วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

จ.นครพนม ตรวจความพร้อมหน่วยปฏิบัติการและปล่อยขบวนจิตอาสาต้านภัยแล้งฯ


วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธีตรวจสภาพความพร้อมและปล่อยขบวนหน่วยปฏิบัติการแก้ไขปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครพนม ภายใต้กิจกรรมจิตอาสาต้านภัยแล้ง การประสานความร่วมมือแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน ที่ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กรมกิจการพลเรือนทหารบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจังหวัดนครพนมเป็น 1 ใน 22 จังหวัดที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง)

โดยการปฏิบัติในครั้งนี้ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนที่สำคัญคือ ขั้นตอนการตรวจความพร้อมเป็นส่วนรวม ได้แก่ การตรวจสายการบังคับบัญชา การตรวจการติดต่อสื่อสาร การตรวจยานพาหนะจากกำลังพลทุกภาคส่วนจำนวน  30 คัน รวมกำลังพลทั้งสิ้น 1,000 คน และขั้นตอนการปล่อยขบวนยานพาหนะของหน่วยปฏิบัติการแก้ไขปัญหาภัยแล้งเข้าปฏิบัติการตามแผนของแต่ละอำเภอในการช่วยเหลือประชาชน โดยทุกขั้นตอนได้มีการน้อมนำแนวทางพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานเมื่อครั้งการช่วยเหลือเยาวชนที่พลัดหลงบริเวณถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน แผนบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ รวมทั้งทรงมีพระราชดำริในเรื่องการใช้ประโยชน์จากที่ดินในโครงการที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ดูแล หากจำเป็นต้องมีการขุดบ่อ สระ อ่างเก็บน้ำ เพื่อแก้ปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในระยะเร่งด่วน หรือเพื่อประโยชน์ในอนาคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้พื้นที่ได้

ทั้งนี้ปัญหาภัยแล้งเป็นปัญหาส่วนรวมของประเทศ ที่ต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาและเน้นให้ประชาชนทุกภาคส่วนและจิตอาสาพระราชทานร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาภัยแล้ง สามารถนำพาทุกภาคส่วนสนธิกำลังและยุทโธปกรณ์ รวมถึงงบประมาณที่มีอยู่ในแต่ละหน่วยงาน เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ของตนเองได้ในระดับชุมชน กลายเป็นต้นแบบที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนในการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ที่มีพลังจากการมีส่วนร่วมของประชาชน

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เกษตรนครพนม ดึงชุมชนร่วมการรณรงค์หยุดเผาในพื้นที่การเกษตร ลดฝุ่นละออง PM 2.5


วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายร่มไม้ นวลตา เกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า  ปัญหาการเผาในที่โล่งทั้งในพื้นที่การเกษตรและในพื้นที่ป่า ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากฝุ่นละออง PM 2.5 มีลักษณะที่เล็กกว่าฝุ่นทั่วไป มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน เทียบเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นผมมนุษย์ก็ประมาณ 1 ใน 25 และด้วยขนาดที่เล็กทำให้ขนจมูกของเราทำหน้าที่กรองฝุ่นไม่ได้ ซึ่งถ้าเราหายใจเข้าไปจะผ่านเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง และถ้ามีสารอันตรายต่าง ๆ เกาะอยู่กับฝุ่นก็เหมือนกับเรารับสารดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายโดยตรงเช่นเดียวกัน นอกจากนี้การเผายังเป็นการทำลายหน้าดิน ทำให้ดินเสื่อมโทรมและสูญเสียแร่ธาตุในดิน ซึ่งแหล่งอาหารที่จะทำให้พืชเจริญเติบโต ส่งผลต่อการผลิตสินค้าเกษตรของตัวเกษตรกรเองด้วย ทั้งยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา คือผู้ใดที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดแม้เป็นของตนเองจนน่าจะเป็นอันตรายแก่ผู้อื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 14,000 บาท

ดังนั้นสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม จึงได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลพิมานและโรงเรียนในพื้นที่ จัดกิจกรรมรณรงค์ลดการเผาในท้องถิ่น ภายใต้งานรณรงค์ส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตรขึ้น ที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน บ้านพิมาน หมู่ที่ 3 ตำบลพิมาน อำเภอนาแก เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกรได้ตระหนักถึงผลกระทบจากการเผาและสิ่งที่จะได้ถ้าหยุดเผา โดยกิจกรรมเริ่มตั้งแต่การที่ทุกคนพร้อมใจกันกล่าวคำปฏิญาณตนต่อต้านการเผาในพื้นที่การเกษตรและพื้นที่ป่า การมอบป้ายปฏิญาณตนกับผู้นำชุมชน การถ่ายทอดความรู้การส่งเสริมการหยุดเผา การสาธิตการนำเศษวัสดุทางการเกษตรไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด เช่น การทำปุ๋ยหมัก การผลิตเห็ด การนำไปคลุมต้นไม้เพื่อสร้างความชุ่มชื้นในดิน และไถกลบเพื่อเป็นปุ๋ยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน จากนั้นจึงได้ร่วมกันเดินรณรงค์ไปในหมู่บ้านเพื่อสร้างการรับรู้แบบถึงตัวบุคคล

ประธานวุฒิสภา นำทีมลงพื้นที่นครพนมพบประชาชน สร้างผู้นำนักประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม


วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 ที่จังหวัดนครพนม ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาพร้อมด้วย พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว, พลโทจเรศักดิ์ อานุภาพสมาชิกวุฒิสภา นำคณะผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาและเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่พบประชาชนจังหวัดนครพนมและจังหวัดบึงกาฬ เสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย บทบาทหน้าที่และอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และสถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย สร้างเครือข่ายเข้มแข็งภาคประชาชนในการร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับวุฒิสภาและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา พร้อมรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากผู้นำท้องถิ่น เพื่อนำมาดำเนินการตามบทบาทหน้าที่ของวุฒิสภาต่อไป ภายใต้โครงการ เสริมสร้างความพร้อมแก่ท้องถิ่น หลักสูตร กระบวนการเสริมสร้างผู้นำนักประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา

นับตั้งแต่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรก เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ซึ่งประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และทรงใช้อำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย ผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้บัญญัติให้มีรัฐสภา ที่ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา โดยบทเฉพาะกาล มาตรา 269 มีสาระสำคัญคือในวาระเริ่มแรกให้วุฒิสภาที่ประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถหลากหลายสาขาอาชีพ จำนวน 250 คน ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติถวายคำแนะนำ ให้มีบทบาท หน้าที่และอำนาจในด้านการพิจารณากฎหมาย ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การให้ความเห็นชอบในกรณีสำคัญ เห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่ง และหน้าที่อื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ จึงนับได้ว่าวุฒิสภาเป็นองค์กรที่มีความสำคัญระดับชาติ เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศและรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และวุฒิสภาได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของประชาชนทุกภาคส่วนและทุกอาชีพ ที่ควรจะต้องมีความรู้และเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย รวมถึงมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างถูกต้อง ดังนั้นสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา จึงได้จัดโครงการดังกล่าวขึ้นเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้นำส่วนราชการ ภาคเอกชน ผู้นำชุมชนและผู้ที่มีจิตอาสาเพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปขยายต่อยังประชาชนในพื้นที่ โดยผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ จำนวน  120 คน จะได้รับความรู้เกี่ยวกับ วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กิจกรรมกับภารกิจการปฏิรูปประเทศ บทบาทหน้าที่และอำนาจของวุฒิสภา สถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย ชีวิตกับการเมือง วัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย การมีส่วนร่วมทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตย กิจกรรมสภาจำลองเพื่อการเรียนรู้ระบบงานรัฐสภา การแสดงบทบาทสมมุติเพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมทางการเมือง การพูดและการนำเสนอสำหรับผู้นำนักประชาธิปไตย และสื่อออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ระบบงานรัฐสภา

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

จ.นครพนม จัดงานวันสหกรณ์แห่งชาติ รำลึกถึงบิดาแห่งการสหกรณ์ไทยและเสริมสร้างความสามัคคีให้สมาชิก


วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ที่โรงยิมเอนกประสงค์สนามกีฬากลางจังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ เครือข่ายสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ร่วมประกอบพิธีวางพานพุ่มถวายสักการะ และกล่าวสดุดีพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณพระองค์ท่าน ที่ทรงริเริ่มทดลองจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นเป็นแห่งแรก และเผยแพร่ระบบสหกรณ์ให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศ ทำให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งเพื่อให้สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสหกรณ์ ที่นำมาซึ่งความรัก ความสามัคคี ความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของขบวนการสหกรณ์ไทย ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ระบบสหกรณ์ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น เป็นการพัฒนาขบวนการสหกรณ์ด้วยการส่งเสริมให้ความรู้ประชาชน ได้เข้าใจในหลักการ วิธีการสหกรณ์ และสามารถนำไปใช้ในการดำรงชีวิตได้อย่างถูกต้อง จากนั้นเป็นการประกอบพิธีเปิดงานวันสหกรณ์แห่งชาติ ประจำปี 2563 ซึ่งภายในงานก็มีทั้งกิจกรรมที่มาส่งเสริมสนับสนุนระบบสหกรณ์ คือการมอบเงินทุนในการจัดหาแหล่งน้ำให้สมาชิกสหกรณ์ และมอบเงินกู้กองทุนพัฒนาสหกรณ์ และกิจกรรมที่มาเสริมสร้างความรักความสามัคคีให้กับสมาชิก คือการแข่งขันกีฬา ที่มีทั้งกีฬาสากลทั่วไปและกีฬามหาสนุก โดยเฉพาะการแข่งขันกินวิบากถือเป็นกิจกรรมที่เรียกเสียงหัวเราะและเสียงเชียร์สนั่นโรงยิมเพราะแต่ละทีมก็ลุ้นให้ผู้เข้าแข่งขันของตนเองชนะการแข่งขัน

