค์ที่ทุกคนเห็นอยู่นี้ เป็นโมเดลต้นแบบที่ได้ร่วมกับวัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร มูลนิธิพุทธสิน องค์กรศิลปวัฒนธรรม ศิลปินแห่งชาติ พระภิกษุ สามเณร และคณะญาติธรรม ทั้งชาวจังหวัดนครพนม คณะญาติธรรมในอีสานและทั่วประเทศร่วมกันสร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่ทั้งองค์ใช้เวลากว่า 3 เดือนจึงแล้วเสร็จ มีพระธรรมวชิรโสภณ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 10 เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเป็นประธานโครงการ มีพระครูพนมปรีชากร อุปถัมภ์การจัดสร้าง ซึ่งทุกคนตั้งใจว่าจะร่วมกันสร้างองค์จริงที่มีขนาดความสูงจากยอดเศียรลงมาถึงพื้น 15 เมตร ส่วนความยาวประมาณ 18 เมตร เพื่อถวายวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร โดยองค์พญานาคราชองค์นี้จะมีลักษณะแตกต่างจากองค์อื่น ๆ ที่ทุกคนเห็นตามวัดที่จะคอยปกป้องพระศาสนาหันเศียรออกจากวัด แต่องค์ที่จะสร้างนี้จะหันเศียรเข้าไปด้านในวัด และมีลูกแก้วอยู่ในปากเปรียบเสมือนพระอาทิตย์และพระจันทร์ กล่าวคือ เมื่อผู้ชมได้ชมปฏิมากรรมชิ้นนี้ในช่วงเวลาต่างๆ ลูกแก้วนั้นจะเปลี่ยนสีไปตามแต่ละช่วงเวลา การคายพระอาทิตย์-พระจันทร์ เปรียบได้กับการปล่อยวาง ลวดลายสลับสีบนเกล็ดองค์พญานาคราชที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา เปรียบได้กับวัฏจักรของโลก ทุกๆ สิ่งนั้นตั้งอยู่แล้วดับไป วนเวียนกลับมาใหม่ ไม่มีจบสิ้น เฉกเช่นที่เราไม่อาจรั้งดวงตะวัน และดวงจันทร์ให้คงอยู่ไว้ได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปริศนาธรรมที่แฝงอยู่ เพื่อให้ผู้รับชมได้ยกระดับจิตใจ และเข้าถึงธรรมะในเรื่องการปล่อยวาง อันเป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา

โดยผู้ที่สนใจอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมครั้งนี้ สามารถร่วมบริจาคไม้ไผ่เพื่อใช้สร้างองค์พญานาคราชได้ หรือจะมาลงแรงก็ได้เช่นเดียวกัน หรือถ้าใครจะสนับสนุนเป็นทุนทรัพย์ก็สามารถบริจาคได้ที่ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชีวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เลขที่ 8850018827 โดยขอให้ผู้ที่บริจาคร่วมโครงการส่งสลิปที่ Line : @naga159 ทุกครั้งเพื่อยืนยันการโอน ทั้งนี้สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่พระครูสังฆรักเอกพันธ์ กิตติโสภโณ 065-010-8559 หรือที่นายพนมวัฒน์ อัศวอิทธิพร 095–789-6452

