วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563

บรรยากาศการท่องเที่ยวนครพนมคึกคัก ประชาชนแน่นริมโขงรอชมเรือไฟความคิดสร้างสรรค์

วันที่ 30 กันยายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศการท่องเที่ยวของประชาชนและนักท่องเที่ยว ยังคงเป็นไปด้วยความคึกคัก แม้งานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนมจะเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนแล้วก็ตาม และในวันนี้ซึ่งเป็นวันแรกของการไหลเรือไฟแข่งขันประเภทความคิดสร้างสรรค์ ทำให้มีประชาชนและนักท่องเที่ยวมากกว่าทุกวันก่อนหน้านี้เท่าตัว เพราะต่างก็ต้องการชมความงดงามแห่งสายน้ำโขงที่ชาวนครพนมร่วมแรงร่วมใจกัน นำไม้ไผ่นับหมื่นลำมาสรรค์สร้างเป็นเรือไฟ ขนาดใหญ่ความยาวประมาณ 60 – 80 เมตร ส่วนความสูงจะอยู่ระหว่าง 20-30 เมตร พร้อมมีการประดับตกแต่งด้วยตะเกียงไฟนับแสนดวงให้เกิดเป็นลวดลายต่าง ๆ ตามจินตนาการที่ต้องการสื่อให้เห็นถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมไปถึงวิถีชีวิตของคนแต่ละชุมชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครพนมและสถานที่สำคัญต่าง ๆ ของจังหวัดที่บอกเล่าถึงประวัติความเป็นมา ความเชื่อ ความศรัทธาและความเป็นหนึ่งเดียวของคนนครพนม เพื่อเป็นประทีปพุทธบูชาในช่วงวันออกพรรษาในปีนี้ ท่ามกลางมาตรการคุมเข้มในการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 ที่มีจุดคัดกรองผู้ที่จะมาร่วมงานกว่า 34 จุดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่บริเวณงานทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานความมั่นคงคอยสอดส่องดูความความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีหน่วยปฐมพยาบาลทั้งแบบเคลื่อนที่เร็วและแบบประจำจุดไว้คอยบริการกรณีฉุกเฉินเมื่อเกิดการเจ็บป่วยกระทันหัน    

โดยในเวลา 15.39 น. นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ นักเรียน นักศึกษา พ่อค้าและประชาชนชาวจังหวัดนครพนมประกอบพิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์มาจุดต่อให้กับนายอำเภอแต่ละอำเภอ เพื่อนำไปจุดตะเกียงไฟบนเรือไฟของตนเองที่ใช้เวลาก่อสร้างนานนับเดือน ก่อนที่จะปล่อยไหลให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ชมความงดงาม สำหรับการไหลในวันนี้จะมีด้วยกัน 2 ลำแข่งขันในประเภทความคิดสร้างสรรค์ คือเรือไฟของอำเภอนาหว้าที่มีการก่อสร้างด้วยขนาดความยาว 60 เมตร มีจำนวนตะเกียงไฟ 9,000ดวงสร้างขึ้นภายใต้แนวคิดเรือไฟ ชีวิตวิถีใหม่ ไทยชนะ เป็นรูปพญานาคราชอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงที่ปกปักรักษาชาวจังหวัดนครพนม และสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นที่จังหวัดนครพนมได้ขึ้นมาเล่นน้ำ รวมถึงการสื่อสารให้ทุกคนได้รู้ว่าการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด - 19 ได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างไร มีการป้องกันอย่างไรโดยมีการนำเอาเทคนิคพิเศษมาใส่เข้าไปทำให้ส่วนปากพญานาคเคลื่อนไหว ส่วนมือสามารถกดเจลแอลกอฮอล์ได้ ขณะที่อีกสัญลักษณ์คือการตั้งการ์ดมวยต่อสู้ก็จะสามารถขยับมือได้เช่นเดียวกัน ส่วนเรือไฟของอำเภอวังยางนั้นมีการก่อสร้างด้วยขนาดความยาว 60 เมตรเช่นเดียวกัน แต่มีตะเกียงไฟมากกว่าคือ 9,500 ดวง เรือไฟประกอบไปด้วย รวงข้าวที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ พระเจดีย์สามร่มโพธิ์ศรี พระใหญ่บ้านวังโน ประตูระบายน้ำบ้านนาขามอันเนื่องมาจากพระราชดำริส่วนหัวเรือจะปรากฏพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ที่ทรงทอดพระเนตรมายังพสกนิกรทุกหมู่เหล่าด้วยความห่วงใยจากฟากฟ้า 


โดยในวันพรุ่งนี้จะมีการไหลเรือไฟ จำนวน 3 ลำ ได้แก่ เรือไฟอำเภอบ้านแพงขนาดความยาว 60 เมตร  ที่มีการประดับตกแต่งดวงไฟ 15,000 ดวง อำเภอปลาปากขนาดความยาว 60 เมตร  ประดับตกแต่งดวงไฟ 12,000 ดวง และอำเภอนาแกขนาดความยาว 70 เมตร ประดับตกแต่งดวงไฟ 15,000 ดวง ซึ่งส่งเข้าแข่งขันในประเภทความคิดสร้างสรรค์เหมือนกัน ขณะที่ในวันที่ 2 ตุลาคม 2563 ซึ่งเป็นวันออกพรรษาจะมีการไหลเรือไฟทั้งสิ้น 7 ลำ ที่ลงแข่งขันในประเภทสวยงาม คือเรือไฟจากอำเภอศรีสงคราม ความยาว 80 เมตร ตะเกียงไฟ 20,000 ดวง อำเภอโพนสวรรค์ ความยาว 80 เมตร ตะเกียงไฟ 25,000  อำเภอนาทม ความยาว 60 เมตร ตะเกียงไฟ 20,000 อำเภอท่าอุเทน ความยาว 80 เมตร ตะเกียงไฟ 20,000 อำเภอเมืองนครพนมความยาว 80 เมตร ตะเกียงไฟ 25,000  อำเภอเรณูนครความยาว 79 เมตร ตะเกียงไฟ 13,000 และอำเภอธาตุพนมความยาว 63 เมตร ตะเกียงไฟ 10,000 ดวง

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2563

คณะกรรมการตัดสินเรือไฟนครพนม ลงพื้นที่เยี่ยมและประเมินเก็บคะแนนซุ้มเรือไฟแต่ละอำเภอ

วันที่ 29 กันยายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายนรวัฒน์ สวยงาม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายสมชาย ชำนิ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะกรรมการตัดสินเรือไฟ ประจำปี 2563 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจ มอบสิ่งของ อาหาร เครื่องดื่ม และประเมินให้คะแนนซุ้มเรือไฟของคณะผู้จัดทำเรือไฟแต่ละอำเภอ ที่ต่างขะมักเขม้น เร่งมือสร้างเรือไฟอย่างสุดฝีมือเพื่อให้เรือไฟของตนเองมีความสวยงาม วิจิตรตระการตาสมดังแบบที่ได้ร่วมกันวางแผนและมีความสมบูรณที่สุด ก่อนที่จะมีการประกวดแข่งขันและไหลโชว์เป็นประทีปพุทธบูชาในช่วงวันออกพรรษาในวันที่ 30 กันยายน - 2 ตุลาคม 2563 นี้

โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้เริ่มต้นจากบริเวณหน้าโรงเรียนสันตยานันท์ ถนนสุนทรวิจิตร เขตเทศบาลเมืองนครพนมเป็นลำแรกและย้อนมาเรื่อย ๆ ตามริมแม่น้ำโขงที่มีการสร้างเรือไฟจนครบทั้ง 12 ลำ ซึ่งแต่ละซุ้มก็จะมีต้อนรับที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งการแสดงฟ้อนรำ การจัดแสดงนิทรรศการสินค้าดี สินค้าเด่นของแต่ละชุมชน และการนำเสนอแบบเรือไฟที่ตนเองที่กำลังสร้าง ว่ามีความยาวเท่าไหร่ สูงเท่าไหร่ ลวดลายเป็นอย่างไร มีการนำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเพิ่มสีสันและสร้างความสวยงามในส่วนไหนบ้าง โดยเรือไฟทุกลำที่เข้าแข่งขันจะมีความยาวอยู่ระหว่าง 60-80 เมตร ขณะที่ความสูงจะเริ่มตั้งแต่ 20 เมตรไปจนถึง 30 เมตร ส่วนลวดลายนั้นแต่ละทีมจะมีการออกแบบให้สื่อถึงจุดเด่นที่เป็นจังหวัดนครพนม สื่อถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกถึงสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ไปจนวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของคนแต่ละชุมชน และสื่อให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 ของชาวจังหวัดนครพนม

ซึ่งจากการที่คณะกรรมการสอบถามคณะผู้จัดสร้างเรือไฟต่าง ๆ ก็ยืนเป็นเสียงเดียวกันว่า เรือไฟของตนเองในปีนี้มีความสวยงามและโดดเด่นกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพราะมีการถอดบทเรียนจากการสร้างปีที่แล้วเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขจุดด้อยและจุดบกพร่องให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการเสริมเติมแต่งเทคนิค วิธีการสมัยใหม่เข้าไปอีก เพื่อรังสรรค์และสร้างความแตกต่างที่ลงตัวกับลวดลายที่ออกแบบมาใหม่ ขณะที่เรือไฟที่ครองแชมป์ปีที่แล้วก็ยืนยันว่าในปีนี้จะขอครองแชมป์อีกครั้ง ทำให้คณะกรรมการที่ลงพื้นที่ถึงกับต้องให้คะแนนแบบลงรายละเอียดปลีกย่อย เพื่อเก็บทุกอย่าง ทุกขั้นตอนไว้ประมวลผลรวม และลงคะแนนให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกทีมที่เข้าแข่งขันในปีนี้ 