โดยวันสหกรณ์แห่งชาติ ถูกกำหนดขึ้นให้ตรงกับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ของทุกปี เนื่องจากเป็นวันที่มีสหกรณ์แห่งแรกในประเทศไทย คือ สหกรณ์วัดจันทร์ ไม่จำกัดสินใช้ โดยสหกรณ์ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายสมัยรัฐกาลที่ 5  ที่ขณะนั้นประชาชนมีอาชีพหลักคือการทำนา และเมื่อมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้นทำให้มีความต้องการเงินทุนเพื่อมาขยายการผลิตเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังอยู่ในฐานะยากจน ขาดแคลนเงินทุน จึงจำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสินจากพ่อค้านายทุน "คหบดี" ซึ่งมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ให้กู้ยืมทุกวิถีทาง ด้วยเหตุนี้การสหกรณ์ในประเทศไทยจึงเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2459 และมีการพัฒนามาเรื่อยจนถึงปัจจุบันกระทั้งวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2515 มีการยุบรวมกรมสหกรณ์ที่ดิน กรมสหกรณ์พาณิชย์และธนกิจ และสำนักงานปลัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติเป็น "กรมส่งเสริมสหกรณ์" ขึ้นกับกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์

จ.นครพนม แถลงเตรียมจัดงานเกษตรลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 23 เกษตรปราดเปรื่อง มั่นคง ยั่งยืน


วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายชาตรี จันทน์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย ดร.ฑีรัตม์ พิริยะพลิน รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนครพนม นายสมชอบ นิติพจน์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม นางสาวไพรวัลย์ ปัชชามาตร เกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครพนม และนายสุรศักดิ์ ตั้งตระกูล คณะบดีคณะเกษตรและเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยนครพนม ร่วมแถลงข่าวการจัดงานเกษตรลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 23 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 15 มีนาคม 2563 ณ บริเวณมหาวิทยาลัยนครพนม ภายใต้แนวคิด เกษตรปราดเปรื่อง มั่นคง ยั่งยืน เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการเกษตรให้กับประชาชนและผู้ที่สนใจได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก่อนที่จะนำไปปรับใช้ในการเกษตรของตนเอง

นายชาตรี จันทน์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ภาคการเกษตรเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญ ที่เป็นกำลังในการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดนครพนม เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งทุกวันนี้การเกษตรมีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก ทั้งความรู้วิชาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ตลอดจนนวัตกรรมทางการเกษตรที่แต่ละคนต่อยอด คิดค้นขึ้นมาเพื่อสนับสนุนและพัฒนาการเกษตรให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างสูงสุด ทำให้เกษตรกรทุกคนมีรายได้ที่มั่งคงและยั่งยืน โดยงานเกษตรลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 23 ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ จะเป็นอีกส่วนที่เข้ามาเติมเต็มองค์ความรู้ให้กับพี่น้องเกษตรกรตลอดจนประชาชนที่สนใจ หรือแม้กระทั้งผู้ประกอบการ นักเรียน นักศึกษา เพราะเป็นการบูรณาการทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนที่เป็นปราชญ์ชาวบ้าน น้อมนำเอาศาสตร์พระราชาและองค์ความรู้ด้านการเกษตร ไม่ว่าจะเป็น ด้านพืช สัตว์ ประมง เครื่องจักรกล เทคโนโลยีสมัยใหม่ เทคโนโลยีอาหารและนวัตกรรมต่าง ๆ รวมถึงการพัฒนาสินค้าเกษตร การแปรรูปผลิตภัณฑ์ และการบริหารจัดการด้านการตลาด มาถ่ายทอดให้กับทุกคนได้เห็น ได้สัมผัสและแลกเปลี่ยนแนวความคิดเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่นำไปปรับใช้กับการเกษตรของตนเอง ภายใต้บูธการแสดงที่มีมากถึง 150 บูธ

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอบรมและเสวนาทางวิชาการ การประกวดแข่งขันพืชผลทางการเกษตร การแข่งขันตกปลา การแข่งขันจับปลาไหล  การแข่งขันทักษะคล้องและล้มโค การแข่งขันตอบปัญหาทางการประมง การประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง การจัดนิทรรศการความก้าวหน้าทางด้านการเกษตร การแสดงดนตรีนันทนาการศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น การจำหน่ายผลผลิตและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ผู้ผลิตนำมาวางจำหน่ายในราคาเป็นกันเอง จึงขอเชิญทุกท่านมาร่วม ชม ชิม ช้อป กับกิจกรรมดี ๆ ในครั้งนี้ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 9 - 15 มีนาคม 2563 ณ บริเวณมหาวิทยาลัยนครพนม ตำบลขามเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม

วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

รองเลขาฯ นายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองลงพื้นที่นครพนม จัดลำดับโครงการเร่งด่วนแก้ปัญหาให้ประชาชน


วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายพลพีร์ สุวรรณฉวี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพความพร้อมและความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการที่จังหวัดนครพนมเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 10 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,719,000 บาท ประกอบไปด้วย โครงการก่อสร้างถนนลาดยางแอสฟัลท์ติก (พื้นทางดินซีเมนต์ปรับปรุงด้วยยางธรรมชาติ) สายท่าพันโฮง – ท่าแร่ บ้านพังโอง หมู่ที่ 14 ตำบลนาทม อำเภอนาทมโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก สายเทพนิมิต-แสนสำราญ บ้านเทพนิมิต หมู่ที่ 9 ตำบลหนองซน อำเภอนาทม โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก สายบ้านม่วงชี – ตำบลโพนทอง – บ้านนางัว ตำบลนางัว (ช่วงวัดบ้านนางัวใต้) หมู่ที่ 3 ตำบลนางัว อำเภอบ้านแพง โครงการสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กสายวัดศรีสุมังค์ – ภูลังกา บ้านแพงโคก หมู่ที่ 7 ตำบลนางัว อำเภอบ้านแพง โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กบ้านอุ่มไผ่ หมู่ที่ 3 ตำบลนาคำ อำเภอศรีสงคราม โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก บ้านภูกระแต หมู่ที่ 12 และหมูที่ 13 ตำบลนาคำ อำเภอศรีสงคราม โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก บ้านปฏิรูป หมู่ที่ 5 ตำบลศรีสงคราม อำเภอศรีสงคราม โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก สายดอนดู่ บ้านตาลใหญ่ หมู่ที่ 8 ตำบลนาหว้า อำเภอนาหว้า โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก สายบ้านกลางรุ่งเรือง หมู่ที่ 7 ไปบ้านสามัคคี ตำบลนางัว อำเภอนาหว้า และโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กบ้านนากระทืม หมู่ที่ 4 ไปบ้านนางัว หมู่ที่ 1 ตำบลนางัว อำเภอนาหว้า

นายพลพีร์ สุวรรณฉวี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า งบประมาณดังกล่าวเป็นงบที่อยู่ในความดูแลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นงบประมาณที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนที่มีการทำเรื่องเสนอเข้ามาขอรับการสนับสนุน โดยงบประมาณทั้งหมดที่ต้องมาตรวจสอบในเขตพื้นที่ 3 จังหวัด คือสกลนคร นครพนม มุกดาหาร ประมาณ 80 กว่าล้านบาท และในวันนี้เป็นการลงพื้นที่จังหวัดนครพนมเพื่อตรวจสอบว่าโครงการที่ขอไปมีความเดือดร้อนจริงไหม สภาพของพื้นผิวถนนหรือแหล่งน้ำ แหล่งประปาที่ขอการสนับสนุนมาเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมีการจัดเรียงลำดับความสำคัญของแต่ละโครงการที่เห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อให้การสนับสนุน และจัดสรรงบประมาณลงมาเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งเบื้องต้นวันนี้จากการตรวจสอบโครงการของจังหวัดนครพนม 2 - 3 โครงการ ก็เห็นว่าโครงการที่เสนอไปสมควรที่จะได้รับการจัดสรรงบประมาณจากท่านรองนายกรัฐมนตรี

จ.นครพนม เสริมศักยภาพผู้บริหาร หัวหน้าเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐ ในการบริหารงานพัสดุ