นักท่องเที่ยวบอกคุ้มสุด ๆ หยุดยาว 3 วันเที่ยวนครพนม ชมเรือไฟ 3 แบบ


ที่จังหวัดนครพนมที่ในช่วงนี้มีการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟ ประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 20 – 30 ตุลาคม 2566 บรรยากาศช่วงวันหยุดยาวติดต่อกัน 3 วัน ยังคงเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักค้างคืนและเช้าไปเย็นกลับ ด้วยหลายคนพอทราบข่าวว่างานในปีนี้มีความแตกต่างไปจากปีก่อนๆ มา มีการไหลเรือไฟโชว์ให้ได้ชมทุกวัน อีกทั้งยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ให้ได้ร่วมสนุก จึงเลือกที่จะเดินทางมาก่อนวันออกพรรษา ซึ่งเป็นวันไหลใหญ่เพราะคาดว่าจะมีคนมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงอาศัยโอกาสนี้มาชมก่อน
โดยหนึ่งในผู้ที่มาร่วมงานล่วงหน้าในช่วงวันหยุดติดต่อกัน 3 วัน เปิดเผยว่า ปกติจะพาครอบครัวมาตรงกับวันออกพรรษาเป็นประจำทุกปี เพื่อมากราบไหว้ขอพรจากองค์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจะพากันมาจับจองที่นั่งเพื่อดูเรือไฟในช่วงเย็น ซึ่งก็ต้องมาหาที่นั่งตั้งแต่ช่วงบ่าย ๆ เพราะถ้ารอจนถึงเวลาจะหาที่ดูลำบากคนจะแน่นมาก แต่พอปีนี้ทราบข่าวว่าทางจังหวัดมีการจัดไหลโชว์ให้ได้ชมวันละ 1 – 2 ลำทุกวัน ยกเว้นวันที่ 29 ตุลาคม 2566 ที่เป็นวันออกพรรษาที่จะไหลมากสุด 12 ลำ จึงเลือกพาครอบครัวมาก่อน ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่ผิดหวังเพราะเรือที่นำมาโชว์แม้ขนาดจะได้ใหญ่เท่ากับวันออกพรรษาที่ทราบว่าปีนี้ยาวถึง 79 เมตร แต่ก็ได้เห็นขนาด 20 กว่าเมตรที่ไหลโชว์พร้อมกระทงสาย ส่วนลวดลายก็ยังคงสวยงามเช่นเดิม ที่สำคัญปีนี้ยังมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมเรือไฟโบราณ ที่เป็นการสะเดาะเคราะห์ที่มาหลายครั้งแต่ไม่เคยได้มาทำสักที ปีนี้พอมาก่อนจึงได้มีโอกาสมาทำก็ถือว่าไม่ผิดหวัง เพราะหลังจากที่ไหว้ขอพรจากพญาศรีสัตตนาคราชแล้ว เดินมาฝั่งเวทีการแสดงนิดเดียวก็ถึงกิจกรรมเรือไฟโบราณที่ให้เราได้เขียนชื่อ วันเดือนปีเกิด ตัดเล็บ ตัดผม ใส่กระทงกาบกล้วยที่มีจำหน่ายให้พร้อมกับธูปเทียนดอกไม้ในราคา 30 บาท ก่อนที่จะนำไปวางไว้ที่เรือไฟโบราณตามปีนักษัตรที่เราเกิด ซึ่งพอถึงวันออกพรรษา หลังทำพิธีเสร็จเจ้าหน้าที่เอานำไปลอยกลางแม่น้ำโขงให้

จากนั้นก็มานั่งชมการแสดงที่หน้าเวทีได้สบายๆ เพื่อรอเวลาเรือไฟไหลโชว์ ซึ่งเมื่อถึงเวลา 19.00 น.ก็ได้ชมแล้ว ที่สำคัญยังมีความเซอร์ไพรส์ให้ได้รับชมบนฟ้ากับการแสดงบินโดรนแปรอักษรให้ได้ชมด้วย ที่เป็นการเล่าเรื่องราวตามภาพที่แปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทั้งภาพพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาแสดงธรรมเทศนา ภาพพญานาคเลื่อนไหว ภาพการลอยประทีปบูชาที่เคลื่อนไหวได้ ก่อนจะหลายมาเป็นภาพเรือไฟ และภาพอื่น ๆ อีก ถือเป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่ถือว่าคุ้มสุด ๆ กับการมาครั้งนี้ เพราะได้เห็นเรือไฟในน้ำ บนฟ้า แลยิ่งพอทราบว่าที่วัดสว่างสุวรรณารามมีการทำเรือไฟบก ก็ว่าจะพาครอบครัวไปชมสักครั้งว่าจะมีความแตกต่างจากเรือไฟขนาดใหญ่และเรือไฟโบราณอย่างไร จะได้ชมครบทั้ง 3 แบบเลยในครั้งนี้

พสกนิกรจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีวางพวงมาลาน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ รัชกาลที่ 5 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต

วันที่ 23 ตุลาคม 2566 ที่พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 บริเวณด้านหน้าหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล อัยการ ทหาร ตำรวจ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ และพสกนิกรจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีวางพวงมาลาเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นอเนกอนันต์เพื่อให้พสกนิกรชาวไทย เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต

โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ( สมเด็จพระนางรําเพยภมรภิรมย์ ) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี โดยตลอดรัชสมัยพระองค์ท่าน ทรงอุทิศพระวรกายบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ และทรงปกครองพระราชอาณาจักรให้มีความมั่นคงและร่มเย็นเป็นสุข ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จประพาสต้น เพื่อสดับตรับฟังทุกข์สุขของปวงพสกนิกรในท้องถิ่นต่าง ๆ พระองค์มีพระราชดำริพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ทรงนำวิทยาการที่ได้จากการเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนต่างประเทศมาวางรากฐานการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูประบบการเงินการคลัง การศึกษา การสาธารณูปโภค