กรมที่ดินส่งมอบหนังสือสำคัญที่หลวงที่ดินสาธารณประโยชน์ริมแม่น้ำโขง มูลค่าซื้อขายกว่า 1,700 ล้านบาทให้ชาวนครพนม

 วันที่ 29 กันยายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายวิรัตน์ สุววรณแก้ว เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครพนม นายชิตชัย อินทรพาณิชย์ โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดนครพนม และ พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ร่วมส่งมอบหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงที่สาธารณประโยชน์ แปลงริมแม่น้ำโขงให้ชาวนครพนม โดยมีนายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม นายประพันธ์ศักดิ์  บุตรรัตน์ ปลัดอำเภอเมืองนครพนม นายชาญยุทธ อุปพงษ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดนครพนมเป็นตัวแทนรับมอบและมีคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นสักขีพยาน หลังมีการจัดทำหลักฐานของทางราชการ ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เพื่อกำหนดขอบเขตของที่ดินสาธารณประโยชน์ เป็นการคุ้มครองรักษาไว้ให้เป็นสาธารณสมบัติของชาวนครพนม

จากที่สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดนครพนม ได้มีการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพัง ระยะทางประมาณ 2,150 เมตร จากบริเวณทางทิศใต้ของเขตเทศบาลเมืองนครพนม หน้าวัดพระอินทร์แปลง ถึงท้องที่องค์การบริหารส่วนตำบลท่าค้อ ทำให้เกิดที่ดินริมแหล่งน้ำสาธารณะน้ำไม่ท่วมไม่ถึง เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน และอยู่ในความรับผิดชอบของนายอำเภอแห่งท้องที่ตามมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พ.ศ. 2457 ประกอบกับมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดินฯ และมาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และโดยที่การเปลี่ยนแปลงผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ ในการดูแลรักษาจากกรมเจ้าท่าไปยังไงอำเภอ โดยผลของกฎหมาย และหากไม่มีการจัดทำหลักฐานของทางราชการไว้ เพื่อกำหนดขอบเขตที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงนี้อย่างชัดเจน เกรงว่าในอนาคตอาจจะมีการบุกรุกเข้ามาครอบครองทำประโยชน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานที่ดินจังหวัดนครพนม อำเภอเมืองนครพนม และเทศบาลเมืองนครพนม ร่วมกันดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ให้เป็นหลักฐานของทางราชการ โดยมีการกำหนดขอบเขตของที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงนี้ไว้อย่างชัดเจน เพื่อเป็นการคุ้มครองรักษาให้เป็นสาธารณสมบัติของชาวนครพนมต่อไป

โดยก่อนหน้านี้ได้มีการออกหนังสือแจ้งความประสงค์ขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ที่ดินสาธารณประโยชน์ เลขที่ นพ 0118/2361 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2563 และสำนักงานที่ดินจังหวัดนครพนมได้นัดรังวัดที่ดินในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดยอำเภอเมืองนครพนมได้วางเงินมัดจำรังวัด จำนวน 47,220 บาท ซึ่งในการรังวัดมีผู้มาคัดค้าน 2 ราย 2 แปลง และเมื่อสำนักงานที่ดินได้จัดทำประกาศเพื่อให้ประชาชนทราบ ปรากฎว่ามีผู้มาคัดค้านระหว่างประกาศฯ จำนวน 12 ราย 9 แปลง ดังนั้นช่างรังวัดจึงได้จัดทำรูปแผนที่แสดงส่วนคัดค้านเพิ่มเติม คงเหลือเนื้อที่ส่วนที่ไม่มีผู้คัดค้านแบ่งออกเป็น 3 ส่วน รวมเป็นเนื้อที่ 71–1- 42.5 ไร่ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ตามระเบียบและกฎหมาย สามารถดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงได้ จึงได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เป็น 3 แปลง ได้แก่ หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ 2590 เนื้อที่ 19-0-62 ไร่ หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ นพ 2591 เนื้อที่ 15 -1- 45.3 ไร่ และหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ นพ 2592 เนื้อที่ 36-3-35.2 ไร่ โดยคิดเป็นมูลค่าที่ดินราคาประเมินไร่ละ 1 ล้าน 8 แสนบาท ราคาซื้อขายในปัจจุบันประมาณไร่ละ 25 ล้านบาท ทำให้พื้นที่ทั้ง 3 แปลงมีราคาซื้อขายรวมกว่า 1,783,906,250 บาท และได้มีการประกอบพิธีมอบหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เพื่อให้เป็นสมบัติของชาวนครพนมในวันนี้

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2563

ทรัพยากรน้ำบาดาลเขต 10 ส่งมอบระบบน้ำบาดาลพลังงานแสงอาทิตย์ ให้เกษตรแปลงใหญ่นครพนม สร้างความยั่งยืนในการบริหารจัดการน้ำแก้ปัญหาภัยแล้ง

        วันที่ 28 กันยายน 2563 ที่บ้านนาผักหม หมู่ที่ 2 ตำบลนาใน อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม นายสมชาย ชำนิ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดการถ่ายทอดองค์ความรู้แนะนำวิธีการใช้งานการบำรุงรักษาและร่วมเป็นสักขีพยานในการส่งมอบโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรด้วยพลังงานแสงอาทิตย์พื้นที่ 500 ไร่ประจำปีงบประมาณ 2563 ที่สำนักงานทรัพยากรน้ำบาดาลเขต 10 อุดรธานี ดำเนินการเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลให้กลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ได้ใช้ในลักษณะบูรณาการแหล่งน้ำบาดาลร่วมกับน้ำผิวดินในเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งในพื้นที่



นายวัฒนชัย ทุมโคตร ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำบาดาลเขต 10 อุดรธานี เปิดเผยว่า กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้มีการดำเนินโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรไปแล้วทั้งสิ้น 7,000 แห่ง ได้ปริมาณน้ำเพื่อการเกษตรไม่น้อยกว่า 320 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี คิดเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลประโยชน์กว่า 400,000 ไร่ เกษตรกรได้รับผลประโยชน์กว่า 400,000 ราย อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่มเป้าหมายที่ต้องให้การช่วยเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง จึงเป้นที่มาของโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ พื้นที่ 500 ไร่ ประจำปีงบประมาณ 2563 แห่งนี้ โดยก่อนหน้านี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ทำการสำรวจความเหมาะสม พร้อมทั้งออกแบบระบบกระจายน้ำสำหรับพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรแบบแปลงใหญ่ จำนวน 5 แปลงในพื้นที่ตำบลนาใน จากนั้นได้เข้ามาทำการเจาะบ่อบาดาลขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 นิ้วจำนวน 4 บ่อ มีการก่อสร้างหอถังเหล็กเก็บน้ำความจุ 100 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 4 ชุด ติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาด 5.5 แรงม้า จำนวน 4 ชุด ขุดฝังและวางแนวท่อจ่ายน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ด้วยท่อขนาด 6 นิ้ว จำนวน 1,400 เมตร ท่อขนาด 4 นิ้ว จำนวน 1,419 เมตร และท่อขนาด 2 นิ้ว จำนวน 1,300 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 500 ไร่ เพื่อทำให้เกษตรกรได้มีน้ำบาดาลใช้เพื่อการเกษตรอย่างเพียงพอตลอดทั้งปีด้วยระบบส่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรที่มีความประหยัด มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับการผลิตพืชผลทางการเกษตรเชิงคุณภาพ ลดความเสี่ยงในการทำการเกษตรกรรม ลดความเสียหายของผลผลิตจากปัญหาการขาดแคลนน้ำ โดยโครงการนี้มีเกษตรกรเข้าร่วมทั้งสิ้น 75 ครัวเรือน ซึ่งทุกคนจะมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและใช้ประโยชน์จากน้ำบาดาลร่วมกัน ทำให้เกิดการตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรน้ำบาดาลและใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด



ด้านนายทรงเกียรติ กวนศักดิ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลนาใน เปิดเผยว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทางสำนักงานทรัพยากรน้ำบาดาลเขต 10 อุดรธานี ที่ได้มาสร้างระบบบ่อบาดาลขนาดใหญ่ให้กับกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่บ้านนาผักหมในครั้งนี้เพราะพื้นที่ตรงนี้เป็นที่ดอนทำให้มีน้ำไม่เพียงพอต่อการเกษตร ปกติเกษตรกรส่วนใหญ่แถวนี้จะปลูกสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย ที่เป็นสับปะรดขึ้นชื่อมาตรฐาน GI ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของจังหวัด ซึ่งปกติจะมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตอยู่ที่ประมาณไร่ละ 50,000 บาท แต่ถ้ามีน้ำอย่างนี้คาดว่าคงได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวอย่างแน่นอน รวมถึงถ้าบริหารจัดการน้ำดี ๆ ก็จะสามารถทำการเกษตรกรแบบอื่นควบคู่ไปด้วยได้ และคงทำให้ทุกคนมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2563