วัน 25 กุมภามพันธ์ 2563 ที่ ห้องประชุมพระธาตุพนมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นางสุธิษา จารุเมธาวิทย์ คลังจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า การบริหารงานราชการให้ประสบผลสำเร็จ มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อประชาชน มีหัวใจสำคัญในหลายๆส่วนด้วยกัน และ​​หนึ่งในนั้นก็คือการบริหารงานพัสดุที่เป็นกระบวนการ ที่ทำให้ได้มาซึ่งสิ่งของที่จะมาสนับสนุนและตอบสนองต่อความต้องการในการปฏิบัติงานตามเป้าหมายของแต่ละหน่วยงาน ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ได้กำหนดเป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีในภาพรวมของประเทศ เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้รับงบประมาณ เร่งรัดการใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันให้ได้โดยเร็ว โดยไตรมาสที่ 1 ต้องมีการเบิกจ่ายร้อยละ 23 ไตรมาสที่ 2 เบิกจ่ายร้อยละ 54 ไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 77 และไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 100 ดังนั้นเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐในจังหวัดนครพนม สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย เป็นไปด้วยความถูกต้อง รวดเร็วตามระเบียบ กฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ โดยในทุกขั้นตอนมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม จึงได้มอบหมายให้ สำนักงานคลังจังหวัดนครพนม จัดโครงการฝึกอบรมเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารพัสดุภาครัฐสำหรับหัวหน้าหน่วยงานของรัฐจังหวัดนครพนม ขึ้น

โดยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุที่เข้ารับการอบรมในครั้งนี้ จำนวน 230 คน จะได้รับการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง ตลอดจนแนวทางและวิธีปฏิบัติในกระบวนการบริหารสัญญา การปรับ การริบหลักประกัน การเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญา การงดหรือลดค่าปรับ การขยายเวลาตามสัญญา การบอกเลิกสัญญา การตรวจรับพัสดุ การพิจารณาอุทธรณ์ การทิ้งงาน รวมทั้งการใช้ดุลพินิจของหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ในการบริหารสัญญาให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ส่งผลให้จังหวัดนครพนมสามารถดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างกับผู้ค้าภาครัฐได้ตามแผนที่กำหนดไว้ และการใช้จ่ายเงินงบประมาณของจังหวัดนครพนมเป็นไปตามเป้าหมาย สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทั้งยังส่งผลให้หน่วยงานจัดเก็บภาษี ได้แก่ กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร สามารถจัดเก็บภาษีจากภาคเอกชนได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

นรข.นครพนม พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการเข้มริมโขง ยึดกัญชา 893 แท่ง

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม พลเรือตรี สมพงษ์ ศรอากาศ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง มอบหมายให้นาวาเอก วรัท โกพลรัตน์ เสนาธิการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง พร้อมด้วย นาวาเอก ณัฐพงษ์ พรรณรายน์ ผู้บังคับการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงเขตนครพนม ร่วมแถลงข่าวกับว่าที่ร้อยตรี ภูมิศักดิ์ ขำปู่ นายอำเภอท่าอุเทน พันตำรวจโท ชานนท์ เนื่องกัลญา รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรท่าอุเทน พันตำรวจตรี ชิษณุพงศ์ ทองเกื้อ ผู้บังคับกองร้อยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 236 ร้อยโท บุญส่ง คุ้มหมู่ หัวหน้าชุดปฏิบัติการข่าวที่ 5 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ร้อยโท สถิต แก้วจอมพล ผู้บังคับการกองร้อยทหารพรานที่ 2102 พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจยึดกัญชาอัดแท่ง จำนวน 893 แท่ง หลังรับแจ้งจากสายลับ

สืบจากเมื่อเวลา 01.00 น. นาวาโท วีระวัฒน์ ยะโสธร หัวหน้าสถานีเรือนครพนม ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการลักลอบส่งมอบยาเสพติดประเภทกัญชาที่บริเวณบ้านปากทวย หมู่ที่ 4 ตำบลเวินพระบาท อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดชุดลาดตระเวนทั้งทางบกและทางเรือ เข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับแจ้ง กระทั่งเวลาประมาณ 4.30 น. ชุดลาดตระเวนทางเรือได้ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยทรงสี่เหลี่ยมสีดำวางอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้านทิศใต้ของท่าทรายร้าง บ้านปากทวย จึงได้แจ้งให้ชุดลาดตระเวนทางบก เข้าทำการตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ พบเป็นกระสอบปุ๋ยที่บรรจุกัญชาอัดแท่ง จำนวน 21 กระสอบ รวมนำหนัก 893 กิโลกรัม ไม่พบบุคคลและวัตถุต้องสงสัยอื่นเพิ่มเติม จึงได้ทำบันทึกการตรวจยึด พร้อมทั้งนำของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรท่าอุเทน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

จ.นครพนม ยังคงบูรณาการเข้ม มาตรการการเฝ้าระวังและสร้างการรับรู้ไวรัสโควิด - 19 แก่ประชาชน


วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ที่จังหวัดนครพนม ดร. บุญรอด ดอนประเพ็ง คณบดีวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนม มหาวิทยาลัยนครพนม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (Covid-19) ทำให้ประชาชนมีการตื่นตัวและเฝ้าระวังกันเป็นอย่างมาก ถึงแม้ในประเทศไทยจะยังไม่มีการรายงานผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสนี้ก็ตาม และเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้และเข้าใจในสถานการณ์รวมถึงข้อมูลที่ถูกต้องในการปฏิบัติตัวสำหรับประชาชน กลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนม จึงได้จัดกิจกรรมเดินเท้ารณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนไปตามจุดต่าง ๆ ของชุมชนในจังหวัดนครพนมที่มีผู้คนหนาแน่น เช่น บริเวณจุดชมวิวริมฝั่งแม่น้ำโขง ตลาดอินโดจีน ตลาดโต้รุ่ง ตลาดนัด รวมถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดนครพนม

ขณะเดียวกัน พลตรี สามารถ จินตสมิทธิ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 (มทบ.210) ก็ได้มอบหมายให้ พันโทนายแพทย์ รวิศ สุวรรณแสง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายพระยอดเมืองขวาง นำคณะแพทย์ พยาบาล หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของโรงพยาบาลค่ายพระยอดเมืองขวาง ไปบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ คัดกรองผู้ป่วยตามจุดข้ามแดน ทั้งสะพานมิตรภาพไทยลาว แห่งที่ 3 (นครพนม – คำม่วน) รวมถึงจุดข้ามแดนต่าง ๆ ในแต่อำเภอ เพื่อเป็นการเพิ่มมาตรการเข้มในการสกัดกั้น ให้ความรู้ ให้คำปรึกษา คำแนะนำแก่ประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยวในการปฏิบัติตัว เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19

โดยข้อมูล ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 จากการรายงานของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนมต่อที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดนครพนม (ศปก.นพ.) หน่วยงานได้มีการบูรณาการตรวจคัดกรองเฝ้าระวังผู้ที่เดินทางเข้า-ออก ในพื้นที่จังหวัดนครพนม ประกอบไปด้วย บริเวณท่าอากาศยานนครพนม จุดคัดกรองอำเภอบ้านแพง จุดคัดกรองอำเภอธาตุพนม จุดคัดกรองอำเภอท่าอุเทน จุดคัดกรองบ้านหนาด อำเภอเมืองนครพนม ด่านควบคุมโรคสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม-คำม่วน) และพรมแดนท่าเทียบเรือจังหวัดนครพนม รวมทั้งสิ้น 89,128 ราย ยังไม่พบผู้ป่วยที่ต้องดำเนินการสอบสวนโรคตามนิยามผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค โดยทุกหน่วยยังมีมาตรการเข้มในการเฝ้าระวัง รวมถึงมีการเตรียมความพร้อมและสร้างการรับรู้ถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ผู้ว่าฯนครพนม นำทีมบูรณาการลงพื้นที่พัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตครัวเรือนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ จปฐ.


วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยคณะหัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ และตัวแทนห้างสรรพสินค้าแม็คโคร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ และหาแนวทางในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของครัวเรือนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ จปฐ. และครัวเรือนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน ตามโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ ปี 2563 นครพนม สร้างสังคมอุดมสุข ที่บ้านเลขที่ 113 หมู่ 7 บ้านโกกลาง ตำบลเรณูใต้ อำเภอเรณูนคร ซึ่งนางพลหอม นาคสุข อายุ 61 ปี และนางสาวปิยนันท์ จำปาทอง อายุ 18 ปี หลานสาวที่กำพร้าแม่ ส่วนพ่อไม่สามารถติดต่อได้ ใช้เป็นที่อยู่อาศัย

โดยทั้ง 2 คนมีรายได้มาจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและการรับจ้างทั่วไปของนางพลหอม ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ขณะที่หลานสาวซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นก็ต้องออกจากการเรียนในโรงเรียนตามปกติมารับจ้างเพื่อหารายได้เพิ่มเติม แต่ยังคงศึกษาผ่านทางการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) แทน โดยหลังการตรวจเยี่ยม เบื้องต้นผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมพร้อมคณะได้มอบหมอน ผ้าห่มกันหนาว เครื่องอุปโภคบริโภคและเครื่องใช้ในครัวเรือนต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือ ขณะที่ในระยะยาวนั้นแบ่งออกเป็นการสร้างแหล่งอาหาร ด้วยการสร้างโรงเรือนขนาดเล็กและมอบก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้า จำนวน 200 ก้อน มอบพืชผักสวนครัวไว้ให้ได้เพาะปลูกไว้รับประทาน ส่วนด้านอาชีพก็ได้มอบเงินทุน จำนวน 2,000 บาท และสนับสนุนอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพทอผ้าพื้นเมืองเพื่อจำหน่าย ประกอบไปด้วย กี่กระตุก ฟืม หูก และด้าย เพื่อให้นางพลหอมได้ใช้ในสร้างรายได้ ขณะที่หลานสาวก็ได้มอบวัสดุอุปกรณ์การร้อยสร้อยคอเรณูผู้ไทและพาไปฝึกทักษะเพิ่มเติมจากผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงได้มอบหมายให้จัดหางานจังหวัดนครพนม หาช่องทางอาชีพอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงานที่มากยิ่งขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นำเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการธนาคารโค – กระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราชดําริ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่นครพนม


วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสุรเดช สมิเปรม รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นประธานนำคณะเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการธนาคารโค – กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดําริจาก ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 75 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 108 คน ร่วมประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อสืบสานพระราชปณิธานงานธนาคารโค - กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ สู่การพัฒนาอาชีพเกษตรกรอย่างมั่นคง เข็มแข็งและยั่งยืน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กองงานพระราชดำริและกิจกรรมพิเศษจัดขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ ผลงานวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอผลสำเร็จของแต่ละหน่วยที่ใช้ในการขับเคลื่อนโครงการ เพื่อสืบสานพระราชปณิธาน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้กรมปศุสัตว์เป็นผู้ดำเนินการ มาตั้งแต่ปี 2522 และปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลากว่า 40 ปี เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้มี โค – กระบือ เป็นของตนเอง เพื่อใช้ในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ทำให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุข มีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคง เข้มแข็งและยั่งยืน

นายสุรเดช สมิเปรม รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการธนาคารโค – กระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราชดําริ ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรไปแล้ว 299,820 ราย โดยมีการสนับสนุนโค - กระบือไปแล้วไม่น้อยกว่า 300,000 ตัว คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่าหกพันล้านบาท ซึ่งยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการดำเนินงานเพื่อสนองพระราชปณิธานของพระองค์ท่าน ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ทุกคนจะได้เห็นถึงแนวคิดใหม่ๆ เพื่อนำกับไปพัฒนาและขับเคลื่อนโครงการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงเกษตรกรในพื้นที่จะได้รับประโยชน์มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย เช่นกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการของจังหวัดนครพนมที่มีการรวมกลุ่ม แล้วนำมูลของ โค – กระบือและผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ มาต่อยอดหมักผ้าไหม ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมมูลมงคล ที่นอกจากจะสวยงาม มีกลิ่นหอม สวมใส่สบายแล้ว ยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรในชุมชนอีกด้วย ซึ่งถ้าทุกหน่วยที่มาสัมมนาในวันนี้สามารถส่งต่อแนวความคิดในลักษณะนี้ที่แตกต่างออกไป ก็จะเป็นการพัฒนาความสำเร็จของโครงการเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น ทั้งนี้ในส่วนของการดำเนินงานที่มีปัญหาเกี่ยวกับกรณีเกษตรกรผิดสัญญาทางกรมปศุสัตว์ก็ได้กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาไว้เรียบร้อยแล้วเพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถดำเนินการต่อไปได้ รวมถึงขอความร่วมมือในการดำเนินโครงการไถ่ชีวิต โค - กระบือ เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งได้มีการขยายเวลาดำเนินการออกไปจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2563 เพื่อให้ครบเป้าหมายจำนวน 4,910 ตัว และที่สำคัญอีกอย่างคือการติดตามลูกโค - กระบือตัวที่ 1 อายุครบ 18 เดือนจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อนำไปส่งต่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรรายใหม่ต่อไป    

จังหวัดนครพนม ออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการประชาชนอำเภอเรณูนคร


วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563  ที่โรงเรียนบ้านโคกกลาง หมู่ที่ 7 ตำบลเรณูใต้ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยคณะหัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ นำโครงการจังหวัดเคลื่อนที่แบบบูรณาการ หน่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม ออกให้บริการประชาชนแบบครบวงจรในจุดเดียว เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการให้บริการของหน่วยงานราชการทุกภาคส่วน

โดยกิจกรรมในครั้งนี้ประธานในได้นำทุกคนร่วมกันกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตนแสดงเจตนารมณ์ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จากนั้นร่วมกันประกาศเจตนารมณ์รวมพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ก่อนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจะได้แนะนำส่วนราชการต่าง ๆ ให้กับประชาชนได้รู้จัก เพื่อให้ทุกคนได้รู้ถึงบทบาทหน้าที่และสามารถเข้ารับบริการได้อย่างถูกต้องตามความต้องการ โดยในโอกาสนี้ยังได้นำเอานโยบายของรัฐบาล สถานการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาถ่ายทอดให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจ เช่น ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ปัญหาไวรัสโควิด 19 และปัญหายาเสพติด ตลอดจนวิธีการแนวทางในการให้ความช่วยเหลือ ป้องกันเพื่อแก้ปัญหา ตลอดจนตอบข้อซักถามที่ประชาชนสงสัย จากนั้นได้มอบพันธุ์ปลาแก่ผู้นำชุมชนเพื่อนำไปปล่อยตามแหล่งน้ำของชุมชน จำนวน 50,000 ตัว มอบทุนการศึกษาของกองทุนพัฒนาเด็กชนบทในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 7 ทุน มอบเงินสงเคราะห์ครอบครัวกรณีฉุกเฉิน 10 ราย มอบเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุในภาวะยากลำบาก 10 ราย มอบเงินสงเคราะห์ช่วยเหลือเด็กในครอบครัวยากจน จำนวน 50 ราย  และมอบถุงยังชีพเหล่ากาชาดจังหวัดนครพนมจำนวน 130 ชุด

ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปรับบริการจากหน่วยหน่วยงานต่าง ๆ ที่ออกหน่วยเคลื่อนที่มาให้บริการในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดนครพนม ที่ได้นำเอาเครื่องมือ อุปกรณ์ ตลอดจนทีมแพทย์มาให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพและทำทันตกรรม การถ่ายทอดองค์ความรู้ของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ ที่ดิน เทคโนโลยีสมัยใหม่ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การเลือกใช้พลังงาน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การให้คำปรึกษาคำแนะนำด้านการลงทุน กฎหมาย การสร้างบ้าน การทำบัตรประชาชน การฝากเงินออม การทำประกันสังคม การทำประกันภัย การรับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน การแจกพันธุ์ต้นไม้ การขึ้นทะเบียนและทำหมันสัตว์ การออกร้านจำหน่ายสินค้าราคาถูก สินค้าทางการเกษตร และสินค้า OTOP รวมถึงการถ่ายทอดวิชาชีพ เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้และนำไปสร้างเป็นอาชีพและรายได้เลี้ยงครอบครัวต่อไป

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

จ.นครพนม บูรณาการสกัดผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้า 4 ล้านกว่าเม็ด


วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563  ที่กองร้อยทหารพราน 2110 บ้านปากห้วยม่วง ตำบลหนองแวง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม พลตรีสวราชย์ แสงผล ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี พร้อมด้วย นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พลตรี ประสิทธิ์ ทิศาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดชายแดน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน (ศอ.ปส.ชอน.บ.) นายอดุล  ประยูรสิทธิ์ ผู้อำนวยการ ปปส.ภาค 4   พันเอกยงยุทธ ขันทวี  ผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี พันเอกสุภัทร ชูตินันทน์ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารที่ 21 ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดนครพนม และกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 4,086,000 เม็ด รถยนต์กระบะ ยี่ห้อมิซูบิชิ ไททัน สีบรอนซ์ หมาบเลขทะเบียน ฒฐ 8560 กทม. และรถยนต์กระบะ ยี่ห้อมาสด้า หลายเลขทะเบียน ฒล 2190 กทม. หลังหน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วยบูรณางานในการสกัดกั้นป้องกันและปราบปรามการลักลอบค้ายาเสพติดในพื้นที่

