วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563

คลังนครพนม เปิดเวทีสร้างความรู้ความเข้าใจให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเร่งรัดเบิกจ่ายช่วงปลายปีงบประมาณ



วันที่ 31 สิงหาคม 2563 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นางสุธิษา จารุเมธาวิทย์ คลังจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่กรมบัญชีกลางได้มีการเตรียมความพร้อมในการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ในช่วงการพิจารณางบประมาณ พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี พ.ศ. 2564 โดยคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พิจารณาแล้วเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภา ดังนั้นเพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินได้สำเร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และเป็นไปตามนโยบายเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินของรัฐบาล สำนักงานคลังจังหวัดนครพนมจึงได้เชิญเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในระบบ GFMIS ของหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่เข้าร่วมรับฟังการชี้แจงและฝึกอบรมวิธีการปฏิบัติงานในระบบช่วงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพเป็นไปตามระเบียบ ขั้นตอน วิธีการและกระบวนการปฏิบัติ

โดยผู้ที่เข้าอบรมในครั้งนี้ได้จะรับความรู้เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติงานเพื่อให้ส่วนราชการปฏิบัติงานในระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ระบบงบประมาณ ระบบจัดซื้อจัดจ้าง ระบบเบิกจ่ายเงิน ระบบรับและนําส่งเงิน ระบบบัญชีแยกประเภทและหลักเกณฑ์ แนวทางการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงินได้อย่างครบถ้วน ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เช่น การเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ให้หน่วยงานของรัฐบันทึกข้อมูลในระบบ e-GP โดยไม่ต้องระบุรหัสแหล่งของเงินและรหัสงบประมาณ กรณียังไม่ทราบรหัสงบประมาณ ซึ่งในช่วงนี้ระบบจะให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างไปก่อนได้ และจะดำเนินการบังคับให้บันทึกรหัสงบประมาณเมื่อพ้นระยะเวลา 45 วันหลังจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 มีผลบังคับใช้ ทั้งนี้เมื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ตัวผู้รับจ้างแล้วและมีรหัสงบประมาณและแหล่งของเงินแล้วให้มาบันทึกในขั้นตอนการจัดทำร่างสัญญา ส่วนหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินงบประมาณปี พ.ศ.2563 ไว้เบิกเหลื่อมปี กรณีมีสัญญาหรือข้อตกลงซื้อหรือจ้างให้บันทึก PO ในระบบ GFMIS กรณีหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการมีสัญญาหรือข้อตกลงซื้อหรือจ้างให้สำรองเงินประเภท CX ในระบบ GFMIS กรณีได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุหรืออยู่ระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ให้สำรองเงินประเภท CX ในระบบ GFMIS ทั้งนี้ให้หน่วยงานตรวจสอบรายการและแจ้งกรมต้นสังกัดเพื่อยืนยันในระบบ GFMIS ภายในวันพุธที่ 30 กันยายน 2563 หากไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนดงบประมาณดังกล่าวต้องถูกพับไป

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563

อำเภอเมืองนครพนมจับมือสถาบันพระปกเกล้า สร้างชุมชนต้นแบบน่าอยู่ที่ขับเคลื่อนโดยภาคพลเมือง


วันที่ 26 สิงหาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสมลักษ์ ยกน้อยวงษ์ นายอำเภอเมืองนครพนม เปิดเผยว่า การมีชุมชนน่าอยู่ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพราะนั่นหมายถึงการที่ทุกคนมีสภาพแวดล้อมที่ดี ทั้งในเรื่องของสุขภาพกาย สุขภาพใจ สิ่งแวดล้อม และสังคมที่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีความรักความสามัคคี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ซึ่งการจะได้มาของชุมชนน่าอยู่นั้นก็ต้องมาจากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน และถ้ามีการพัฒนาอย่างเป็นระบบจะยิ่งทำให้ชุมชนนั้นมีความมั่งคงและยั่งยืน ดังนั้นเพื่อสร้างชุมชนต้นแบบน่าอยู่ อำเภอเมืองนครพนม จึงได้ร่วมกับศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้าจังหวัดนครพนม และมหาวิทยาลัยนครพนม จัดเวทีปรับปรุงและสรุปร่างนโยบายสาธารณะอย่างมีส่วนร่วมขึ้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันจัดทำแผนพัฒนาชุมชนต้นแบบ

โดยกิจกรรมในครั้งนี้ได้กำหนดแผนพัฒนาไว้ 3 ระยะด้วยกัน ประกอบไปด้วย ระยะที่ 1 กำหนดต้นแบบของชุมชนเพื่อสำรวจเก็บข้อมูล-ปัญหาในพื้นที่ ระยะที่ 2 ดำเนินการแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามแผน และระยะที่ 3 เป็นการนำโมเดลชุมชนต้นแบบขยายผลไปยังหมู่บ้านอื่น ๆ ในพื้นที่จังหวัดนครพนม ซึ่งก็ได้เลือกบ้านเนินสะอาดเป็นชุมชนนำร่อง เพราะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ที่มีการขยายตัว ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ที่มาพร้อมกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมาก็ได้มีการเชิญทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนชุมชน นักเรียน นักศึกษาและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ มาร่วมกันพูดคุยหารือเสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในชุมชนบ้านเนินสะอาดร่วมกัน เช่น ระบบน้ำประปาในชุมชนขุ่น คลองระบายน้ำเสียที่ยังไม่มีระบบการบริหารจัดการที่ดี ปัญหาขยะมูลฝอยที่เพิ่มมากขึ้น ปัญหามลพิษทางเสียงภายในชุมชน การกำจัดน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล ไปจนถึงการจัดการสุขาภิบาลในชุมชนและการปรับปรุงอนามัยสิ่งแวดล้อมให้ชุมชนสะอาดน่าอยู่ ก่อนที่จะร่วมกันกำหนดร่างนโยบายเพื่อจัดทำเป็นแผนพัฒนาพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาชุมชนในระยะต่อไป ซึ่งถือเป็นการร่วมมือกันในการขับเคลื่อนพัฒนาชุมชนสู่ชุมชนน่าอยู่แบบมีส่วนร่วมของภาคพลเมือง

5 หน่วยงานนครพนม​ รวมพลังสร้างมาตรฐานดูแล​งานอนามัยแม่และเด็ก​ ขับเคลื่อน​มหัศจรรย์​ 1,000​ วันแรกของ​ชีวิต​

วันที่ 26 สิงหาคม 2563 ที่จังหวัดนครนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการมาตรฐานการดำเนินงานอนามัยแม่และเด็กการดูแลหญิงตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยงและการดำเนินงานมหัศจรรย์ 1,000 วันแรกของชีวิต และร่วมเป็นสักขีพยานร่วมกับศูนย์อนามัยที่ 8 อุดรธานี ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อนมหัศจรรย์ 1,000 วันแรกของชีวิตจังหวัดนครพนม ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ร่วมกับสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครพนม สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดนครพนม สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครพนม จัดทำขึ้น เพื่อที่จะร่วมกันขับเคลื่อนงานส่งเสริมสุขภาพสตรีตั้งครรภ์และเด็กปฐมวัย นับตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึง 2 ขวบปีแรก ซึ่งเป็นช่วงวัยทองของเด็กที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาสมอง เพราะเป็นช่วงที่โครงสร้างสมองมีการพัฒนาสูงสุด มีผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก ส่งผลต่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เด็กมีพัฒนาการสมวัย มีโภชนาการที่ดี สูงดีสมส่วน โดยเป็นการดำเนินการที่ส่งเสริมให้ครอบครัว ชุมชนและสังคม ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลหญิงตั้งครรภ์ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก ครอบครัวและชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีมาตรฐาน

เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยมีการเกิดของเด็กน้อยลงและมีระดับเชาว์ปัญญาค่อนไปทางต่ำกว่าค่ามาตรฐานสากล โดยจากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขที่มีการสำรวจในปี 2559 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 พบว่าระดับสติปัญญานักเรียนไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทั่วประเทศจำนวน 23,641 ราย มีระดับเชาวน์ปัญญา (Intelligent Quotient : IQ) เฉลี่ยเท่ากับ 98.23 ถือเป็นระดับสติปัญญาที่อยู่ในเกณฑ์ปกติแต่ค่อนไปทางต่ำกว่าค่ากลางของมาตรฐานสากลในยุคปัจจุบัน (IQ=100) ซึ่งในภาพรวมของประเทศยังมีเด็กประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มี IQ ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติอยู่ถึงร้อยละ 31.81 และยังมีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีระดับสติปัญญาอยู่ในเกณฑ์บกพร่องอยู่ถึงร้อยละ 5.8 ส่วนการสำรวจ EQ โดยใช้แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ เด็กอายุ 6-12 ปี (ฉบับย่อ) สำหรับครู ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยกรมสุขภาพจิต จากเด็กจำนวน 23,276 ราย พบว่ามี EQ อยู่ในระดับปกติขึ้นไปร้อยละ 77 และ EQ อยู่ในระดับควรได้รับการพัฒนาร้อยละ 23 อีกทั้งประเทศไทยอย่างกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และคาดว่าจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2567 ซึ่งถ้าเราไม่เร่งพัฒนาในส่วนนี้จะส่งผลการขับเคลื่อนประเทศต่อไปในอนาคต

โดยกิจกรรมในครั้งนี้ตัวแทนบุคลากรของหน่วยงานที่ร่วมลงนาม จำนวน 150 ยังจะได้รับองค์ความรู้จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความสำคัญของมหัศจรรย์ 1000 วันแรกของชีวิต วิธีการประเมินความเสี่ยงในหญิงตั้งครรภ์และแนวทางการพัฒนาเครือข่ายในการดูแลหญิงตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยง แนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงในหญิงตั้งครรภ์ และแนวทางการดำเนินงานมหัศจรรย์ 1,000 วันแรกของชีวิต รวมถึงได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนแนวความคิดในการดำเนินงาน ร่วมกันอภิปรายปัญหาทั่วไปในการดำเนินงานของแต่ละสถานที่เพื่อวิเคราะห์และหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2563

จ.นครพนม ร่วมกันวิเคราะห์แผน สร้างความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาร่วมงานไหลเรือไฟ ปี 63

วันที่ 25 สิงหาคม 2563 ที่ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดำเนินการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม ประจำปี 2563 ที่จังหวัดนครพนม กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 กันยายน - 4 ตุลาคม 2563 รวม 9 วัน 10 คืน เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนการท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนมและรักษาประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์อันเก่าแก่ล้ำค่าของจังหวัด ซึ่งในปีนี้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมให้มีความเหมาะสมเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 การลดหย่อนความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวและการรักษาระยะห่างทางสังคม

โดยก่อนหน้านี้ได้มีการมอบหมายภารกิจหน้าที่ให้แต่ละหน่วยไปวางแผนในการดำเนินงานเพื่อนำมาเสนอที่ประชุมในวันนี้เพื่อร่วมกันวิเคราะห์หาจุดบกพร่อง จุดที่มีความเสี่ยงควรได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อให้งานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยแต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์อัตลักษณ์ที่สำคัญเอาไว้ บนพื้นฐานของความปลอดภัยของทุกคนที่มาร่วมงาน โดยรายละเอียดเบื้องต้นของการเตรียมความพร้อมงานประกอบไปด้วย ส่วนของพื้นที่ทำกิจกรรมไหลเรือไฟให้ยังคงเหมือนเดิมแต่ปรับเปลี่ยนในเรื่องของการไหลเรือไฟแข่งขันให้เพิ่มจำนวนวันมากขึ้นจากเดิม 1 วันเป็น 3 วัน คือวันที่ 30 กันยายนและวันที่ 1 ตุลาคม 2563 จะมีการไหลวันละ 3 ลำ ส่วนวันที่ 2ตุลาคม 2563 ที่เป็นวันออกพรรษาจะมีการไหล 6 ลำ ซึ่งแต่ละวันจะปล่อยเรือไฟลำแรกในเวลา 19.00 น. และให้ห่างกันทุก 30 นาทีในลำถัดไป ทั้งนี้คณะทำงานต้องควบคุมการไหลให้ตรงตามเวลาที่กำหนด ในส่วนวันอื่น ๆ ที่ไม่มีการแข่งขันเรือไฟจะมีการไหลเรือไฟโชว์และปล่อยกระทงสาย ด้านความปลอดภัยนั้นให้ยึดตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุขทุกประการ โดยมีจุดคัดกรองผู้มาร่วมงานทั้งสิ้น 33 จุด จากการแบ่งพื้นที่ 6 โซนใหญ่ ที่สำคัญคือผู้ที่มาร่วมงานต้องผ่านการตรวจคัดกรองและมีหน้ากากอนามัยสวมใส่ทุกคนจึงจะสามารถเข้ามาภายในงานได้ นอกจากนี้ยังมีการวางแผนจัดชุดเคลื่อนที่เร็วทั้งทางบกและทางน้ำรองรับหากเกิดกรณีฉุกเฉินสำหรับผู้ป่วย มีสายตรวจเดินเท้าเพื่อคอยสอดส่องความปลอดภัยภายในงาน ด้านการจราจรก็มีการวางแผนรองรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่และต่างพื้นที่ โดยแบ่งเป็น 3 โซนใหญ่ คือโซนที่ไม่ให้รถวิ่งผ่านเลย โซนรถวิ่งทางเดียวและโซนรถวิ่งปกติ  2 ทาง ส่วนสถานที่จอดรถมีการกำหนดจุดว่าตรงไหนสามารถจอดได้หรือจอดไม่ได้รวมถึงการหารถมาบริการเสริมหากจุดจอดห่างไกลบริเวณงานจนเกินไป ด้านการประชาสัมพันธ์ก็หาวิธีให้ผู้ที่มาชมความงดงามของเรือไฟได้ยินเสียงบรรยายตลอดแนวริมฝั่งแม่น้ำโขงที่จัดงาน โดยก่อนปิดการประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยไปบูรณาการวางแผนร่วมกันในส่วนที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมที่ได้มีการวิเคราะห์ร่วมกัน พร้อมทั้งให้จัดทำแผนงานทั้งหมดมานำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป

จ.นครพนม ประกอบพิธีมอบเมล็ดพันธุ์ผักพระราชทาน กรมสมเด็จพระเทพฯ ให้ราษฎรนำไปปลูกไว้รับประทานและขยายพันธุ์


วันที่ 25 สิงหาคม 2563 ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานประกอบพิธีมอบเมล็ดพันธุ์ผักพระราชทานที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาพระราชทานเมล็ดพันธุ์พืชผัก ที่ผลิตจากศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริให้แก่ราษฎรในพื้นที่อำเภอเมืองนครพนม 13 ตำบล จำนวน 50 ครัวเรือน เพื่อนำไปปลูกไว้รับประทานในครัวเรือนและขยายพันธุ์ต่อไปภายใต้โครงการ “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” ด้วยในช่วงที่ผ่านมาอำเภอเมืองนครพนม เป็นพื้นที่หนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่  ความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งการพึ่งพาตนเองได้จึงเป็นสิ่งสำคัญและเมล็ดพันธุ์ผักที่ได้รับพระราชทานในวันนี้สร้างความปราบปลื้ม ปิติยินดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นแก่ราษฎรทุกคน เพราะจะเป็นจุดเริ่มต้นอันเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง ที่จะนำมาซึ่งความอยู่ดีกินดีของทุกคน ทั้งยังได้น้อมนำแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ในการดำรงชีวิต ทำให้ราษฎรชาวอำเภอเมืองนครพนม สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไปได้

สำหรับโครงการศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ เป็นโครงการในพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเป็นที่ระลึกในวาระครบรอบ 100 ปี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ด้วยทรงเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมด้านการเกษตรของประเทศไทย ทรงวางรากฐานเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมพัฒนาสู่เกษตรกรรมแบบยั่งยืน และทรงให้ความสำคัญกับเรื่องของเมล็ดพันธุ์ มักจะรับสั่งกับผู้ปฏิบัติงานอยู่เสมอว่า “พันธุ์พืชทุกพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ด เป็นของพระเจ้าอยู่หัว ทำให้ดีที่สุด” โดยศูนย์ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ มีความเป็นมาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2552 ครั้ง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัส ณ วังสระปทุม ใจความตอนหนึ่งว่า ปัจจัยสำคัญของการเกษตร นอกจากจะเป็นเรื่องน้ำและดินแล้ว การมีพันธุ์พืชที่ดีให้เกษตรกรปลูก เป็นเรื่องที่สำคัญมาก อีกอย่างหนึ่งก็คือการที่ทำเองจัดเอง ทำให้เราได้ศึกษาวิธีการว่าพันธุ์ต่าง ๆ นอกจากจะทำให้มีปริมาณมากขึ้นแล้ว คุณภาพที่จะเหมาะสมในแต่ละแห่งจะทำอย่างไร เพราะถ้าเราทำเองจะทราบว่าตรงไหนต้องทำอย่างไร เป็นความรู้ของพวกเราทุกคนด้วย และพระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2552 เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ผักสะสมสำรองไว้เป็นเมล็ดพันธุ์พระราชทานแก่ราษฎรทั่วไป และราษฎรในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2563

อบจ.นครพนม ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดกิจกรรมอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด สร้างเยาวชนที่ดีคืนสังคม

วันที่ 24 สิงหาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายวิทยา ศรีราช รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ปัจจุบันการแพร่ระบาดของยาเสพติดได้กลับเข้าสู่ภาวะที่มีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความสงบสุขของประชาชนและสังคม รวมทั้งเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ และรัฐบาลได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวจึงได้กำหนดนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติและยกระดับเป็นวาระแห่งภูมิภาค โดยมียุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด เป็นยุทธศาสตร์หลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบาย โดยเป็นการบูรณาการความร่วมมือกันทุกภาคส่วน ซึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีหน้าที่ในการดูแลและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงให้การสนับสนุนช่วยเหลือส่วนราชการหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาท้องถิ่น การสังคมสงเคราะห์ การศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก สตรี คนชรา และผู้ด้อยโอกาส

ดังนั้นองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม จึงได้ร่วมกับสำนักงานสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครพนม จัดโครงการอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เสพผู้ติดยาเสพติด ประจำปี 2563 ขึ้น ที่สำนักงานสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครพนม ตำบลนาราชควาย อำเภอเมือง เพื่อให้เด็กและเยาวชนจำนวน 181 คน ที่ได้หลงกระทำผิดได้เข้าใจถึงพิษภัยและโทษของยาเสพติด เห็นคุณค่าความสำคัญของตนเอง มีจิตสำนึกในการป้องกันและลดปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด และพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กลับตัวกลับใจเป็นคนดีของสังคม เมื่อได้กลับออกไปใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ถูกชักจูงให้ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดได้โดยง่าย ซึ่งจะเป็นการลดปริมาณผู้เข้าสู่การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นการนำคนออกจากวงจรการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ลดผลกระทบต่อสังคมและประชาชน ทำให้ทุกคนในครอบครัวมีความรัก ความเข้าใจและมีความสุขร่วมกัน ชุมชนมีความเข้มแข็งปลอดภัย ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรือง 

พาณิชย์นครพนม เฟ้นหาผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตร Premium product เตรียมผลักดันตลาดในพื้นที่และต่างจังหวัด


วันที่ 24 สิงหาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายปัญญา สัมพะวงศ์ พาณิชย์จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จังหวัดนครพนมเป็นจังหวัดที่มีประสิทธิภาพด้านการเกษตรและมีผลผลิตทางเกษตรที่หลากหลาย มีการนำเอาเทคโนโลยีภและนวัตกรรมต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาและส่งเสริมการผลิต รวมถึงพัฒนาสินค้าการเกษตรให้ได้คุณภาพมีมาตรฐานทั้ง GAP PGS และอินทรีย์ และจังหวัดนครพนมได้มีการจัดหาตลาดรองรับสินค้าและผลิตภัณฑ์เหล่านั้นตลอดจนมีการเชื่อมโยงตลาดอื่น ๆ เพื่อให้สามารถกระจายสินค้าเกษตรได้อย่างเป็นระบบอีกด้วย ดังนั้นเพื่อรวบรวมผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ มาพัฒนา วางแผนยกระดับให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงวางแผนการประชาสัมพันธ์และการตลาดที่เป็นระบบเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น จังหวัดนครพนมโดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครพนม จึงได้จัดกิจกรรมการประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรปลอดภัยจังหวัดนครพนมขึ้นมา ภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยจังหวัดนครพนม

โดยในวันนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาเป็นคณะกรรมการคัดสรรผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตสินค้าเกษตร 4 ด้าน คือ ด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ และผลิตภัณฑ์แปรรูป ที่สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 26 ราย 43 ผลิตภัณฑ์ เพื่อประเมินศักยภาพทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ว่าตัวไหนอยู่ในระดับ Premium product หรือตัวไหนยังไม่ผ่านเกณฑ์ต้องปรับปรุงในส่วนใดเพิ่มเติม สำหรับหลักเกณฑ์การให้คะแนนนั้นแบ่งออกเป็น 6 หัวข้อใหญ่ ได้แก่ รูปแบบผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นเอกลักษณ์และวัตถุดิบของท้องถิ่น 5 คะแนน แนวคิดนวัตกรรมความคิดเชิงสร้างสรรค์และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด 5 คะแนน คุณภาพของผลิตภัณฑ์ 5 คะแนน มาตรฐานผลิตภัณฑ์ได้รับเครื่องหมายรับรองมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ เช่น มอก. มกอช. มผช. อย. ฮาลาล  GI GAP PGS GMP HACCP 5 คะแนน ศักยภาพด้านการผลิตและการตลาดแบ่งเป็นจำนวนการผลิตเฉลี่ยต่อเดือน 5 คะแนน ความสม่ำเสมอของจำนวนและคุณภาพผลิตภัณฑ์ 5 คะแนน บรรจุภัณฑ์ต้องมีมาตรฐานบ่งบอกครบถ้วนและสร้างความน่าสนใจ 5 คะแนน มีการกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ 5 คะแนน แหล่งจำหน่ายสินค้ามีความหลากหลาย 5 คะแนน และความต่อเนื่องของตลาด 5 คะแนน นอกจากนี้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการยังจะมีโอกาสได้ซักถาม รับข้อคิด ข้อเสนอแนะ ตลอดจนแนวทางในการหาช่องการจำหน่ายเพิ่มเติมจากคณะกรรมการด้วย

สถิตินครพนม สานสัมพันธ์เครือข่ายมาดี​ แจงรายละเอียดการจัดทำโครงการสำมะโนประชากรและเคหะปี 2563 ​


วันที่ 24 สิงหาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสมชาย ชำนิ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการอบรมโครงการสร้างเครือข่ายสายสัมพันธ์มาดีระดับจังหวัด เพื่อการจัดทำสำมะโนประชากรและเคหะจังหวัดนครพนม ที่สำนักงานสถิติจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการจัดทำโครงการสำมะโนประชากรและเคหะในปี 2563 ที่คณะกรรมการบริหารโครงการฯ มีมติเลื่อนการจัดทำออกไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 จะสิ้นสุดลง เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องดำเนินการให้ครบถ้วนทุกพื้นที่ทั่วประเทศภายในระยะเวลาที่จำกัดและเป็นการจัดเก็บแบบดั้งเดิมคือการสัมภาษณ์แบบ face to face แม้ในชั้นเตรียมแผนงานสำนักงานสถิติจังหวัดจะได้มีการประสานสร้างเครือข่ายประกอบไปด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนส่งเสริมสนับสนุนการปฏิบัติงานสนามในพื้นที่ รวมถึงเป็นการสร้างการรับรู้การในภารกิจของสำนักงานสถิติแห่งชาติและสำนักงานสถิติจังหวัดนครพนม สร้างการรับรู้เกี่ยวกับภารกิจและคุณสมบัติของเครือข่ายมาดี ในการปฏิบัติงานในพื้นที่หรืองานภาคสนามเริ่มตั้งแต่การรับมอบหมายงาน การส่งงาน การตรวจการณ์ และการรับค่าตอบแทน นอกจากนี้เครือข่ายมาดียังจะได้รู้เกี่ยวกับโครงการขนาดใหญ่ที่จะดำเนินงานต่อไปในอนาคต เช่น สำมะโนธุรกิจและการค้า สำมะโนเกษตร ซึ่งเป็นโครงการที่เครือข่ายมาดีจะต้องมีการลงพื้นที่เก็บข้อมูล

โดยสำมะโนประชากรและเคหะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประชากรทุกคนในประเทศและต่างชาติที่มาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปตามที่มีอยู่จริงและที่อยู่อาศัยจริงของประชากร ณ วันสำมะโน ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานของประชากรในระดับพื้นที่ย่อย เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชาชนและที่อยู่อาศัยในรอบ 10 ปี โดยข้อมูลที่ได้จะจัดทำเป็นระบบสถิติและเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐและทุกภาคส่วน เพื่อเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนพัฒนาในทุกมิติได้อย่างถูกต้องเหมาะสมทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น เป็นเสียงสะท้อนให้หน่วยงานภาครัฐได้ใช้ในการกำหนดนโยบาย วางแผนพัฒนาและจัดสรรงบประมาณ สาธารณูปโภค ตลอดจนการให้บริการแก่ประชาชนทุกกลุ่มวัยและการคาดการณ์ประชากรในอนาคต ขณะที่ภาคเอกชนใช้ในการวางแผนและตัดสินใจดำเนินธุรกิจและขยายธุรกิจ สถาบันการศึกษาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์และงานวิจัยเป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2563

นครพนม​ นำแกนนำพลังบวรของชุมชนคุณธรรมดูชุมชนต้นแบบ สร้างแรงบันดาลใจพัฒนา​ต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม​ตามรอยศาสตร์​พระราชาเพื่อ​ชุมชนเข้มแข็ง​และยั่งยืน​


วันที่ 20 สิงหาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะแกนนำพลังบวรของชุมชนคุณธรรม คณะอนุกรรมการส่งเสริมคุณธรรมระดับจังหวัด เครือข่ายทางวัฒนธรรมและสื่อมวลชน ลงพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชุมชนคุณธรรมต้นแบบบ้านท่าเรือ ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า ซึ่งเป็น 1 ใน 10 สุดยอดชุมชนคุณธรรมต้นแบบของประเทศ ตามโครงการต่อยอดพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาเพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน บวร On Tour ของชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ระยะที่ 3 ที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้รับองค์ความรู้และแนวคิดใหม่ๆ ไปปรับใช้ในการพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชนของตัวเองให้มีศักยภาพและตรงตามความต้องการของนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับความพร้อมที่จะรองรับนักท่องเที่ยวของชุมชนคุณธรรมบ้านท่าเรืออีกด้วย

โดยประชาชนในชุมชนบ้านท่าเรือได้มีการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันในการขับเคลื่อนชุมชนให้มีความเข้มแข็งในด้านต่าง ๆ จนประสบผลสำเร็จ ทำให้ทุกคนมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน บนพื้นฐานของความรักความสามัคคี น้ำหนึ่งใจเดียวกันของบ้าน วัดและโรงเรียนที่พร้อมแบ่งปันกันเสมอ ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้ได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ อย่างมากมาย เริ่มตั้งแต่ที่มาและแนวความคิดในการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการขับเคลื่อนชุมชน ไปจนถึงการนำทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในสังคมมาต่อยอดพัฒนาเพื่อให้เกิดคุณค่าและมูลค่าอย่างสร้างสรรค์ จากนั้นจึงได้แบ่งกลุ่มไปเยี่ยมชมตามจุดต่าง ๆ ของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมประเพณีของชุมชน ซึ่งแต่ละแห่งก็จะมีเรื่องเล่า มีประวัติศาสตร์และหลักฐานทางวัตถุให้ผู้ที่มาชมได้เห็น บางแห่งก็มีการส่งเสริมเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ รักษาป่าของชุมชนให้ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์เช่นเดิม การเยี่ยมชมการผลิตเครื่องดนตรีอีสานพื้นบ้านซึ่งประกอบไปด้วย แคน พิณ โหวด ปี่นก ซึ่งปัจจุบันคนในชุมชนมียอดสั่งจองเป็นจำนวนมากเพราะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการประชาสัมพันธ์และการจำหน่ายโดยมีการเปิดเพจและช่องยูทูบเพื่อให้ลูกค้าที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศได้เข้ามาชมถึงขั้นตอนการผลิตสินค้าและเห็นคุณภาพของสินค้าจากการเล่นเครื่องดนตรีชิ้นนั้น ๆ ให้ได้ชม ซึ่งถ้าใครสนใจก็สามารถสั่งจองออนไลน์ได้เลยในราคาที่เป็นกันเอง ตามมาด้วยการเยี่ยมชมการผลิตของฝากของที่ระลึกผลิตภัณฑ์ OTOP และการเยี่ยมชมกลุ่มศิลปาชีพทอผ้าไหมบ้านท่าเรือ ที่เป็นศูนย์ศิลปาชีพแห่งแรกของประเทศ ในโครงการมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่มีการทอผ้าไหมมัดหมี่ลายต่าง ๆ เพื่อจำหน่าย นำมาซึ่งรายได้ของทุกคนในชุมชน

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2563

คณะกรรมการโรคติดต่อนครพนม ประชุมวางแนวทางการขยายเวลาการขนส่งสินค้าและการจัดกิจกรรมเดินวิ่งข้ามโขง


คณะกรรมการโรคติดต่อนครพนม ประชุมวางแนวทางการขยายเวลาการขนส่งสินค้าและการจัดกิจกรรมเดินวิ่งข้ามโขง  
วันที่ 19 สิงหาคม 2563 ที่ห้องประชุมร่มฉัตร ชั้น 2 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครพนม ครั้งที่ 24/2563 เพื่อพิจารณาข้อเสนอของบริษัทคำม่วนซีเมนต์ จำกัด ในเครือ SCG ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เรื่องการขยายระยะเวลาการขนส่งสินค้าจากเดิม ระยะเวลาไม่เกิน 16 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 06:00 - 22:00 น และไม่ให้ผู้ขนส่งสินค้าพักค้างคืนได้ เป็นระยะเวลาไม่เกิน 16 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 18:00 - 10:00 น โดยขอให้พนักงานขับรถขนส่งสินค้าสามารถพักค้างคืน ณ สถานที่จัดเตรียมไว้เพื่อรอการขนถ่ายสินค้าและจังหวัดนครพนมจะมีการจัดกิจกรรมเดินวิ่งข้ามโขง นครพนม-คำม่วน ครั้งที่ 3 ประจำปี 2563 เพื่อวางมาตรการและแนวทางการปฏิบัติ ในการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดต่อโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้โรคติดต่อดังกล่าวกลับมาแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

โดยในเรื่องของการขยายระยะเวลาการขนส่งสินค้านั้นให้คงเดิมไว้ก่อน พร้อมทั้งให้ทางบริษัทฯเข้าชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดแก่คณะกรรมการฯอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป ส่วนของการจัดกิจกรรมเดินวิ่งข้ามโขง ให้ปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมด้านกีฬาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิต - 19 อย่างเคร่งครัด โดยให้ตัดการวิ่งระยะมาราธอน 42.195 กิโลเมตรออกไปเพื่อลดช่วงเวลาการจัดงานให้สั้นลงจากเดิม 7 ชั่วโมงเหลือ 4 ชั่วโมง ส่วนการวิ่งฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กิโลเมตรก็ให้จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมเหลือเพียง 1,000 คน รุ่นมินิมาราธอนระยะทาง 10 กิโลเมตร เหลือ 1,500 คน รุ่น Fun Run ระยะทาง 5 กิโลเมตรเหลือ 1,000 คน และ รุ่น VIP เหลือ 1,000 คน ทั้งนี้คณะทำงานต้องเปิดให้ผู้สมัครมาลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อรับเบอร์วิ่งก่อนวันงานคือวันที่ 7 พฤศจิกายน 2563 แบบเป็นรอบๆ และเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตรเพื่อลดการแออัด ขณะที่การเข้าร่วมกิจกรรมทุกคนจะต้องผ่านจุดคัดกรอง ติดสติ๊กเกอร์และเช็คอินผ่านแอพพลิเคชั่น ไทยชนะ ก่อนเข้างานและต้องปฏิบัติทุกคนไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ส่วนการปล่อยตัวให้ปล่อยเป็นสายทุก 3 วินาทีของทุกระยะ โดยก่อนปล่อยตัวและเข้าเส้นชัยแล้วนักวิ่งต้องใส่แมส หรือผ้าบัฟ ส่วนการเข้าเส้นชัยนักวิ่งจะต้องแยกไปรับเหรียญหลังเส้นชัยในจุดที่กำหนดไว้ให้ในแต่ละระยะการแข่งขัน ขณะที่การจุดให้น้ำระหว่างทางและในงานจะต้องเป็นภาชนะปิดเท่านั้นไม่มีการรินน้ำจากแก้วน้ำดื่มให้ อาหารที่จัดให้ผู้แข่งขันจะต้องเป็นแบบ BOX SET มีการเว้นระยะห่าง 1 เมตร สำหรับผลการแข่งขันยังคงใช้ระบบชิพจับเวลาเหมือนเดิม คือนับเวลาสตาร์ทเมื่อผู้วิ่งผ่านซุ้มจุดปล่อยตัวและสิ้นสุดเมื่อเข้าสู่จุดเช็คพ้อย ทั้งนี้ให้ผู้ร่วมการแข่งขันจะได้รับสิทธิ์การประกันชีวิตจากงานด้วย