ประชาชนและนักท่องเที่ยวกว่า 500 คน ร่วมปั่นโขงนทีแรลลี่ริมฝั่งโขง ชมความงามเมืองนครพนมและเรือไฟ

วันที่ 27 กันยายน 2563 ที่บริเวณปากทางเข้าอุโมงค์นาคราช ตำบลหนองแสง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานเปิดและนำประชาชนและนักท่องเที่ยวกว่า 500 คน ร่วมปั่นจักรยานเลียบริมฝั่งโขงชมความงดงามทางธรรมชาติตลอดเส้นทางจักรยานเลียบริมฝั่งโขง สูดอากาศที่บริสุทธิ์ในยามเช้า ชมวิถีชีวิตไทยแสกที่ตำบลอาจสามารถกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมแสกเต้นสาก และรับแสงอรุณที่ลานแคมป์ปิ้งใต้สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 (นครพนม - คำม่วน) กับกิจกรรมปั่นโขงนทีแรลลี่ชมเมือง @นครพนม ที่มีระยะไปและกลับรวม 20 กิโลเมตร ที่จังหวัดนครพนมโดยสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อส่งเสริมกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของจังหวัดนครพนมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด - 19 ทั้งเป็นการยกระดับกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวและกีฬาของจังหวัดสู่ระดับสากล


นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในปกติทุกวันอาทิตย์ที่จังหวัดนครพนมจะมีกิจกรรมการปั่นจักรยานชายโขงกันอยู่แล้ว ซึ่งจะมีนักปั่นในพื้นที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาร่วมกิจกรรมตามความสะดวกอยู่เสมอและหลังกิจกรรมการปั่นก็จะมีการร่วมกันบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ด้วยการเก็บขยะตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้เมืองมีความสะอาด สวยงาม เป็นที่ประทับใจของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือน และในช่วงนี้ที่จังหวัดมีการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม ระหว่างวันที่ 25 กันยายน – 4 ตุลาคม 2563 ก็จะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครพนมก็ได้เล็งเห็นว่ากิจกรรมปั่นโขงนทีแรลลี่ชมเมือง @นครพนม นี้จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะเข้ามาเติมเต็มความสุขให้กับทุกคนเหมือนได้โชค 2 ชั้น เพราะนอกจากจะได้ชมความงดงามของเรือไฟแล้วยังได้สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ทั้งยังได้เห็นถึงความสวยงามที่ทอดยาวตามลำแม่งน้ำโขงกับเส้นทางจักรยานที่เป็น Unseen ที่ใครมาลองสัมผัสแล้วจะต้องติดใจนำไปเล่าต่ออย่างแน่นอน ทั้งนี้ก็อยากฝากถึงพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกคน ๆ ที่มาร่วมงานว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดยังคงมีอยู่ แม้ในพื้นที่จังหวัดนครพนมจะไม่มีผู้ที่ติดเชื้อในตอนนี้ แต่เพื่อความปลอดภัยของทุกคน เพราะฉะนั้นในพื้นที่บริเวณงานจะมีการตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้นจึงขอให้ทุกคนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วย

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2563

รมต.ประจำสำนักนายก ลงพื้นที่นครพนม ชูโมเดล "หมู่บ้านรักษาศีล 5" สร้างความปรองดองสมานฉันท์ในสังคม

 

วันที่ 26 กันยายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามผลการดำเนินงานโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล 5" (ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ที่บริเวณวัดสระพังทอง บ้านหนองสังข์ ตำบลหนองสังข์ อำเภอนาแก ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนในบ้านหนองสังข์ ที่ประกอบไปด้วย หมู่ที่ 1 ,2,7,5, 8,10 และ 11 มีประชากรรวมทั้งสิ้น 3,830 คน จาก 1,116 ครัวเรือน

ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบ้านหนองสังข์มีการพัฒนาขับเคลื่อน โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 มาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการบูรณาการในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น พระสงฆ์ ชาวบ้าน โรงเรียน ฝ่ายปกครอง ตลอดจนส่วนราชการต่าง ๆ  ที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมให้กับประชาชนทุกเพศทุกวัยในการดำเนินชีวิตประจำวันของคนในชุมชน/หมู่บ้าน เช่น การทำวัตรสวดมนต์ทุกวันพระ งานบุญประเพณีแข่งเรือยาว งานบุญพระเวสสันดร งานวัฒนธรรม 14 กุมภาสืบสานไทกะเลิง การเซ่นไหว้ปู่ตา พิธีหมอเหยา บุญชำระบ้าน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสร้างความปรองดองสมานฉันท์การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและสร้างความเจริญอย่างยั่งยืนให้ชุมชน ทำให้ทุกคนมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านเกณฑ์ จปฐ. มีการส่งเสริมสัมมาชีพกลุ่มสินค้าโอทอป ผ้าทอพื้นเมือง ผ้าลายโบราณและผ้าอื่น ๆ มีกลุ่มจักสาน กลุ่มโคเนื้อ กลุ่มเพาะเห็ด ตลอดจนมีการสืบสานศิลปวัฒนธรรมประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นในด้านต่างๆโดยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 ที่ผ่านมา ประชาชนในหมู่บ้านก็ได้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ด้วยการแบ่งปันความสุข คณะสงฆ์ก็ได้มีการจัดตู้ปันสุขจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันก็มีการเยี่ยมเยียนคนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ด้อยโอกาสไร้ที่พึ่ง มีการมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนที่เรียนดีมีความประพฤติดีแต่ฐานะยากจน จนทำให้หมู่บ้านหนองสังข์ได้รับรางวัลต่าง ๆ อย่างมากมาย มีสถิติคดีความลดลงจนในปี 2563 เหลือเพียงคดีเดียว และในปีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ของชาวบ้านทุกคนในชุมชนเพราะได้รับโล่รางวัลในสมเด็จสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กับโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง อยู่เย็นเป็นสุข ระดับจังหวัด

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พุทธศาสนาเป็นสิ่งที่พวกเราใช้ยึดถือยึดเหนี่ยวจิตใจกันทั้งประเทศ และศีล 5 ก็เป็นหลักธรรมนำชัยที่นำความสุขมาให้ทุกคนมาสู่สังคมและประเทศชาติ ก่อให้เกิดความรักความสามัคคี ความสมานฉันท์ ความอบอุ่นในสังคม ซึ่งถ้าหากเราดูดี ๆ ใช้ดี ๆ จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวที่ทำให้ชีวิตของผู้คนภายในประเทศประสบความสำเร็จและเจริญรุ่งเรืองได้ด้วยศีล 5 ข้อเท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น ห้ามพูดปด พูดเท็จ ถ้าเรานำมาใช้กับการค้าขายก็จะเจริญรุ่งเรือง เพราะถ้าเรารักษาคำมั่นสัญญาวาจาสัตย์ ว่าสินค้าของเรานั้นเป็นสินค้าที่ดี มีคุณภาพ เป็นสินค้าที่ถูกต้องตามน้ำหนักและปริมาณ ไม่เป็นพิษเป็นภัย ก็จะทำให้เรามีชื่อเสียงในสินค้าของเรา กับมาตรฐานสินค้าของเรา และสินค้านั้นก็จะได้รับการยอมรับ ได้รับความนิยมขยายสู่ตลาดที่กว้างมากยิ่งขึ้น และถ้าเรานำศีลข้ออื่น ๆมาสนับสนุนเชื่อมโยงกัน เช่นเราไม่ดื่มสุราเมรัย ครอบครัวก็จะไม่เดือดร้อน เพราะมีทุน มีกำไรในการค้าขายต่อไปเป็นต้น ซึ่งนี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างที่ยกขึ้นมาให้ทุกคนได้เห็นว่า โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ที่คณะสงฆ์ พระเถรานุเถระได้ร่วมกับภาครัฐบาลจัดทำขึ้นมาเป็นโครงการที่ดีที่นำพาความสุข ความสามัคคีปรองดอง มาสู่ครอบครัว ชุมชนและประเทศชาติ จึงอยากให้ทุกคนได้นำมาประพฤติปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2563

ไหลเรือไฟนครพนมวันแรก ประชาชนและนักท่องเที่ยวเริ่มคึกคัก

วันที่ 25 กันยายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม บรรยากาศการเดินทางมาท่องเที่ยวงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม ประจำปี 2563 ของประชาชนและนักท่องเที่ยวเริ่มมีความคึกคักขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางมาตรการการเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 ที่เข้มงวด ซึ่งที่พักบางแห่งมีการจองล่วงหน้าเต็มหมดแล้ว โดยในเวลา 18.30 น. นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานประเพณีอันเก่าแก่และงดงามของชาวจังหวัดนครพนม ที่จัดขึ้นในช่วงเทศกาลวันออกพรรษาของทุกปี เป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์ประทับไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมเทศนาโปรดพญานาคที่เมืองบาดาล รวมถึงเป็นการระลึกถึงพระคุณของแม่น้ำโขงที่ได้ใช้หล่อเลี้ยงชีวิตมาและขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินลงไป โดยในปีนี้จังหวัดนครพนมได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่จัดขึ้นจำนวน 10 วัน ซึ่งจะมีไปจนถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2563