ด้วยพระปรีชาสามารถและสายพระเนตรอันกว้างไกลทำให้ประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้าทันสมัย ทรงยกเลิกระบบทาส ระบบไพร่ และทรงนำศาสตร์การปกครองของไทยและชาติสากลมาผนวกใช้ในการปกครองพระราชอาณาจักร นำพาชาติบ้านเมืองให้ผ่านพ้นภัย ดำรงอธิปไตย และความเป็นเอกราชของชาติไว้ได้อย่างมั่นคง ทำให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรืองพัฒนาไพบูลย์สืบเนื่องมาจนกาลปัจจุบัน พระปรีชาสามารถและพระเกียรติยศเป็นที่ประจักษ์แก่นานาอารยประเทศ และด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พสกนิกรชาวไทยทั้งหลายจึงต่างน้อมรำลึกเทิดพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ถวายพระราชสมัญญาแด่พระองค์ว่า “พระปิยมหาราช” โดยพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 เวลา 2.45 นาฬิกา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สิริพระชนมพรรษาได้ 57 พรรษา

วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2566

งานไหลเรือไฟนครพนมวันแรก นักท่องเที่ยวแน่นพื้นที่กระจายตามจุดต่าง ๆ ที่มีกิจกรรม

วันที่ 20 ตุลาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม ซึ่งวันนี้เป็นวันแรกของการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟ ประจำปี 2566 เป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมงานตลอดทั้งวัน โดยกระจายไปตามจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมการออกร้านมัจฉากาชาดของเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมที่ได้นำเอาสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนผู้ใจบุญมาทำเป็นรางวัลให้ผู้ที่มาร่วมงานได้สนุกกับการตักไข่มัจฉาในราคาเพียง 20 บาท เพื่อลุ้นรางวัลใหญ่ ทั้งรถจักรยานยนต์ เตารีด หม้อหุงข้าว เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ในครัวเรือน ตลอดจนรถจักรยานและขนมขบเคี้ยว และเมื่อเหนื่อยก็สามารถมาเดินตลาดโบราณ ออเจ้า นครพนม ที่มีของกินเป็นเมนูอาหารพื้นถิ่นของแต่ละอำเภอ ที่แต่ละชนเผ่านำมาวางจำหน่ายให้ได้นั่งรับประทานชิว ๆ บนแคร่ไม้ไผ่ เช่น เมี่ยงตาสวดที่เป็นเมนูอาหารที่ได้รับการคัดเลือกจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรมให้เป็นอาหารถิ่น รสชาติ...ที่หายไป ปี 2566 โดยราคาจำหน่ายเริ่มต้นจะอยู่ที่ 20 บาทเท่านั้น ซึ่งถือเป็นเมนูเพื่อสุขภาพมีสรรพคุณทางยา ด้วยมีพืชผักสมุนไพรในท้องถิ่นนับ 10 ชนิดเป็นวัตถุดิบหลักในการประกอบอาหาร ที่ใครได้รับประทานเป็นต้องติดใจในรสชาติที่แสนอร่อยที่ชาวไทยแสกนิยมนำมารับประทานเป็นอาหารว่างเมื่อมีการพบปะสังสรรค์ หรือถ้าใครเหนื่อยปวดเมื่อยตามร่างกาย ก็มีบริการนวดคลายเส้นกับสปาเกลือของชาวไทกวน หรือถ้าอยากได้ของฝากก็มีสินค้าดีสินค้าเด่น ผลิตภัณฑ์ของแต่ละชุมชนในจังหวัดนครนพมจำหน่าย นอกจากนี้ยังมีบูธนิทรรศการให้ความรู้ของหน่วยงานราชการ ที่มาถ่ายทอดความรู้ในด้านต่าง ๆ ให้ทุกคน ทั้งการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การทำประกันสังคม การรับสมัครงาน และการให้บริการอื่น ๆ

