นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่จังหวัดนครพนม ได้มีการกำหนดจัดกิจกรรมเดิน - วิ่ง ข้ามโขง นครพนม-คำม่วน มาราธอน 2566 (Nakhonphanom – Khammouan Marathon 2023) Season 5 ขึ้นในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2566 ร่วมกับทางการกีฬาแห่งประเทศไทย กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาจังหวัด และมูลนิธิศรีโคตรบูร เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เยาวชนและประชาชนทุกเพศทุกวัย ได้มีความตื่นตัวในการเล่นกีฬาและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นการเสริมสร้างสุขภาพ พลานามัย ระเบียบวินัย ความมีน้ำใจนักกีฬา และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจและรายได้ ส่งเสริมให้ทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้มีประสบการณ์ในการวิ่งมาราธอน ท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงามริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้วยการวิ่งไปเยือน สปป.ลาว ผ่านทางสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 นครพนม – คำม่วน ก่อนจะย้อนกลับมาสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดนครพนม และธรรมชาติสวย ๆ ตลอด 2 ข้างทาง
วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2566
สมัครไม่ทันก็สามารถมา เดิน -วิ่ง ข้ามโขง ครั้งที่ 5 ที่นครพนมได้
วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2566
พุทธศาสนิกชนตลอดจนนักท่องเที่ยว ร่วมทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ ที่ จ.นครพนม ก่อนรับแสงอรุณยามเช้าที่สวยงามริมฝั่งโขง
วันที่ 30 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช จังหวัดนครพนม บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มารอร่วมทำกิจกรรมตักบาตรเทโวโรหณะ ที่จังหวัดนครพนมโดยเทศบาลเมืองนครพนมจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีหลังวันออกพรรษา ที่มีการไหลเรือไฟให้ได้ชมความยิ่งใหญ่และงดงามวิจิตรตระกาลตา แม้ในปีนี้ทุกคนต้องรอนานกว่าปกติเนื่องจากเกิดเหตุฝนตกหนัก ทำให้การปล่อยเรือไฟล่าช้าออกไปกว่า 1 ชั่วโมง เมื่อการไหลเรือไฟแล้วเสร็จทั้ง 12 ลำ ก็กินเวลาไปจนถึง 1.00 น. ทำให้ทุกคนต้องดึก แต่เมื่อถึงตอนเช้าทุกคนต่างก็มาเฝ้ารอทำกิจกรรมกันอย่างเนื่องแน่น โดยในเวลา 7.00 น. นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ได้นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนประชาชน และนักท่องเที่ยว ประกอบพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ สามเณรที่มาบิณฑบาต โดยมีการจำลองเหตุการณ์เหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ โดยมีการอัญเชิญพระพุทธรูปมาเป็นองค์ประธานนำคณะสงฆ์บิณฑบาตเพื่อโปรดพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมทำบุญในวันนี้ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศรับแสงอรุณยามเช้าริมฝั่งโขงที่มีความสวยงาม
อนุทินลงพื้นที่นครพนม ชมไหลเรือไฟมหกรรมวันออกพรรษา ขอบคุณที่ช่วยกันรักษาไว้ เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ
วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณลานพนมนาคา เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดมหกรรมไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม โดยมีนางสาวธนน นท์ นิรามิษ ภริยา ดร. มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิก วุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 ชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตลอดจนรองเจ้าแขวงคำม่วน สปป.ลาว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ คณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ประชาชน และนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก
นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกคนต่างทราบกันดีว่าประเพณีไหลเรือไฟของจังหวัดนครพนมนั้น ถือเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สำคัญและถือปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนานของพี่น้องประชาชน จนเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศอย่างแพร่หลาย ขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณต่อผู้จัดงาน และพี่น้องชาวนครพนมที่ได้ร่วมกันอนุรักษ์และรักษาธรรมเนียมและประเพณีที่เก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงามของจังหวัดนครพนมให้ยังคงดำรงรักษาไว้อย่างดียิ่ง นี่คือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดนครพนม งานที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดนครพนมและภาพรวมของประเทศ ซึ่งการจัดงานดังกล่าวจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียน และการกระจายรายได้สู่พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครพนม และจังหวัดใกล้เคียง งานประเพณีทั้งหลายล้วนมีคุณค่า ขอบคุณอย่างยิ่งที่ช่วยกันรักษาเอาไว้ เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ”สำหรับบรรยากาศมหกรรมไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม ที่จัดในปีนี้ยังคงโชว์ความยิ่งใหญ่เหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา โดยก่อนถึงเวลาปล่อยเรือไฟเพียง 30 นาทีได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างต้องหาที่หลบฝนกันตามสถานที่ต่าง ๆ หลังจากมีการมาจับจองที่นั่งริมฝั่งแม่น้ำโขงเพื่อรอชมความงดงามตั้งแต่ช่วงบ่าย ทำให้หลายคนมีความกังวลว่าอาจจะไม่ได้ชมเรือไฟในปีนี้ แต่ก็เหมือนปาฏิหาริย์เพราะฝนตกไม่นานก็หยุดลง และเจ้าหน้าที่ปล่อยเรือไฟได้มีการยืนยันเรื่องการปล่อยเรือไฟโชว์อย่างแน่นอน โดยประกาศเลื่อนเวลาปล่อยเรือไฟลำแรกออกไปเป็นเวลา 19.30 น. จากเดิมที่กำหนดเวลาไว้ที่ 18.30 น. ซึ่งเมื่อถึงเวลาเรือไฟลำแรกที่เป็นของอำเภอนาหว้าก็ได้ออกสู่สายตาประชาชนและนักท่องเที่ยว ตามด้วยเรือไฟของอำเภออื่น ๆ ตามลำดับที่กำหนดไว้ โดยเรือไฟรำสุดท้ายที่เป็นของอำเภอธาตุพนมก็ยังทำให้ทุกคนต้องมาลุ้นว่าจะไหลได้หรือไม่แม้จะจุดตะเกียงติดหมดแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงจึงสามารถนำเรือไฟของจากฝั่งไปไหลโชว์ได้ ในเวลาประมาณ 23.30 น. แต่ก็สร้างความประทับใจอย่างเต็มอิ่มให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวนับแสนคนที่เฝ้ารอ เพราะได้เห็นลวดลายที่สวยงามประกอบกับการแสดงพุกลางแม่น้ำโขง ที่เป็นความอลังการครบทั้ง 12 ลำวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2566
จ.นครพนม ประกอบพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์จุดเรือไฟไหลโชว์นักท่องเที่ยว พร้อมขบวนแห่ปราสาทผึ้ง
วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณศาลหลักเมืองจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในการประกอบพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เพื่อให้พสกนิกรจังหวัดนครพนมได้ใช้จุดตะเกียงไฟให้เกิดความเป็นสิริมงคล เกิดแสงสว่างและลวดลายบนเรือไฟที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันนานนับเดือน สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นประทีปพุทธบูชาในวันออกพรรษา เป็นการสืบสาน ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม ที่ถือเป็นหนึ่งเดียวของโลกที่มีความสวยงาม วิจิตรตระการตา ให้คงอยู่ไปตราบนานเท่านาน
ชาวนครพนมรวมใจรำบูชาพระธาตุพนมถวายเป็นพุทธบูชาวันออกพรรษา ก่อนปล่อยไหลเรือไฟในช่วงเย็น
วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณหน้าวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมารอร่วมประกอบพิธีถวายเครื่องบูชาและรำบูชาพระธาตุพนมสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนม เป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระมหากัสสปะสร้างไว้ตามความเชื่อพื้นถิ่น โดยพระธาตุพนมเป็นพระธาตุที่มีเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และในลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง ที่เมื่อถึงเทศกาลสำคัญครั้งใด พุทธศาสนิกชนที่ให้ความเคารพจะเดินทางมาสักการะบูชาเป็นประจำ
วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2566
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม แนะนักท่องเที่ยวเยือนซุ้มวิถีเรือไฟ รับรองได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ ที่แปลกตา
วันที่ 28 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นายจิรศักดิ์ สีหามาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และคณะหัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการตัดสินเรือไฟ ลงพื้นที่ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจ มอบสิ่งเครื่องอุปโภคบริโภค และประเมินให้คะแนนซุ้มเรือไฟของคณะผู้จัดทำเรือไฟแต่ละอำเภอที่ต่างขะมักเขม้นเร่งสร้างเรือไฟอย่างสุดฝีมือ เพื่อให้เรือไฟของตนเองมีความสมบูรณที่สุดตามแบบที่ได้ร่วมกันวางไว้ก่อนที่จะมีการประกวดแข่งขันและไหลโชว์เป็นประทีปพุทธบูชาในวันพรุ่งนี้ ( 29 ตุลาคม 2566) ซึ่งเป็นวันออกพรรษา
ทั้งนี้อยากขอแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่มาร่วมงานระหว่างรอการไหลเรือไฟโชว์ก็สามารถแวะเวียนไปชมซุ้มวิถีเรือไฟของแต่ละอำเภอได้ ซึ่งนอกจากจะได้เห็นเทคนิคและวิธีการ รวมถึงขั้นตอนการทำเรือไฟแล้ว ยังจะได้ร่วมสนุกกับการแสดงศิลปวัฒนธรรม การจัดนิทรรศการให้ความรู้ ไปจนถึงสินค้าดีสินค้าเด่นของชุมชนอีกมากมาย ที่หลายคนเห็นแล้วต้องเกิดความประทับใจ อยากได้กลับไปอย่างแน่นอน เพราะราคาเป็นกันเองมากที่สำคัญยังจะได้รู้ถึงสิ่งใหม่ ๆ และรู้ถึงแหล่งที่มาของแต่ละอย่างด้วย เช่น พิณ แคน โหวดของบ้านท่าเรือ อำเภอนาหว้า ที่หลายคนไม่รู้ว่ามีชื่อเสียงดังไกลไปทั่วโลก มีออเดอร์จากต่างประเทศสั่งจองเข้ามาอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี เพราะเป็นหมู่บ้านแห่งเดียวในภาคอีสานที่มีการสืบทอดภูมิปัญญาการประดิษฐ์มาอย่างยาวนานนับ 100 ปี จากรุ่นสู่รุ่น หรือถ้าใครอยากได้ไอเดียใหม่ ๆ ไปสร้างบ้าน ก็มีบ้านแคปซูลของอำเภอนาทมให้ได้ชม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่นำมาโชว์ให้ทุกคนได้เห็น ถึงความน่ารักของตัวบ้านแต่ลงตัวกับสถานที่เมื่อมีการประดับตกแต่งด้วยสวนหย่อมและแสงไฟเพียงเล็กน้อยก็กลายเป็นความสวยงามที่ใครเห็นเป็นต้องหันกลับมามองทันที โดยบ้านแคปซูลตัวอย่างนี้เป็นการดัดแปลงมาจากบ้านเทียมเกวียนลากในสมัยโบราณ แต่ชาวนามนำมาทำให้มีความทันสมัยที่ใครก็สามารถนำไปเป็นโมเดลต้นแบบทำเองก็ได้ ซึ่งจากการสอบถามราคาต้นทุนอยู่ที่ 3 หมื่นกว่าบาท แต่เหมาะมากสำหรับคนอยากมีที่พักผ่อนตากอากาศเล็ก ๆ หรือถ้าอยากสั่งจองก็สามาถติดต่อได้ที่ซุ้มวิถีเรือไฟอำเภอนาทม นอกจากนี้ก็ยังมีของดีของเด่นอำเภออื่น ๆ อีกที่นำมาจัดให้ได้ชม ไม่ว่าจะเป็นปลาส้มศรีสงคราม ผ้าไหม ผ้ามุก ผ้าย้อมไม้มงคล หรือแม้กระทั้งชุดที่ไม่การออกแบบให้มีความทันสมัยสามารถสวมใส่ได้ทุกเพศทุกวัย
เรือนางพญาศรีโคตร วัดกลาง พิชิตชัยการแข่งขันเรือยาวประเพณีสัมพันธ์ไทย-ลาว สนามนครพนมได้ถ้วยพระราชทานในหลวงไปครอง