โดยในวันแรกบริเวณจุดที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวคงหนีไม่พ้นจุดที่มีการเปิดเพราะมีการแสดงแสงสีเสียง ที่เล่าเรื่องราวถึงความเป็นมาแห่งสายน้ำและประเพณีไหลเรือไฟให้ทุกคนได้ชมผ่านการแสดงก่อนพิธีเปิด รวมถึงการมอบเงินสนับสนุนกิจกรรมในครั้งนี้ ตามมาด้วยจุดที่เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมใช้ออกร้านกาชาดเพื่อหารายได้มาสนับสนุนภารกิจในการบรรเทาทุกข์และให้ความช่วยเหลือสงเคราะห์ประชาชนที่ประสบภัยและประสบปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ เพราะในแต่ละวันนั้นจะมีรางวัลใหญ่ออกทุก ๆ วัน เช่น รถจักรยานยนต์ ตู้เย็น จักรยาน ทีวีสี LED เตาไมโครเวฟ หม้อหุงข้าวไฟฟ้าและรางวัลอื่น ๆ อีกมากมายกับการจับสลากมัจฉากาชาดที่จำหน่ายในราคาเพียง 20 บาท ขณะที่บางคนก็เลือกที่จะซื้อสลากกาชาดที่จำหน่ายในราคา 100 บาทเพื่อรอลุ้นรับรถยนต์กระบะ Double CAB 4 ประตู หรือรถยนต์เก่ง ที่จะมีการออกสลากในวันที่ 4 ตุลาคม 2563 และอีกจุดคงหนีไม่พ้นที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงที่มีการไหลเรือไฟโชว์แม้จะมีขนาดความยาวประมาณ 40 เมตร ซึ่งเล็กกว่าเรือไฟแข่งขัน 1 เท่าตัว แต่ก็มีการประดับตกแต่งให้มีความสวยงามวิจิตรตระการตากับลวดลายที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่แพ้เรือไฟแข่งขันประเภทความคิดสร้างสรรค์ที่จะใช้ไหลเพื่อเป็นประทีปพุทธบูชาในวันที่ 30 กันยายน จำนวน 2 ลำและ วันที่ 1 ตุลาคมไหลจำนวน 3 ลำ รวมถึงเรือไฟประเภทสวยงามที่จะมีการไหลในวันที่ 2 ตุลาคมที่เป็นวันออกพรรษาอีกจำนวน 7 ลำ

คมนาคม จับมือ กษ. kick off นำยางพารามาใช้ปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนนนำร่องภาคอีสานที่นครพนม

  วันที่ 25 กันยายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม  พร้อมด้วย นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ร่วมเปิดโครงการการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน ( kick off ) ที่บริเวณทางหลวงหมายเลข 2033 ตอนคำพอก- หนองญาติ กิโลเมตรที่ 55+425 – 55+575 ตำบลหนองญาติ อำเภอเมืองนครพนม โดยมีปลัดกรทรวง คณะหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนจังหวัดนครพนมร่วมเป็นสักขีพยาน

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา รับทราบแนวทางการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของพี่น้องประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีตครอบกำแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier: RFB) และหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post RGP) เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพาราให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นการดูดซับปริมาณยางพาราออกจากระบบ สร้างเสถียรภาพราคายางอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต และได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพารา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของโครงการนี้ นอกจากนี้ยังได้รับความช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ศึกษาและวิจัยพบว่าแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต และการหลักนำทางยางธรรมชาติมาใช้ สามารถที่จะช่วยลดแรงปะทะที่เกิดจากการชนซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนได้เป็นอย่างดี มีความเหมาะสม โดยที่ผ่านมาประเทศของเรามีปริมาณการใช้ยางพาราในปี 2561 ประมาณแปดหมื่นกว่าตัน ปี 2562 ใช้ยางพาราประมาณ 2 แสนกว่าตัน แต่โครงการนี้จะใช้ยางพารามากถึง 1,007,951 ตัน คิดเป็นผลประโยชน์ที่เกษตรกรชาวสวนยางจะได้รับประมาณ 30,108 ล้านบาท และจะมีการสำรวจตรวจสอบเพื่อเปลี่ยนทดแทนของเดิมที่เสื่อมสภาพหรือที่เสียหายในทุก ๆ ปีอย่างน้อยปีละประมาณ 336,000 ตัน ซึ่งในตอนเริ่มเปิดตัวโครงการในเดือนสิงหาคมราคายางอยู่ที่ประมาณ 43 บาทต่อกิโลกรัม ผ่านมา 1 เดือนพบว่าราคาสูงขึ้นเป็นประมาณ 62 บาทต่อกิโลกรัม



นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ จะทำหน้าที่ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและคัดเลือกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ที่กระทรวงรับรองให้เข้าร่วมโครงการ มีการจัดเตรียมเงินทุนเพื่อสนับสนุน รวมถึงมีการกำกับ ควบคุมคุณภาพการผลิตให้เป็นไปตามรูปแบบ มาตรฐาน และราคาตามที่กระทรวงคมนาคมกำหนด สำหรับการ Kick Off โครงการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น มี 3 จังหวัด ประกอบไปด้วยจังหวัดนครพนม บึงกาฬ และจังหวัดเลย ด้วยทั้ง 3 จังหวัด เป็นจังหวัดที่มีการปลูกยางพารามากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

รมช.เกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่นครพนม ติดตามโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร พร้อมแนะอนาคตครัวไทยสู่ครัวโลก

 วันที่ 25 กันยายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และนายวิศิษฐ์  ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นำคณะลงพื้นที่บ้านดอนแดง หมู่ที่ 8 ตำบลธาตุพนมเหนือ อำเภอธาตุพนม เยี่ยมให้กำลังใจและติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร ที่เป็นนโยบายของกระทรวงเพื่อสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ หันกลับมาประกอบอาชีพทำการเกษตรและกลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่ออยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวมากยิ่งขึ้น



นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า โครงการของเราเป็นโครงการที่สร้างเสริมอาชีพของคนไทยที่แท้จริง โดยเริ่มมาตั้งแต่ประมาณเดือนมกราคมที่ตอนนั้นยังไม่มีโควิด- 19 เข้ามาเลย เพราะเรามองว่าปัจจุบันเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ แต่ลูกหลานกลับมาทำงานในตัวเมืองและกรุงเทพ ทำให้พื้นที่นาในต่างจังหวัดยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อีกมากมาย ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าที่ทุกคนหลั่งไหลเข้าไปอยู่ในเมืองใหญ่กันเพราะเหตุใด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วต่างจังหวัดเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีความโอบอ้อมอารีที่พร้อมจุนเจือต่อกัน ขณะที่ในเมืองหลวงแต่ละคนแทบไม่รู้จักกันเลย จึงอยากให้ลูกหลานทุกคนได้กลับไปอยู่บ้าน ได้ไปดูแลพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย พร้อมกับการมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน



สำหรับจังหวัดนครพนมนั้นมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 127 คน ถ้าเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ แล้ว ถือเป็นจังหวัดต้น ๆ ของประเทศที่มีผู้เข้าร่วม ซึ่งแต่ละคนก็จะมีพื้นฐานที่แตกต่างกันไป เพราะด้วยหน้าที่การงานที่ทำที่ แต่ทุกคนล้วนมีประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์สามารถนำต่อยอดได้เป็นอย่างดี และโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ เงินทุนก็ไม่ใช่ปัจจัยอันดับแรก ๆ แต่ความตั้งใจความมุ่งมั่นต่างหากที่จะเป็นสิ่งสำคัญนำไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้นเมื่อกรมส่งเสริมการเกษตรเข้ามาให้ความรู้ สร้างความมั่นใจในระบบการผลิต สหกรณ์การเกษตรเข้ามาดูแลให้ความรู้ในด้านการบริหารจัดการและการตลาด ก็จะทำให้ทุกคนมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น สามารถขับเคลื่อนแปลงเกษตรของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและมองเห็นทิศทาง มองเห็นถึงอนาคตของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี และในตอนนี้ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เองก็กำลังผลักดันในเรื่องของอาหารฮาลาล เพราะเรากำลังจะสร้างครัวไทยสู่ครัวโลก ซึ่งอาหารฮาลาลเป็นอาหารที่ทั่วโลกให้การยอมรับ สามารถไปได้ทุกที่ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่ไม่สามารถผลิตอาหารได้เลยแต่มีเงินมากมายรอเราอยู่ ดังนั้นถ้าเราทำได้นั้นหมายถึงรายได้อีกมากมายที่จะเข้ามาสู่ทุกคนในครอบครัวรวมถึงชุมชน  แต่เราต้องเข้าใจหลักการทำ ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติและกฎระเบียบเรื่องอาหารฮาลาลอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องความสะอาด ถ้าทำได้ก็เหมือนได้คะแนน 50 คะแนนแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของวัตถุดิบ ซึ่งในส่วนนี้ถ้าเราทำเกษตรอินทรีย์ก็ได้อีก 10 คะแนน นอกจากนี้ก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ จึงอยากให้ทุกคนได้มองเห็นถึงโอกาสและอาชีพใหม่ๆ ที่จะมารองรับในส่วนนี้

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563

พช.นครพนม จัดมหกรรมรวมพลังคนดีแห่งแผ่นดิน ปี 2563 ยกย่องเชิดชูเกียรติผู้นำดีเด่นระดับจังหวัด