ผู้ว่าฯ นครพนม นำคณะกรรมการระดับจังหวัดรับฟังชี้แจงการคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2564


วันที่ 19 สิงหาคม 2563 ที่ห้องประชุมพระธาตุนคร ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะกรรมการคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2564 (ประเทศไทย) ระดับจังหวัด ร่วมรับฟังการชี้แจงความเป็นมาและภารกิจของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี บทบาทและผลงานของครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีและครูเครือข่าย ตลอดจนกระบวนการคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลและบทบาทของคณะกรรมการคัดเลือกระดับจังหวัด ร่วมกับ ดร. กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ผ่านทางระบบวีดีทัศน์ทางไกล Video Conference System

โดยรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี (Princess Maha Chakri Award) เป็นรางวัลที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานให้แก่ครูผู้มีความทุ่มเทเสียสละตนจนสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับลูกศิษย์ และมีคุณูปการอย่างยิ่งต่อการศึกษา จาก 11 ประเทศในอาเซียนและติมอร์-เลสเต ซึ่งคุณสมบัติของผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลจะต้องประกอบไปด้วย คุณสมบัติทั่วไป คือมีสัญชาติไทย และมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย โดยเป็นหรือเคยเป็นครูผู้สอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในสถานศึกษาของรัฐ เอกชน หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นหรือเคยเป็นครูนอกสถานศึกษาที่สอนผู้เรียนในวัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีประสบการณ์ปฏิบัติงานสอนอย่างต่อเนื่องมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปี นับถึงวันที่ออกประกาศโดยยังปฏิบัติงานสอนอยู่จนถึงวันประกาศผลการพิจารณาตัดสิน ในกรณีที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีชั่วโมงสอนในรายวิชาอย่างต่อเนื่อง และไม่เป็นครูสอนพิเศษเป็นอาชีพหลัก ส่วนคุณสมบัติเฉพาะคือต้องเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์ และเป็นผู้มีคุณูปการต่อการศึกษา

ขณะที่การสรรหานั้นจะให้องค์กรและบุคคลเสนอชื่อ เพื่อให้คณะกรรมการระดับจังหวัดคัดเลือก ก่อนที่จะส่งต่อให้คณะกรรมการส่วนกลางคัดเลือกให้เหลือ จำนวน 20 คน โดยจะมีการพิจารณาจากเอกสาร หลักฐาน ศึกษาข้อมูลเชิงลึก และลงพื้นที่พิจารณาคัดเลือกเพื่อจัดลำดับผลการคัดเลือก จากนั้นเสนอชื่อต่อคณะกรรมการวิชาการเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและเสนอรายชื่อครูต่อคณะกรรมการมูลนิธิฯ เพื่อพิจารณาตัดสินครูผู้สมควรได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีเพียง 1 คน ส่วนลำดับที่ 2 และ 3 จะได้รับรางวัลคุณากร ลำดับที่ 4 ถึง 20 ได้รับรางวัลครูยิ่งคุณ และครูที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการคัดเลือกระดับจังหวัด คณะกรรมการคัดเลือกส่วนกลาง และการตัดสินจากคณะกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี จะได้รับรางวัลครูขวัญศิษย์

จัดหางานนครพนม จัดกิจกรรมนัดพบแรงงานสร้างโอกาสหารายได้ให้ประชาชนในพื้นที่


วันที่ 19 สิงหาคม 2563 ที่บริเวณศูนย์ราชการกระทรวงแรงงาน ตำบลหนองแสง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของประชาชนผู้ว่างงาน ที่เดินทางมาสมัครงานกับนายจ้างและสถานประกอบการ ที่มาออกบูธรับแรงงานไปช่วยในการดำเนินกิจการภายใต้กิจกรรมนัดพบแรงงาน ปีงบประมาณ 2563 ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ประสงค์จะหางานทำ ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนงาน ผู้ว่างงาน นักเรียน นักศึกษา ทหารปลดประจำการ ตลอดจนผู้พ้นโทษ ได้มาเลือกสมัครงานตามตำแหน่งงานที่ตรงกับความรู้ความสามารถและความถนัดที่ตนเองมีอยู่ ทั้งยังเป็นการช่วยส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานและลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานของนายจ้างและสถานประกอบการ

นายจักก์ สมุทรกลิน จัดหางานจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า สำหรับกิจกรรมนัดพบแรงงานในครั้งนี้ จะมีไปจนถึงเวลา 15.00 น. โดยทางสำนักงานจัดหางานจังหวัดนครพนม ได้เชิญนายจ้างและสถานประกอบการมาเปิดบูธรับสมัครงานถึงที่ให้กับผู้ประสงค์จะหางานในพื้นที่จังหวัดนครพนมได้เลือกตามความสมัครใจมากถึง 736 อัตรา ใน 143 ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหน้าที่การตลาด พนักงานขาย พนักงานฝ่ายผลิต พนักงานคลังสินค้า พนักงานบัญชีการเงิน เจ้าหน้าที่ธุรการ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อ เจ้าหน้าที่กราฟฟิคและออกแบบ เจ้าหน้าที่ดูแลตู้เวนติ้ง วิศกรไฟฟ้า วิศกรเครื่องยนต์ วิศกรเครื่องกล  ช่างสำรวจ ช่างคอมพิวเตอร์ ผู้ช่วยช่าง พี่เลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลคนป่วย แม่บ้าน ผู้ช่วยแม่บ้าน ผู้ช่วยกุ๊ก พนักงานขับรถ แคชเชียร์ ไปจนถึงที่ปรึกษาการขายและที่ปรึกษางานบริการ นอกจากนี้สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครพนมยังได้มีการบูรณาการกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานมาถ่ายทอดความรู้และให้บริการเพิ่มเติมอีก เช่น สำนักงานแรงงานจังหวัดนครพนม สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครพนม สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครพนม มาให้คำปรึกษา คำแนะนำ ทดสอบความรู้ความพร้อมทางอาชีพ ไปจนถึงการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับ ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมาย และสิทธิ์ประโยชน์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้แรงงานควรรู้ ขณะที่สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน ก็มาให้บริการเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงรักษารถจักยานยนต์และการตัดผมให้ฟรี  

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ผู้ว่าฯนครพนม นำทีมสาธารณภัยลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม


ผู้ว่าฯนครพนม นำทีมสาธารณภัยลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม
วันที่ 17 สิงหาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาน้ำก่ำ สำนักงานชลประทานที่ 7  ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนม นายอำเภอนาแก ตลอดจนเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำที่บริเวณประตูน้ำบ้านนาคู่ และบริเวณบ้านน้ำปากบัง ตำบลพิมาน อำเภอนาแก ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมทุกปี เพื่อร่วมกันประเมินและวางแผนในการบริหารจัดการน้ำ โดยมีผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ร่วมให้ข้อมูล

โดยโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาน้ำก่ำ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำว่าในช่วงนี้ที่มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องและวันนี้มีปริมาณฝนตกในพื้นที่รับผิดชอบเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 1.3 มิลลิเมตร ซึ่งระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำหนองหารถ้าเทียบกับปีที่ผ่านยังน้อยกว่าอยู่ประมาณ 27.289 ล้านลูกบาตรเมตร แต่อย่างไรก็ดีด้วยปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องและไหลเข้าอ่างต่อวันเฉลี่ยอยู่ที่ 8.418 ล้านลูกบาตรเมตร ดังนั้นทางโครงการฯ จึงมีการบริหารจัดการน้ำโดยเปิดประตูระบายน้ำสุรัสวดีเพื่อระบายน้ำออกต่อวัน 6.899 ล้านลูกบาตรเมตร ทำให้ช่วงนี้ที่บ้านนาคู่มีการเปิดประตูระบายน้ำสูงขึ้นเป็น 90 เซนติเมตรเพื่อเร่งระบายน้ำรองรับน้ำที่จะไหลมา ส่งผลให้ระดับน้ำในลำน้ำก่ำสูงขึ้นกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ดีระดับน้ำที่บริเวณประตูน้ำบ้านนาคู่และบ้านปากบังยังคงอยู่ห่างจากจุดล้นตลิ่งประมาณ 3.4 เมตร ส่วนระดับน้ำโขงอยู่ที่ 7.03 เมตร เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 63 เซนติเมตร และยังคงต่ำกว่าระดับตลิ่ง 6.81 เมตร
โดยในโอกาสนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้ฝากกับผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการร่วมตรวจเช็คและเฝ้าระวังระดับน้ำในพื้นที่ร่วมกับทางหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพราะคนในพื้นที่จะรู้ดีว่าระดับน้ำขนาดไหนมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด และถ้ามีการบูรณาการข้อมูลทุกอย่างร่วมกัน การบริหารจัดการน้ำก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ระดับน้ำสูงขึ้นจนมีความเสี่ยงที่จะล้นตลิ่งก็สามารถวางแผนแก้ปัญหาล่วงหน้าร่วมกันได้เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าในการเก็บสิ่งของขึ้นที่สูงหรือที่ปลอดภัยก็จะช่วยลดในเรื่องของการสูญเสียทรัพย์สินและชีวิต หรือการหาวิธีระบายน้ำออกจากลำน้ำในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การสูบน้ำไปกักเก็บไว้ยังแหล่งน้ำอื่น ๆ ที่เป็นโครงการแก้ปัญหาภัยแล้งซึ่งปัจจุบันแหล่งน้ำเหล่านี้ยังมีน้ำมาเติมไม่เพียงพอ หรือถ้าระดับน้ำลดลงจนมีความเสี่ยงที่จะเกิดภัยแล้งก็ให้ประสานเข้ามา เพราะทางชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ได้มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องของเครื่องสูบน้ำและเครื่องมืออื่น ๆ ไว้คอยช่วยเหลือเช่นเดียวกัน

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2563

สภาสังคมสงเคราะห์ฯ ร่วมกับจังหวัดนครพนม มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและจัดเลี้ยงอาหารกลางวันผู้ตกงาน ผู้ประสบความเดือดร้อนและครอบครัวในภาวะวิกฤติ



วันที่ 13 สิงหาคม 2563 ที่โรงเรียนชุมชนประสานมิตร บ้านนาคูณใหญ่ ตำบลนาคูณใหญ่ อำเภอนาหว้า  จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมมอบเครื่องอุปโภค/บริโภคแก่ผู้ตกงาน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ประสบทุกข์ยากเดือดร้อนและครอบครัวในภาวะวิกฤต ให้บริการปรึกษาปัญหาต่างๆ การอบรมวิชาชีพ การรับสมัครงาน การจดทะเบียนคนพิการ และการจัดเลี้ยงอาหารกลางวันให้ทุกคนได้รับประทาน ตามโครงการน้ำพระทัยพระราชทานส่วนภูมิภาค สภาสังคมสงเคราะห์ 76 จังหวัด ประจำปี 2563 ที่สภาสังคมสงเคราะห์ฯ ได้ร่วมกับจังหวัดนครพนม เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดนครพนม สมาคม/ชมรมแม่ดีเด่นแห่งชาติประจำจังหวัดนครพนม และภาคเอกชน จัดขึ้น เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม ด้วยเล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 เนื่องจากต้องหยุดงานทำให้ขาดรายได้มาเลี้ยงครอบครัว ทั้งยังจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้ทุกคนในการดำเนินชีวิตต่อไป

โดยโครงการน้ำพระทัยพระราชทาน เกิดขึ้นจากน้ำพระทัยอันเปี่ยมล้นไปด้วยพระเมตตาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อปี พ.ศ. 2541 ครั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศาสตราจารย์ประภาศน์ อวยชัย ประธานสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ในขณะนั้นนำคณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์ฯ เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเงินรายได้จากการจำหน่ายดอกมะลิงานวันแม่แห่งชาติ จำนวน 2 ล้านบาท และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้สภาสังคมสงเคราะห์ฯ พร้อมทั้งได้มีพระราชเสาวนีย์ให้จัดตั้งกองทุนอาหารกลางวันเลี้ยงผู้ตกงาน ผู้ประสบทุกข์ยากเดือดร้อน รวมทั้งครอบครัวในภาวะวิกฤต โดยสภาสังคมสงเคราะห์ได้น้อมเกล้าฯ รับพระราชเสาวนีย์มาดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ 22  พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินส่วนพระองค์ จำนวนกว่า 15 ล้านบาท สนับสนุนโครงการและทรงพระกรุณาให้ราชเลขานุการในพระองค์ฯ เยี่ยมโครงการอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ยังได้พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคให้โครงการตลอดมาเช่นกัน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนอย่างหาที่สุดมิได้

จ. นครพนม บูรณาการหน่วยงานออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการประชาชนอำเภอนาหว้า

วันที่ 13 สิงหาคม 2563 ที่โรงเรียนชุมชนประสานมิตร บ้านนาคูณใหญ่ ตำบลนาคูณใหญ่ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม มอบหมายให้นายร่มไม้ นวลตา เกษตรจังหวัดนครพนม พร้อมคณะหัวหน้าส่วนราชการ นำทีมแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนแบบครบวงจรในจุดเดียว ตามโครงการบริการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการ หน่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน ที่มีการบูรณาการร่วมกับการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม ที่ออกให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น บริการทำทันตกรรม และให้คำปรึกษาคำแนะนำปัญหาด้านสุขภาพ ทั้งการแพทย์ไทยและแผนปัจจุบันเพื่อสร้างโอกาสการเข้าถึงการบริการของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน

โดยกิจกรรมในครั้งนี้ประกอบไปด้วยการร่วมกันกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตนแสดงเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ และการประกาศเจตนารมณ์รวมพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จากนั้นเป็นการแนะนำส่วนราชการต่าง ๆ ให้กับประชาชนได้รู้จักเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้ารับบริการได้ถูกต้องตามความต้องการ โดยในโอกาสนี้เกษตรจังหวัดนครพนมได้มีการเล่าถึงประสบการณ์ของการได้พบเห็นบุคคลที่ประสบผลสำเร็จจากการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้เกิดการปรับเปลี่ยนแนวความคิดสู่การทำการเกษตรยุคใหม่ ทั้งยังได้นำเอานโยบายของรัฐบาล และแนวทางในการให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ไปชี้แจงให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับรู้ และเข้าใจรวมถึงตอบข้อซักถามที่ประชาชนสงสัย จากนั้นได้มอบพันธุ์ปลาแก่ผู้นำชุมชน เพื่อให้นำไปปล่อยตามแหล่งน้ำของชุมชนเป็นการคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับทรัพยากรธรรมชาติ และมอบทุนการศึกษาของกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 7 ทุน มอบเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน และมอบถุงยังชีพของเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมและของสโมสรไลออนส์จังหวัดนครพนม จากนั้นทุกคนจึงได้แยกย้ายกันไปใช้บริการตามหน่วยเคลื่อนที่ต่าง ๆ ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ตามความต้องการของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น การตรวจสุขภาพกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม การเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนทักษะในด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การเลือกใช้พลังงาน การทำบัตรประชาชน การฝากเงินออม การทำประกันสังคม การทำประกันภัย การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไปจนถึงการรับคำปรึกษาคำแนะนำด้านการลงทุน กฎหมาย การสร้างบ้าน การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การรับแจกพันธุ์ต้นไม้ การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ การเลือกซื้อสินค้าราคาถูก สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP จากหน่วยงานที่มาจัดบูธจำหน่าย 