วันที่ 28 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาเชียร์และให้กำลังชาวเรือทั้งในจังหวัดนครพนม จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่เข้าร่วมการแข่งขันเรือยาวประเพณีสัมพันธ์ไทย - ลาว ชิงถ้วยพระราทาน ประจำปี 2566 รวมทั้งสิ้น 63 ลำ ที่เทศบาลเมืองนครพนมจัดขึ้น ภายใต้งานประเพณีไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม ประจำปี 2566 โดยได้รับพระมหากรุณาอันล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศการแข่งขันเรือยาวให้กับทีมผู้ชนะ ซึ่งตลอดการแข่งขันเป็นไปด้วยความสูสีผลัดกันแพ้ชนะของแต่ละทีมกระทั้งจบการแข่งขัน ทำให้ตลอดระยะเวลาการแข่งขัน 4 วัน เป็นไปด้วยความสนุกสนานของผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันตลอดจนผู้ที่มาร่วมลุ้นและเชียร์ให้กำลังใจ
ส่วนการแข่งขันเรือยาวประเภท 40 ฝีพาย รางวัลชนะเลิศเป็นของเรือเทพศิริชัย ไวไว วัดศิริพุทธาราม จังหวัดนครพนม รับถ้วยราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินสด 50,000 บาท รองอันดับ 1 เรือศรพลาวาส วีทีสปอร์ต จังหวัดบึงกาฬ รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 40,000 บาท รองอันดับ 2 เรือเจ้าลำน้ำโขง วัดมหาธาตุ จังหวัดนครพนม รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 30,000 บาท และรองชนะเลิศอันดับ 3 เรือพรหลวงพ่อชัย จังหวัดปทุมธานี รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินสด 20,000 บาท การแข่งขันเรือยาวประเภทเชื่อมสัมพันธไมตรีไทย - ลาว 35 ฝีพายชนะเลิศ ได้แก่ เรือเทพศิริชัย ไวไว วัดศิริพุทธาราม จังหวัดนครพนม รับถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินสด 40,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 เรือพญาศรีโคตร วีทีสปอร์ต วัดกลาง จังหวัดนครพนม รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 30,000 บาท รางวัลชนะเลิศอันดับ 2 เรือนางคำไหล สปป.ลาว รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 20,000 บาท และรางวัลชนะเลิศอันดับ 3 เรือขุนพนมนาคา วัดมหาธาตุ รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท และการแข่งขันเรือยาวประเภท 12 ฝีพาย รางวัลชนะเลิศ เรือเจ้าธาราธิดาพาขวัญ วัดศิริพุทธาราม จังหวัดนครพนม รับถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมรางวัล 20,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 เรือนางสาวสร้อยฟ้า วัดมหาธาตุ จังหวัดนครพนม รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 15,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เรือเจ้าปู่กกต้อง หกเซียนภูเทวดา วัดกกต้อง จังหวัดนครพนม รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท และรองชนะเลิศอันดับ 3 เรือเจ้าพ่อทองดำ สปป.ลาว รับถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินรางวัล 5,000 บาท
เยาวชนนครพนม ฝึกทำเรือไฟโบราณ สืบสานอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นเทศกาลวันออกพรรษา
ผศ.ดร.เกรียงไกร ผาสุตะ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิลปวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานและมีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เรือไฟโบราณจนกลายมาเป็นเรือไฟขนาดใหญ่ที่ประชาชนทั่วไปจะได้เห็นในวันออกพรรษา ซึ่งในขั้นตอนกระบวนการประดิษฐ์ก็จะมีความยากง่ายแตกต่างกันออกไป และเพื่อให้เยาวชนจังหวัดนครพนมได้เรียนรู้และร่วมกันสืบสานประเพณีอันงดงามของคนนครพนมไว้ตราบนานเท่านาน มหาวิทยาลัยนครพนมจึงได้นำบุคลากรกองพัฒนานักศึกษา และนักศึกษามหาวิทยาลัยนครพนม ลงพื้นที่เรียนรู้การทำเรือไฟโบราณ เพื่อเป็นเครื่องพุทธบูชาในวันออกพรรษา (ขึ้น 15 เดือน 11) จากปราชญ์ชาวบ้านและคนในชุมชนวัดสว่างสุวรรณาราม ตำบลหนองแสง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2566
กรมทางหลวงเปิดเวทีเสนอแนวคิดและร่างรูปแบบทางเลือกศึกษาความเหมาะสมการพัฒนาระบบโครงข่ายทางหลวงเชื่อมรถไฟทางคู่อ.เมืองนครพนม