 วันที่ 24 กันยายน 2563 ที่บริเวณศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธีอัญเชิญรับโล่รางวัลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” หมู่บ้านที่ชนะเลิศการประกวดกิจกรรมพัฒนาชุมชนดีเด่น ประจำปี 2553 เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้นำชุมชน ที่มีผลงานดีเด่นผ่านการคัดสรรกิจกรรมพัฒนาชุมชนดีเด่น ประจำปี 2563 จากคณะกรรมการที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนมได้มีการแต่งตั้งและลงพื้นที่ประเมินให้คะแนนในห้วงระหว่างวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา


นอกจากนี้ยังมีพิธีมอบโล่รางวัลสิงห์ทองให้แก่ผู้นำกิจกรรมพัฒนาชุมชนดีเด่น มอบเข็มเชิดชูเกียรติผู้นำกิจกรรมพัฒนาชุมชนดีเด่น มอบโล่รางวัลและประกาศเกียรติคุณมูลนิธินครพนมเมืองได้อยู่ประจำปี 2563 มอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ข้าราชการเกษียณ มอบประกาศเกียรติบัตรแก่ข้าราชการดีเด่นประเภทพัฒนาการอำเภอและประเภทพัฒนากรขวัญใจชุมชน มอบประกาศเกียรติคุณตามโครงการเชิดชูเกียรติคนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ประจําปี 2563 มอบประกาศเกียรติคุณโครงการกองทุนชุมชนดีเด่นตามโครงการกองทุนเกื้อหนุนความสำเร็จ มอบประกาศเกียรติคุณเชิดชูเกียรติบุคคลต้นแบบที่ได้น้อมนำแนวพระราชดำริ ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สู่แผนปฏิบัติการ 90 วัน ปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารของกรมการพัฒนาชุมชน

และในโอกาสนี้ทางสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนมยังได้มีการจัดบูธเพื่อเป็นเวทีให้แต่ละหมู่บ้าน ชุมชนได้นำผลงานและสินค้าเด่นของตนเองมาจัดแสดง เป็นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับผู้ที่มาร่วมงานเพื่อที่จะได้จับจ่ายซื้อหาสินค้าที่ถูกใจกลับไปฝากคนทางบ้าน นำไปใช้ในครัวเรือนและเห็นถึงเทคโนโลยี นวัตกรรม เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวความคิด ภูมิปัญญาเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดสินค้าในชุมชนของตนเองอีกด้วย

กสทช. ภาค 2 สร้างเครือข่ายเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้บริโภคให้เข้าถึงสิทธิ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ที่นครพนม

         วันที่ 24 กันยายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายอัศวิน มุงคุณคำชาว ผู้อำนวยการสำนักงาน กสทช. ภาค 2 เปิดเผยว่า สำนักงาน กสทช. เป็นหน่วยงานภูมิภาค ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลและควบคุม การออกใบอนุญาตบังคับใช้กฎหมาย การตรวจสอบ ตรวจค้น และการจับกุมการกระทำผิดกฎหมายที่เกี่ยวกับกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม รวมถึงการประสานงานในเชิงรุกเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค ทั้งมีการส่งเสริมการให้บริการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึง ส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้รับความรู้และเข้าใจในสิทธิขั้นพื้นฐาน กระบวนการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม โดยแผนยุทธศาสตร์ที่ 3 ของสำนักงาน กสทช. ฉบับที่ 2 ปี 2561-2564 คือการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านดิจิทัลเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ประกอบไปด้วย 5 กลยุทธ์ และหนึ่งในนั้นก็คือการเสริมสร้างการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการเพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชน

ดังนั้น สำนักงาน กสทช. ภาค 2 โดยส่วนงานผู้บริโภคและประโยชน์สาธารณะ จึงได้จัดโครงการเสริมสร้างสิทธิและพัฒนาศักยภาพแก่ผู้บริโภค ในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ประจำปี 2563 ขึ้น ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว เพื่อสร้างเครือข่ายในการสร้างองค์ความรู้สู่ภาคประชาชนที่ก่อให้เกิดการตื่นตัวของผู้บริโภคในการรักษาสิทธิ์ของตนเอง สร้างการรับรู้และความเข้าใจถึงช่องทางในการร้องเรียนเพื่อให้การแก้ไขปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบที่มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้บริโภคยุคดิจิทัล โดยผู้ที่เข้ารับการอบรมในครั้งนี้ จำนวน 100 คน ประกอบไปด้วย ผู้บริโภคภาคประชาชน องค์กรสาธารณะที่ขับเคลื่อนด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้แทนจากศูนย์ดำรงธรรม อสม. ผู้นำชุมชน จะได้รับความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภค กลไกและกระบวนการในการรับพิจารณาเรื่องร้องเรียนในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม มาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพมนุษย์จากเครื่องวิทยุชุมชน ความปลอดภัยของเสาส่งสัญญาณโทรทัศน์เคลื่อนที่ ผลกระทบการแพร่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสถานีฐานของระบบโทรทัศน์เคลื่อนที่ต่อสุขภาพมนุษย์ แนวทางการทำความเข้าใจกับประชาชนและการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการตั้งสถานีวิทยุคมนาคม ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตั้งสถานีวิทยุคมนาคม แนวทางการกำกับดูแลระดับความรุนแรงของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของมนุษย์จากการใช้เครื่องวิทยุคมนาคม การรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการเสนอข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิบัติการส่งเสริมสิทธิให้ผู้บริโภคเกี่ยวกับกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม

จ.นครพนม จัดงานวันมหิดล รำลึกถึงพระมหากรุณาพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย

วันที่ 24 กันยายน 2563 ที่บริเวณโรงพยาบาลนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารตลอดจนเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานด้านการสาธารณสุขของจังหวัดนครพนม นักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนม ภาคเอกชนและประชาชนจังหวัดนครพนม ประกอบพิธีวางพวงมาลาถวายบังคมพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย เนื่องในวันมหิดล ประจำปี 2563 มอบเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติแก่ผู้ที่ให้การสนับสนุนด้านการแพทย์โรงพยาบาล มอบโล่เชิดชูเกียรติแก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีผลงานดีเด่นด้านพัฒนาวิชาการทางด้านการแพทย์ การพยาบาล การสาธารณสุข  และการปฏิบัติงานบริการประชาชนดีเด่น ก่อนที่ทุกคนจะร่วมกันทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อนำเงินรายได้ไปจัดซื้อวัสดุ ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ไว้ช่วยเหลือผู้ป่วย ทั้งนี้ผู้ที่มีจิตอันเป็นกุศลสามารถร่วมทำบุญผ่านทางบัญชี  “ เงินบริจาคโรงพยาบาลนครพนม “ ธนาคารกรุงไทย ที่เลขที่บัญชี 408-3-11709-5

โดยสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีที่ประสูติร่วมพระราชมารดา 7 พระองค์ พระองค์มีคุณูปการแก่กิจการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของประเทศไทย ประชาชนทั่วไปจะคุ้นเคยกับพระนามว่า กรมหลวงสงขลานครินทร์ หรือ พระราชบิดา บางครั้งก็ปรากฏพระนามว่า เจ้าฟ้าทหารเรือ และ พระประทีปแห่งการอนุรักษ์สัตว์น้ำของไทย ส่วนชาวต่างประเทศเรียกพระนามว่า เจ้าฟ้ามหิดล โดยพระองค์ทรงสนพระทัยการแพทย์และการสาธารณสุข ตั้งแต่ครั้งยังดำรงตำแหน่งนายทหารแห่งกองทัพเรือสยาม ทรงเห็นว่าการแพทย์และการสาธารณสุขของไทยยังล้าสมัยอยู่มาก และทรงตระหนักว่าการสาธารณสุขมีส่วนสำคัญในการพัฒนาของประเทศ หากจะได้ผลดีต้องมีแพทย์ที่มีคุณภาพสูง และมีการศึกษาแพทย์ที่เหมาะสม จึงทรงพระอุตสาหะเสด็จไปศึกษาวิชาการสาธารณสุขและวิชาแพทย์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทรงสอบได้ประกาศนียบัตรการสาธารณสุขและปริญญาแพทยศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตเกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ซึ่งภายหลังทรงสำเร็จการศึกษา พระองค์ได้ทรงประกอบพระกรณียกิจทางด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไว้มากมายจนเป็นที่ประจักษ์ และทรงได้รับการยกย่องเป็นองค์บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย โดยวันที่ 24 กันยายน เป็นวันคล้ายวันเสด็จทิวงคตของพระองค์ท่าน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จึงได้ขนานนามวันอันเป็นที่ระลึกสำคัญนี้ว่า วันมหิดล เพื่อเป็นการถวายสักการะและแสดงกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ท่าน ที่ทรงพระราชกรณียกิจแก่วงการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศไทยตลอดระยะเวลา 12 ปี เพื่อเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่โรงเรียนแพทย์และพัฒนาการเรียนการสอน ตลอดจนการผลิตแพทย์ให้มีประสิทธิภาพ เป็นการวางรากฐานแก่การแพทย์และการสาธารณสุขให้เจริญพัฒนาก้าวหน้าทัดเทียมอารยะประเทศ

จ. นครพนม ประกอบพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองก่อนเริ่มงานไหลเรือไฟ 63