โดยในเวลา 18.00 น. พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 พร้อมด้วย นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ตลอดจนคณะหัวหน้าส่วนราชการภาครัฐ ภาคเอกชน ได้ร่วมกันทำพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งภายหลังการเปิดงานก็มีการจัดแสดงโชว์บินโดรนแปรอักษรเป็นเวลา 15 นาที ที่มีการบอกเล่าเรื่องราวของจังหวัดนครพนม และหลังจากวันนี้จะมีการย้ายไปแสดงโชว์ที่บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช ริมฝั่งแม่น้ำโขง จนถึงวันที่ 24 ตุลาคม 2566 โดยมีการการันตีว่าจะเปลี่ยนภาพไปทุกวันที่มีการจัดแสดงเพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ที่ได้รับชม เป็นการสร้างสีสันและความประทับในในอีกหนึ่งมุมมอง นอกจากการไหลเรือไฟโชว์ในแต่ละวัน ซึ่งจะมีครบทั้ง 10 วัน คือระหว่างวันที่ 20 – 30 ตุลาคม 2566 โดยวันที่จะมีการไหลมากสุดคือวันที่ 29 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา นอกจากนี้ผู้ที่มาร่วมงานยังสามารถร่วมกิจกรรมทำกระทงเรือไฟจากกาบกล้วยเพื่อสะเดาเคราะห์ต่อชะตาตามปีเกิด เสริมบุญบารมี และขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บริเวณกิจกรรมเรือไฟโบราณ โดยเมื่อประกอบพิธีในวันออกพรรษาเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่จะนำไปลอยกลางแม่น้ำโขงให้ทุกคน
นอกจากนี้ในวันอื่น ๆ ก็ยังมีพิธีรำบูชาองค์พระธาตุพนม พิธีการอัญเชิญไฟพระฤกษ์ ขบวนแห่ปราสาทผึ้ง การแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้าน การแสดงโชว์เรือกีบหนีบกันพายที่เป็นการว่ายน้ำในแม่น้ำโขงเพื่อแปรขบวนเป็นรูปต่าง ๆ การแสดงยุทธวิธีทางน้ำ การแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดัง กิจกรรมพาข้าวแลง และการแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้ผู้ที่มาร่วมงานได้รับชมอีกด้วย

วช. ถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีโดรน ให้ชาวนครพนมสร้างการเรียนรู้ระบบ AI ต่อยอดการท่องเที่ยว และสร้างอาชีพในอนาคต

วันที่ 20 ตุลาคม 2566 ที่หอประชุมวิทยาลัยเทคนิคนครพนม วิทยาลัยสารพัดช่างนครพนมเดิม จังหวัดนครพนม ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเกี่ยวกับโดรน (Drone) ที่สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ สมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับและจังหวัดนครพนม จัดขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม โครงการการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมโดรนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านกิจกรรมการถ่ายทอดการบินโดรนแปรอักษรที่มีนายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ เป็นหัวหน้าโครงการ โดยมีบุคคลากรด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ ตลอดจนเยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่สนใจเข้ารับการอบรม มีนายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการร่วมให้การต้อนรับ ตลอดจนคณะผู้ทรงคุณวุฒิจาก วช. ร่วมกิจกรรม

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ภายใต้กระทรวง อว. มีโอกาสอีกครั้งที่ได้มาจังหวัดนครพนมในเรื่องของการส่งเสริมและสนับสนุนในเรื่องของโดรนที่จะได้มีการนำไปใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ มิติ ในโอกาสนี้ก็เป็นกิจกรรมโดรนเพื่อการท่องเที่ยวที่ทาง วช. ได้ให้การสนับสนุนทางสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับในการที่จะมาอบรมสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน ให้กับผู้ที่จะใช้โดรนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจังหวัดนครพนมถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงทั้งในเรื่องของการท่องเที่ยวและเป็นพื้นที่ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่สำคัญภาคของจังหวัดนครพนมเองทั้งในระดับผู้บริหารและหน่วยงานความมั่นคงก็ให้ความสำคัญในการที่จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการเรียนรู้ในเรื่องของโดรนเพื่อการท่องเที่ยว คงไม่เฉพาะเรื่องของระบบ AI ปัญญาประดิษฐ์ ยังให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจกับกฎระเบียบกับการที่จะทำให้การใช้โดรนเป็นไปอย่างเหมาะสมถูกต้อง อย่างวันนี้ กสทช. และกรมการบินพลเรือน ก็ได้มาร่วมให้ความรู้ให้ข้อแนะนำสำคัญกับการทำงานในเรื่องของโดรนที่จะใช้ในมิติของการท่องเที่ยวด้วย เพราะฉะนั้นการอบรม 3 วันในครั้งนี้ นอกจากทุกคนจะได้เรียนรู้ในเชิงเทคโนโลยีแล้ว ทางสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ ก็ได้เชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทั้งในส่วนของ AI ปัญญาประดิษฐ์ และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ข้อกำหนด กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างให้จังหวัดนครพนมเป็นต้นแบบสำหรับภาคอื่น ๆ ต่อไป