วันที่ 24 ตุลาคม 2566 ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายวรวิทย์ พิมพ์พนิตย์ นายอำเภอเมืองนครพนมเป็นประธานเปิดการประชุมเพื่อเสนอแนวคิดและร่างรูปแบบทางเลือก (กลุ่มย่อย ครั้งที่ 1 ) การศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้น การพัฒนาระบบโครงข่ายทางหลวง เชื่อมต่อสถานีรถไฟทางคู่แนวใหม่ สายบ้านไผ่ – นครพนม ที่กรมทางหลวงจัดขึ้นตามแผนการดำเนินงานและเหตุผลความจำเป็นของโครงการ ที่ต้องการให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่กวมรับข้อมูลข่าวสารและแสดงความคิดเห็นตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนพัฒนาโครงการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อความสำเร็จของโครงการ
วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2566
ฝนเป็นเหตุ ต้องหยุดไหลเรือไฟโชว์ 1 วัน ทำเซอร์ไพรส์นักท่องเที่ยวพบพญานาคไม้ไผ่สานแทน
วันที่ 23 ตลาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม ภายหลังฝนตกลงมากอย่างหนักในช่วงก่อนหัวค่ำ ส่งผลให้เรือไฟของสำนักงานเทศบาลเมืองนครพนมที่จะต้องไหลโชว์ในวันนี้มีปัญหา เนื่องจากตะเกียงไฟที่ทำจากกระป๋องกาแฟและกระป๋องนม เพื่อจุดให้แสงสว่างเป็นลวดลายต่างที่ออกแบบของเรือไฟ มีน้ำเข้าไปในกระป๋องทำให้ตะเกียงจุดติดลำบากมากขึ้น เพราะมีน้ำเข้าไปผสมกับน้ำมัน และใส้ตะเกียงเปียก อีกทั้งตะเกียงไหนที่มีน้ำผสมน้อยสามารถจุดติดได้ก็จะมีการลุกแรงในบางครั้งกลายเป็นความเสี่ยงและอันตรายสำหรับศิลปินเรือไฟที่ทำการจุดไฟช่วยกัน ซึ่งตลอดเวลาที่พยายมทพการจุดตะเกี่ยงช่วยกันตั้งแต่เวลา 18.00 น. จนถึงเวลา 21.00 น. สามารถจุดได้เพียง 40 เปอร์เซ็นต์ จึงได้มีการรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบเรื่องด้งกล่าว เพราะคาดว่าถ้าใช้เวลามากกว่านี้แสงไฟที่ได้จะไม่สมบูรณ์ ลวดลายบนเรือไฟจะไม่มีความสวยงามเหมือนเช่นวันก่อนหน้าที่มีการแสดงโชว์ ทำให้คณะผู้บริหารที่นำโดยนายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ตัดสินใจแจ้งไปยังประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มารวมงานให้ได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเพราะเหตุใดจึงไม่อาจไหลเรือไฟให้ได้ชมในวันนี้ได้ แต่อย่างไรก็ดียังคงสาธิตการจุดเรือไฟอยู่บริเวณหน้าโรงเรียนสุนทรวิจิตร เพื่อให้ทุกคนได้ชมอยู่ โดยในส่วนของกระทงสายหรือที่หลายคนเรียกไข่พญานาครวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ยังคงมีอยู่เช่นเดิม ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาแล้วตัดสินใจมายังจุดที่ศิลปินเรือไฟสาธิตการจุดเรือไฟและได้พบกับสิ่งสวยงามที่ไม่คาดคิด นั่นคือ พญานาคไม้ ที่มีการจักรสานจากไม้ไผ่เป็นพญานาคขดตัวสวยงามความสูงประมาณ 5 เมตร ส่วนความยาวประมาณ 6 - 7 เมตร ที่มีการจัดแสดงโชว์ให้ได้ชมแทน กลายเป็นความเซอร์ไพรส์สร้างความประทับใจที่เป็นต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายเก็บเป็นความทรงจำแทน
โดยผู้ที่สนใจอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมครั้งนี้ สามารถร่วมบริจาคไม้ไผ่เพื่อใช้สร้างองค์พญานาคราชได้ หรือจะมาลงแรงก็ได้เช่นเดียวกัน หรือถ้าใครจะสนับสนุนเป็นทุนทรัพย์ก็สามารถบริจาคได้ที่ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชีวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เลขที่ 8850018827 โดยขอให้ผู้ที่บริจาคร่วมโครงการส่งสลิปที่ Line : @naga159 ทุกครั้งเพื่อยืนยันการโอน ทั้งนี้สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่พระครูสังฆรักเอกพันธ์ กิตติโสภโณ 065-010-8559 หรือที่นายพนมวัฒน์ อัศวอิทธิพร 095–789-6452
นักท่องเที่ยวบอกคุ้มสุด ๆ หยุดยาว 3 วันเที่ยวนครพนม ชมเรือไฟ 3 แบบ