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2563

พสกนิกรจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง


วันที่ 12 สิงหาคม 2563 ที่บริเวณศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายนรวัฒน์ สวยงาม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนม นายสมชาย ชำนิ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำข้าราชการพลเรือน ตุลาการ ศาล ทหาร ตำรวจ สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม คณะครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา พ่อค้าและประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2563

โดยก่อนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมประธานในพิธีจะเดินทางมาถึง เหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดนครพนม ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์การต่าง ๆ ได้ประกอบพิธีวางพานพุ่มทอง พุ่มเงินถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ จากนั้นเป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรม ชุดรำถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง กระทั่งเวลา 19.19 น.ประธานในพิธีได้ประกอบพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม เปิดกรวยกระทงดอกไม้ ถวายความเคารพเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ จากนั้นประกอบพิธีจุดเทียนมหามงคลและต่อเทียนให้กับผู้ที่มาร่วมงาน เมื่อทุกคนต่อเทียนจนครบหมดแล้วได้ยืนสงบนิ่งโดยพร้อมเพียงกัน ประธานในพิธีนำกล่าวกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และนำทุกคนร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงสดุดีพระแม่ไทย ซึ่งเมื่อสิ้นเสียงเพลงทุกคนได้พร้อมใจกันเปล่งเสียงคำว่า ทรงพระเจริญ จำนวน  3 ครั้ง

สำหรับเพลง สดุดีพระแม่ไทย ดำเนินการผลิตโดยกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดจนเพื่อถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา และเพื่อเทิดพระเกียรติในโอกาสสำคัญต่าง ๆ มีเนื้อร้องว่า โลกสดุดีพระปรีชาชาญ ราษฎร์สุขสราญเพราะพระบารมี สิริกิติ์เกริกฟ้าสุดแดนแผ่นดินนี้ พระพันปีหลวงมิ่งขวัญไทย ใต้ฝ่าละอองฯ ผองไทยบูชา ใต้ร่มบุญญาพร้อมเพรียงภูมิใจ จุดเทียนแซ่ซ้องส่องเมืองสว่างไสว ไทยเทิดไท้ถวายพระพร ศูนย์รวมใจปวงประชา ศิลปาชีพอมร พสกนิกรภักดี พระเมตตาเติมใจคุ้มครองไทยสุขศรี สดุดีพระแม่ไทย ทรงพระเจริญ

จิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครพนม ร่วมใจปลูกทองกวาวไม้มงคลเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง



วันที่ 12  สิงหาคม 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะประชาชนจิตอาสาพระราชทานจังหวัดนครพนม หัวหน้าส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ร่วมกันปลูกต้นทองกวาว จำนวน 489 ต้น เฉลิมพระเกียรติ มอบถุงยังชีพและนมกล่องเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม ที่จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดนครพนม ร่วมกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม อำเภอเมืองนครพนม องค์การบริหารส่วนตำบลท่าค้อ จัดขึ้น ณ ที่สาธารประโยชน์ห้วยฮ่องฮอระหว่างบ้านดงโชคและบ้านหนองจันทร์ ตำบลท่าค้อ อำเภอเมือง เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั่วทั้งประเทศ ทรงให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ผืนป่า โดยมีพระราชดำริให้ตั้งโครงการป่ารักน้ำขึ้น เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ทุกข์ยากให้ได้มีอาชีพที่สุจริต มีรายได้เพื่อประทังชีวิต โดยไม่ต้องตัดไม้ทำลายป่าอีกต่อไป เนื่องจากทรงเล็งเห็นว่าพื้นที่ป่ามีจำนวนลดน้อยลง ส่วนหนึ่งมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เป็นผลพวงมาจากการที่ชาวบ้านลักลอบตัดไม้ทำลายป่าเพราะไม่มีที่ทำกิน ซึ่งการแผ้วถางเผาป่าในครั้งหนึ่งประมาณ 50-60 ไร่ แต่นำมาใช้ประโยชน์ในการเกษตรจริงเพียง 5-10 ไร่เท่านั้น

สำหรับต้นทองกวาวนั้น เป็นไม้มงคลตามความเชื่อของคนไทยและเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดู มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้ มีชื่อเรียกทางภาคเหนือว่าก๋าว ภาตใต้เรียกว่าจอมทอง ภาคอีสานเรียกว่าดอกจาน และภาคกลางเรียกว่าทองธรรมชาติ ทองพรหมชาติ และต้นทอง ซึ่งลักษณะโดยทั่วไปเมื่อโตเต็มที่จะความสูง 5–15 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ ลำต้นแตกกิ่งต่ำคดงอ เปลือกนอกสีเทาถึงสีเทาคล้ำค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นร่องตื้น ๆ เปลือกในสีแดง สับเปลือกทิ้งไว้จะมีน้ำยางใส ๆ ไหลออกมาทิ้งไว้สักพักจะกลายเป็นสีแดง โดยต้นทองกวาวนั้นมีประโยชน์ตั้งแต่ดอกที่สามารถใช้ต้มดื่มเพื่อเป็นยาแก้ปวด ถอนพิษไข้ ขับปัสสาวะ หรือถ้านำดอกมาบดเอาน้ำเพื่อหยอดตาก็สามารถรักษาอาการตาแดง เจ็บตา ปวดตา ระคายเคืองตา ตามัว ตาแฉะและตาฟางได้ ส่วนฝักใช้ต้มเพื่อเอาน้ำมาดื่มเป็นยาขับพยาธิ ยางใช้รับประทานแก้อาการท้องร่วง ส่วนเปลือกมีงานวิจัยพบว่าสารที่สกัดจากเปลือกจะช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นแต่จะลดจำนวนอสุจิ ขณะที่เมล็ดบดผสมมะนาวใช้ทาแก้อาการผื่นคัน ใบใช้ต้มเพื่อดื่มแก้ปวด ขับพยาธิ และแก้ริดสีดวงทวาร ส่วนรากใช้ต้มรักษาโรคประสาทและบำรุงธาตุในร่างกาย

ประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมใจทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง


วันที่ 12  สิงหาคม 2563 ที่บริเวณหน้าวัดมหาธาตุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายนรวัฒน์ สวยงาม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนม นายสมชาย ชำนิ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้นำคณะหัวหน้าส่วยราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมกันทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ สามเณร จำนวน 89 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ประจำปี 2563 และวันแม่แห่งชาติ เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน โดยพระราชกรณียกิจที่สำคัญที่ได้ขยายเป็นวงกว้างไปยังทุกพื้นที่ในประเทศไทย คือ โครงการศูนย์ศิลปาชีพในพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่เป็นโครงการส่งเสริมอาชีพให้กับคนไทย ทั้งเป็นการอนุรักษ์งานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านให้คงอยู่สืบไป นอกจากนั้นยังทรงดำรงตำแหน่ง “สภานายิกาสภากาชาดไทย” ที่เป็นองค์กรสาธารณะกุศลก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้ยากไร้ โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติและศาสนา

สำหรับ วันแม่แห่งชาติ เป็นอีกหนึ่งวันที่มีความสำคัญ ที่ทำให้ทุกคนได้หวนระลึกถึงพระคุณของแม่ผู้ให้กำเนิด แม่ผู้เลี้ยงดู รวมถึงแม่ของแผ่นดิน เพราะแม่เป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากที่สุดในชีวิตเป็นบุคลลผู้ให้ชีวิต ผู้คอยคุ้มครอง ผู้มอบความรักความอบอุ่น แม่จึงเปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรที่คอยปกป้องลูกๆ ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ตลอดจนคอยผลักดันให้ลูกเกิดความสำเร็จในด้านต่าง ๆ โดยในปีนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2563ความว่า “รักเอยรักลูก แม่จึงปลูกคุณธรรมให้รักษา รดความรักพรวนความดีมีเมตตา ลูกเติบใหญ่แทนคุณค่าของแผ่นดิน” ทั้งนี้วันแม่แห่งชาติได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ สวนอัมพร โดยกระทรวงสาธารณสุข แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงต้องงดไป เมื่อวิกฤติสงครามสงบลง หลายหน่วยงานได้พยายามให้มีวันแม่ขึ้นมาอีกและมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง กระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดให้วันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นวันแม่แห่งชาติ และกำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณะประจำวันแม่ เพราะมีสีขาว มีกลิ่นที่หอมได้นาน เปรียบได้กับความรักบริสุทธิ์ที่แม่มีต่อลูก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2563

เกษตรนครพนม สร้างทีมประชาสัมพันธ์เชิงรุก ถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกร


วันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ศูนย์สารสนเทศยางพารานครพนม สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายร่มไม้ นวลตา เกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า องค์ความรู้ด้านเกษตรมีมากมายหลายรูปแบบ ทั้งหลักวิชาการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่ก่อนการผลิตไปจนถึงกระบวนการผลิต การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว การแปรรูปและการจำหน่าย ซึ่งทุกกระบวนการล้วนมีความสำคัญต่อตัวเกษตรกร และสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนมที่เป็นหนึ่งในหน่วยงานของกรมส่งเสริมการเกษตร ได้เล็งเห็นว่าการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และเข้าใจให้กับเกษตรกรนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าทุกคนมีองค์ความรู้ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในแปลงเกษตรได้อย่างถูกต้อง นำมาซึ่งผลผลิตและรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้กลุ่มยุทธศาสตร์และสารสนเทศจัดโครงการสร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในงานส่งเสริมการเกษตร ประจำปี 2563 ขึ้น ภายใต้กิจกรรม เกษตรนครพนมพบสื่อมวลชนแลกเปลี่ยนประสบการณ์สื่อสารงานส่งเสริมการเกษตรอย่างสร้างสรรค์

โดยกิจกรรมในครั้งนี้ได้มีการเชิญสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ทั้งสื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์มาถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนแนวความคิดประสบการณ์ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น การเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ที่ทำอย่างไรให้เกิดความน่าสนใจ เทคนิคการถ่ายภาพเบื้องต้นที่ทุกคนควรรู้ เทคนิคในการตัดต่อคลิปวีดีโอ คลิปข่าวเพื่อเผยแพร่ผ่านสื่อช่องทางต่าง ๆ ไปจนถึงการฝึกทักษะในการพูดและสื่อสารเพื่อการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่สังกัดสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม รวม 30 คน เพื่อสร้างให้การประชาสัมพันธ์ของสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนมลงสู่เกษตรกรในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง ถูกต้อง รวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยแก้ปัญหาภาคการเกษตรให้กับเกษตรกรในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนแล้ว ยังก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน่วยงาน เกิดการขับเคลื่อนงานตามนโยบายและภารกิจงานส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่อีกด้วย

นครพนมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ 500,099 ตัว เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

วันที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่บริเวณฝายน้ำล้นบ้านโคกสูง ตำบลโคกสูง อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม นายสมชาย ชำนิ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำหัวหน้าส่วนราชการ  เจ้าหน้าที่ นักเรียน นักศึกษาและประชาชนในพื้นที่ร่วมกันประกอบพิธีปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจำปี 2563 ที่จังหวัดนครพนม โดยสำนักงานประมงจังหวัดนครพนม ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม อำเภอปลาปาก และองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสูงจัดขึ้น เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ และถวายเป็นพระราชกุศล เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรอย่างล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ดังจะเห็นได้ว่าในการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ในพื้นที่ต่างๆ พระองค์ทรงอุทิศพระวรกาย พระปัญญา และพระราชทรัพย์ พระราชทานความช่วยเหลือแก่พสกนิกรผู้ยากไร้ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงยั่งยืน สำหรับด้านการประมง พระองค์ทรงปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อเป็นการคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับแหล่งน้ำ เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำให้เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งทรงพระราชทานพระราชดำริเพื่อเป็นแนวทางในการบำรุง พัฒนาและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้านการประมงตลอดมา

โดยฝายน้ำล้นแห่งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชดำริให้สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2544 เพื่อกักเก็บน้ำให้ราษฎรสองฝั่งลำห้วยศรีทนได้สูบน้ำไปใช้เพื่อทำการเกษตร เป็นฝายน้ำล้นคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาดสันฝายสูง 2.50 เมตร กว้าง 34 เมตร ครอบคลุมพื้นที่การเกษตร 1,000 ไร่ ซึ่งการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย ปลาตะเพียนขาว ปลาสร้อยขาว ปลาตะเพียนทอง ปลาบ้า และปลานวลจันทร์เทศ รวมทั้งสิ้น 500,099 ตัว 

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2563

3 จังหวัดสนุก เปิดตัว สารคดี “ชน ชาติ พันธุ์” 12 ตอน ชวนนักท่องเที่ยวเดินทางตามรอยอารยธรรมลุ่มน้ำโขง


วันที่ 3 สิงหาคม 2563  นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2  หรือ กลุ่มจังหวัดสนุก ที่ประกอบไปด้วย จังหวัดสกลนคร จังหวัดนครพนม และจังหวัดมุกดาหาร เป็นพื้นที่ที่มีความโดดเด่นทั้งด้านธรรมะ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม ตลอดจนวิถีประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นอัตลักษณ์และเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ที่มีเสน่ห์และน่าสนใจบนความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่มีมากถึง 9 ชาติพันธุ์ 2 เชื้อชาติ ทำให้หลายคน ๆ อยากจะมาสัมผัส เรียนรู้แลแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนถิ่นนี้ ดังนั้น คณะกรรมการดำเนินโครงการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดสนุก ตามรอยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำโขง (ธรรมะ ธรรมชาติ วัฒนธรรม) สู่สากล จึงได้จัดทำ สารคดีชุด “ชน ชาติ พันธุ์” ขึ้นมา เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว และเป็นการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ได้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั้ง 3 จังหวัด ที่ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความเรียบง่าย ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามริมฝั่งแม่น้ำโขง กับประเพณีวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถมาเยี่ยมเยือนได้ตลอดทั้งปี อันจะเป็นการสร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดสนุก และเป็นการกระจายรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง ทั้งเป็นการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงประเพณีวัฒนธรรมและการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มน้ำโขงให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

โดยสารคดีนี้จะมีทั้งสิ้น 12 ตอน ความยาวตอนละประมาณ 8 นาที ที่เป็นการบอกเล่าผ่านตัวละครที่จะสะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ และตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ ไทญ้อ ไทอีสาน ไทยแสก ไทโย้ย ไทกวน ไทกะเลิง ไทโส้ ผู้ไท ไทข่า คนไทยเชื้อชาติเวียดนามและเชื้อชาติจีน ที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างลงตัวในสังคมอีสานยุคใหม่ ผ่านรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสนุกสนานร่าเริง บนความสุขและความภูมิใจในความเป็นชาติพันธุ์เดิม โดยจะเริ่มเล่าตั้งแต่การอพยพมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ของแต่ละชาติพันธุ์และเชื้อชาติ ตามมาด้วยลักษณะการแต่งกาย การใช้ภาษา สำเนียง ไปจนถึงวิถีชีวิต ความเชื่อ ความศรัทธา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาประจำถิ่น งานหัตถศิลป์ งานดนตรี  เทศกาลสำคัญ การละเล่น  พิธีกรรมและเมนูอาหารประจำถิ่น ที่ทุกอย่างล้วนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่หาดูอยาก ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถรับชมสารคดีชุดนี้ได้ทุกวันเสาร์ เวลา 06.25 น. ทางสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ช่อง 32  หรือจะรับชมย้อนหลังก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันผ่านทางช่อง Youtube  , เพจ Facebook สารคดี ชน ชาติ พันธุ์ และทางเว็บไซต์ www.sanukland.com