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 ชุดปฏิบัติการข่าวของกองบังคับการควบคุมที่ 1 (กรมทหารราบที่ 3) และชุดปฏิบัติการข่าวของกองร้อยทหารพรานที่ 2110 ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดบริเวณท่าข้ามประเพณี บ้านนาข่าท่า หมู่ที่ 8 ตำบลพะทาย อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม จึงได้บูรณาการและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกำลังพล จำนวน 3 ชุด ปฏิบัติการซุ่มเฝ้าระวัง ตรวจสอบ และสกัดกั้นตามเส้นทางเข้าออก กระทั่งเวลาประมาณ 20.30 น. เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบว่ามีรถยนต์จำนวน 2 คัน วิ่งมาจอดบริเวณดังกล่าว จากนั้นก็มีกลุ่มบุคคล จำนวน 7-8 คน ขนกระสอบปุ๋ยที่บรรจุสิ่งของบางอย่างมาขึ้นรถทั้งสองคัน เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าตรวจค้น เมื่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวเห็นเจ้าหน้าที่ ก็ได้วิ่งหลบหนีไปในความมืด ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 ราย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าภายในกระสอบบรรจุยาบ้า จำนวน 4,086,000 เม็ด จึงได้ทำบักทึกการตรวจยึดและจับกุม โดยหลังจากนี้หน่วยงานจะได้ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม และสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 4 ร่วมกันสืบสวนสอบสวนขยายผลการจับกุมต่อไป

พลตรีสวราชย์ แสงผล ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี เปิดเผยว่า การปราบปรามในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันดำเนินการ โดยเฉพาะการให้ข้อมูลข่าวสารของพี่น้องประชาชน ที่มีความหวังดีต่อประเทศชาติ ถือเป็นข้อมูลที่สำคัญมากที่นำมาสู่การจับกุม เพราะไม่ว่าจะแจ้งไปที่หน่วยงานใดเจ้าหน้าที่ทุกนายก็พร้อมที่จะดำเนินการปราบปราม ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ไม่ได้เพ่งเล็งเฉพาะรายใหญ่เท่านั้น แต่จะดำเนินการทั้งรายเล็ก รายย่อย รายขนาดกลาง และรายใหญ่ โดยวันนี้นอกจากจะเห็นว่ามีการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้า 4 ล้านกว่าเม็ดแล้ว ก็ยังมีอีกคดีที่เป็นขยายผลจากการจับกุมผู้ค้ารายย่อยที่มีการซัดทอด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการสืบสวนสอบสวนขยายผลติดตามมาอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดเมื่อวานนี้ชุดปฏิบัติการของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 ก็สามารถจับกุมผู้ค้าที่เป็นผู้สั่งการกัญาชาจากประเทศเพื่อนบ้านมาจำหน่ายได้อีก 1 ราย พร้อมของกลางกัญชา 100 กิโลกรัมเช่นเดียวกัน

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

กอ.รมน.นครพนม สร้างกลุ่มมวลชนเป็นจิตอาสาที่พร้อมเสียสละและสามัคคีปรองดอง


วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 ที่จังหวัดนครพนม พันเอก สุระ สินโสภา รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดนครพนมฝ่ายทหาร เปิดเผยว่า สังคมไทยในปัจจุบันมีความห่างเหินกันมากขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก ด้วยมีปัจจัยหลายๆ อย่างเป็นสิ่งปลุกเร้า ถ้าเราสังเกตดีๆ จะเห็นว่าบางชุมชน หมู่บ้านจะไม่รู้ว่าบ้านข้างเคียงเป็นใคร มาจากไหน และก็ไม่ได้ใส่ใจเหมือนสมัยก่อนที่ทุกคนเหมือนเครือญาติกันหมด ขณะที่หลายๆ ครอบครัว พ่อแม่ลูกก็พูดคุยกันน้อยลงทำให้สายสัมพันธ์ของความรักความผูกพันมีระยะห่าง บุตรหลานมีวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมน้อยลง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่กระทำการในลักษณะเป็นการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร พยายามสร้างกระแสสังคมที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เกิดความแตกแยกทางความคิด ขัดแย้งทางการเมือง และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายหลากหลายมิติที่มาบั่นทอนความสามัคคีของคนในชาติ นำมาซึ่งปัญหาต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน สังคมและความมั่นคงของชาติ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

ดังนั้นเพื่อสร้างให้กลุ่มมวลชนและประชาชนที่เป็นเจ้าของพื้นที่ ซึ่งรู้สภาพปัญหาต่างๆ เป็นอย่างดีเข้าใจถึงสภาพปัญหาและเห็นถึงความสำคัญในการเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่จะร่วมกันแก้ไข ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงให้สังคมเต็มไปด้วยความรัก ความสามัคคี ที่ทุกคนมีจิตอาสา มีความเข้มแข็งทางความคิดในเชิงบวก พร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวมและร่วมกันพิทักษ์ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดนครพนม จึงได้จัดโครงการสร้างความรัก ความปรองดองและสร้างความยุติธรรมในสังคมภายใต้หลักเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อลดความขัดแย้งขึ้น ที่บริเวณองค์การบริหารส่วนตำบลขามเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม โดยผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้จะได้รับความรู้ในด้านต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่การรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์และปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น การเกิดภาวะฝุ่นละออง PM 2.5 ผลกระทบที่ประชาชนจะได้รับ แนวทางป้องกันและแก้ไข  ปัญหายาเสพติด ปัญหาภัยแล้ง การบริหารจัดการน้ำ การปรับเปลี่ยนแนวคิดในการเพาะปลูกพืช ความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนและการดูแลให้คงอยู่ ที่มาและความสำคัญของการเป็นจิตอาสา จากนั้นทุกคนจะได้เรียนรู้ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เกี่ยวกับกฎหมายจราจร การใช้รถใช้ถนน การให้สัญญาณจราจร การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ในการป้องกันบรรเทาสาธารณภัย การให้การสนับสนุนช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติงาน และทุกคนร่วมกันเก็บขยะ ฉีดน้ำและกวาดทำความสะอาดเพื่อกำจัดฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ถนนของชุมชน  

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ผู้ช่วย ผบ.ตร. ลงพื้นที่นครพนมติดตามการปราบปรามและความคืบหน้าการยกระดับการให้บริการประชาชน


วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ชั้น 5 อาคารแสงสิงแก้ว พลตำรวจโท เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ติดตามการปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และงานสวัสดิการของตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ตลอดจนกำชับติดตามตรวจสอบความพร้อมในการยกระดับการให้บริการของประชาชนของสถานีตำรวจ เพื่อเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กรและตอบสนองความต้องการ สร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยมี พลตำรวจตรี ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ตลอดจนผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม หัวหน้าสถานีในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม หัวหน้างานป้องกันปราบปราม และข้าราชการตำรวจฝ่ายอำนวยการ ร่วมประชุมชี้แจงและรับมอบนโยบาย

โดยที่ผ่านมา ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมการพัฒนากำลังพลในด้านต่าง ๆ เพื่อให้มีมาตรฐานสร้างความเชื่อมั่นและยอมรับจากประชาชน เช่น การจัดการฝึกทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดีของสัปดาห์สำหรับตำรวจฝ่ายอำนวยการ การฝึกร่วมในทุกวันพุธสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน การฝึกยุทธวิธีการใช้อาวุธปืนสั้น การฝึกอบรมยิงปืนขั้นพื้นฐานสำหรับสถานีตำรวจ การเพิ่มประสิทธิภาพยุทธวิธีตำรวจระดับสถานี โดยตำรวจนครพนมมีเสื้อเกราะใส่ครบ 100% ขณะเดียวกันก็ยังมีโครงการทำบุญวันละบาทเพื่อแบ่งปันน้ำใจสู่ผู้ยากไร้ในพื้นที่จังหวัดนครพนม โครงการสายตรวจจักรยาน การทำกิจกรรม 5 ส. จนมีสถิติการปราบปรามคดีอาญา 4 กลุ่ม ในห้วงระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2562 - 10 กุมภาพันธ์ 2563 คือ ฐานความผิด ชีวิต ร่างกายและเพศ 100 % คดีเกี่ยวกับทรัพย์ 86.67 % คดีความผิดพิเศษ 60 % และคดีความผิดที่รัฐเป็นผู้เสียหายร้อยละ 32.69 ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กำลังพล ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ก็มีโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการตัดผมสำหรับข้าราชการตำรวจ โครงการอาหารกลางวัน โครงการสนามเด็กเล่นสำหรับบุตรข้าราชการตำรวจ การมอบทุนการศึกษาให้บุตรข้าราชการตำรวจ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงพัฒนาถนนและระบบระบายน้ำแฟลตข้าราชการตำรวจ โครงการสร้างสนามฟุตบอลพร้อมสถานที่ออกกำลังกายให้กำลังพล ขณะที่การดำเนินการสหกรณ์ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมนั้น ได้ยึดหลัก รวดเร็ว ถูกต้อง เป็นธรรม โปร่งใส สามารถตรวจสอบ ทำให้ในปี 2562 มีมาตรฐานสหกรณ์ในระดับดีเลิศ ( A ) จากการจัดอันดับของสำนักงานสหกรณ์จังหวัดนครพนม โดยมีผลกำไรสุทธิประมาณ 32 ล้านบาท หักปันผลให้สมาชิกร้อยละ 6.25  