ด้านนายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากที่ทางหน่วยได้มาอบรมให้ความรู้ฟรีเกี่ยวกับการใช้โปรแกรมโดรนแปรอักษร ที่หาเรียนรู้ได้ยากเพราะราคาค่าเรียนสูงถึงหลัก 10 ล้านบาท ซึ่งในครั้งนั้นเด็กและเยาวชนในจังหวัดนครพนมสามารถทำได้ จึงกลายเป็นจุดกำเนิดจากความประทับใจ กลับมาสนับสนุนงานประเพณีไหลเรือไฟอีกครั้ง ร่วมกับ วช. ซึ่งในครั้งนี้ได้นำโดรนมา 2 ชนิด คือโดรนเพื่อการถ่ายภาพ เพื่อถ่ายทอดเทคนิค วิธีการ ข้อกฎหมายต่าง ๆ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้กับผู้ที่สนใจ เพื่อนำไปต่อยอดพัฒนาเพิ่มศักยภาพในด้านการท่องเที่ยว ตลอดจนนำโดรนไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพต่อยอดสร้างรายได้ในอนาคต และโดรนแปรอักษร ที่จะมาสร้างความตื่นเต้น สร้างสีสันเรือไฟเพื่อให้เกิดความสวยงามกระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือจะมีการเปลี่ยนรูปภาพในทุกวันที่มีการแสดง โดยไม่ซ้ำภาพเดิม เพราะเด็กและเยาวชนที่ผ่านการอบรมในครั้งที่แล้ว ได้ร่วมกันออกแบบและส่งแบบมาให้ทีมงาน เพื่อร่วมกันจัดแสดงบินโดรนแปรอักษรในครั้งนี้ ซึ่งสามารถยืนยันได้ว่าต่างประเทศไม่สามารถทำเช่นนี้ได้เพราะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ผู้ที่มาร่วมงานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม จะได้ชมแบบจุใจอย่างแน่นอน
สำหรับผู้สนที่ใจอยากฝึกอบรม ภายใต้กิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม โครงการการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมโดรนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว สามารถติดตามข่าวสารการอบรมได้ที่ Facebook Fanpage : สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และ สมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2566

นครพนม นักท่องเที่ยวแห่ชมการแสดงบินโดรน พร้อมกระทบไหล่ดาราดังรำบวงสรวงงานไหลเรือไฟ

วันที่ 19 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณแลนด์มาร์คพญาศรีสัตตนาคราช เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมารอรับชมการรำบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เพื่อขอพรในการปกป้องคุ้มครองให้ผู้ที่มาร่วมงานประเพณีไหลเรือไฟ จังหวัดนครนพม ประจำปี 2566 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 30 ตุลาคม 2566 มีความปลอดภัย และให้งานสำเร็จสมดังที่ตั้งใจเป็นไปตามประเพณีวัฒนธรรมอันงดงามในช่วงเทศกาลวันออกพรรษา ที่ชาวนครพนมถือปฏิบัติเป็นประจำทุกปี ในการสร้างเรือไฟขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์ประทับไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมเทศนาโปรดพญานาคที่เมืองบาดาล รวมถึงเป็นการระลึกถึงพระคุณของแม่น้ำโขงที่ทุกคนได้ใช้หล่อเลี้ยงชีวิต เป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินลงไป

โดยกิจกรรมในครั้งนี้นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้เป็นประธานในพิธี นำตัวแทนคณะหัวหน้าส่วนราชการประกอบพิธีถวายเครื่องบวงสรวง จากนั้นดารานักแสดงชื่อดัง (กรีน) อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล และ (ญิ๋งญิ๋ง) ศรุชา เพชรโรจน์ จากละครพนมนาคาของช่อง ONE ที่กำลังเป็นกระแสและชื่นชอบของคนอีสาน โดยเฉพาะคนในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ด้วยเนื้อหาที่บอกเล่าเรื่องราวถึงพญานาคผู้คุ้มครองพนมนาคาที่รอคอยปาฏิหาริย์ความรักนานนับพันปี ซึ่งสอดรับกับวิถีชีวิตของคนในแถบนี้ที่มีทั้งตำนาน ความเชื่อ และความลี้ลับเกี่ยวกับพญานาค นำรำบวงสรวงร่วมกับ (โอลีฟ) ศศิชา ดวงเกษ มิสแกรนด์นครพนม 2024 และนางรำจังหวัดนครพนม 200 ชีวิต