วันที่ 24 กันยายน 2563 ที่บริเวณศาลหลักเมืองจังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายสมชาย ชำนิ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตลอดจนประชาชนจังหวัดนครพนม ร่วมประกอบพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองจังหวัดนครพนมที่อยู่ในที่ต่าง ๆ  เช่น ศาลหลักเมือง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ศาลพระภูมิเจ้าที่ภายในจวนผู้ว่าราชการจังหวัด (หลังเก่า) ศาลเจ้าพ่อคำแดง วัดโอกาสศรีบัวบาน(พระติ้ว/พระเทียม/ศาลเจ้าพ่อหมื่น/ศาลปู่ย่า) องค์พญาศรีสัตตนาคราช วัดศรีเทพประดิษฐาราม(หลวงปู่จันทร์/หลวงพ่อพระแสง) ศาลเจ้าพ่อสิบสอง และศาลเจ้าพ่อสัมมะติ ที่คอยปกป้องคุ้มครองให้ทุกคนปลอดภัยและอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขมาโดยตลอด เพื่อกราบไหว้ขอพรและเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนที่จะเปิดงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาด ประจำปี 2563 ในวันที่  25 กันยายน ซึ่งจะมีไปจนถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2563 ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนมและบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง เลียบถนนสุนทรวิจิตร เทศบาลเมืองนครพนม


สำหรับงานประเพณีไหลเรือไฟเป็นประเพณีเก่าแก่ ที่ชาวจังหวัดนครพนมจัดขึ้นทุกปีในช่วงวันออกพรรษา ตามความเชื่อที่ว่าการไหลเรือไฟเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์ประทับไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมเทศนาโปรดพญานาคที่เมืองบาดาล รวมถึงเป็นการระลึกถึงพระคุณของแม่น้ำโขงที่ได้ใช้หล่อเลี้ยงชีวิตมาและขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินลงไป โดยในปีนี้จังหวัดนครพนมได้มีการจัดสร้างเรือไฟขนาดใหญ่ 12 ลำ ที่มีการประดับตกแต่งลวดลายให้มีความสวยงามวิจิตรตระการตาด้วยตะเกียงไฟรวมกว่าแสนดวงและในช่วงนี้ที่ยังอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 จังหวัดจึงมีการมาตรการและการบริหารจัดการในการเฝ้าระวังป้องกันโรคที่กำหนดให้ผู้ที่มาร่วมงานต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า 100 % ต้องผ่านการตรวจคัดกรองและลงทะเบียนเข้าร่วมงานจากเจ้าหน้าที่ที่มีการตั้งจุดตรวจคลอบคุมพื้นที่บริเวณงานมากถึง 34 จุด โดยต้องมีการเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร ที่สำคัญในปีนี้ยังมีการเพิ่มพื้นที่ให้ผู้ชมที่จะมาร่วมงาน ด้วยการเพิ่มวันไหลเรือไฟแข่งขันเป็น 3 วัน จากเดิมที่มีเพียงวันเดียว โดยประเภทความคิดสร้างสรรค์ไหลวันที่ 30 กันยายน จำนวน 2 ลำ วันถัดมาไหล 3 ลำ วันที่ 2 ตุลาคมที่เป็นวันออกพรรษาไหลเรือไฟประเภทสวยงาม จำนวน 7 ลำ ส่วนวันอื่น ๆ ที่ไม่มีการแข่งขันก็มีเรือไฟไหลโชว์พร้อมกับการปล่อยกระทงสาย โดยการปล่อยเรือจะเริ่มในเวลา 19.00 น. ของทุกวัน และจะปล่อยห่างกันทุก ๆ 30 นาที ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเลือกมาวันไหนก็ได้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พิธีอัญเชิญไฟพระฤกษ์และพิธีทางศาสนา กิจกรรมออกสลากกาชาดเพื่อหารายได้มาสนับสนุนภารกิจเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาสและผู้ประสบภัยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การประกวด B-Boy And Cover Dancing Contest 2020 การลิ้มชิมรสอาหารชาวนครพนมในงานพาข้าวแลง และการเลือกหาข้าวของเครื่องใช้กับสินค้าขึ้นผลิตภัณฑ์ otop ของแต่ละชุมชน โดยงานนี้การันตีความปลอดภัยจากหน่วยงานความมั่นคงและงานด้านสาธารณสุข ที่พร้อมให้การป้องกันและช่วยเหลือประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานตลอดเวลา

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2563

ปศุสัตว์นครพนม จัดกิจกรรมรณรงค์และให้บริการทำหมันสุนัข-แมวฟรี เนื่องในวันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลกปี 2563

          วันที่ 23 กันยายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสมชาย อนันตจารุตระกูล ปศุสัตว์จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า เนื่องในวันที่ 28 กันยายนของทุกปี องค์กรเพื่อการรณรงค์ควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าโลก (Global Alliance for Rabies Control) ได้กำหนดให้เป็นวันรณรงค์ควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าโลก และด้วยนโยบายของกรมปศุสัตว์ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การดำเนินโครงการสัตว์ปลอดโรคคนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ซึ่งเราไม่ได้ดำเนินการในวันเดียวกันทั้งหมด เฉพาะในเดือนกันยายนนี้ทั้ง 77 จังหวัด จะมีการดำเนินตามกิจกรรมของโครงการเพื่อเป็นการป้องกันและกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไปตามนโยบาย

สำหรับจังหวัดนครพนมนั้นมีการดำเนินการในทุกเดือนอยู่แล้ว ประมาณเดือนละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อยที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด ส่วนตามอำเภอต่าง ๆ นั้น จะมีการออกไปให้บริการด้วยการออกจังหวัดเคลื่อนที่และสัตวแพทย์เคลื่อนที่ รวม ๆ แล้วจะมีการให้บริการอย่างน้อยเดือนละ 3 ครั้ง เป็นประจำทุกเดือน แต่ในวันนี้เราได้มีการจัดกิจกรรมใหญ่เพื่อรณรงค์ทั้งจังหวัด จึงได้มีการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าให้ประชาชนที่เลี้ยงสุนัขและแมวได้นำสุนัขและแมวมารับบริการ ซึ่งจะมีทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้กับสุนัขและแมว การลดจำนวนประชากรสุนัขและแมวด้วยการทำหมัน การให้คำปรึกษาและความรู้เกี่ยวกับสุขภาพสัตว์เลี้ยง ทั้งนี้อยากฝากไปยังพี่น้องประชาชนที่เลี้ยงสุนัขและแมวหลาย ๆ ท่าน ว่าตอนเล็ก ๆ เค้าน่ารัก จึงนำมาเลี้ยงแต่พอโตแล้ว ด้วยความซนหรือด้วยเหตุอะไรก็ตามทำให้ไม่มีเวลาที่จะดูแลและมักจะปล่อยปละละเลย ซึ่งสุนัขและแมวเหล่านี้บางตัวก็หนีออกจากบ้านโดยไม่ได้ทำการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ถ้าเกิดมีเชื้อแล้วไปกัดคนอื่น ๆ ที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องก่อจะก่อให้เกิดความเสียหาย อาจมีการร้องเรียนถึงขั้นที่เจ้าของสัตว์จะต้องดูแลและจ่ายค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดปัญหาโรคพิษสุนัขบ้าในจังหวัดของเราได้ เพราะฉะนั้นจึงอยากให้พี่น้องประชาชนที่เลี้ยงควบคุมดูแลสุนัขและแมวของตัวเองให้ดี ซึ่งทางภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด แล้วก็องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะมีบริการให้อยู่แล้ว อย่างเช่น ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ใกล้บ้านท่านก็จะได้รับงบประมาณเพื่อจัดหาวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ซึ่งทางสำนักงานปศุสัตว์จะเข้าไปร่วมในทุก อบต. อยู่แล้ว เพียงท่านนำสัตว์เลี้ยงมารับบริการเท่านั้น

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2563

จิตอาสานครพนม รวมใจทำความสะอาดเมืองเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวร่วมงานไหลเรือไฟ 63

 จิตอาสานครพนม รวมใจทำความสะอาดเมืองเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวร่วมงานไหลเรือไฟ 63

วันที่ 22 กันยายน 2563 ที่บริเวณลานตะวันเบิกฟ้า ริมฝั่งแม่น้ำโขง เทศบาลเมืองนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่และประชาชนจิตอาสาฯ ร่วมกันแสดงพลังเราทำความดีด้วยหัวใจ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำความสะอาดและปรับแต่งภูมิทัศน์เมืองนครพนมตามจุดต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่บริเวณแลนด์มาร์คพญาศรีสัตตนาคราช เรื่อยไปตามเส้นทางริมแม่น้ำโขงที่มีการจัดสร้างเรือไฟและพื้นที่ที่จะมีการไหลเรือไฟเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวว่าทุกพื้นที่มีความสะอาด ปราศจากเชื้อโรค มีความสวยงาม ทั้งเป็นการเพิ่มพื้นที่ในการนั่งรับชมการไหลเรือไฟของนักท่องเที่ยวที่ต้องมีการเว้นระยะห่างเพื่อความปลอดภัยที่ห่างไกลโควิด – 19 เป็นการสร้างความประทับใจสำหรับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนจังหวัดนครพนมให้ยากกลับมาอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะยังคงมีผู้ที่มาชมความงดงามและความยิ่งใหญ่ของเรือไฟมากเช่นทุกปี