จากนั้นก็มานั่งชมการแสดงที่หน้าเวทีได้สบายๆ เพื่อรอเวลาเรือไฟไหลโชว์ ซึ่งเมื่อถึงเวลา 19.00 น.ก็ได้ชมแล้ว ที่สำคัญยังมีความเซอร์ไพรส์ให้ได้รับชมบนฟ้ากับการแสดงบินโดรนแปรอักษรให้ได้ชมด้วย ที่เป็นการเล่าเรื่องราวตามภาพที่แปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทั้งภาพพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาแสดงธรรมเทศนา ภาพพญานาคเลื่อนไหว ภาพการลอยประทีปบูชาที่เคลื่อนไหวได้ ก่อนจะหลายมาเป็นภาพเรือไฟ และภาพอื่น ๆ อีก ถือเป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่ถือว่าคุ้มสุด ๆ กับการมาครั้งนี้ เพราะได้เห็นเรือไฟในน้ำ บนฟ้า แลยิ่งพอทราบว่าที่วัดสว่างสุวรรณารามมีการทำเรือไฟบก ก็ว่าจะพาครอบครัวไปชมสักครั้งว่าจะมีความแตกต่างจากเรือไฟขนาดใหญ่และเรือไฟโบราณอย่างไร จะได้ชมครบทั้ง 3 แบบเลยในครั้งนี้
พสกนิกรจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีวางพวงมาลาน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ รัชกาลที่ 5 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต
วันที่ 23 ตุลาคม 2566 ที่พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 บริเวณด้านหน้าหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล อัยการ ทหาร ตำรวจ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ และพสกนิกรจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีวางพวงมาลาเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นอเนกอนันต์เพื่อให้พสกนิกรชาวไทย เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต
ด้วยพระปรีชาสามารถและสายพระเนตรอันกว้างไกลทำให้ประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้าทันสมัย ทรงยกเลิกระบบทาส ระบบไพร่ และทรงนำศาสตร์การปกครองของไทยและชาติสากลมาผนวกใช้ในการปกครองพระราชอาณาจักร นำพาชาติบ้านเมืองให้ผ่านพ้นภัย ดำรงอธิปไตย และความเป็นเอกราชของชาติไว้ได้อย่างมั่นคง ทำให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรืองพัฒนาไพบูลย์สืบเนื่องมาจนกาลปัจจุบัน พระปรีชาสามารถและพระเกียรติยศเป็นที่ประจักษ์แก่นานาอารยประเทศ และด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พสกนิกรชาวไทยทั้งหลายจึงต่างน้อมรำลึกเทิดพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ถวายพระราชสมัญญาแด่พระองค์ว่า “พระปิยมหาราช” โดยพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 เวลา 2.45 นาฬิกา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สิริพระชนมพรรษาได้ 57 พรรษา
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2566
งานไหลเรือไฟนครพนมวันแรก นักท่องเที่ยวแน่นพื้นที่กระจายตามจุดต่าง ๆ ที่มีกิจกรรม
วันที่ 20 ตุลาคม 2566 ที่จังหวัดนครพนม ซึ่งวันนี้เป็นวันแรกของการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟ ประจำปี 2566 เป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมงานตลอดทั้งวัน โดยกระจายไปตามจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมการออกร้านมัจฉากาชาดของเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมที่ได้นำเอาสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนผู้ใจบุญมาทำเป็นรางวัลให้ผู้ที่มาร่วมงานได้สนุกกับการตักไข่มัจฉาในราคาเพียง 20 บาท เพื่อลุ้นรางวัลใหญ่ ทั้งรถจักรยานยนต์ เตารีด หม้อหุงข้าว เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ในครัวเรือน ตลอดจนรถจักรยานและขนมขบเคี้ยว และเมื่อเหนื่อยก็สามารถมาเดินตลาดโบราณ ออเจ้า นครพนม ที่มีของกินเป็นเมนูอาหารพื้นถิ่นของแต่ละอำเภอ ที่แต่ละชนเผ่านำมาวางจำหน่ายให้ได้นั่งรับประทานชิว ๆ บนแคร่ไม้ไผ่ เช่น เมี่ยงตาสวดที่เป็นเมนูอาหารที่ได้รับการคัดเลือกจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรมให้เป็นอาหารถิ่น รสชาติ...