ซึ่งเมื่อเสร็จจากการรำบวงสรวงทุกคนยังได้ชมการแสดงบินโดรนแปรอักษร ที่ในครั้งนี้มีการแปรเป็นข้อความเริ่มจากคำว่า ไหลเรือไฟ ตามด้วย จังหวัดนครพนม จากนั้นเปลี่ยนเป็นภาพเรือไฟ เพื่อสื่อถึงประเพณีและวัฒนธรรมในช่วงเทศกาลวันออกพรรษาของชาวนครพนม ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นภาพองค์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ที่พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยแล้วชาวต่างชาติให้ความเคารพ ศรัทธา เดินทางมากราบไหว้อยู่เสมอ ตามด้วยภาพบั้งไฟพญานาคที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้ว่า ที่จังหวัดนครพนมก็มีเหตุการณ์เช่นเดียวกับจังหวัดหนองคายเกิดขึ้นที่มีต่อเนื่องติดต่อกันมานานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว โดยสถานที่เกิดบั้งไฟพญานาคจะอยู่ที่ตำบลไผ่ล้อม อำเภอบ้านแพง จากนั้นเปลี่ยนเป็นภาพพญานาคลอยเคลื่อนไหวตัวไปมาอยู่กลางท้องฟ้า เพื่อสื่อถึงความเชื่อและความศรัทธาของคนลุ่มน้ำโขง ที่เชื่อว่าแม่น้ำโขงเกิดจากการแถตัวของพญานาค เพราะเป็นเจ้าบาดาล เป็นผู้ให้กำเนิดน้ำ และเป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ จากนั้นเปลี่ยนเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสดเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชาผู้สถิตในดวงใจของคนไทยทั่วทั้งแผ่นดินตามลำดับ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ 20 ตุลาคม 2566 ที่มีพิธีเปิดงานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครนพมอย่างเป็นทางการ การแสดงบินโดรนจะมีการเคลื่อนย้ายไปแสดงโชว์ที่บริเวณเหนือศาลากลางจังหวัดนครพนม หลังจากนั้นในวันถัดมาจะกลับมาแสดงโชว์ที่บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราชเช่นเดิมเพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รับชมความชวยงามกลางท้องฟ้า

จ. นครพนม บูรณาการออกหน่วยเคลื่อนที่พอ.สว.และหน่วยบำบัดทุกข์ ดูแลประชาชนชาวนาหว้า

วันที่ 19 ตุลาคม 2566 ที่โรงเรียนบ้านดอนศาลา ตำบลเหล่าพัฒนา อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.จังหวัดนครพนม และโครงการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างร้อยยิ้มให้ประชาชนจังหวัดนครพนม ให้บริการประชาชนในพื้นที่ สร้างการเข้าถึงการให้บริการแบบครบวงจรในจุดเดียว

โดยกิจกรรมภายในงานจะเริ่มตั้งแต่การแนะนำส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงภารกิจ อำนาจ หน้าที่ของแต่ละหน่วยที่จะดำเนินการช่วยเหลือประชาชน จากนั้นเป็นการนำนโยบายของรัฐบาลและแผนงานโครงการของจังหวัดและส่วนของส่วนราชการที่จะดำเนินการไปชี้แจง อธิบาย ทำความเข้าใจกับประชาชน ก่อนที่จะให้แต่ละหน่วยมาตอบคำถาม ข้อสงสัยของประชาชน และมอบพันธุ์ปลาของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดนครพนมให้กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านได้นำไปปล่อยตามแหล่งน้ำของชุมชน ทุนอุปการะเด็กของกองทุน พช.เพื่อชุมชนอำเภอนาหว้า มอบเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวอุปถัมภ์ มอบทุนการศึกษาบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดนครพนม มอบเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ด้านประมง ปี และมอบถุงยังชีพของสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมให้กับผู้ยากไร้