โดยกิจกรรมในครั้งนี้ ได้แบ่งหน้าที่รับผิดชอบออกเป็นโซน เพื่อให้การทำความสะอาดและปรับแต่งภูมิทัศน์ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ตลอดความยาวริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งทิศเหนือจะยาวไปจนถึงโบสถ์นักบุญอันนา หนองแสง ที่มีการสร้างเรือไฟลำสุดท้ายขณะที่ทิศใต้จะยาวไปจนถึงลานสวรรค์ชายโขงซึ่งเรือไฟจะไหลไปสิ้นสุด นอกจากนี้ยังมีพื้นที่บริเวณอื่น ๆ ที่ใช้ในการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม ประจำปี 2563 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25 กันยายน – 4 ตุลาคม 2563 ซึ่งในปีนี้จังหวัดนครพนมได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ  ทั้ง 12 อำเภอสร้างขึ้น เพื่อเป็นประทีปพุทธบูชารอยพระพุทธบาทในวันออกพรรษา ตามความเชื่อที่ว่าเมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมเทศนาโปรดพญานาคที่เมืองบาดาล ได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทา มหานที โดยในปีนี้จังหวัดได้มีการปรับเปลี่ยนวันไหลเรือไฟแข่งขันให้มากขึ้นเป็น 3 วันจากเดิมที่มีเพียง 1 วัน คือวันที่ 30 กันยายน จำนวน 2️ ลำ เป็นเรือไฟประเภทความคิดสร้างสรรค์ จากอำเภอนาหว้าและอำเภอวังยาง และวันที่ 1 ตุลาคม จำนวน 3️ ลำ เป็นเรือไฟจากอำเภอบ้างแพง อำเภอปลาปากและอำเภอนาแก ส่วนวันที่ 2 ตุลาคม จำนวน 7️ ลำ เป็นเรือไฟประเภทสวยงามจากอำเภอศรีสงคราม อำเภอโพนสวรรค์ อำเภอนาทม อำเภอท่าอุเทน อำเภอเมืองนครพนม อำเภอเรณูนครและอำเภอธาตุพนม ส่วนวันอื่นๆ จะเป็นเรือไฟโชว์ที่ปล่อยไหลพร้อมกับกระทงสาย

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2563

ผู้ใจบุญร่วมบริจาคสิ่งของสนับสนุนกาชาดจังหวัดนครพนม ใช้ออกสลากกาชาดในงานประเพณีไหลเรือไฟและสำรองช่วยผู้ประสบภัยในพื้นที่

         วันที่ 11 กันยายน 2563  ที่บริเวณสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคักของส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และประชาชน ที่ทราบข่าวว่าเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม จัดงานวันรวมน้ำใจให้กาชาดจังหวัดนครพนม ประจำปี 2563 ขึ้น ต่างก็ทยอยเดินทางนำเอาสิ่งของและทุนทรัพย์มาร่วมกันบริจาคกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมได้นำไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ประสบภัย และผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ ตามภารกิจของเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ที่เป็นองค์กรการกุศลเพื่อมนุษยธรรมและมีฐานะเป็นตัวแทนของสภากาชาดไทยในการช่วยบรรเทาทุกข์และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีนายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในฐานะนายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม สมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดนครพนม ร่วมให้การต้อนรับ อำนวยความสะดวกและรับมอบสิ่งของ



          นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มีจิตอันเป็นกุศล ที่ได้ร่วมกันบริจาคทุนทรัพย์และสิ่งของให้กับเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมในครั้งนี้ ซึ่งงานกาชาดจังหวัดนครพนมนั้นจะจัดร่วมกับงานประเพณีไหลเรือไฟเป็นประจำทุกปี โดยภายในงานจะมีกิจกรรมเพื่อหารายได้สำหรับกิจการของเหล่ากาชาด เพื่อนำไปบรรเทาทุกข์และให้ความช่วยเหลือสงเคราะห์พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดนครพนมที่ประสบภัยต่าง ๆ ประสบปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ  สำหรับสิ่งของที่ได้รับในวันนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือนำไปออกร้านมัจฉากาชาดในช่วงงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม ประจำปี 2563 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25 กันยายน -4 ตุลาคม 2563 ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครพนม ส่วนที่ 2 ก็จะเก็บไว้เพื่อให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และอีกส่วนก็จะเป็นการนำไปออกรางวัลสลากกาชาด ที่มีการจัดจำหน่าย จำนวน 50,000 ฉบับ ในราคาฉบับละ 100 บาท เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงานได้ลุ้นรับของรางวัล ไปพร้อม ๆ กับการทำบุญ ซึ่งรางวัลก็มีตั้งแต่ รถยนต์กระบะ Double CAB 4 ประตู รถยนต์เก่ง รถจักรยานยนต์ สร้อยคอทองคำ ตู้เย็น จักรยาน ทีวีสี LED เตาไมโครเวฟ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า โดยจะมีพิธีออกรางวัลสลากกาชาดในวันที่ 4 ตุลาคม 2563 เวลา 20.00 น. ณ ร้านกาชาดจังหวัดนครพนม โดยขอยืนยันว่าการดำเนินงานทั้งหมดรวมถึงรายได้ที่เหลือจากการจัดงาน คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมจะใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและให้เกิดความโปร่งใสในทุกขั้นตอน เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม

คณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณวุฒิสภาลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนมและมุกดาหาร

 วันที่ 11 กันยายน 2563 ที่จังหวัดนครพนม พลเอก ชาตอุดม ติตถะสิริ ประธานคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา นำคณะลงพื้นที่ศึกษาดูงานพร้อมประชุมรับกับนายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และนายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ตลอดจนคณะหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับฟังความคืบหน้าในการดำเนินงานความก้าวหน้า สภาพปัญหาอุปสรรคและแนวทางในการแก้ไขปัญหา รวมถึงการบริหารงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเกี่ยวกับการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนมและมุกดาหาร



          โดยเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนมนั้นได้ดำเนินการสรรหาและคัดเลือกผู้พัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว และได้บริษัทเจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เข้ามาดำเนินการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเมืองวัฒนธรรม กลุ่มศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ กลุ่มศูนย์รวมกีฬาและสันทนาการ และศูนย์กระจายสินค้าและเขตอุตสาหกรรมทั่วไป โดยปัจจุบันได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 ทำให้บริษัทมีการขอขยายระยะเวลาการลงทุนออกไปอีก 1 ปี โดยกรมธนารักษ์อนุญาตให้เลื่อนระยะเวลาการชำระค่าเช่าปี 2563 ออกไปอีก 1 ปี โดยให้ชำระค่าเช่าภายในเดือนกันยายน 2564 และยกเว้นการเรียกเก็บเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินที่ค้างชำระ สำหรับการขอขยายระยะเวลาการลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของเงินลงทุนออกไปอีก 1 ปีกรมธนารักษ์จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแต่เนื่องจากเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 คณะรัฐมนตรีให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและแต่งตั้งคณะกรรมการตามระเบียบดังกล่าวขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ดังนั้นเมื่อดำเนินการเป็นที่ยุติแล้ว จะได้รวบรวมข้อมูลนำเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาขยายสิทธิประโยชน์ การยกเว้นค่าเช่าที่ราชพัสดุต่อไป ส่วนความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรคในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร มีการเปิดการสรรหาและคัดเลือกผู้พัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว 3 ครั้ง มีภาคเอกชนที่สนใจเข้ามาซื้อเอกสารการลงทุนแต่ยังไม่มีผู้ที่ยื่นซองประมูล เนื่องจากมองว่าได้สิทธิประโยชน์น้อยไปเมื่อเทียบกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนมและของต่างประเทศ



          โดยพลเอก ชาตอุดม ติตถะสิริ เปิดเผยว่า การลงพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนมและมุกดาหารในครั้งนี้ เพื่อติดตามการบริหารจัดการงบประมาณที่ใช้ไปแล้วว่ามีความคืบหน้ามากน้อยเพียงใด ซึ่งเบื้องต้นก็ได้รับทราบถึงปัญหาต่างๆแล้ว โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีสถานการณ์โควิด – 19 ทำให้การลงทุนชะงักตัว หากจะให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์คงต้องรอให้สถานการณ์คลี่คลายมากกว่านี้ก่อน จึงจะสามารถดำเนินงานตามแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษได้ โดยในวันพรุ่งนี้จะเป็นการติดตามการบริหารงบปรมาณวุฒิสภา ร่วมกับทางผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อรับฟังปัญหาและแผนงานในการพัมนาจังหวัดนครพนมในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงสำรวจพื้นที่ตามโครงการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเลียบริมแม่น้ำโขง

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2563

นครพนม รวมน้ำใจช่วยผู้พิการยากไร้บ้านโคกสว่าง พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้เดือดร้อนทางสังคม

วันที่ 10 กันยายน 2563 ที่บ้านโคกสว่างพัฒนา หมู่ที่ 7 ตำบลธาตุพนมเหนือ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำเป็นคณะหัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือ นายเกรียรไกร แสนชัย อายุ 49 ปี เป็นผู้พิการทางการเคลื่อนไหว ทำให้เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าพยุงซึ่งเป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพ ที่ปัจจุบันขายพวงมาลัยริบบิ้นและรับจ้างดีดพิณตามงานต่าง ๆ



นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า การบูรณาการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้เพราะทุกภาคส่วนของจังหวัดนครพนมต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งเป็นการยกระดับครัวเรือนให้สูงขึ้นตามเป้าหมายของโครงการ "นครพนม สร้างสังคมอุดมสุข” ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมาทางจังหวัดนครพนมจะให้แต่ละพื้นที่เสนอชื่อผู้ที่มีความเดือดร้อนสมควรได้รับการช่วยเหลือเร่งด่วนเข้ามาผ่านทางหน่วยงานที่รับผิดชอบ จากนั้นก็ร่วมกันพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ โดยในส่วนของนายเกรียงไกรนี้ก็ต้องขอบคุณหลาย ๆ ภาคส่วนที่ได้ให้ความช่วยเหลือมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ทางเทศบาลตำบลธาตุพนมที่มาสร้างบ้านพักอาศัยให้ โดยเฉพาะผู้ใจบุญที่รู้ว่านายเกรียงไกรไม่มีที่ดินเป็นของตนเองก็สละพื้นที่ส่วนหนึ่งให้ทางหน่วยงานได้สร้างบ้านพักอยู่อาศัยให้ทั้งยังมาคอยดูแลช่วยเหลือตลอด รวมถึงส่วนอื่น ๆ อีก สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ก็เป็นการบูรณาการหลายๆ ภาคส่วนเข้ามาเข้ามาเยี่ยมให้กำลังใจและเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ยังขาดอยู่ เช่น การมอบเงินสงเคราะห์เพื่อใช้เป็นทุนในการประกอบอาชีพ ซึ่งจะทำให้ผู้ยากไร้รายนี้มีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น เพราะมีทั้งเครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์ในการขายพวงมาลัยริบบิ้นที่ครบครัน นอกจากนี้ยังได้มีการสร้างแหล่งอาหารที่มั่นคงในการดำรงชีวิตให้ด้วยการร่วมกันสร้างแปลงพืชผักสวนครัวให้ สร้างบ่อซีเมนต์เพื่อใช้เลี้ยงปลาดูกให้ และที่ขาดไม่ได้ คือ เครื่องอุปโภคบริโภค เช่น ที่นอน หมอน มุ้ง ตู้กับข้าว เครื่องครัว  ข้าวสาร ไข่ อาหารแห้ง สบู่ ยาสีฟัน ถังน้ำพลาสติกและขันน้ำ ตลอดจนเสื้อผ้าเพื่อไว้สวมใส่เวลาไปขายพวงมาลัยและไปรับจ้างเล่นดนตรี และรถจักรยานสามล้อเพื่อใช้ปั่นในการเดินทาง

จ.นครพนมบูรณาการออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการประชาชนแบบครบวงจรในจุดเดียวอำเภอธาตุพนม

วันที่ 10 กันยายน 2563 ที่โรงเรียนบ้านดอนแดง ตำบลธาตุพนมเหนือ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยคณะหัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม ตลอดจนเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ได้ร่วมกันออกให้บริการประชาชน สร้างโอกาสการเข้าถึงหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนแบบครบวงจรในจุดเดียว ตามโครงการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม



โดยก่อนกิจกรรมจะเริ่มขึ้นทุกคนได้ร่วมกันกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตนแสดงเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ และการประกาศเจตนารมณ์รวมพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จากนั้นเป็นการแนะนำส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รู้จักและเลือกใช้บริการตามความต้องการ โดยในโอกาสนี้รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ยังได้นำเอานโยบายของรัฐบาลและแนวทางในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ไปชี้แจงให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบ รวมถึงตอบข้อซักถามที่ประชาชนสงสัย และรวบรวมข้อมูลปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้จากการออกหน่วยเคลื่อนที่ในครั้งนี้ กลับมาเพื่อประชุมหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือต่อไปในอนาคต จากนั้นได้มอบพันธุ์ปลาแก่ผู้นำชุมชนเพื่อนำไปปล่อยตามแหล่งน้ำของชุมชน จำนวน 50,000 ตัว มอบทุนการศึกษาของกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 7 ทุน มอบเงินสงเคราะห์ผู้ยากจน จำนวน 5 ราย มอบเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุในภาวะยากลำบาก จำนวน 10 ราย และมอบถุงยังชีพของเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม จำนวน 80 ชุด



จากนั้นทุกคนจึงได้แยกย้ายกันไปใช้บริการตามหน่วยเคลื่อนที่ต่าง ๆ ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ตามความต้องการของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น การเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนทักษะในด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การเลือกใช้พลังงาน การทำบัตรประชาชน การฝากเงินออม การทำประกันสังคม การทำประกันภัย การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไปจนถึงการรับคำปรึกษาคำแนะนำด้านการลงทุน กฎหมาย การสร้างบ้าน การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การรับแจกพันธุ์ต้นไม้ การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ การซ่อมรถจักรยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า การเลือกซื้อสินค้าราคาถูก สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP จากหน่วยงานที่มาจัดบูธจำหน่าย และการตรวจสุขภาพเบื้องต้น การรับคำปรึกษาปัญหาสุขภาพกับบุคคลากรทางการแพทย์ที่มาให้บริการกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม


วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2563

รองผู้ว่าฯนครพนม นำทีมเยี่ยมให้กำลังใจศิลปินเรือไฟอำเภอต่าง ๆ พร้อมฝากถึงนักท่องเที่ยววางแผนให้ดีเพราะมีวันไหลเพิ่มขึ้น


 วันที่ 9 กันยายน 2563 ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง เลียบถนนสุนทรวิจิตร เทศบาลเมืองนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ศิลปินเรือไฟของแต่ละอำเภอ ที่เริ่มทยอยกันขนสิ่งของ ชิ้นส่วนของเรือไฟ ไม่ว่าจะเป็น ไม้ไผ่ซึ่งเป็นสิ้นส่วนหลักในการสร้างเรือไฟ ยางรถจักยานยนต์ที่ใช้ในการมัด และชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่แต่ละทีมร่วมกันออกแบบมาเพื่อสร้างเป็นเรือไฟขนาดใหญ่ใช้เป็นประทีปพุทธบูชาในช่วงวันออกพรรษา ประจำปี 2563 กับงานประเพณีไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25 กันยายน - 4 ตุลาคม 2563 นี้ ภายใต้มาตรการเฝ้าระวังและป้องกันโควิด-19 คือต้องผ่านการตรวจคัดกรองและสวมหน้ากากแบบ 100 % จึงจะเข้าร่วมงานได้เมื่อเข้าไปในพื้นที่แล้วจะต้องมีระยะห่างเพื่อสร้างความปลอดภัยด้วย

นายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม  เปิดเผยว่า ประเพณ๊ไหลเรือไฟเป็นประเพณีเก่าแก่หนึ่งเดียวในโลกที่ชาวนครพนมถือปฏิบัติเป็นประจำทุกปีในช่วงวันออกพรรษา ซึ่งจากการตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและสอบถามศิลปินเรือไฟส่วนใหญ่เลือกที่จะออกแบบให้เรือมีขนาดใหญ่สุดตามที่จังหวัดกำหนด คือยาว 80 เมตร ส่วนลวดลายจะยังคงมีความเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่เป็นตัวตนของแต่ละชนเผ่าสอดแทรกอยู่ในนั้น โดยเฉพาะการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ทุกทีมต่างปิดเป็นความลับว่าลวดลายจะเป็นอย่างไร มีการประดับตกแต่งแบบไหนหรือแม้กระทั่งจะเอาเทคโนโลยีอะไรมาใส่ทำให้มีความโดดเด่นจนกว่าจะใกล้ถึงวันไหล ผู้ที่มาชมทุกคนจึงจะได้รู้และได้เห็นความงดงามแห่งสายน้ำโขง เพราะการสร้างเรือไฟมีการแข่งขันเพื่อชิงเงินรางวัลรวมกว่า 450,000 บาท โดยการแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ประเภทสวยงามมีเรือไฟที่ส่งเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 7 ลำ ขณะที่ประเภทความคิดสร้างสรรค์มีเรือไฟส่งเข้าแข่งขัน 5 ลำ

ทั้งนี้อยากฝากถึงประชาชนและนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาร่วมงานของให้วางแผนให้ดีเพราะนอกจากจะต้องปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันโควิด – 19 อย่างแล้ว การไหลเรือไฟแข่งขันก็จะแตกต่างกว่าทุกปีเพราะมีวันไหลเรือไฟเพิ่มขึ้นเป็น 3 วัน จากเดิมที่ไหลวันออกพรรษาเพียงวันเดียว โดยการไหลจะแบ่งเป็นเรือไฟประเภทความคิดสร้างสรรค์ ไหลวันที่ 30 กันยายน จำนวน 2 ลำ คือของอำเภอนาหว้าและอำเภอวังยาง วันถัดมาวันที่ 1 ตุลาคม จะไหล 3 ลำ เป็นของอำเภอบ้างแพง อำเภอปลาปากและอำเภอนาแก ขณะที่วันออกพรรษาจะเป็นการไหลเรือไฟประเภทสวยงามของอำเภอศรีสงคราม อำเภอโพนสวรรค์ อำเภอนาทม อำเภอท่าอุเทน อำเภอเมืองนครพนม อำเภอเรณูนครและอำเภอธาตุพนม รวม 7 ลำ ส่วนวันอื่น ๆ ที่ไม่มีการแข่งขันจะมีไหลเรือไฟโชว์ให้ชมพร้อมกับการปล่อยกระทงสาย โดยการปล่อยเรือจะเริ่มในเวลา 19.00 น. ของทุกวัน และจะปล่อยห่างกันทุก 30 นาที