ที่หายไป ปี 2566 โดยราคาจำหน่ายเริ่มต้นจะอยู่ที่ 20 บาทเท่านั้น ซึ่งถือเป็นเมนูเพื่อสุขภาพมีสรรพคุณทางยา ด้วยมีพืชผักสมุนไพรในท้องถิ่นนับ 10 ชนิดเป็นวัตถุดิบหลักในการประกอบอาหาร ที่ใครได้รับประทานเป็นต้องติดใจในรสชาติที่แสนอร่อยที่ชาวไทยแสกนิยมนำมารับประทานเป็นอาหารว่างเมื่อมีการพบปะสังสรรค์ หรือถ้าใครเหนื่อยปวดเมื่อยตามร่างกาย ก็มีบริการนวดคลายเส้นกับสปาเกลือของชาวไทกวน หรือถ้าอยากได้ของฝากก็มีสินค้าดีสินค้าเด่น ผลิตภัณฑ์ของแต่ละชุมชนในจังหวัดนครนพมจำหน่าย นอกจากนี้ยังมีบูธนิทรรศการให้ความรู้ของหน่วยงานราชการ ที่มาถ่ายทอดความรู้ในด้านต่าง ๆ ให้ทุกคน ทั้งการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การทำประกันสังคม การรับสมัครงาน และการให้บริการอื่น ๆ
วช. ถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีโดรน ให้ชาวนครพนมสร้างการเรียนรู้ระบบ AI ต่อยอดการท่องเที่ยว และสร้างอาชีพในอนาคต
วันที่ 20 ตุลาคม 2566 ที่หอประชุมวิทยาลัยเทคนิคนครพนม วิทยาลัยสารพัดช่างนครพนมเดิม จังหวัดนครพนม ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเกี่ยวกับโดรน (Drone) ที่สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ สมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับและจังหวัดนครพนม จัดขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม โครงการการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมโดรนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านกิจกรรมการถ่ายทอดการบินโดรนแปรอักษรที่มีนายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ เป็นหัวหน้าโครงการ โดยมีบุคคลากรด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ ตลอดจนเยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่สนใจเข้ารับการอบรม มีนายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม คณะหัวหน้าส่วนราชการร่วมให้การต้อนรับ ตลอดจนคณะผู้ทรงคุณวุฒิจาก วช. ร่วมกิจกรรม
วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2566
นครพนม นักท่องเที่ยวแห่ชมการแสดงบินโดรน พร้อมกระทบไหล่ดาราดังรำบวงสรวงงานไหลเรือไฟ
วันที่ 19 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณแลนด์มาร์คพญาศรีสัตตนาคราช เทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมารอรับชมการรำบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เพื่อขอพรในการปกป้องคุ้มครองให้ผู้ที่มาร่วมงานประเพณีไหลเรือไฟ จังหวัดนครนพม ประจำปี 2566 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 30 ตุลาคม 2566 มีความปลอดภัย และให้งานสำเร็จสมดังที่ตั้งใจเป็นไปตามประเพณีวัฒนธรรมอันงดงามในช่วงเทศกาลวันออกพรรษา ที่ชาวนครพนมถือปฏิบัติเป็นประจำทุกปี ในการสร้างเรือไฟขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์ประทับไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมเทศนาโปรดพญานาคที่เมืองบาดาล รวมถึงเป็นการระลึกถึงพระคุณของแม่น้ำโขงที่ทุกคนได้ใช้หล่อเลี้ยงชีวิต เป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินลงไป
จ. นครพนม บูรณาการออกหน่วยเคลื่อนที่พอ.สว.และหน่วยบำบัดทุกข์ ดูแลประชาชนชาวนาหว้า
วันที่ 19 ตุลาคม 2566 ที่โรงเรียนบ้านดอนศาลา ตำบลเหล่าพัฒนา อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.จังหวัดนครพนม และโครงการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างร้อยยิ้มให้ประชาชนจังหวัดนครพนม ให้บริการประชาชนในพื้นที่ สร้างการเข้าถึงการให้บริการแบบครบวงจรในจุดเดียว
นครพนม ประกอบพิธีบวงสรวงศาลหลักเมือง ขอความเป็นสิริมงคลและความปลอดภัยให้ผู้มาร่วมงานไหลเรือไฟ ปี 2566