จากนั้นทุกคนได้แยกย้ายกันไปใช้บริการตามบูธต่าง ๆ ประกอบไปด้วย หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม ที่คณะแพทย์ได้นำเครื่องมือและอุปกรณ์สาธารณสุขต่าง ๆ มาให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ทำทันตกรรม และให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ รวมถึงที่ส่วนราชการต่าง ๆ ได้นำองค์ความรู้มาถ่ายทอดให้ทุกคนได้เห็น ได้ศึกษา ได้เรียนรู้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้ง ในเรื่องของข้อมูลทางวิชาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน การบริหารจัดการน้ำ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การให้คำแนะนำในเรื่องที่ดิน การเลือกใช้พลังงาน การทำบัตรประชาชน การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การเข้าถึงกองทุนยุติธรรม การทำประกันสังคม การวางแผนออมกับ กอช. การแจกพันธุ์ต้นไม้ การแจกแบบสำหรับสร้างบ้าน การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ ซ่อมบำรุงเครื่องยนต์และเครื่องจักรทางการเกษตร นอกจากนี้ยังมีการฝึกอาชีพและกิจกรรมตลาดนัดชุมชน จำหน่ายสินค้าราคาประหยัด สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP

นครพนม ประกอบพิธีบวงสรวงศาลหลักเมือง ขอความเป็นสิริมงคลและความปลอดภัยให้ผู้มาร่วมงานไหลเรือไฟ ปี 2566

วันที่ 19 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณศาลหลักเมืองจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนจังหวัดนครพนมและสื่อมวลชน ร่วมประกอบพิธีบวงสรวงกราบไหว้ศาลหลักเมือง บูชาเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ให้ช่วยดลบันดาลความเป็นสิริมงคล ขอให้การจัดงานราบรื่นประสบความสำเร็จ ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานประเพณ๊ไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม ประจำปี 2566 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 30 ตุลาคม 2566 มีแต่ความสุขและความปลอดภัย โดยในช่วงเย็นของวันนี้จะมีพิธีรำบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช ที่นำโดย(กรีน) อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล และ (ญิ๋งญิ๋ง) ศรุชา เพชรโรจน์ ดารานักแสดงจากละครพนมนาคา ที่กำลังออกอากาศทางช่อง ONE

สำหรับงานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนนมในปี 2566 นี้ ยังคงจัดที่ณบริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม และริมฝั่งแม่น้ำโขง เลียบถนนสุนทรวิจิตร เทศบาลเมืองนครพนมเช่นเดิม เพิ่มเติมคือความยิ่งใหญ่ตระการตาที่หลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น โดยชาวจังหวัดนครพนมได้มีการบูรณาการความร่วมมือ สืบสานประเพณีอันเก่าแก่และงดงามในช่วงเทศกาลวันออกพรรษาตามความเชื่อและศรัทธา ที่ว่าการไหลเรือไฟเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธองค์ประทับไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมเทศนา โปรดพญานาคที่เมืองบาดาล รวมถึงเป็นการระลึกถึงพระคุณของแม่น้ำโขง ที่ทุกคนได้ใช้หล่อเลี้ยงชีวิต ทั้งเป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินลงไป ซึ่งปีนี้มีการจัดสร้างเรือไฟขนาดใหญ่ขึ้นมาทั้งสิ้น 15 ลำ ๆ ที่มีขนาดใหญ่สุดคือยาว 79 เมตร ส่วนตะเกียงที่ใช้ประดับเรือไฟเพื่อให้เกิดเป็นลวดลายที่สวยงามตามการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละลำที่มีการสอดแทรกเรื่องราววิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ความศรัทธา สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ของดีของเด่นในชุมชน ตลอดจนการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยมีการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาเสริมสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมกลางสายน้ำ โดยในการไหลเรือไฟจะมีให้ชมทุกวัน วันที่มากสุดคือวันที่ 29 ตุลาคม 2566

นอกจากนี้ผู้ที่มาก่อนวันออกพรรษา ยังจะมีโอกาสได้ชมการแสดงบินโดรนแปรอักษรและรูปภาพที่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นจังหวัดนครพนมบนท้องฟ้าที่จะมีทั้งข้อความ พระธาตุพนม เรือไฟ และพญาศรีสัตนาคราช หรือถ้าประชาชนและนักท่องเที่ยวอยากร่วมกิจกรรมทำกระทงเรือไฟจากกาบกล้วย เพื่อสะเดาเคราะห์ต่อชะตาตามปีเกิด เสริมบุญบารมีและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถเข้าร่วมได้ที่บริเวณกิจกรรมเรือไฟโบราณ ที่เมื่อประกอบพิธีในวันออกพรรษาเสร็จแล้วเจ้าหน้าที่จะนำไปลอยกลางแม่น้ำโขงให้ทุกคน ขณะเดียวกันก็ยังมีพิธีรำบูชาองค์พระธาตุพนม พิธีการอัญเชิญไฟพระฤกษ์ ขบวนแห่ปราสาทผึ้ง การแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้าน การแสดงโชว์เรือกีบหนีบกันพายที่เป็นการว่ายน้ำในแม่น้ำโขงเพื่อแปรขบวนเป็นรูปต่าง ๆ การแสดงยุทธวิธีทางน้ำ การแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดัง กิจกรรมพาข้าวแลง การแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การทำบุญตักบาตรเทโว การร่วมสนุกและทำบุญกับกิจกรรมมัจฉากาชาด ที่มาออกบู๊ททำกิจกรรมในระหว่างวันงาน เพื่อหารายได้ไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ ตลอดจนการเลือกหาสินค้าถูกใจ ทั้ง เครื่องแต่งกาย สินค้าอุปโภค บริโภค สินค้าพื้นถิ่น ผลิตภัณฑ์ชุมชน


วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ททท.นครพนม จัดกิจกรรม Open House #8 สีสันแห่งสายน้ำ พร้อมแถลงผลงานด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว ปี 66

วันที่ 18 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเป็นประธานเปิดกิจกรรม TAT Nakhonphanom Open House #8 สีสันแห่งสาย ที่เป็นการปรับตกแต่งภูมิทัศน์ย้อมสีอาคารสำนักงาน ททท.สำนักงานนครพนม และนิทรรศการประชาสัมพันธ์กิจกรรมด้านการท่องเที่ยวช่วงเทศกาลออกพรรษาของจังหวัดนครพนมเพื่อเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวมาร่วมงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม จากนั้นเป็นแถลงผลงานของนางสาวกนกวรรณ ดุงศรีแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.สำนักงานนครพนม ที่ได้ดำเนินงานด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยว ประจำปี 2566 และแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยว ประจำปี 2567 ที่จะสร้างการรับรู้การจัดกิจกรรมในพื้นที่รับผิดชอบ (จังหวัดนครพนม สกลนครและมุกดาหาร)
โดยหลังสถานการณ์โควิดระบาด และสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ จังหวัดนครพนมมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในพื้นที่อย่างเนื่อง ซึ่งเพจอีสานอินไซต์ได้มีการวิเคราะห์ตัวเลขและจัดอันดับให้จังหวัดนครพนมมีอัตราการเจริญเติบโตทางด้านการท่องเที่ยวในปี 2565 สูงเป็นอันดับ 1 ของภาคอีสาน ทำให้จังหวัดนครพนมมองเห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ว่าจากการขับเคลื่อนงานแบบบูรณาการความร่วมมือของภาคส่วนต่าง ๆ เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง และมีความพร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว โดยตลอดทั้งปี 2565 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 64 % และในปี 2566 แม้จะยังไม่ถึงสิ้นปีขยับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 75 % แล้ว ทำให้ ณ ปัจจุบันจังหวัดนครพนมมีรายได้จากการท่องเที่ยวแล้วกว่า 1,900 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ดีทาง ททท.สำนักงานนครพนม และจังหวัดนครพนม ตลอดจนภาคีเครือข่ายก็ยังคงไม่หยุดนิ่ง ยังจะมีการส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการเติบโตในการเดินทางท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น โดยจะร่วมกันนำเสนอสถานท่องเที่ยวแหล่งใหม่ ๆ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทาง 2 ศาสนา เส้นททางตามรอยพญานาค การนำประเพณีและวัฒนธรรมของ 9 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ การนำ Soft Power ในพื้นที่มาเผยแพร่และสร้างแรงดึงดูดกระตุ้นให้ทุกคนอยากมาเยือนจังหวัดนครพนมมากยิ่งขึ้น ด้วยการเปิดโอกาสให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ร่วมทำกิจกรรม รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยการออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งการแก้ไขปัญหาอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว เช่น ในงานประเพณีไหลเรือไฟปี 2566 นี้ที่ปัจจุบันโรงแรมที่พักถูกจองล่วงหน้าหมดแล้ว ทำให้มีเสียงเรียกร้องเกี่ยวกับที่พักเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทางจังหวัดนครพนมพนมก็ได้มีการประสานงานกับหน่วยต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกจัดหาที่พักเพิ่มเติมให้เป้นสถานที่ราชการที่ ค่าย ตชด. 236 , ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษานครพนม และค่ายพระยอดเมืองขวาง มณฑลทหารบกที่ 210 โดยผู้ที่สนใจจะมีค่าใช้จ่ายเพียง 100 บาท แต่ต้องเตรียมเต้นท์พักมาเอง โดยประสานได้ที่สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครพนม เป็นต้น