ขณะที่ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ได้เน้นย้ำนการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจทุกนาย ในการปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องมีความเข้มงวดมากขึ้น มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดและระบบแจ้งเตือนภัยให้สามารถใช้งานได้เสมอ เฝ้าระวังบุคคลพ้นโทษในพื้นที่หรือบุคคลเป้าหมายที่อาจก่อเหตุได้ สำหรับการตั้งจุดตรวจจุดสกัด จุด ว.43 ก็ต้องมีความระมัดระวัง รัดกุม พิจารณารายละเอียดให้ครอบคลุม ต้องไม่เกิดความซ้ำซ้อน ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนโดยทั่วไป ปฏิบัติตามกฎหมาย ต้องมีกริยาวาจาที่สุภาพ ระวังเรื่องภาพลักษณ์ทางสื่อโซเชียล หลังเสร็จกิจก็ต้องเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย ขณะที่ผู้บังคับบัญชาก็ต้องลงพื้นที่สุ่มตรวจ ควบคุม กำกับดูแลอย่างใกล้ชิด  ส่วนงานบริการประชาชนของสถานีตำรวจ ก็ขอให้ทุกหน่วยให้ความสำคัญในการให้บริการประชาชนในทุกมิติสามารถบริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกภารกิจ ทั้งงานบริการทั่วไป งานสอบสวน งานจราจร งานป้องกันปราบปราม หรือการบริการอื่น ๆ

หน่วยงานในสังกัดสาธารณสุขจังหวัดนครพนม พร้อมใจเปิดตลาดนัดสีเขียวช่วยเกษตรกรและสร้างสุขภาพประชาชนในพื้นที่

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายแพทย์จิณณพิภัทร ชูปัญญา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากการประชุมของคณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ระดับจังหวัดของจังหวัดนครพนม ที่เล็งเห็นว่าการเกษตรเป็นหัวใจหลักของประชาชนในพื้นที่และเกษตรอินทรีย์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะเข้ามาเติมเต็มรายได้ที่มากขึ้นของประชาชน จึงได้ร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์เพื่อสร้างให้จังหวัดนครพนม เป็นนครแห่งเกษตรอินทรีย์ และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรชาวนครพนม สามารถก้าวไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ หน่วยงานต่าง ๆ จึงได้บูรณางานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนแผนงานต่าง ๆ ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มีประกาศวาระแห่งชาติด้านสุขภาพของประเทศไทย ในปี 2563 เป็นปีอาหารปลอดภัย ที่จะมีการดำเนินการให้ผู้ป่วยและประชาชนได้บริโภคอาหารที่มีความปลอดภัย จากสารกำจัดศัตรูพืช และอันตรายจากสารปลอมปน หรือสิ่งปนเปื้อนในอาหารต่าง ๆ ซึ่งจังหวัดนครพนมในแต่ละวันจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเยี่ยมเยือนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบสนองต่อนโยบาย เป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับเกษตรกรและเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับประชาชน นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม จึงได้มีข้อเสนอให้มีตลาดสีเขียวในทุกโรงพยาบาลของจังหวัดนครพนม โดยสินค้าเกษตรที่จะนำมาจำหน่ายต้องเป็นอาหารที่ปลอดภัย และเป็นผักที่ปลอดสารพิษ

ซึ่งโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั้ง 12 อำเภอในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม ก็ได้มีการประสานขอความร่วมมือกับสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดนครพนม และสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนมในการจัดหาเกษตรกรกลุ่มเกษตรอินทรีย์ นำผัก ผลไม้ และผลิตภัณฑ์แปรรูปมาจำหน่าย ภายใต้โครงการตลาดสีเขียว ซึ่งโรงพยาบาลทั้ง 13 แห่ง จะจัดสถานที่และวันเวลาตามที่แต่ละแห่งมีความพร้อม เช่น โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชธาตุพนมเปิดตลาดสีเขียวในวันศุกร์ โรงพยาบาลนครพนมเปิดทุกวันในช่วงเช้า โรงพยาบาลนาแกเปิดทุกวันพุธ โรงพยาบาลจิตเวชนครพนมราชนครินทร์เปิดทุกวันจันทร์ เป็นต้น ในส่วนของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนมเองก็ได้จัดสถานที่บริเวณด้านหน้าอาคารสำนักงานเพื่อเปิดตลาดสีเขียวในวันพุธ ช่วงเวลาตั้งแต่ 8.00 -12.00 น. จึงขอเชิญผู้ที่สนใจ ผู้ที่รักในสุขภาพ ร้านค้า ร้านอาหาร มาเยี่ยมชมและจับจ่ายเลือกหาสินค้าเกษตรปลอดภัยไปไว้เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารไว้รับประทานได้ ซึ่งราคาก็เป็นกันเองไม่ได้แพงอย่างที่คิด เช่น ผักสลัดที่ให้แคลอรี่ต่ำ หลายคนที่กำลังลดน้ำหนัก มักนิยมนำไปรับประทานเป็นอาหารหลัก ก็จะมีราคาเริ่มต้นที่มัดละ 10 บาทเท่านั้น ที่สำคัญคือมีความสดใหม่เพราะเกษตรพึ่งเก็บมาจากสวน ซึ่งนอกจากการจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์และผลิตภัณฑ์แปรรูปแล้ว ในตลาดสีเขียวก็ยังมีการรณรงค์สร้างกระแสการลดใช้ถุงพลาสติกและโฟมทำให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญและหันมาใส่ใจกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยจัดให้มีตัวแทนเกษตรกรนำ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกาบหมากซึ่งเป็นวัตถุดิบธรรมชาติ สามารถย่อยสะลายได้ง่าย ประเภท จาน ช้อน และกล่องบรรจุอาหาร ที่นอกจากจะใส่อาหารได้ปกติทั่วไปแล้ว ยังดูมีความคลาสสิคสวยงามที่ลงตัว และช่วยลดปัญหาโลกร้อนด้วย โดยราคาที่จำหน่ายก็เพียงชุดละ 30 บาทเท่านั้น 

ผู้ว่าฯนครพนม นำทีมสร้างหน่วยงานราชการต้นแบบ แก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5


วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วยนายรังสรรค์ คัมภิรานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และนายชาตรี จันทร์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นำคณะทำงานบูรณาการตรวจวัดปริมาณควันดำรถยนต์ที่ใช้ในหน่วยงานราชการเพื่อสร้างเป็นต้นแบบให้กับประชาชนในการร่วมกันแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในพื้นที่จังหวัดนครพนม  โดยขั้นตอนการตรวจผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจะเป็นผู้ที่เหยียบคันเร่งรถยนต์เองทุกคัน เพื่อจะได้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด สำหรับรถยนต์ที่มีปริมาณควันดำเกิน 45% จะออกคำสั่งห้ามใช้รถทันที โดยจะพ่นสีแดงที่บริเวณกระจกรถยนต์ มีข้อความว่า ห้ามใช้ ซึ่งหน่วยงานยที่เป็นเจ้าของรถต้องนำรถไปทำการแก้ไขปรับปรุงและนำเข้ารับการตรวจสภาพ ณ สำนักงานขนส่งภายใน 7 วัน เมื่อผ่านการตรวจสภาพแล้วจึงจะสามารถนำรถไปใช้งานได้อีกครั้ง ขณะที่รถยนต์ที่มีค่าควันดำอยู่ระหว่าง 30 – 45 % ก็ใช้มาตรการแนะนำให้ความรู้ ในการดูแลรักษารถยนต์แก่ผู้ขับขี่

นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า การแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการดูแลพี่น้องประชาชน ซึ่งทุกคนจะได้ยินได้ฟังข้อมูลข่าวสารมามากว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องฝุ่นละอองมลพิษทางอากาศ เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบในหลาย ๆ ภูมิภาค เช่น กรุงเทพฯ ปริมณฑล หรือจังหวัดใหญ่ๆ ส่วนจังหวัดนครพนมแม้สภาพฝุ่นละอองในอากาศจะไม่มาก แต่ก็จากการตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษก็อยู่ในระดับที่อาจจะกระทบกับสุขภาพของพี่น้องประชาชน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นก็มาจากหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องของการเผาพืชไร่หรือวัสดุทางการเกษตร เรื่องของการก่อสร้างถนนหนทาง อาคารบ้านเรือน ในเขตพื้นที่ชุมชนหนาแน่น และเรื่องของรถยนต์ ทั้งรถขนส่งและรถส่วนบุคคล ซึ่งส่วนราชการก็มีการใช้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเรารณรงค์ให้พี่น้องประชาชนให้ความสำคัญและตระหนักถึงปัญหาฝุ่นละออง หน่วยงานราชการเองก็ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน จึงได้มีการทำข้อตกลงกับทุกส่วนราชการในจังหวัดในการนำรถยนต์ที่ใช้งานในทุกราชการมาตรวจวัดปริมาณควันดำ ซึ่งทุกคันต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคมกำหนด คือต้องมีค่าปริมาณควันดำไม่เกิน 45 % จึงจะสามารถนำไปใช้งานบนท้องถนนได้ ถ้าคันไหนเกินก็ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน

ตชด.236 ลุยค้นบ้านแก๊งค้ายายึดของกลางยาบ้าเกือบหมื่นเม็ด พร้อมอาวุธปืน

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ที่กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 236 นครพนม พ.ต.ท. สมภพ อ่อนสิน รอง ผกก.ตชด.23 พร้อมด้วย พ.ต.ท.ชิษณุพงษ์ ทองเกื้อ ผบ.ร้อย ตชด. 236 ร.ต.อ.ประเสริฐศักดิ์ แสงสา รอง ผบ.ร้อย ตชด.236 เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการข่าวปราบปรามยาเสพติด เจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดนครพนม และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงผลการกวาดล้างจับกุมแก๊งวัยรุ่นเครือข่ายค้ายาบ้าในพื้นที่ โดยได้ระดมกำลังบุกเข้าตรวจค้นบ้านพักไม่มีเลขที่ในพื้นที่ตำบลวังตามัว อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม หลังขยายผลจากการจับกุมแก๊งวัยรุ่นเสพยาบ้า จนกระทั่งทราบว่ามีหัวหน้าแก๊งเปิดแหล่งมั่วสุม จำหน่ายยาบ้าอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว

โดยจากการบุกเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดยึดของกลางได้ ประกอบไปด้วย ยาบ้า จำนวน 7,971 เม็ด ยาไอซ์ จำนวน 8.33 กรัม อาวุธปืนลูกโม่ไทยประดิษฐ์ขนาด จุด 38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมลูกกระสุนปืนอีกจำนวน 3 นัด และรถจักรยานยนต์ ซึ่งไม่พบเอกสารหลักฐาน จำนวน 8 คัน ส่วนผู้กระทำผิดไหวตัวหลบหนีๆไปได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างตำรวจรวบรวมหลักฐานเสนอศาลออกหมายจับ เบื้องต้นจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทราบว่าผู้กระทำผิดที่หลบหนีเป็นเยาวชน ตั้งตัวเป็นหัวหน้าแก๊งและเปิดบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านเป็นที่พักยาให้กลุ่มวัยรุ่นมาติดต่อขอซื้อและมั่วสุมเสพ ทั้งยังพบว่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายแก๊งตระเวนขโมยรถจักรยานยนต์ เพื่อมาขายและแลกยาบ้า

สสจ.นครพนม แจงผลตรวจคัดกรองและผลการดำเนินงานเฝ้าระวังสถานการณ์ไวรัสโคโรนาในพื้นที่


วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ห้องประชุม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดนครพนม (ศปก.นพ.) ครั้งที่ 51/2563 ซึ่งเป็นการประชุมติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่จังหวัดนครพนมในแต่ละวัน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมชี้แจงและให้ข้อมูล ซึ่งวันนี้นายแพทย์ธราพงษ์ กัปโก นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครพนม ได้รายงานผลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานเฝ้าระวังและป้องการการแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ให้ที่ประชุมได้รับทราบว่า

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม มีผลการดำเนินงานเฝ้าระวังผู้เดินทาง ที่เป็นการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ณ จุดคัดกรองผู้เดินทางเข้า – ออก ทั้ง 9 แห่งในจังหวัดนครพนม ประกอบไปด้วย ท่าอากาศยานนครพนม จุดคัดกรองอำเภอบ้านแพง จุดคัดกรองอำเภอธาตุพนม จุดคัดกรองอำเภอท่าอุเทน จุดคัดกรองบ้านหนาด อำเภอเมืองนครพนม ด่านควบคุมโรคสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม-คำม่วน) และพรมแดนท่าเทียบเรือจังหวัดนครพนม  มีข้อมูลจำนวนผู้ผ่านการคัดกรอง ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563  ทั้งสิ้น 80,168 ราย ยังไม่พบผู้ป่วยที่ต้องดำเนินการสอบสวนโรค โดยจุดไหนที่มีประชาชนมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก หน่วยงานจะมีการนำเครื่องเทอร์โมแสกนที่เป็นลักษณะคนเดินผ่านสามารถตรวจวัดอุณหภูมิได้เลยมาให้บริการ ซึ่งจะแตกต่างจากเครื่องเทอโมแสกนปกติที่ใช้ตรวจวัดตรงที่ถ้าอุณหภูมิในร่างกายสูงจะมีสัญญาณเตือนทันที ทำให้สามารถลดระยะเวลาและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ที่ต้องผ่านการตรวจคัดกรองได้เป็นจำนวนมาก ขณะที่ด้านภารกิจสื่อสารความเสี่ยง ได้มีการติดตามเฝ้าระวังข้อมูลข่าวสารและรายงานสถานการณ์ข่าวเพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการสร้างองค์ความรู้ที่ถูกต้องให้กับประชาชน ผ่านทาง Website Facebook Page กลุ่ม Line รวมถึงมีการจัดทำสื่อ แผ่นปลิว ป้ายประชาสัมพันธ์ สนับสนุนเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคปอดอักเสบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ให้กับประชาชน ส่วนการเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุนั้นได้มีการเตรียมทีมปฏิบัติการที่พร้อมต่อการระดมการช่วยเหลือจากทุกพื้นที่และดำเนินงานตามมาตรการด้านสาธารณสุข ทั้งด้านการเฝ้าระวัง สอบสวน ติดตามผู้สัมผัสการรักษาพยาบาล เตรียมห้องปฏิบัติการ เตรียมทรัพยากรตามรายการเวชภัณฑ์ที่จำเป็น 18 รายการ โดยมีการอัพเดตข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน

จ.นครพนม สุ่มตรวจหน้ากากและผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 ที่จังหวัดนครพนม นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานนำคณะทำงานซึ่งประกอบไปด้วย สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครพนม ที่ทำการปกครองจังหวัดนครพนม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัดนครพนม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดนครพนม ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม และสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนม ลงพื้นที่สุ่มตรวจติดตามและกำกับดูแลสถานการณ์การจำหน่ายหน้ากากอนามัยและผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมเพื่อสุขภาพอนามัยสำหรับมือของสถานประกอบการในพื้นที่จังหวัดนครพนม เพื่อป้องกันผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ตัวแทนจำหน่าย และผู้จำหน่ายปลีกฉวยโอกาสกักตุนหรือปรับขึ้นราคาสินค้าดังกล่าวเพื่อเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค และให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากในช่วงนี้มีสถานการณ์ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 สูงกว่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ของประเทศ ประกอบกับมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทำให้ประชาชนทั่วไปมีความต้องการใช้หน้ากากและผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมประกอบเพื่อสุขภาพอนามัยสำหรับมือเป็นจำนวนมาก

โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้ จำนวน 5 แห่ง ซึ่งพบว่าร้านค้าส่วนใหญ่ในพื้นที่ ยังไม่มีการนำสินค้ามาจำหน่ายมากนัก ขณะที่เพื่อนบ้านอย่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่อาศัยอยู่ในแขวงคำม่วนที่เดินทางไปมาหาสู่กันประจำก็ไม่ได้มีความต้องการมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากสภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดนครพนมและแขวงคำม่วนยังไม่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นละออง PM 2.5 และไม่มีรายงานผู้ป่วยที่เข้าค่ายความเสี่ยงที่จะเป็นโรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แต่อย่างไรก็ดีก็มีประชาชนบางส่วนที่มีการใช้หน้ากากอนามัย และผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมเพื่อสุขภาพอนามัยสำหรับมืออยู่เป็นประจำอยู่แล้วที่มาซื้อสินค้าไปใช้ โดยร้านค้าในพื้นที่จังหวัดนครพนมจำหน่ายหน้ากากอนามัยอยู่ที่ราคา 2.50 บาท ต่อชิ้น ซึ่งแต่ละคนจะซื้อได้ไม่เกิน 10 ชิ้น   

จ.นครพนม บูรณาการเข้ม ตรวจรถ – เรือ ป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5


วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 ที่จังหวัดนครพนม เวลา 9.00 น. บรรยากาศการลงพื้นที่สุ่มตรวจปริมาณควันดำยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเข้มงวด โดยวันนี้นายชาตรี จันทร์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้เป็นประธานนำคณะทำงานซึ่งประกอบไปด้วย สำนักงานขนส่งจังหวัดนครพนม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนครพนม แขวงทางหลวงจังหวัดนครพนม แขวงทางหลวงชนบทจังหวัดนครพนม สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดนครพนม ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนม อำเภอธาตุพนม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บูรณาการลงพื้นที่ตรวจควันดำรถโดยสารและรถบรรทุก ที่ถนนทางหลวงหมายเลข 212 บริเวณสามแยกบ้านธาตุน้อย ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม

โดยในจัดนี้เป็นการตรวจวัดปริมาณควันดำและการตรวจจับน้ำหนักรถบรรทุกไปพร้อมกัน ซึ่งใช้มาตรการเดียวกันทั้งหมด คือ รถบรรทุกต้องมีน้ำหนักไม่เกินมาตรฐานที่กำหนดของแต่ละประเภท  รถที่มีปริมาณควันดำเกิน 45% ลงโทษเปรียบเทียบปรับ 5,000 บาท และออกคำสั่งห้ามใช้รถทันที โดยเจ้าของรถต้องนำรถเข้ารับการตรวจสภาพ ณ สำนักงานขนส่งก่อน เมื่อผ่านการตรวจสภาพแล้วจึงจะสามารถนำรถไปใช้งานได้อีกครั้ง ขณะที่รถที่มีค่าควันดำอยู่ระหว่าง 30 – 45 % ก็ใช้มาตรการแนะนำให้ความรู้ในการดูแลรักษารถยนต์ จากนั้นในช่วงบ่ายได้เดินทางไปสุ่มตรวจเรือโดยสารข้ามฟาก ที่บริเวณท่าเรือโดยสารเทศบาลเมืองนครพนม ซึ่งในแต่ละวันจะมีประชาชนชาวไทย ชาวลาวและนักท่องเที่ยวเดินทางมาใช้บริการข้ามฟากไปมาระหว่างจังหวัดนครพนมกับแขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 จนถึงเวลา 11.00 น. วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการตรวจวัดควันดำไปแล้วทั้งสิ้น 6,158 คัน เป็นรถบรรทุก 184 คัน รถโดยสาร 5,937 คัน รถตู้โดยสาร 37 คัน ซึ่งรถส่วนใหญ่ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคือมีค่าปริมาณควันดำอยู่ที่ประมาณ  1.6 - 29 %  ขณะที่รถที่มีค่าควันดำ 30 – 45 % มี จำนวน 19 คัน แยกเป็นรถโดยสาร 14 คัน รถบรรทุก 3 คัน รถยนต์ 2 คัน และพบรถที่มีควันดำเกิน 45%  จำนวน 1 คัน สำหรับการตรวจควันดำของจังหวัดนครพนมจะยังคงมีเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ โดยสลับเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ และไม่มีการแจ้งล่วงหน้าให้ผู้ประการทราบ

เกษตรนครพนม สร้างเครือข่าย ศดปช. กระจายข้อมูลเกษตรแก้ปัญหาภัยแล้ง


วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ที่สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม นายร่มไม้ นวลตา เกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำในจังหวัดนครพนมได้ส่งผลกระทบกับประชาชนในหลายพื้นที่ โดยจังหวัดได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งไปแล้ว 3 อำเภอ ในพื้นที่ 11 ตำบล 38 หมู่บ้าน มีเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อน 217 ราย มีพื้นที่การเกษตรได้รับเสียหายรวม 921.75 ไร่ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างก็ได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนไปแล้ว และเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้และเข้าใจให้กับเกษตรกรในพื้นที่ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวความคิดในการทำการเกษตรที่รู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น ภัยแล้ง แมลงศัตรูพืช โรคพืชที่ระบาดในพื้นที่ การลดปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 และสถานการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมทั้งสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการทำการเกษตรทางเลือก การวิเคราะห์ดิน การคำนวณปริมาณปุ๋ยโดยการใช้ปุ๋ยสั่งตัดเพื่อลดต้นทุนการผลิตจากการใช้ปุ๋ยเคมี และการใช้ปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ในแปลงเกษตรทำให้ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช จึงได้จัดการอบรมถ่ายทอดความรู้ให้กับเครือข่ายตัวแทนเกษตรกรที่เป็นสมาชิกศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน (ศดปช.) เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปขยายผลต่อยังเกษตรกรในชุมชน

โดยศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน (ศดปช.) เป็นศูนย์ความรู้ในชุมชนที่กรมส่งเสริมการเกษตรจัดตั้งขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรทุกคนเข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการดินและปุ๋ยในพื้นที่การเกษตรของตนเองให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและมีความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยทั้งในเรื่องของการลดต้นทุนการผลิต และส่งเสริมให้มีผลผลิตการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งถ้าทุกคนรู้จักการจัดการดินให้มีความอุดมสมบูรณ์และสมดุลพืชที่เพาะปลูกย่อมแข็งแรงและสมบูรณ์ด้วยเช่นเดียวกันเพราะดินเป็นหัวใจหลักของการทำการเกษตร และยิ่งทุกคนรู้เท่าทันถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่ ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ก็จะสามารถวางแผนบริหารจัดการป้องกันและรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีนำมาซึ่งความยั่งยืนของการเกษตรและรายได้ที่จะมาเลี้ยงครอบครัว

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

พุทธศาสนิกชนไทย-ลาว ร่วมประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เวียนเทียนรอบองค์พระธาตุพนมเนื่องในวันมาฆบูชา


วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บริเวณวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม บรรยากาศเนื่องแน่นไปด้วยพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทย ชาวลาว และนักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาร่วมกันประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตภาวนา ฟังธรรมเทศนา เวียนเทียนรอบองค์พระธาตุพนม ตามโครงการสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแพร่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจำปี 2563 ที่จังหวัดนครพนมจัดขึ้น เพื่อส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้เห็นถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา และได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ได้น้อมนำเอาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปประพฤติปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้เกิดความสุขในชีวิตและสังคม และถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมี นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และพระเทพวรมุนี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เจ้าคณะจังหวัดนครพนม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์

โดยวันมาฆบูชา เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนนี้ เป็นหลักการและวิธีการปฏิบัติต่างๆ ใจความสำคัญ คือการทำความดี ละเว้นความชั่วและทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ทั้งนี้ในวันมาฆบูชายังได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ มีพระสงฆ์ 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวัน โดยมิได้นัดหมาย เพื่อสักการะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา หรือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6 และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือวันที่มีองค์ประชุมด้วยองค์ 4 ทั้งนี้ตามปฏิทินจันทรคติของไทยถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส หรือเดือน 8 สองหน ก็จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ซึ่งในปีนี้วันมาฆบูชาตรงกับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 
สำหรับการประกอบพิธีเวียนเทียนนั้น ก่อนเริ่มพิธีเวียน ประธานฝ่ายสงฆ์จะนำพุทธศาสนิกชนทุกคนกล่าวคำถวายนมัสการองค์พระธาตุพนม กล่าวคำบูชาดอกไม้ธูปเทียน จากนั้นจึงเริ่มเวียนเทียน โดยเวียนทักษิณาวรรต หรือเวียนขวา รอบที่ 1 จะเป็นการเวียนเพื่อรำลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พร้อมกับสวดมนต์บทอิติปิโส ภะคะวา รอบที่ 2 เพื่อรำลึกถึงคุณพระธรรม พร้อมกับสวดมนต์บทสวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม และรอบที่ 3 เพื่อรำลึกถึงคุณพระสงฆ์ สวดบทสุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ และเมื่อเวียนครบ 3 รอบ พุทธศาสนิกชนทุกคนจะนำดอกไม้ ธูป เทียน ไปวางไว้ ณ จุดที่กำหนดไว้เป็นเสร็จพิธี

วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

หน่วยงานในจังหวัดนครพนม บูรณาการร่วมปล่อยขบวนรถน้ำช่วยภัยแล้งประชาชนในพื้นที่


วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ค่ายพระยอดเมืองขวาง มณฑลทหารบกที่ 210 ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม พันเอก ชลิต บรรจงปรุ รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 เป็นประธานปล่อยขบวนรถน้ำ ตามโครงการ ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจช่วยภัยแล้งประจำปี 2563 ที่มณฑลทหารบกที่ 210 บูรณาการร่วมกับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 และจังหวัดนครพนม ซึ่งประกอบไปด้วยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครพนม สำนักงานประปาส่วนภูมิภาค สาขานครพนม หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เทศบาลเมืองนครพนม องค์การบริหารส่วนตำบลกุรุคุ องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านผึ้ง องค์การบริหารส่วนตำบลวังตามัว ออกแจกจ่ายน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับทุกคน

โดยการออกแจกจ่ายน้ำในครั้งนี้แต่ละหน่วยได้ลงพื้นที่ให้บริการ แบ่งเป็นจุดใหญ่ของแต่ละชุมชน ประกอบไปด้วย ที่อำเภอปลาปาก บริเวณศูนย์ศิลปาชีพบ้านทันสมัย ตำบลมหาชัย และที่วัดสามัคคีธรรม บ้านโคกกลาง หมู่ที่ 7 ตำบลปลาปาก  ส่วนที่อำเภอเมืองนำน้ำไปแจกจ่ายที่โรงเรียนดอนยานาง บ้านดอนยานาง ตำบลนาทราย บ้านโนนชมภู หมู่ที่ 4 ตำบลวังตามัว บ้านกุรุคุ หมู่ 6 ตำบลกุรุคุ และบ้านโคกกลางหมู่ที่ 7 ตำบลบ้านผึ้ง นอกจากนี้ทางมณฑลทหารบกที่ 210  ยังได้มีการส่งกำลังพลลงพื้นที่เจาะบ่อบาดาลตั้งแต่เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2562 เพิ่มเติมเพื่อเป็นแหล่งน้ำสำรองสำหรับประชาชนในพื้นที่ให้ได้มีน้ำกินน้ำใช้ ภายใต้งบป้องกันและแก้ปัญหาภัยแล้งของนายกรัฐมนตรี จำนวน 100 บ่อ และงบของจังหวัดนครพนมอีกจำนวน 40 บ่อ รวมทั้งสิ้น 140 บ่อ เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ทั้ง 12 อำเภอ