วันที่ 19 ตุลาคม 2566 ที่บริเวณศาลหลักเมืองจังหวัดนครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนจังหวัดนครพนมและสื่อมวลชน ร่วมประกอบพิธีบวงสรวงกราบไหว้ศาลหลักเมือง บูชาเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ให้ช่วยดลบันดาลความเป็นสิริมงคล ขอให้การจัดงานราบรื่นประสบความสำเร็จ ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานประเพณ๊ไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม ประจำปี 2566 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 30 ตุลาคม 2566 มีแต่ความสุขและความปลอดภัย โดยในช่วงเย็นของวันนี้จะมีพิธีรำบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช ที่นำโดย(กรีน) อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล และ (ญิ๋งญิ๋ง) ศรุชา เพชรโรจน์ ดารานักแสดงจากละครพนมนาคา ที่กำลังออกอากาศทางช่อง ONE
สำหรับงานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนนมในปี 2566 นี้ ยังคงจัดที่ณบริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม และริมฝั่งแม่น้ำโขง เลียบถนนสุนทรวิจิตร เทศบาลเมืองนครพนมเช่นเดิม เพิ่มเติมคือความยิ่งใหญ่ตระการตาที่หลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น โดยชาวจังหวัดนครพนมได้มีการบูรณาการความร่วมมือ สืบสานประเพณีอันเก่าแก่และงดงามในช่วงเทศกาลวันออกพรรษาตามความเชื่อและศรัทธา ที่ว่าการไหลเรือไฟเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธองค์ประทับไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมเทศนา โปรดพญานาคที่เมืองบาดาล รวมถึงเป็นการระลึกถึงพระคุณของแม่น้ำโขง ที่ทุกคนได้ใช้หล่อเลี้ยงชีวิต ทั้งเป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินลงไป ซึ่งปีนี้มีการจัดสร้างเรือไฟขนาดใหญ่ขึ้นมาทั้งสิ้น 15 ลำ ๆ ที่มีขนาดใหญ่สุดคือยาว 79 เมตร ส่วนตะเกียงที่ใช้ประดับเรือไฟเพื่อให้เกิดเป็นลวดลายที่สวยงามตามการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละลำที่มีการสอดแทรกเรื่องราววิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ความศรัทธา สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ของดีของเด่นในชุมชน ตลอดจนการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยมีการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาเสริมสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมกลางสายน้ำ โดยในการไหลเรือไฟจะมีให้ชมทุกวัน วันที่มากสุดคือวันที่ 29 ตุลาคม 2566นอกจากนี้ผู้ที่มาก่อนวันออกพรรษา ยังจะมีโอกาสได้ชมการแสดงบินโดรนแปรอักษรและรูปภาพที่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นจังหวัดนครพนมบนท้องฟ้าที่จะมีทั้งข้อความ พระธาตุพนม เรือไฟ และพญาศรีสัตนาคราช หรือถ้าประชาชนและนักท่องเที่ยวอยากร่วมกิจกรรมทำกระทงเรือไฟจากกาบกล้วย เพื่อสะเดาเคราะห์ต่อชะตาตามปีเกิด เสริมบุญบารมีและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถเข้าร่วมได้ที่บริเวณกิจกรรมเรือไฟโบราณ ที่เมื่อประกอบพิธีในวันออกพรรษาเสร็จแล้วเจ้าหน้าที่จะนำไปลอยกลางแม่น้ำโขงให้ทุกคน ขณะเดียวกันก็ยังมีพิธีรำบูชาองค์พระธาตุพนม พิธีการอัญเชิญไฟพระฤกษ์ ขบวนแห่ปราสาทผึ้ง การแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้าน การแสดงโชว์เรือกีบหนีบกันพายที่เป็นการว่ายน้ำในแม่น้ำโขงเพื่อแปรขบวนเป็นรูปต่าง ๆ การแสดงยุทธวิธีทางน้ำ การแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดัง กิจกรรมพาข้าวแลง การแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การทำบุญตักบาตรเทโว การร่วมสนุกและทำบุญกับกิจกรรมมัจฉากาชาด ที่มาออกบู๊ททำกิจกรรมในระหว่างวันงาน เพื่อหารายได้ไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ ตลอดจนการเลือกหาสินค้าถูกใจ ทั้ง เครื่องแต่งกาย สินค้าอุปโภค บริโภค สินค้าพื้นถิ่น ผลิตภัณฑ์ชุมชน.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)


.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)